Group Blog
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th 
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
All Blog
Review+Makeup look | 3CE STYLENANDA Drawing lip pen kit



สวัสดีค่า จอยเองค่ะ

กลับมาพบกันอีกแล้ว วันนี้จอยเอาไอเท็มในตำนานมารีวิวสีให้ดูกันค่ะ

กับลิปดินสอจาก Style Nanda ที่ฮิตมากกก แบบถล่มทลายเมื่อปีที่แล้ว

3CE Drawing Lip Pen Kit ทั้ง 12 สีนี่เอง

แค่เปิดกล่องมาก็รู้สึกขนลุกแล้ว เพราะสีสวยมว๊ากกก 






เห็นแล้วนึกถึงวัยเด็กที่อยากได้กล่องดินสอสีใหญ่ๆ มีสีเยอะๆ หลายๆ ชั้นยิ่งดี

กล่องนี้สนนราคาอยู่ที่ สองพันปลายๆ เกือบสามพันค่ะ

หักกับจำนวนดูแล้วตกแท่งละประมาณ 300 บาท คุ้ม! มาก!

(ข้อเสียคือพี่แกไม่แถมกบเหลามาให้ด้วยนี่สิ ปาดเหงื่อ)

ด้วยความที่เป็นดินสอ จะใช้งานค่อนข้างลำบากหน่อย ต้องนั่งเหลา




เรื่องเฉดสีจอยว่ามีหลายแท่งที่เฉดใกล้เคียงกัน

โดยรวมแล้วเนื้อดินสอเกลี่ยลื่น อาจจะมีฝืดๆ บ้าง แนะนำให้บำรุงปากให้ชุ่มชื้นก่อนจะดี

สีทาออกมาแล้วส่วนใหญ่จะแมตต์ เนื้อเนียนสีชัด

ใช้ทาทั้งปากก็ได้ หรือจะใช้เป็นดินสอเขียนขอบปากก็สวยไม่แพ้กัน


มีทั้งหมด 12 สีไล่จากอ่อนไปเข้ม

#NEED

#LITTLE MORE

#BUTTER PINK

#WILLOW

#YOU GOT ME!

#ENDER

#BEWARE

#MAYHAP

#SLOE GIN

#CRUSH ON YOU

#BORN RED

#CHILLING

เราไปดูแต่ละสีกันเลย




























จัดไปแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ

ที่จอยชอบเป็นพิเศษคือลิปดินสอสีชมพูอ่อน Willowy และสีแดงสด Born Red ที่มันแซ่บมาก

เลยจับเอามาทำลุค 2 ลุค ระหว่างสาวแซ่บและลุคใสๆ วัยรุ่นชอบ

ใครชอบลุคไหน หยิบไปแต่งตามกันได้น้า




แน่นอนว่าจอยทำเป็นคลิปวีดีโอ How To แบบคร่าวๆ สำหรับลุคนี้มาให้ด้วย

(สำหรับคนที่อยากรู้ว่าจอยเตรียมผิวด้วยอะไร ใช้อะไรในลุคบ้าง แล้วมีเทคนิคอะไร)

ซึ่งเป็นลิปสีม่วงสุดชิค จวือปากแบบไคลี่ ! แซ่บ แน่น รับวาเลนไทน์นี้แน่นอน

ไปชมกันเลยยย!!




หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ นะค้า

แล้วพบกันใหม่บทความหน้าจ้าาา


*ลิปดินสอกล่องนี้ จอยได้รับสปอนเซอร์จาก Revu จ้า ขอบคุณแบรนด์ด้วยนะคะ*





Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:31:22 น.
Counter : 4654 Pageviews.

0 comment
[Haul] Real Technique Prep&Prime Set เซตแปรงใหม่ที่สาวรักการบำรุงต้องห้ามพลาด !


สวัสดีค๊าา กลับมาพบกับจอยอีกแล้ววว
วันนี้จอยก็จะเอาไอเท็มเริศๆ มาเห่อเป้นกิเลสให้เพื่อนๆ อีกแล้ว กรี้ส >_<
ซึ่งนั่นก็คือ Real Technique Prep&Prime Set นั่นเอง

สาวๆ คงรู้จักแบรนด์นี้กันดีอยู่แล้วแหละ อย่างจอยก็มีครบแทบทุกเซ็ตได้แล้วมั้ง แปรงแบรนด์นี้ 5555
ไม่ว่าจะด้วยคุณภาพที่ดีงามเกินราคา และความนุ่มคุ้มค่าสุดๆ
ซึ่งคอลเลกชั่นล่าสุดของเซ็ตแปรงที่แบรนด์นี้ทำออกมา ไม่ใช้แปรงแต่งหน้าแต่อย่างใด
แต่มันคือแปรงสำหรับลงพวกการบำรุง !


เจอเซ็ตนี้เข้าไปจอยถึงกับกรี้ส เพราะเป็นสาวสายบำรุง ชอบมาสก์หน้า ชอบดูแลผิว (ฟินนน)
เคยเป็นไหมคะ เวลาลงพวกครีมก็ไม่อยากเลอะมือบ้าง กลัวมือไม่สะอาดบ้าง
หรือการจิ้มนิ้วลงไปในครีมแบบกระปุกเนี่ย ไม่รู้จะเกิดการสะสมรึเปล่า กลัวไปต่างๆ นานา
ซึ่งเจ้าเซ็ตนี้ ตอบโจทย์ปัญหานี้เลย

ในเซ็ตประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ 5 ชิ้นด้วยกัน ได้แก่
1. Beauty Spatula ไว้สำหรับตักพวกครีมออกมาจากกระปุก ตัดเรื่องนิ้วสกปรกไปได้เลย ไม่เกิดการสะสมเชื้อโรคแน่นอน เพราะเจ้าไม้อันนี้ทำความสะอาดง่ายมากๆ
2. Under eye reviver ตัวนี้สำหรับลงอายครีมใต้ตา ซึ่งมีความเจ๋งมากๆ !
3. Prep Brush แปรงอเนกประสงค์อีกแล้วฮะ ทั้งลงครีมบำรุง ลงมาสก์ หรือลงพวกเบส ไพรเมอร์ ตลอดไปจนถึงลงรองพื้นก็ได้!
4. Miracle Complexion Sponge ฟองน้ำสุดคูล ตัวนี้ดิชั้นก็มีอยู่ติดบ้างแล้วฟองนึง ถือว่าได้มาตุน
5. Sponge Stand เอ้ยยยย แท่นวางฟองน้ำไข่! อันนี้ดี!




มาดูกันที่ตัวแรก

Beauty Spatula



เป็นแท่งตัดครีม ซึ่งมันจะอ่อนๆ มีความคล้ายกับพลาสติก ซิลิโคน 
ล้างทำความสะอาดได้ ไม่มีการสะสมเชื้อโรค
ออกแบบมาให้มี 2 หัวปลายคล้ายๆ ไขควงแบนๆ ด้านหนึ่ง
ส่วนอีกด้านหนึ่งคล้ายกับการตัดเฉียงๆ ใช้ตัดครีมได้สะดวกมากๆ
แต่คิดว่าตัดอะไรที่เหลวมากๆ ไม่น่าจะเวิร์ค เน้นตักพวกครีม พวกมากส์ออกมาจากกระปุก

ปกติจอยจะเป็นคนโรคจิต ค่อนข้างรักสะอาด เวลาจะจ้วงครีมออกมาจากกระปุก
จะใช้การสะกิดครีมออกมาด้วยปลายเล็บ (ด้านนอกนะ ไม่ใช่ใช้ซอกเล็บตักขึ้นมา)
แต่ต่อจากนี้ไปไม่ต้องกังวลแล้ว ถ้ามีเจ้าแท่งนี้ รักกก
หรือเวลาเราตักครีมออกมาจากกระปุกแล้วกวาดเข้าไปเอาลึกๆ ไม่ได้ (เช่นพวกขวดปั้ม)
เราก็ใช้เจ้าแท่งนี้ปาดขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ช่วยประหยัดครีมได้โขเลย



อุปกรณ์สำหรับลงอายครีม

Under eye reviver



ตัวนี้เรียกว่าที่กดนวดรอบดวงตาดีๆ นี่เอง
เห็นว่าหลายแบรนด์เวลาออกสกินแคร์ที่ดูแลรอบดวงตา
จะออกแบบแพกเก็จให้มีหัวเป็นแอพพลิเคเตอร์คล้ายๆ แบบนี้
เพื่อที่หัวโลหะกลมๆ นี้จะส่งความเย็นผ่านการนวดครีมให้ซึมซาบลงสู่ผิวได้ดี
ละช่วยลดการบวมของรอบดวงตาได้อีกด้วย

ตอนแรกจอยนึกว่าหัวกลมๆ นี้จะกลิ้งได้ซะอีก กลิ้งไม่ได้นะจ้า
หัวโลหะคือเย็นมากกก ถึงมากที่สุด ชอบมากกก
พอได้ลองลงกับอายครีมแล้วรู้สึกฟินมาก
เป็นขนาดที่ใหญ่พอสมควร กดนวด วนๆ รอบดวงตาได้สบาย
จอยใช้ควบคู่กับอายครีมสุดเลิฟของจอย Kiehl's avocado น่ะเองงง

จะเห็นว่าหัวอุปกรณ์สามารถแตะลงไปในกระปุกครีม และดึงเอาครีมขึ้นมาได้ในปริมาณที่กำลังดี
สามารถลงอายครีมโดยไม่ต้องใช้นิ้วเลย แปะ แตะ วน เสร็จ!


ต่อด้วยแปรงที่ชอบมากที่สุดในคอลเลกชั่นนี้

Prep Brush



ต้องบอกก่อนเลยว่าแปรงขนสังเคราะห์ของแบรนด์ RT คุณภาพดีมาก
นุ่ม ไม่บาดหน้า และที่สำคัญคือแห้งเร็ว ความชื้นจากการล้างแปรงไม่สามารถทำอะไรนางได้
(เวลาจอยซักแปรงทั้งหลาย แปรงขนสังเคราะห์ของ RT มักจะแห้งก่อนเป็นอันดับแรกๆ)
ตัวนี้ลงครีมก็ได้ แต่จอยชอบลงครีมด้วยนิ้วมากกว่า เนื่องจากจะได้เป็นการนวดหน้าไปด้วย
แต่ที่ชอบมาก คือเวลาลงมาสก์ โดยเฉพาะมาสก์บำรุง มาสก์โคลน พอกหน้าต่างๆ
เบื่อมากเวลานิ้วเลอะมาสก์ กว่าจะเกลี่ยให้ทั่วทั้งหน้า ซอกนั้นซอกนี้ ลำบากมากๆ
แต่ถ้าได้ใช้แปรงตัวนี้ละก็ มาสก์หน้าสบาย!


หรือนอกจากการลงมาสก์ แปรงตัวนี้ก็สามารถใช้ลงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้
ไม่ว่าจะเป็นพวกเบส ไพร์มเมอร์ หรือแม้กระทั่งใช้ลงรองพื้นก็ทำได้
เรียกได้ว่าเป็นแปรงอเนกประสงค์ที่คุ้มค่ามากๆ เลย

ฟองน้ำที่ทุกคนคุ้นเคย

Miracle Complexion Sponge



นี่มีฟองน้ำตัวนี้อยู่ในครอบครองตั้งแต่แบรนด์ทำออกมาแรกๆ
ได้มาอีกฟองนึงจากเซ็ตนี้ ถือเป็นการตุนไปในตัว
ไม่ต้องพร่ำบอกคุณภาพ เชื่อว่าสาวๆ ต้องมีติดบ้านแน่นอน
คุณภาพเหมือน beauty blender ในราคาที่ย่อมเยากว่า
ลงรองพื้นเนียนกริบ ฟองน้ำหัวตัด ทำให้ลงได้เรียบเนียน ซอกซอนได้ทุกมุม  

ตัวสุดท้าย ไม่ใช่แปรง แต่ควรมี!

Sponge Stand



 แท่นวางไข่ เอ๊ย ฟองน้ำรูปไข่อันนี้มันดีมากกกกก
ออกแบบมาเพื่อวาง sponge โดยเฉพาะ เพราะด้านล่างคือเป็นรูระบายอากาศด้วยนะจ้า
ดังนั้นจะเอาไว้ตั้งฟองน้ำเฉยๆ หลังแต่งหน้า หรือจะเอาไว้ตากฟองน้ำหลังเอาไปซักก็ได้
ไม่ต้องให้มันกลิ้งกลุ้กๆ ในลิ้นชักเครื่องสำอางอีกต่อไป!
(เวลาใช้ฟองน้ำเสร็จ วางไว้บนโต๊ะนี่คือกลิ้งไปทั่ว เซ็งมากๆ โต๊ะเลอะอีกบางที)


หมดแล้วววว สำหรับเซ็ตแปรงใหม่จาก Real Technique ที่อยากเอามาเห่อให้เพื่อนๆ กัน
สนนราคาอยู่ที่ 1,190 บาท ซึ่งเซ็ตนี้ถ้าจำไม่ผิดมีวางขายอยู่แค่ในร้านของ eve&boy นะ
แล้วจอยไม่รู้ด้วยว่ามันเป็น limited edition รึเปล่า ถ้าใครอยากได้ แนะนำให้รีบพุ่งตัวไปจัดมาเลย
FB : https://www.facebook.com/realtechniquesthailandofficial/
IG : realtechniquesthailandofficial

หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ กันนะคะ
แล้วพบกันใหม่กระทู้หน้าค่ะ ^^




Create Date : 29 มกราคม 2560
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:31:41 น.
Counter : 1366 Pageviews.

0 comment
Aveda Invati เพื่อผมหนานุ่มสลวย <3



 สวัสดีค่า กลับมาพบกันอีกเช่นเคย
วันนี้จอยหยิบเอาผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมดีๆ มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ

สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ AVEDA นะคะ จอยอยากแนะนำมากๆๆๆ
เพราะเป็นแบรนด์ที่เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติล้วนๆ เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นเลยทีเดียว
และแบรนด์เขาก็ดูหรูหรา ดูดีมากๆ จนจอยเคยอยากเดินเข้าไปในร้านตั้งหลายครั้งแล้ว
(แบบว่า ดึงดูดมากๆ การจัดร้านสวยงามสุดๆ)

ซึ่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา จอยได้มีโอกาสเข้าไปรับบริการนวดศีรษะและตรวจสุขภาพมา
และได้ผลิตภัณฑ์กลับมาทดลองด้วย (กรี้สมาก ชอบแบรนด์นี้อยู่เป็นทุนเดิม)

Aveda Invati 



ขวดไซส์มินิ น่ารักน่าพกพามากๆ ซึ่งคอลเลกชั่นนี้จะเน้นการดูแลเส้นผม
เพื่อผมหนาขึ้น มีวอลุ่มขึ้น ลดการขาดร่วง สาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่มีปัญหาผมบาง บอกเลยว่าโดนใจแน่นอน



ก่อนจจะพูดถึงแต่ละตัว จอยแวะพาเพื่อนๆ ชมภายในร้านกอนซักเล็กน้อยค่ะ

Aveda Experience Center 

นี่ชอบบรรยากาศร้านของเขามากๆ แถมใครที่สนใจ แวะเข้าไปที่ร้าน เขาจะมีบริการนวดศีรษะด้วยนะ
ฟิน สบายมากๆ เลยแหละ >__<





นอกจากผลิตภัณฑ์ไลน์นี้ ยังมีอีกหลายสูตรมากๆ เพื่อตอบโจทย์ทุกปัญหาของเส้นผม
สามารถใช้ได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชายเลย ใครที่มีปัญหาเส้นผม
สามารถเข้ามาปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่นี่ได้เลยเช่นกันคะ



เรามาดูพระเอกหลักของงานนี้กัน 
Invati Traval-size 3-step system
ซึ่ง 3 ตัวนี้ได้แก่
1. Exfoliating Shampoo
2. Thickening Conditioner
3. Scalp Revitalizer




เริ่มจากตัวแรก

AVEDA INVATI Exfoliating Shampoo

ขนาด 200 ml ราคา 1,200 บาท





"แชมพูสูตรอ่อนโยนสำหรับใช้ประจำวัน ช่วยทำความสะอาด

 ผลัดเซลล์หนังศีรษะเสื่อมสภาพ และฟื้นบำรุงหนังศีรษะด้วยกรด salicylic

 ที่สกัดจาก wintergreen ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าสามารถขจัดคราบความมัน

และสารตกค้างที่อุดตันรูหนังศีรษะ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพผม"


เนื้อแชมพูเป็นสีเหลืองค่อนข้างเหลว กลิ่นหอมอโรม่ามากๆ คือกลุ่มแบบสมุนไพร หอมๆ
ฟองไม่เยอะเท่าไหร่ รู้สึกว่าซึมหายไปอย่างรวดเร็ว เลยบีบออกมาใช้รัวมากๆ
(ไม่มีความงกใดๆ ทั้งสิ้น)
รู้สึกได้เลยว่าช่วยทำความสะอาดผมแบบจริงจัง ไม่หลงเหลือความมัน
หรือความลื่นใดๆ เหมือนมันสะอาดแบบหมดจดจริงๆ
ผมแอบแข็งๆ นิดหน่อยด้วย ไม่เหมือนยาสระผมทั่วไป
เลยจัดครีมนวดต่อเลยทันที


AVEDA INVATI  Thickening Conditioner

ขนาด 200 ml ราคา 1,200 บาท






"ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้ว ว่าช่วยทำให้เส้นผมหนาขึ้นได้จริง 

และบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงด้วยส่วนผสมจาก arginine กรดอะมิโนที่สกัดจาก sugar beets 

และ soy protein และ organic kukui nut เพิ่มความเงางามตามธรรมชาติให้แก่เส้นผม"


ครีมนวดผมเหมือนเขาจะสีให้เลือกสองสูตร คือ Thickening intensive กับ Thickening เฉยๆ
จอยได้สูตร Thickening มาเพิ่ม texture ให้ผม ดูหนานุ่มมีวอลุ่ม 



ครีมนวดสีคล้ายๆ กับแชมพู แต่มีความเข้มข้นมากกว่า
กลิ่นค่อนข้างคล้ายกัน ซึ่งครีมนวดตัวนี้มีความพิเศษ คือสามารถนวดบริเวณ
หนังศีรษะได้เลย (ครีมนวดทั่วไปจะใส่แค่บริเวณปลายผมเท่านั้น ป้องกันหัวมัน)
ซึ่งจอยใช้นวดหัวและเส้นผม เหมือนได้สปาเองที่บ้าน ฟินสุดๆ ไปเลย

หลังจากนั้นก็เช็ดผมให้เรียบร้อย พอผมเริ่มหมาด จอยก็ลงทรีตเม้นบำรุงต่อค่ะ
ซึ่งเป็นตัวไฮไลท์ที่จอยชอบมากกก!!!



AVEDA INVATI Scalp Revitalizer
ขนาด 150ml ราคา 3,000 บาท





"เซรั่มที่ใช้นวดบนหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นให้ส่วนผสมของ turmeric และ ginseng 

ทำงานเพื่อฟื้นบำรุงสภาพหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมดูหนาขึ้นและหลุดร่วงน้อยลง"


เจอราคาไปก็ช็อคเหมือนกัน ทรีตเม้นต์ราคาโหดมากกกก

แต่พอได้ลองใช้ก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงแพง

เพราะมันดีมากกก ช่วยบำรุงหนังศีรษะได้แบบเห็นผลจริงจัง!!!


เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นน้ำใสๆ สีเหลือง กลิ่นหอมเดียวกัน แต่หอมแรงกว่า

คือกลิ่นชัด ติดทน หัวหอมแบบเหมือนเพิ่งไปทำสปามา หอมผ่อนคลายมากๆ

ช่วงที่จอยใช้มานี่ ไปเจอใครมีแต่คนทักว่าใช้ยาสระผมอะไร ทำไมผมหอมจัง


วิธีใช้คือแบ่งผมแล้วฉีดลงไปบริเวณโคนผม ฉีดไปทั่วๆ แล้วใช้มือนวดหนังศีรษะ

จะรู้สึกเย็นๆ หอมๆ นวดไปด้วย สบายมากๆ เลย

จากนั้นก็ใช้แปรงหวีผมให้ทั่ว แค่นี้ก็จะได้ผมหนานุ่มสลวยแล้ว

(ใช้เป็นประจำเช้าและเย็นนะ บำรุงแบบเต็มที่สุดๆ)





หลังจากที่จอยได้ลองใช้ เป็นเวลา 2 อาทิตย์ติดต่อกัน
สิ่งที่เห็นได้ชัดมากกก คือหนังศีรษะจอยดีขึ้นเลย
จอยชอบมีปัญหา ผมที่สระวันที่ 2-3 มักจะมีรังแค หรือเม็ดขาวๆ ขึ้นตลอดเลย
แต่พอหลังจากได้ใช้ทรีตเม้นต์ชุดนี้ติดต่อกัน จอยไม่มีพวกผงขาวๆ นี้บนหัวเลย
เหมือนหนังศีรษะกลับมาสมดุลอีกครั้ง 
(ภาพขวาคือผมวันที่ 3 ดูมันเล็กน้อย ไม่มีรังแค เริศมาก + ไม่มีกลิ่นหนังศีรษะด้วย)
แถมลูกผม ไรผม เพิ่มขึ้น ผมเส้นสั้นๆ งี้ชี้โด่ชี้เด่เหมือนเสาอากาศ
ผมหนาขึ้นได้อี๊กกก เริศมาก

สรุปโดยรวมแล้วประทับใจมากกก ถึงมากที่สุด
ทั้งเนื้อสัมผัส กลิ่น ผลลัพธ์
(ประทับใจน้อยสุดคงเป็นราคา ที่แบบสูงพอสมควร)
แต่จอยว่าคุ้มค่า คนที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วม หรือต้องการ
การดูแลหนังศีรษะที่ฟินอีกระดับ ต้องลองจริงๆ



 จบแล้วกับการรีวิว Aveda Invati หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ กันนะคะ
แล้วบทกันใหม่บทความหน้านะคะ





Create Date : 21 มกราคม 2560
Last Update : 21 มกราคม 2560 23:40:19 น.
Counter : 2573 Pageviews.

1 comment
[แชร์ประสบการณ์] เลเซอร์ผิวขาว+เรียบเนียน ครั้งแรกในชีวิต! เม้ามอยหมดเปลือก ดีไม่ดีรู้กัน




สวัสดีค่า ทุกคนนนน ไม่ได้อัพบทความนานม๊ากก วันนี้มีเรื่องจะมาขยายความมม
คือล่าสุดจอยเพิ่งได้มีโอกาสไปเลเซอร์หน้ามา ! แน่นนอนว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยจ้า
วันนี้เลยจะเอาความรู้สึกมาแชร์มาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ 
เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่อยากลองเลเซอร์หน้า แต่ไม่กล้า หรือไม่เคย (แบบจอย)
นี่ไปเป็นหนูทดลองมาให้ดู จะดีหรือจะพัง เดี๋ยวจอยเล่าให้ฟังค่ะ!

คือก่อนหน้านี้ จอยเคยพยายามลองเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลเซอร์ผิวหน้า
คือเลเซอร์ผิวเนียน,เลเซอร์ผิวขาวนะคะ ไม่ใช่เลเซอร์สิวหรือหลุมสิว
เพราะจอยไม่มีปัญหาเรื่องสิว จะมีก็เป็นพวกผิวไม่เรียบเนียน 
กับพวกรอยดำรอยแดงที่ทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ
เป็นไหมอ่ะ เวลาจอยเห็นพวกดาราเซเลบ ผิวขาวๆ เนียนๆ มันก็อดสงสัยไม่ได้
เค้าไปทำอะไรกันมาอ่ะ ทำไมผิวถึงได้ละเอียดเบอร์นั้น (ใจคืออิจฉาไง)
จอยเหมือนจะผิวดี แต่จริงๆแล้วรวยดำรอยแดงเยอะมากกก มีรูขุมขนอีกต่างหาก
แต่งหน้าเยอะ ลองโน้นลองนี่บ่อย ผิวเลยจะดูกร้านๆ มันง่ายอีกต่างหาก ฮืออออ

จอยเคยปรึกษาเพื่อนที่ทำเลเซอร์บ่อยๆ ทำหนักๆ (เพราะส่วนใหญ่มีปัญหาสิว)
หน้าพวกนางก็ดีขึ้นนะ แล้วยังบอกอีกว่าถ้าจะไปเข้าคลีนิกความงาม
ก็ทำพวกเลเซอร์ไปเลย ดีกว่าพวกมาสก์ผิว ผลักวิตามิน เพราะจะเห็นผลมากกว่า
(แต่แน่นอนว่าแพงกว่าเช่นกัน)

และพอหาข้อมูลเลเซอร์บนเน็ต ก็มีคอมเม้นต์เยอะมาก แบบทำสิดี ทำที่นี้สิ ทำที่นั่นสิ คอสนั้นนี้
เยอะแยะหลากหลายมาก จะเชื่ออันไหนได้ก็ไม่รู้ และพอมันเยอะเข้า สุดท้ายก็แผนล้มจ้า 
ไม่ทงไม่ทำมันเลย กลัวก็กลัวพัง มาสก์หน้าอยู่บ้านเองก็ได้ หึ

แล้วเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว มีคุณพี่ที่รู้จักชวนไปเลเซอร์หน้าที่คลีนิก พรเกษม
ซึ่งคอส 2 ตัวที่เสนอมาให้ก็คือ Gentel Clear กับ Lite Clear พอดูรายละเอียดของคอส
ก็รู้สึกตรงกับความต้องการของตัวเอง (ที่เคยล้มเลิกไปแล้ว) สุดท้ายจึงได้ไปลองซักที !

หลังจากนัดวันและเวลากับคลีนิกเรียบร้อย ก็มาถึงวันขึ้นเขียง 
ถามว่ากลัวไหม บอกเลยว่ามาก เพราะถ้าเลเซอร์ไปแล้วเกิดแพ้หรือหน้าพังขึ้นมา จะทำไงดี
แต่ด้วยความคิดที่แบบ ไหนๆ ก็มีโอกาสแล้ว ลองซักครั้งน่า
จะได้กลับมาแชร์ประสบการณ์ให้คนอื่นต่อด้วย

จอยมาที่พรเกษมคลีนิกสาขาสยามค่ะ ค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร
เพราะเหมือนทางเดินข้างหน้าทำทางอยู่พอดี
บรรยากาศภายในคลีนิกให้ความรู้สึกเหมือนกับโรงพยาบาลย่อมๆ
มากกว่าเหมือนคลีนิกเสริมความงามทั่วไปในความรู้สึกของจอย


พอกรอกชื่อ กรอกรายละเอียดส่วนตัวเสร็จ พนักงานก็ให้นั่งรอเพื่อเข้าห้องตรวจค่ะ
พนักงานเยอะมาก 3-4 คน ต้อนรับดี ยิ้มแย้ม แถมเอาน้ำมาเสริฟให้ด้วย 
รอได้ซักพักนึง ก็ได้เข้าห้องตรวจค่ะ ซึ่งตรงนี้เขาบอกว่า
ยังไงก็ต้องให้คุณหมอวิเคราะห์ผิวก่อนที่จะได้รับการเลเซอร์ทุกครั้ง
ไม่ใช่เอะอะซื้อคอร์สแล้ว จะทำเลย เพราะเลเซอร์บางตัว มันอาจจะไม่เข้ากับเรา

คุณหมอที่ดูแลเคสให้จอยคือคุณหมอ กันต์ ค่ะ 
จอยเลยถือโอกาสคุยเรื่องเลเซอร์กับคุณหมอเยอะมากก
(สงสารคิวคนต่อไป ขอโทษด้วยนะคะ*ยกมือไหว้*)
คืออะไรที่เคยสงสัยเกี่ยวกับเลเซอร์ อิชั้นงัดออกมาซัดคุณหมอหมด

สรุปคร่าวๆ คือ (สรุปจบมาก)
เลเซอร์มันมีหลายประเภท แล้วก็ละเอียดอ่อนมาก และจะมีเอฟเฟคตามมาที่ไม่เหมือนกัน
บางตัวยิงแล้วทำให้ผิวมันขึ้น บางตัวยิงแล้วทำให้ผิวแห้งขึ้น คือจะต้องวิเคราะห์ไปกับ
สภาพผิวหน้าของคนไข้ด้วย ผิวบาง ผิวหนา ผิวเซ้นซิทีฟไหม ใช้เลเซอร์แรงได้แค่ไหน
และคุณหมอบอกว่า ถ้ายังไม่รู้ว่าควรจะเลเซอร์ผิวด้วยอะไรดี ก็เข้าไปปรึกษากับที่คลีนิกก่อนก็ได้
(ซึ่งคนปกติรวมทั้งจอย ก็แอบกลัว ไม่กล้าเข้าไปปรึกษาแงะ คุณหมอก็หัวเราะ บอกเข้ามาได้เลย)


พอเรียบร้อย คุณพยาบาลก็เชิญจอยขึ้นมาชั้น 3 ซึ่งเป็นศูนย์เลเซอร์โดยเฉพาะ
บรรยากาศต่างจากข้างล่าง ห้องรับรองดูมีความสวยขึ้นมาอีกระดับ
มีน้ำคอยบริการเช่นเคย แต่นั่งได้ซักพักคุณพยาบาลก็เชิญไปขึ้นเขียง เอ๊ย เตียง
ภายใต้รอยยิ้ม มีน้ำตาซ่อนอยู่
แอบกลัวมากกกก ! คือจอยไม่เคยเลเซอร์หน้ามาก่อนเลยยยยย
ลุ้นผลที่จะออกมาสุดฤทธิ์ ระหว่างที่รอ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ
หันไปคุยกับพยาบาลเอาให้ใจชื้น
"พี่คะๆ เลเซอร์นี่เจ็บไหมคะ?" (นึกถึงตอนที่เคยเลเซอร์จั๊กแล้วเจ็บมว้าก)
พี่พยาบาลหันมายิ้ม "อ๋อ ไม่เจ็บหรอกคะ"


ตัวแรก Gentel Clear
โอ้โหหหหหหหหหห หอมกุ้งเผา ทะเลเผา ประหนึ่งนั่งดื่มด่ำอยู่ริมทะเล
เลเซอร์หัวกลมๆ เล็กๆ เสียงดังแปะๆๆๆ รัวๆ มีความเจ็บจี๊ดๆ ไอ้ทำรอบแรกๆ มันก็โอเคอยู่
แต่ประเด็นคือพี่แก วนซะหลายรอบ นี่ก็สะดุงไปหลายรอบ เพราะรู้สึกเหมือนโดนดีดด้วยหนังยาง
เค้าก็หัวเราะ เหมือนเราดูยุกยิ้ก พี่พยาบาลแกก็เลยพยายามชวนคุย
"ทำครั้งแรกเลยเจ็บนิดนึงนะคะ ปกติคนมาทำบ่อยๆ เขาไม่เจ็บหรอก"
"รอบสุดท้ายแล้วนะคะ ทนหน่อยน้า"

จอยว่าเลเซอร์ตัวนี้มันมีความคล้ายกับเลยเซอร์กำจัดขน น้องจุ้กกุแร้ที่จอยเคยทำมามากๆ 
ดีดเปี๊ยะๆ กลิ่นไหม้ๆ เหมือนขนไหม้ นี่ใช่เลย
ถ้าว่าความเจ็บระดับไหน ก็ระดับทนได้ ถ้าเค้าไม่ย้ำที่ตำแหน่งเดิมนานๆ ก็พอทนไหวอยู่

ยัง ยังไม่จบกับ gentel clear คราวนี้คุณหมอลุยเอง
คราวนี้ไม่ได้ยิงเลเซอร์แบบรัวๆ แล้ว แต่เป็นการยิงทีละจึ๊ก! บอกเลยว่าจึ๊กนึง ก็สะดุ้งทีนึง
ความเจ็บนี่เล่นเอาผมขนลุกซู่! กว่าจะครบทั้งหน้า ทำเอาเกร็งไปเลย
ระดับความเจ็บ เหมือนจะเจ็บกว่าตัวก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความที่มันไม่ได้รัว ก็เลยยังทนได้อยู่
ไฟวท์เพื่อความสวยสุดฤทธิ์
คอสที่สอง Lite Clear 

พอทำตัวแรกเสร็จ คุณพยาบาลก็ให้ย้ายเตียงมานอนห้องข้างๆ (กั้นด้วยบานพับ)
จากนั้นก็ละเลงเจลเย็นๆ ให้ที่หน้า คือฟินมากกกกก 
เหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือนมา ได้เจลเย็นประคบคือฟินสุด

จากนั้นก็รอคุณหมอเดินกลับมายิงเลเซอร์อีกครั้ง ราวนี้เป็นเหมือนการฉายแสง สว่างว้าบๆ
แน่นอนว่าไม่เจ็บเลย 
ขนาดปิดตาแล้ว ยังรู้สึกแสงสว่างวาบๆ เป็นระยะๆ ก็รู้สึกจี๊ดๆ นิดหน่อย
แต่ถ้าให้เทียบกับสองตัวแรก แค่นี้สบายมากกก
เขาบอกว่าตัวนี้จะเป็นตัวช่วยหลัก สำหรับช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
ปิดจ๊อบของ Lite Clear ด้วยการมาสก์เพิ่มความกระจ่างใส
เขาปิดตาจอยด้วยผ้าก๊อซและเทปบางๆ ติดเบามือมาก สบาย
มาสก์ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชัวโมงได้มั้ง นี่นอนหลับอ้าปากหวอ
พอครบเวลา เขาก็ลอกมาสก์ออกเป็นแผ่นเยลลี่ขาวๆ เลย

จากนั้นคุณพยาบาลก็ลงมอยซ์เจอไรเซอร์ให้ ลงกันแดด พร้อมไปใช้ชีวิตต่อ
ขั้นตอนการลงก็ลงวนๆ นวดไปด้วย สบายอย่างกะสบาย เล่นเอานี่เคลิ้มไปเลย

สรุปคือคอสนี้สบายกว่าคอสแรกเยอะ ได้ทั้งมาสก์ ทั้งนวด เจ็บผิวน้อยกว่า 5555
ระหว่างเดินลงมาก็แวะดูโน้นถ่ายนี้ เอาบรรยากาศกลับมาฝาก

ประสบการ์ขึ้นเขียนผ่านไปแล้ว ต่อมาและที่สำคัญ ผลลัพธ์
ความรู้สึกที่รู้สึกเดียวนั้นหลังจากทำเสร็จเลยคือ

1. ผิวสว่างมากกก ขาวมากกกกก แบบชัดเจน รู้สึกได้ และมีคนทักด้วย
2. ผิวดูเกลี้ยงๆ เรียบเนียน ละเอียดๆ เหมือนฟูขึ้น 
(หรือจากที่ระบมจากการยิงเลเซอร์เจ็บๆ นั้นก็ไม่รู้)
3. รอยด่างดำ รอยแดง ยังอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหน แต่ดูรวมๆ แล้วดูกระจ่างขึ้น

จอยทำทั้งสองคอสเลย เลยไม่แน่ใจว่าตัวไหนกันแน่ที่ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส 
ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นตัว Lite Clear Aura plus ซึ่งถ้าใช่จริงๆ
ตัวนี้แนะนำให้ไปยิง ก่อนไปออกงาน แล้วมันจะ เลิศ มาก! เพราะเห็นผลทันที ประทับใจมาก
กลับมานั่งมองผิวที่บ้านคือ เอ้ยมันดี จากที่กลัวๆ ก็กลับมาคิดว่าเลเซอร์ก็ดีเหมือนกันนะ เห็นผลเร็วดี

ประเด็นอยู่ที่ 2-3 วัน ถัดมานี่แหละ
ซึ่งจอยพบว่าผิวจอยเริ่มมีสิวผดเกิดขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ซึ่งจอยไม่เคยเป็น!
วิตกกังวลขั้นสุด ในใจคิดอบบ เอาแล่ววววว เลเซอร์มันเล่นชั้นแล้วรึเปล่าาาา

สุดท้ายก็นัดเข้าไปให้คุณหมอที่คลีนิกช่วยดูอีกครั้ง วิเคราะห์ออกมาว่าเป็นสิวอุดตันธรรมดาค่ะ
เลยให้ยาทากับยากินมา พอกินครบ ทายาครบ ผิวก็ค่อยๆ ดีขึ้นจนกลับมาเป็นปกติ
ซึ่งตรงนี้ จอยใช้ระยะเวลาพิสูจน์มาแล้ว เกิดจากสาเหตุดังนี้ค่ะ! (วิเคราะห์ด้วยตัวเอง)

1. ผิวหลังจากเลเซอร์ มีความเซ้นซิทีฟขึ้น อุดตันง่ายมากยิ่งขึ้น และก็ต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำ
2. กันแดดหมดพอดี เลยเปิดตัวใหม่ใช้ ซึ่งเป็น Anessa ขวดทอง เลยคิดว่าเป็นตัวจุดประกายให้ผิวอุดตัน (ใช้ไปแค่เช้าวันแรกหลังจากเลเซอร์ พอเริ่มมีอาการก็เลยหยุดใช้กันแดดตัวนี้+ไปหาหมอ)
3. พอสิวหายดี กลับมาลองใช้กันแดดอีกครั้ง (ประมาณเดือนกว่าๆ) ไม่เกิดการอุดตันอีก

สรุปคือผิวหลังทำเลเซอร์ จะต้องดูแลดีเป็นพิเศษ อย่าใช้อะไรที่มีความเสี่ยงต่อการอุดตัน
ให้ผิวฟื้นฟูซักเล็กน้อย ค่อยเริ่มกล้าลองเล่นอะไรใหม่ๆ โน้ะ T^T
ผลลัพธ์ของผิวช่วง 2-3 อาทิตย์หลังจากเลเซอร์ของจอย เลยเป็นผิวที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
ผิวละเอียดจริง กระจ่างใส ขาวขึ้นจริงๆ แต่มันโดนกวนใจจากสิวอุดตันเม็ดเล็กๆ นี่สิ
เลยทำให้รู้ว่า ผิวหลังเลเซอร์นี่ต้องระวังให้มากจริงๆ

พอผ่านมาซัก 1 เดือน สิวอุดตันหายหมดเกลี้ยง ล้างหน้าสะอาด ทาครีมทุกวัน กันแดดสูตรอ่อนโยน
และเริ่มมาสังเกตุผิวดูอีกครั้ง
1. ผิวเรียนขึ้น เนียน ลงแป้งลงรองพื้นได้ โดยผิวดูเรียบสวยมาก
2. รูขุมขนดูเล็กลง แต่ไม่ถึงกับหายไปเลย ผิวมันดูสวยขึ้นอ่ะ
3. รอยด่างดำ คิดว่าไม่ค่อยช่วย หรืออาจจะต้องทำหลายๆ ครั้งจึงจะเห็นผล
4. รู้สึกหน้าฉ่ำขึ้น แต่ก็ไม่มันเยิ้ม ดูสุขภาพดี
5. ริ้วรอยบนหน้าผาก (เวลาเลิกคิ้ว จอยจะหน้าผากย่น) ดูจางลง น่าจะผลพวงจากผิวที่อิ่มน้ำ
6. รวมๆ แล้วเหมือนเป็นการรีบูตท์ผิว ให้ผิวได้เรียบเนียนกระจ่างขึ้นอีกครั้ง
7. ผิวไวต่อแสงขึ้นเล็กน้อย คือหน้าจะเข้มง่ายขึ้น ต้องลงกันแดดดีๆ (ปกติจอยก็เลี่ยงแดดเก่ง)

*ข้อแนะนำ* สำคัญสุด เพราะหลังจากเลเซอร์ 
จอยแนะนำให้นอนเยอะๆๆๆและดื่มน้ำเยอะๆๆ ควบคู่ไปด้วย แล้วผิวจะสวยแบบสุดๆ ไปเลย

สิ่งที่ประทับใจที่สุด หลังจากที่ได้ไปลองก็คือความ เรียบ ของผิวหน้านี่แหละ
ที่เห็นผลชัดสุด ซึ่งจอยคิดว่ามันคุ้ม สำหรับคนที่จะไปทำ แล้วต้องการตอบโจทย์นี้
รูขุมขนเล็กลง เวลาลงรองพื้นแล้วผิวสวยแบบไม่ต้องเซตแป้ง 
(ปกติหน้าฉ่ำแล้วมันชอบเห็น texture)
เริศเว่อ

ข้อเสียหลักๆ ที่จอยมอง คือความเซ้นซิทีฟของผิว (ที่เสี่ยงอุดตันง่าย)
กับราคาคอส ที่สูงพอสมควร (แนะนำให้ไปช่วงโปรก็ดี อิอิ)


รายละเอียดคอร์สที่จอยไปทำ เผื่อเพื่อนๆ สนใจ
มีหลายสาขามากค่ะ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บไซต์ได้

Gental Clear
ราคาปกติ 4,000 บาท/ครั้ง

Lite Clear Aura Plus
ราคาปกติ 3,200 บาท/ครั้ง
ราคาคอร์ส 12,800  บาท/5ครั้ง

เบอร์โทร : 02 252 1317 


หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ นะคะ
ใครมีประสบการ์เลเซอร์ก็มาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ฟังด้วย จอยก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่อื่นเป็นยังไง

สำหรับวันนี้ จอยไปก่อนละ บ้ายบายย
แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ




Create Date : 14 มกราคม 2560
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:32:06 น.
Counter : 9835 Pageviews.

1 comment
Fav.2016 ไม่ได้เลือกจากของที่ชอบ แต่เลือกจากที่หยิบมาใช้ทุกวัน !



เดี๋ยวนี้เวลาผ่านไปเร็วสุดๆ เหมือนเพิ่งเริ่มต้นปีรู้สึกตัวอีกที เอ๊า! จะปีใหม่อีกแล้ว
!!



สวัสดีค่า จอยเองค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้ง คราวนี้จอยงัดเอาไอเท็มที่หยิบมาใช้ทุกๆวันมาแชร์กัน

แน่นอนว่าจอยมีเครื่องสำอางที่ชอบอยู่เยอะมากกกกกแต่ไอ้ที่หยิบมาใช้บ่อยๆ เนี่ยแหละ

แปลว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง ที่พิเศษกว่าอันอื่นๆพอจอยหยิบมาไว้รวมๆ กันยังตกใจเองเลย

เพราะบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะชอบแต่ดันหยิบมาใช้บ่อยแบบไม่รู้ตัว !

ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดี๋ยวจะหมดปีซะก่อน ไปชมกันเลย!



Clarisonic Mia 2

(6,xxx จำราคาไม่ได้แล้ว)



เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้ากันก่อน เอาจริงๆแล้วจอยเพิ่งมาอินใช้เจ้า Clarisonic Mia 2

ช่วงปีที่ผ่านมานี้เอง (ทั้งๆที่ซื้อมาได้นานพอสมควรแล้ว) ตอนแรกๆใช้ไม่ค่อยบ่อย เพราะกลัวว่า

ขัดหน้าบ่อยๆ แล้วผิวจะมีความดื้อด้าน (คิดไปเอง)

แต่พอได้เริ่มใช้หัวแปรงรุ่น LuxeFacial Brush Head, Cashmere ก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มมมมม ฟินเว่อร์

สามารถใช้ได้ในทุกๆวันโดยไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นการรบกวนผิวมากเกินไป

จอยว่าพอได้ใช้เครื่องทำความสะอาดหน้าแบบนี้มันช่วยเคลียร์ผิวได้อย่างล้ำลึก

หน้าเรียบขึ้นแบบใช้นิ้วลูบผ่านหน้าแล้วรู้สึกเลย

พวกสิวผด สิวอุดตันลดน้อยลงทำให้มั่นใจว่าไม่มีเครื่องสำอางตกค้างเหลือบนผิว

(คือใช้เจ้าตัวนี้สามารถลบเครื่องสำอางโดยไม่ต้องใช้คลีนซิ่งได้ด้วย ระบบสั่นเค้ามีประสิทธิภาพมากๆ)

ยกให้เป็น best items of the year ไปเลย จุ้บๆๆๆ



Instant Light Lip Comfort Oil - Raspberry oil

(950 บาท)



พูดถึงเรื่องปากแห้งปากแตกจอยว่าเป็นอะไรที่เสียเซลฟ์ได้ง่ายสุดๆ เพราะเวลาเราคุยกับคนอื่น

สิ่งที่เขาจะเห็นเป็นอย่างแรกคือริมฝีปากที่กำลังพูดอยู่ของเราถ้าปากแห้งปากลอกนี่ก็จบกัน

ซึ่งจอยเป็นบ่อยมากกกก คุยๆ กับคนอื่นอยู่แล้วเพิ่งมารู้สึกตัวว่าปากเราแห้งกร้านมาก ดูป่วยสุดอะไรสุด

ดังนั้นพวกลิปบำรุงจึงเป็นไอเท็มที่ติดกระเป๋าจอยตลอดก่อนหน้านี้จอยชอบลิปมันของดิออร์

แต่ล่าสุดปีนี้ จอยขอยกตำแหน่งให้ คลาแรงส์ (CLARINS INSTANT LIGHT LIP COMFORT OILS)

ซึ่งเบอร์ที่จอยชอบที่สุดคือ02 กลิ่นราสเบอร์รี่ หอมมากกกก หวานมากกกก รักสุดๆ ไปเลย

นอกจากจะช่วยให้ปากชุ่มชื่นแล้วยังไม่เหนียวเหนอะปากด้วย เป็นออยด์ที่บางเบา ดีงามสุดๆ

ขนาดเล็กกระทัดรัดพกง่ายด้วยหัวแปรงนิ่มๆ ทาได้ทั่วริมฝีปาก เอาใจไปเลย!



Jill Stuart AquaChiffon Protector W

(1,050 บาท)



ตัวนี้เป็นกันแดดที่มีเนื้อเจลสีขาวบางเบาเกลี่ยง่ายมากกกกกกก กลิ่นหอมเอกลักษณ์ของแบรนด์

(สอยมาเพราะกลิ่นหอมแต่สุดท้ายดันกลัวว่าน้ำหอมจะมาทำให้ผิวแพ้)

ใช้มาจนหมดหลอดใหญ่ (ก็ไม่แพ้นะ)จนกระทั่งต้องเปิดหลอดเล็กใช้ต่อ

เพราะยังหากันแดดใหม่มาแทนที่ไม่ได้ซักทีเพราะเหมือนเจอเนื้อกันแดดที่ดีมากๆ แล้ว

ไปลองอันอื่น ก็ต้องกลับมาซบเจ้าตัวนี้ทุกทีปริมาณที่ให้มาก็เยอะมากถึง 60 g

มีค่ากันแดดที่สูSPF50+/PA++++ไม่วอก ไม่ลอยไม่เหนี่ยวเหนอะหน่ะ

มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นซึ่งจอยชอบมากๆ

สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมแรงๆอาจจะต้องข้ามตัวนี้ไป

แต่สำหรับจอย....ชนะใจตรงกลิ่นเนี่ยแหละ หอมไปไหน!! (ร้องไห้ เพราะหมดหลอดแล้ว)



Mille Super Whitening Rose Baby GreenBase SPF30 PA+++ Face Fix

(695 บาท)



ใครที่รู้จักจอยจะรู้ว่า รอยแดงกับจอยนี่ตบตีกันมาตลอดเบื่อมากกกก

เหมือนผิวจะดี แต่จริงๆ แล้วผิวจอยแดงง่ายมากกกแถมชอบมีรอยสิวเล็กๆ น้อยๆ มากวนใจ

คือซูมใกล้ๆ จะเห็นถึงความพังของผิวแน่นอนซึ่งเบสเขียวของมิลเล่ตัวนี้ตอบโจทย์จอยมากกก

นอกจากจะช่วยปรับสีผิว สยบสีแดงด้วยสีเขียวยังทำให้ผิวกระจ่างใส ดูขาวขึ้นอีกระดับด้วย




เนื้อครีมมีความบางเบา เกลี่ยได้ง่าย ตอนทาแรกๆอาจจะรู้สึกวอกเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เซ็ตตัวเข้ากับผิว

แต่ตัวนี้จอยไม่แนะนำให้สาวผิวเข้มใช้นะ เพราะเนื้อค่อนข้างสีสว่างอยู่

มีส่วนผสมของสารกันแดด สารสกัดบำรุงผิวอย่างน้ำมันกุหลาบ,จมูกข้าว, เมล็ดมะรุมร่วมด้วย

ช่วยในเรื่องของการเติมความชุ่มชื้นและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวไปในตัวทำให้ตัวนี้เป็นไอเท็มที่จอยหยิบขึ้นมาใช้บ่อยๆ ในวันที่ไม่ได้ออกไปไหน (ง่ายๆคือวันพักผ่อนอยู่บ้านนี่เอง)

หลอดเดียวจบ ไม่ต้องทาหลายขั้นตอนให้ยุ่งยาก แถมเบสตัวนี้การันตีคุณภาพด้วยรางวัลจาก

Cleo Beauty Hallof Fame 2016 ปีนี้ด้วยนะ!



It cosmetics YourSkin But BetterTM CC+TM SPF 50+ สี Light

(1,700 บาท)



ซีซีครีมที่รักที่สุดในโลก ทาแล้วเหมือนผิวดีมาตั้งแต่เกิดจอยทาครีมตัวนี้แล้วมีคนเข้ามาทักบ่อยๆ ว่าผิวใสจัง

คือมันไม่หนาหนักและยังคงให้ความรู้สึกเป็นผิวอยู่แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยปกปิดพวกรอยแดง รอยสิวได้

ผิวเลยเรียบเนียนสม่ำเสมอกัน ไม่เชื่อดู Before & After ได้เลย

เพื่อนๆ จอยใครได้ลองใช้ก็ติดใจอยากผิวกระจ่างใสก็โดนตัวนี้เลยฮะ

กลิ่นหอมๆ สดชื่นมาก (เหมือนกลิ่นเลม่อน ไม่รู้ว่าใช่ไหม)กลิ่นไม่ทำร้ายจิตใจแบบรองพื้นบางยี่ห้อ

แถมแบรนด์นี้เค้าให้ความสำคัญกับสารบำรุงที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของเขาด้วย

ตอบโจทย์และให้การดูแลผิวไปด้วย ไม่ใช่แค่ปกปิดสิ่งบกพร่องอย่างเดียว(ค่ากันแดดก็สูง หลอดเดียวจบปิ๊ง)




และสิ่งที่เจ็บปวดขั้นกว่าครีมตัวนี้ คือแปรงค่ะ

it Cosmetics Heavenly LuxeTM Complexion Perfection Brush#7 (ราคา 1,800 บาท)

เจอราคาไปถึงกับเงิบกว่า แปรงแพงกว่าซีซีครีมตัวนี้ซะอีก!! แม่เจ้า แต่ว่า!!!

มันดีงามมากกกกกก ไม่เคยค้นพบแปรงลงรองพื้นที่เรียบเนี่ยนและนุ่มลื่นขนาดนี้

จอยเลิกใช้ beautyblender ไปช่วงนึงเพราะตัวนี้เลย ลงรองพื้นได้เนียนมาก ไม่ทิ้งเส้นด้วย

ขนนุ่มแบบไม่บาดหน้าเลยแม้แต่น้อยติดอยู่อย่างเดียวเลยก็คือมันทำออกมา 2ด้านเนี่ยแหละ

ปักในที่เก็บแปรงไม่ได้ แต่พกพาไปเที่ยวด้วยสะดวกอยู่ 2 in 1 เลย

ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก ถึงแม้ราคาจะโหดก็ตาม(ต้องลองจริงๆ)

ใช้ทั้งซีซีและแปรงร่วมกันเป็นอะไรที่ส่งเสริมกันมากๆเหมือนเกิดมาคู่กันอ่ะ

ผิวสวยเนียนละเอียด แถมลงครีมได้เร็วด้วย วนๆ แป๊ปเดียวกริบ ไปทำงานได้ค่ะ 5555



THREE Complete Harmony Foundation สี 202

(2,650 บาท)





เด๋อมาก ถ่ายรูปแล้วลืมหันโลโก้ออกมา ช่างมันค่ะ 5555

ขยับจากซีซีครีมมาที่รองพื้นที่ให้ระดับความปกปิดขึ้นมาอีกนิด แถมราคาที่ไม่เป็นมิตรเช่นเดิม

(ฮือๆ ขออภัย นี่เพิ่งรู้สึกตัวว่าชอบแต่รองพื้นที่ราคาสูงซะงั้น)

ถึงราคาจะสูงก็จริงแต่จอยซื้อมาตอนที่ทางแบรนด์จัดโปรโมชั่นค่ะ (นี่ไม่ค่อยยอมซื้อของราคาเต็ม)

ซื้อคู่กับแป้งฝุ่น ซึ่งจอยจะพูดเป็นตัวต่อไปค่ะ

สำหรับตัวนี้สิ่งที่อยากย้ำตัวหนาๆ เลยก็คือ มันให้ลุคที่ ฉ่ำวาว, บางเบา และไม่คุมมัน

ใครที่ชอบคุณสมบัติแบบนี้ สอยโลด!!! ซึ่งมันถูกใจจอยมากลงรองพื้นแล้วผิวเรียบเนียน

ปกปิดบางเบา ถึงปานกลาง (รอยหนักๆคอนซีลเลอร์เท่านั้นที่ช่วยได้)




ตัวนี้จอยแนะนำให้ลงกับฟองน้ำไข่ beauty blender ที่ชุบน้ำหมาดๆ ค่ะ

เนื้อรองพื้นจะเหลวมากๆ มีความบางเบา ไม่หนักหน้าเช่นกัน

(เป็นคนชอบอะไรเบาๆ เพราะหนาๆ หนักๆ ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯยาก)

หรือที่จริงตัวนี้สามารถลงด้วยนิ้วมือก็ได้จะเป็นลุคที่แน่นขึ้นมาอีกนิดนึง คือเนื้อเกลี่ยง่ายมากค่ะ

จอยว่าสาวผิวแห้งน่าจะชอบ จอยสาวผิวมันยังใช้ได้เลย

ผิวฉ่ำวาว แต่ดูฉ่ำแบบสุขภาพดี (เกาหลีหน่อยๆ)เวลาไปงานหรือมีกิจกรรมต้องถ่ายรูป จอยชอบลงตัวนี้ไป

ผิวมันสวยจริงๆ นะ



Three UltimateDiaphanous Loose Powder – Translucent

(1,950บาท)





แป้งฝุ่นไม่มีสีเนื้อละเอียดมากกกกกก เบียดไอเท็มสุดฮิตอย่างแป้งฝุ่นลอล่าของจอยตกกระป๋องไปเลย

ตัวนี้จอยใช้เซ็ตรองพื้น Three คือใช้ร่วมกันแล้วได้ลุคผิวที่กำลังดี

ไม่ฉ่ำเกินหน้าเกินตา แต่ก็ไม่ได้แมตต์ไปซะทีเดียวอยู่ในช่วงที่กำลังสวยเลย

ตัวนี้ก็ค่อนข้างดังในหมู่ Beauty-editor เช่นกัน ใครมองหาแป้งฝุ่นอยู่ อยากให้ลองตัวนี้เลย

ตัวกระปุกจะมีตาข่ายละเอียดๆกรองไว้ 1 ชั้นก่อนถึงพัฟทำให้กะปริมาณแป้งอออมาได้พอเหมาะ

ไม่ทะลักออกมาเยอะเกินไปจนเสียของทำให้กระปุกนี้จอยใช้มานานมากกก แต่ดูเหมือนยังไม่ลดลงเลย

(ขณะที่แป้งลอล่า 29กรัม ใช้หมดไวมาก ทรี 17 กรัมปัจจุบันยังเหมือนเต็มกระปุก)

อ่อ แล้วพัฟของ threeก็นุ่มมากเช่นกัน ของญี่ปุ่น ทำออกมาเน้นคุณภาพแบบสุดๆ



Tarte Amazonian clayfull coverage airbrush foundation - fair-lightneutral

(ซื้อจากต่างประเทศ 7g/ 36$ )






กลับมารักอีกครั้งกับเจ้าตัวรองพื้นชนิดแป้งของ Tarte เพราะในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

จอยเริ่มมีปัญหารอยแดงและรอยสิวบนหน้าเพิ่มมากขึ้น

การลงแป้งฝุ่นธรรมดา เริ่มจะปิดรอยพวกนี้ไม่อยู่ผสานกับความขี้เกียจในการลงรองพื้น

เพราะรู้สึกว่าหนัก และใช้เวลาเกลี่ยเบลนด์นานเกินไปเลยหันกลับมาใช้แป้งรองพื้นนี่แหละ!

ตัวนี้ให้การปกปิดที่ดีมากก แถมบางเบาและยังดูเป็นผิวไม่ฉ่ำวาวเลย แต่ก็ไม่ถึงกับแมตต์ซะทีเดียว

เหมือนผิวละเอียดขึ้น ดูนุ่มขึ้นแถมช่วยปรับให้สีผิวเรียบเนียนเสมอกัน

ใช้เวลาลงแป้งไม่ถึง 1นาที ปัดวนๆ ทั่วหน้าก็กริบแล้ว ไม่ใช้กระจกยังได้เลย ง่ายมากก สะดวกมากก

จอยใช้ร่วมกับแปรงที่ทำออกมาคู่กัAirbuki bamboo powder foundation brush ราคา 26$

ซึ่งเคยทำรีวิวเต็มๆ ไว้แล้ว ตามไปส่องกันได้

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=loveberryjoyjee&month=23-01-2015&group=2&gblog=34



Mille Super Whitening Gold Rose PactSPF48 PA++ no.2 Natural

(695 บาท)





เขยิบมากันที่แป้งผสมรองพื้นแป้งของมิลเล่ตัวนี้ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส คือผิวขาวขึ้นมาอีกระดับ

วันไหนหน้าหมองเหมือนโดนของจอยชอบหยิบตัวนี้มาเติมระหว่างวัน

จอยแนะนำว่าถ้าใช้เติมระหว่างวันควรลงด้วยพัฟในลักษณะการกดๆ ย้ำๆ อย่าลาก

เพราะความมันระหว่างวันจะผสมกับแป้งเกิดเป็นคราบได้

หากลงเดี่ยวๆ ในการแต่งหน้าตอนเช้า ลงด้วยแปรง(โดยเฉพาะแปรง RT และ shiseido ที่กำลังจะพูดต่อไป)

จะให้ลุคผิวที่สวยกำลังดี




เนื้อแป้งเนียน กระจ่างใส ไม่มันวาว ใครชอบลุคผิว soft เหมือนผ่านฟิวเตอร์ในแอปควรลองใช้ตัวนี้

ปกปิดได้ระดับนึงเลย สังเกตุจากรอยแดงที่แก้มจอยดูเนียนเรียบขึ้นมาเลย

ตัวนี้ได้รับรางวัลถึง 3รางวัล! ทั้ง สุดสัปดาห์ Beauty Award 2015, Cleo Beauty Hall ofFame 2015

และ CosmoBeauty Award 2015



RealTechniques Bold MetalsBrushes #100 Arched Powder Brush

(25.99$/ ราวๆ 900 บาท)

ShiseidoFoundation Brush 131

(ราคาประมาณ 500 - 600 บาท ซื้อจากญี่ปุ่น)




แปรงสองตัวนี้จอยหยิบมาใช้ในปีนี้บ่อยมากกกปีแห่งการใช้แป้งผสมรองพื้น

(เนื่องจากเวลาเร่งรีบ ลงรองพื้นไม่ทันปัดแป้งผสมรองพื้นเนี่ยแหละเร็วสุด)

วนแป้งทั่วหน้าด้วยแปรง RT เพราะพุ่มใหญ่ แน่นกำลังดี ที่สำคัญ นุ่มมากกก

แต่ก็ไม่ถึงกับนุ่มฟูแบบขนสัตว์ยังไม่ความแข็งพอที่จะจิกเนื้อแป้งขึ้นมาเบลนบนผิวหน้าได้

แต่ไม่บาดหน้าเลยแม้แต่น้อย รักค่ะ เอาใจไป!

ส่วนในบริเวณที่อยากเน้นการปกปิดเช่น รอยสิว หรือรอยแดงข้างจมูก

จอยจะใช้แปรงหัวตัดของShiseido ในการวนแป้งผสมรองพื้น และกดย้ำในจุดที่ต้องการปกปิด

ซึ่งมันเริศมากกกขนาดกำลังดี ซอกซอนได้ในทุกจุด แถมขนแปรงนุ่มและแน่นมาก ดีงาม



Golden Rose Matte Lipstick Crayon – 02

(199 บาท)



ถูกและดี มันมีในโลกจริงๆ! ลิปสติกที่ไม่เคยคิดว่าจะชอบแต่ดันหยิบใช้บบ่อยกว่าลิปราคาแท่งละเป็นพัน

บอกเลยว่ามันดีมากจริงๆ สีที่จอยใช้บ่อยสุดๆ คือสี 02 สีแดงเข้มออกไวน์

ตัวนี้จอยทาไปออกงานกลางคืนบ่อยมากกกก พกติดกระเป๋าก็บ่อย

สีแน่น ชัดเจน ไม่หลุด ไม่เลือน สุดยอดของความคุ้มค่าเพราะมาในราคาเบาสุดๆ

ไม่ชอบอย่างเดียวคือต้องเหลาเนี่ยแหละ กับเวลาใส่ในกระเป๋าถ้าปิดฝาไม่ดี อาจเกิดหายนะได้ (เกิดมาแล้ว)




สว้อชออกมา สีเนียนละมุนมาก เหมือนลิปสติกเคาน์เตอร์แบรนด์คุณภาพดีสุดๆ

ไม่มีกลิ่นแรงๆ ให้กวนใจ ทาง่าย เรียบลื่นอย่างสีเข้มแบบนี้ก็ทาจากแท่งได้เลย ไม่ต้องพึ่งลิปไลน์เนอร์

อยากไปสอยมาให้ครบทุกสีเลย ถ้าจำไม่ผิดสี 13 ก็สวย ออกนู้ดๆ หน่อย

มัวรออะไรคะ ของดีต้องรีบสอยค่ะ!!



Jill Stuart Shimmer CoutureEyes - 07Brown Couture

(ราคา 1,700 บาท)



มาที่ดวงตากันบ้าง พาเลตต์ที่ชนะใจปีนี้ไปเลยและหยิบขึ้นมาใช้แบบไม่ต้องคิด

คือพาเลตต์จาก JillStuart คอลเลกชั่น Dual my Face (ลิมิเต็ดอิดิชั่นน่าจะหมดแล้ว)

สีสวยมากกกกกกเป็นโทนน้ำตาลที่มีวิ้งค์สวยกำลังดีสไตล์ญี่ปุ่น เนื้ออายแชโดว์นุ่มมากกก

เกลี่ยง่ายมากก คือจอยใช้นิ้วลงตลอดเกลี่ยง่ายแบบไม่ต้องพยายาม ไม่เป็นปื้นแน่นอน

จอยเชื่อว่าอายแชโดว์ของจิลเนื้อดีมากลองไปเล่นกันดูที่เคาน์เตอร์ได้




ช่วยทำให้ตาแบนๆ ของจอยดูมีมิติขึ้นมาในทันใดมือใหม่ก็ลงอายแชโดว์ได้ ง่ายมากๆ สำหรับตลับนี้

จับคู่สีมาได้สวยงาม ไล่จากโทนสว่างไปยังเข้มแบบว่าตลับเดียว คุ้ม จบงานได้แน่นอน



JILL STUART Two-Tone Eye Liner - 02 brown & beige brown

(850 บาท)

Mille Forever Black Pen Liner

(395 บาท)



สำหรับจอย สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในชีวิตเห็นท่าจะเป็นอายไลน์เนอร์นี่แหละ

แบบไม่แต่งหน้า ยังไงก็ขอเขียนตาซักหน่อยไม่งั้นออกจากบ้านไม่ได้

อายไลน์เนอร์ที่อินอยู่ช่วงนี้ เลือกไม่ถูกซักทีเลยจัดมาทั้ง 2 ตัวเพราะใช้บ่อยที่สุดแล้ว

วันไหนอยากได้ลุคตาซอฟท์ๆ จะหยิบของJill Stuart ขึ้นมา เพราะสีน้ำตาลอ่อน ทำให้ตาดูหวาน เย้ายวน

ส่วนวันไหนอยากให้ดวงตาคมเข้ม ดูโฉบเฉี่ยวจอยจะเลือกอายไลน์เนอร์สีดำสนิทของมิลเล่

เพราะให้สีที่ดำสนิท เขียนลื่นและให้เส้นที่คมชัดไม่เป็นขุย เรียบเนียน




ซึ่งทั้งสองตัวนี้ มีหัวแปรงที่เรียวเล็กเหมือนกันทำให้วาดเส้นไลเนอร์ได้สวยมากๆ

แถมล้างออกง่ายด้วยนะ



Mille 6D Tattoo Brow Gel – 02 Deep brown

(395 บาท)



ของเล่นใหม่ที่มาสั่นวงการแต่งหน้าคือไอเท็มเจลสักคิ้วเนี่ยแหละ

มิลเล่น่าจะเป็นเจ้าแรกๆ เลยที่ทำเจลสักคิ้วออกมาให้ได้เล่นกันซึ่งจอยใช้แล้วติดใจมาก

เอาไปเล่นกับคนโน้นคนนี้ ใครก็ชอบเพราะทำให้การเขียนคิ้วเป็นเรื่องง่ายไปเลย

ไม่ต้องมานั่งเขียนทุกเช้า ขอแค่ทำทิ้งไว้ก่อนนอนตื่นเช้ามาลอกออก ก็สวยไปได้อีกหลายวัน!

สำหรับคนที่เขียนคิ้วไม่ค่อยแม่นอาจจะยากตอนแรกๆแต่สำหรับจอย ใช้สกิลเด็กอาร์ต วาดแป๊ปเดียว เป๊ะ!





เนื้อเจลจอยว่าวาดค่อนข้างง่ายเลยนะ แถมให้สีที่สวยกำลังดี(ตอนทิ้งเจลไว้ คิ้วเข้มตลกดี 5555)

เวลาลอกออกก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะดึงขนคิ้วเพราะลอกออกง่ายเหมือนดึงแผ่นเยลลี่ออก

รวมๆ แล้วรู้สึกเอ็นจอยมากกกกกก ใครยังไม่ลองต้องลองเดี๋ยวเอ้าท์!

ตัวนี้ก็ได้รับรางวัลจากCleo Beauty Hall of Fame 2016 เช่นกัน



Glitter Injection – Toasted Rainbow

(39.99$)



ปาดชาตินี้ วิ้งค์ไกลถึงชาติหน้า ! โว๊ะ นี่มันอะไรกันเนี่ย

อายแชโดว์กลิตเตอร์แพนนี้จอยสั่งมาจากต่างประเทศ เพราะทนความวิ้งค์อลังการระยิบระยับของมันไม่ไหว

และรู้สึกว่ามันเริศมากกกแต่งไปงานกลางคืนนี้เด่นสุดในงานนะขอบอกก

ราคาพันต้นๆ ถือว่ารับได้เมื่อเทียบกับคุณภาพและความสวยยยย

เนื้อจะมีความเปียกๆ หน่อย พูดไม่ถูกปาดลงบนผิวแล้วกลิตเตอร์แน่นมากกก

เช็ดออกได้ง่าย ไม่ทิ้งกลิตเตอร์ไว้เต็มหน้า(แนะนำให้ปาดไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ใช้ถูกซ้ำไปซ้ำมา)

จอยเคยเสิชหารูปดูในเน็ต ฝรั่งที่มีเบ้าตาแต่งแล้วสวยมากกกกรี้สส สาวหมวยอิจฉาไฟลุกก




ข้อเสียอีกอย่างนึงคือ มันจะมาเป็นแพนกลมๆ ไม่มีตลับให้

ดังนั้นเราต้องหาตลับใส่เอง เช่น Z-palette หรือจะเอามาใส่ในตลับรวมของmac

(ที่ไม่มีอายแชโดว์ของmac เลย ฮาๆๆๆ)



Jill Stuart Layer Blush Compact – 07 fringe flower

(1,650 บาท)



ถือว่าเป็นบลัชออนรุ่นที่จอยชอบมากที่สุดแล้ว เพราะให้ความฉ่ำวาวที่สวยมากกกก

ดูแก้มสุขภาพดี เกาหลีหน่อยๆ โอปป้าดึงมากอด แอร่ย~

สีที่จอยชอบคือเบอร์ 07 สีคล้ายๆ กับกลีบกุหลาบ ที่ทาออกมาแล้วใจละลายยย ละมุนตุ้นมาก




มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ฟินทุกครั้งเวลาปัด ซึ่งตัวนี้จอยชอบใช้แปรงที่มากับตลับในการปัดเลย

เพราะให้สีที่ชัด และสวยพอดี แถมแปรงเขาก็ยังนุ่มอีกต่างหาก



หมดแล้ววววว ! สำหรับของทั้งหมดที่จอยอินสุดๆ ในปี 2016 นี้

มีไอเท็มไหนที่ถูกใจเพื่อนๆ หรือมีเหมือนกันบ้างรึเปล่าน้า


หวังว่าจะเป็นประโยชน์เพื่อนๆ กันนะคะ

และสำหรับปี 2015 จอยชอบอะไรบ้าง สามารถจิ้มลิ้งกลับไปดูกันได้น้า โดยฝีมือการวาดสีน้ำของจอยเอง

[ DesireNerverEnd ] Fav. of 2015 ของสุดเลิฟแห่งปี


แล้วพบกันใหม่บทความหน้า 

สวัสดีปีใหม่ 2017 นะคะทุกคน <3







Create Date : 22 ธันวาคม 2559
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:32:28 น.
Counter : 3922 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

LoveBerryJoyJee
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



loveberry joyjee
See my Art work, Graphic Design