Group Blog
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th 
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
  •  images by free.in.th
All Blog
[How-to] แต่งหน้าแมตต์ไม่ง้อซับมัน พร้อมลุยซัมเมอร์นี้!!



สวัสดีค่าาา กลับมาคราวนี้ จอยเอาฮาวทูง่ายๆ (สไตล์ตัวเอง) มาฝากกันอีกแล้วจ้า
คราวนี้จะเป็นฮาวทูกึ่งๆ รีวิวไอเท็มไปในตัว
ใกล้จะถึงหน้าร้อนแล้ว (ซึ่งก็ร้อนตลอดปี สวัสดีประเทศไทย) จอยเลยรวบรวมเอา
ไอเท็มที่ว่าเด็ดดวงคุมมันเริศมาแต่งเป็นลุคแมตต์ที่ยังดูเป็นผิวให้ดูกัน
สามารถแต่งไปสู้แดดสู้ร้อนได้แน่นอน เพราะลุคนี้ไม่หนาหนักเลย
ไปค่ะ!



เริ่มจากการเตรียมผิว ซึ่งขั้นตอนนี้จอยค่อนข้างให้ความสำคัญพอสมควร
การเตรียมผิวที่ดี ยิ่งช่วยทำให้เครื่องสำอางติดทน และไม่ไหลเยิ้มระหว่างวันด้วยค่ะ
ก่อนจะไปเผชิญ Eแดด เมืองไทยที่ร้อนจี๊ดผิว กันแดดเป็นสิ่งที่ห้ามมม ห้าม ห้าม ละเลยเด็ดขาด
(เพราะเดี๋ยวจะละลาย //นี่คือต้องการเล่นมุขอะไร?)




เคยได้ยินใช่ไหมคะ ว่าปริมาณการลงครีมกันแดด ให้บีบออกมาเท่าเหรียญ 10
นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่เคยขี้เหนียวกันแดด จะทาให้ได้ทั่วทั้งหน้าเสมอ
จอยใช้เป็น Avene Cleanance UVA SPF50+ ซึ่งรุ่นนี้คือ Mattifying Water Resistant
เนื้อเกลี่ยง่ายมาก ลื่น มีความเข้มข้น แต่พอทาไปแล้วจะกลืนไปกับผิวเลย
ไม่ทำให้หน้ามัน หรือทิ้งความวาวเอาไว้ เยี่ยมมากค่ะลูกกก
ปาดๆ โบกๆ เข้าไป พยายามเกลี่ยไปในทิศทางเดียวกัน หรือตามเส้นขนบนใบหน้า
ส่วนจอยมักจะเกลี่ยทุกสิ่งทุกอย่างจากกึ่งกลางใบหน้าออกไปด้านนอกค่ะ
ปาดขึ้น อย่าปาดลง เดี๋ยวหน้าเหี่ยว แค่แรงโน้มถ่วงโลกก็ดึงพอละ

จากนั้นตามด้วยไพรเมอร์ จอยใช้ไพร์เมอร์ตัวใหม่ที่กำลังอินเลิฟ
it Cosmetics Bye Bye Pores Primer เป็นสูตร Oil-Free Poreless
แน่นอนว่าช่วยเบลอรูขุมขนและไม่ทำให้เกิดความมันแน่นอน
จอยใช้ลงบริเวณ T-Zone ที่มักจะมันก่อนส่วนอื่น และเน้นบริเวณหน้าแก้มข้างจมูกค่ะ
(ใครมันส่วนไหน ก็ไปเน้นส่วนนั้นได้ค่ะ)



นี่เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่า แต่งหน้าสวย หรือหน้าชนเผ่า อะไรจะต้องจุดเต็มหน้าขนาดนั้น
ตัวต่อมาเป็นเทคนิกที่จอยชอบทำค่ะ สำหรับลุคนี้จอยจะไม่ใช้ไฮไลท์
หรือความวาวที่มาเพิ่มความมันให้กับหน้า แต่ก็ยังอยากให้หน้าดูมีมิติ
จอยเลยใช้คอนซีลเลอร์สีสว่างกว่าผิว ลงในบริเวณที่แสงตกกระทบใบหน้า
เช่นโหนกแก้ม เหนือคิ้ว สันจมูก กระจับปาก คาง (ใต้ตาด้วย ลบแพนด้าแพร่พ)
ซึ่งจอยใช้เป็นคอนซีลเลอร์ตัวใหม่ของ Nars Soft Matte Complete Concealer สี Chantilly
เนื้อเค้าดีมากกกกก แมตต์แต่เกลี่ยง่ายสุดๆ ไม่คราบ ไม่วาว ดูธรรมชาติ ปกปิดคือแน่นสุด
สำหรับใครที่มีรอยสิว หรือจุดด่างดำ แนะนำให้ใช้สีที่พอดีผิว แล้วโบกทับไปเลย
บางเบา แต่ปิดกริบมาก ที่สำคัญคือไม่ตกร่อง คือดีมากกกก
(คอนซีลเลอร์กระปุกสุดฮิตในตำนานของ Mac คือตายไปเลยจ้า)

เพิ่มแสงให้หน้าแล้ว ต้องตามด้วยเงา ไม่งั้นหน้าจะขาวลอยเกินไป
ใช้คอนทัวร์จากพาเลตต์ Tarteist Pro Glow สี Sculpt เนื้อเรียบลื่นและสมูทมากๆ
บริเวณที่จอยลงคือข้างจมูก(สร้างดั้งน้อยๆ) ข้างแก้ม และกรอบหน้าโดยรอบ โดยเฉพาะเหม่ง
พาเลตต์นี้ก็เริศ แต่จอยไม่ได้ใช้สีไฮไลท์ เพราะเดี๋ยวหน้าจะวาวไป


พอลงเฉดดิ้งไปแล้ว ดูหน้าไม่แบนเทียบจากซ้ายและขวาที่ยังไม่ได้ลง
จอยใช้ไล้จากข้างจมูกไล่ไปจนถึงเบ้าตา เพื่อเป็นการคัดเบ้าไปในตัว
จุดที่สำคัญที่คนไล้จมูกชอบลืมทำ คือการปัดบริเวณใต้ปลายจมูกด้วย
เพื่อให้จมูกดูโด่งขึ้นแบบเป็นธรรมชาตินะ

เมื่อเราสร้างโครงหน้าเสร็จแล้ว เราจะลดความดราม่าลงด้วยการปัดแป้งทับให้ทั่วหน้า
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมา มันดูนัว และดูไม่หนักมือจนเกินไป
ซึ่งจอยจะใช้เป็นแป้งผสมรองพื้น เพราะให้ทารองพื้นไปสู้แดดนี่ไม่ไหวจริงๆ ยังไงก็เยิ้มชัวร์
แป้งที่จอยเลือกคือ Covermark Moisture Veil LX สี MN10 ซึ่งตัวนี้คุมมันดีมากกกก
เนื้อแป้งบางเบา แต่ปิดพวกรอยแดงจอยได้ดี ช่วยให้ผิวสม่ำเสมอกันแถมกระจ่างใสแบบธรรมชาติ
ไม่วาวเหลือบ แต่ก็ไม่แมตต์แห้งเป็นกระดาษ
ถ้าใครที่ต้องการความปกปิด จอยแนะนำให้ใช้เป็นการลงด้วยพัฟฟองน้ำ
แต่จอยช่วงนี้ผิวไม่ค่อยมีปัญหา สามารถลงด้วยแปรงก็จะได้ผิวที่นวลเนียนผ่องขึ้นมาเลย
(ข้างจมูกจอยจะมีปัญหามาก สิวเสี้ยนเพียบ แป้งตัวนี้ปิดได้กริบแถมไม่คราบด้วย เลิฟ)


เตรียมผิวเป็นอันเรียบร้อย ที่นี้เราก็จะได้ผิวที่เป๊ะพร้อมสู้ความร้อน ไม่หนาหนัก ไม่ไหลเยิ้ม
ต่อไปจะมูฟไปที่คิ้วกันเลย


คิ้วจอยใช้ Lifeford Paris Slim Eyebrow Pencil ซึ่งหัวแปรงเรียวเล็กมากกก
เขียนนุ่มเขียนง่ายสุดๆ จอยเริ่มจากการเขียนกรอบคิ้วและค่อยๆ เติมช่องว่างไปเรื่อยๆ
เมื่อวาดจนเสร็จ เก็บงานด้วยการแปรงคิ้วทั่วๆ เพื่อให้ได้ลุคที่ดูซอฟท์ๆ ธรรมชาติ

ดวงตาจอยก็เน้นไปทางแมตต์เหมือนกัน ลองเล่นกับพาเลตต์ใหม่จาก Etude
คอลเลกชั่น Wonder Fun Park เบอร์ 02 จอยเลือกใช้สีแมตต์ด้านข้าง
ค่อยๆ ไล่จากสีอ่อนไปยังเข้ม 
สีขาว > ลงทั่วเปลือกตา
สีโทปอ่อนๆ > ทั่วเปลือกตาโดยเน้นหัวตาและหางตา
สีเทา > เน้นบริเวณเบ้าตา เกลี่ยให้ดูระเรื่อ 
สีน้ำตาลเข้ม > คัดเบ้าเบาๆ และใช้ลงชิดเส้นขอบตาทั้งบนและขอบตาล่างบริเวณหางตา
อายแชโดว์เนื้อนุ่มเนียนมาก สีชัด มี fall-out เล็กน้อย ต้องเคาะแปรงเล็กน้อย
โดยรวมๆ แล้วถือว่าคุ้มราคามาก ถ้าจำไม่ผิดราคาทั้งตลับไม่ถึงพัน 
แถมไดถึง 9 สี มีทั้งเนื้อแมตต์และวิ้งวาวในตลับเดียว น่ารักมากกก


หลังจากได้ตานัวๆ แล้ว ซึ่งลุคนี้จอยไม่ได้กรีดอายไลเนอร์ (แบบที่เคยทำเป็นประจำ)
แต่จะติดขนตาปลอมเพื่อเพิ่มความกลมโตให้กับดวงตา
ซึ่งจอยว่าการไม่กรีดอายไลน์เนอร์จะช่วยทำให้ได้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
(อีกอย่าง จอยใช้อายแชโดว์สีเข้มไล่บริเวณขอบตา แทนอายไลนเนอร์แล้ว)

การติดขนตา จอยดัด และ 'ไม่' ปัดขนตา
ที่ดัดขนตาของ Lancome กาวติดขนตา Cosluxe
และขนตาขนมิ้งค์จาก Onnbabylashes (Nessychoice) # Bring it on
ด้วยความที่ขนตารุ่นนี้เป้นขนมิ้งค์ เส้นสวยมากก ดูธรรมชาติ
จอยเลยดัดขนตาให้งอนกลืนเข้ากับขนตาปลอมโดยไม่ต้องปัดมาสคาร่าซ้ำเลย


ใกล้ละ ใกล้ความจริงแล๊ววววว

เพิ่มความระเรื่อให้กับแก้มน้อยๆ ของเรา
จอยใช้พาเลตต์ที่วิ่งไปตบตีแย่งชิงมาเมื่อปีที่แล้ว
Tart bling it on Amazonian clay blush palette ใช้สี Prim (ชมพูน้ำตาล)
ซึ่งปัดบนแก้มจอยแล้วก็มีความชมพูอยู่ดี 5555
ซึ่งเนื้อบลัชเป็นเนื้อแมตต์ ไม่มีวิ้งค์หรือชิมเมอร์ใดๆ ได้ลุคแมตต์สะใจแน่นอน
(แต่ยังไงเราก็เพิ่มแสงและเงามาตั้งแต่งานผิวแล้ว ทำให้หน้าก็ไม่ถึงกับแมตต์แบน)
จอยปัดแก้มโดยเน้นบริเวณโหนกแก้ม ไล่มาจนถึงหน้าแก้ม

จากนั้นขอเห่อไอเท็มใหม่ที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ
Dior Addict Lacquer Stick สี 550 Teaseวึ่งเป็นสีชมพูที่ชุ่มชื้นสุดๆ
ลุคนี้ผิวแมตต์ ตาแมตต์ แก้มก็ยังแมตต์ เลยเบรกความแมตต์ทั้งปวงด้วยลิปอันฉ่ำวาวแท่งนี้
ซึ่งมันก็ไม่ได้ดูวาวเยิ้มแบบกลอส คือให้ความชุ่มชื้นกำลังดี ไม่มากไม่น้อยไป
(ร้อนๆ แบบนี้ ปากก็แห้งขาดน้ำอี๊ก ถือว่าได้บำรุงไปในตัว จะให้ลิปแมตต์แห้งผากก็คงดูไม่ดี)
จอยชอบลิปของดิออร์เกือบทุกรุ่น ซึ่งรุ่นใหม่นี้ออกมาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย รักกก
กลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อนุ่มลื่น ไม่คราบ สวยเว่อร์



ปิดงานด้วยการเซ็ตทุกสิ่งทุกอย่างด้วย La Roche Posay Serozinc 
สเปรย์น้ำแร่ที่ช่วยควบคุมความมัน และทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน
พอแป้งบนหน้าเจอกับน้ำแร่ไป ก็ทำให้ทุกอย่างกลืนเข้าสู่ผิว ดูสวย งานผิวปังสุดดด
แถมใครที่หน้าแพ้ง่าย ร้อนๆ เหงื่อๆ แล้วเกิดอาการคันๆ ยิบๆ ที่หน้า
สเปยร์น้ำแร่ตัวนี้ก็ช่วยลดอาการละคายเคืองผิวด้วย 
สามารถฉีดได้ระหว่างวันโดยไม่ทำให้เมคอัพพัง
จอยใช้มาตั้งแต่รุ่นธรรมดา เจอรุ่นนี้ที่ช่วยคุมมันด้วย คือรักเลย

เย้ เสร็จแล้วว กับลุคสู้แดด เน้นความใสๆ เป็นธรรมชาติ งานผิวแบบไม่หนักหน้า
ซัมเมอร์นี้วางแผนไปเที่ยวไหนกันบ้างน้า แต่ก็อย่าลืมทากันแดดกันด้วยนะ!

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ
ใครสงสัยหรือมีคำถามก็ถามจอยได้เลยน้า
ไม่ค่อยได้ทำ How-to บ่อย แต่ตั้งใจว่าจะทำให้เยอะขึ้นรวมทั้งงานคลิปวีดีโอด้วย
แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะจ้า
ขอบคุณสำหรับการติดตามและกำลังใจค่ะ




Create Date : 12 มีนาคม 2560
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:30:17 น.
Counter : 1653 Pageviews.

1 comment
Review | Clarisonic mia 2 กับหัวแปรงทั้ง 4 แบบ !


สวัสดีค่าาา จอยจี้เองค่ะ
กลับมาพบกันคราวนี้ อยากเอาไอเท็มลูกรักมานำเสนอ
จากที่ได้ใช้ติดต่อกันมาเกือบ 2 ปีได้แล้วมั้ง 5555 ยาวนานเว่อร์
แต่รักมากก เพิ่มเติมคือหัวแปรงที่เพิ่มมากขึ้น



สภาพแปรงบางหัวอาจดูหมองซักเล็กน้อย ตามอายุการใช้งานนะฮะ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก หรือพอจะคุ้นๆ ตาเจ้าเครื่องทำความสะอาดผิวหน้านี้ค่ะ
Clarisonic Mia 2 นั่นเองค่ะ

ถามว่าทำไมต้องใช้เครื่องล้างหน้า แค่มือถูไม่ได้หรอ แพงก็แพงอีกต่างหาก
ซึ่งคำตอบของจอยคือ มือเปล่าก็ล้างได้! แต่จะไม่เร็วและสะอาดเท่าใช้เครื่องเท่านั้นเอง
คือจอยว่าเหมาะสำหรับสาวๆ สมัยใหม่ที่ต้องการความเร่งรีบ และชอบแต่งหน้าเป็นประจำทุกๆ วัน
จอยว่ายิ่งสมควรมีไว้ติดบ้าน เพราะมันทำให้ชีวิตสบายขึ้นเยอะ

ที่สำคัญคือรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผิวได้จริง
ผิวเรียบเนียนขึ้น สิวอุดตันเล็กๆ ที่มักทำให้ผิวดูไม่สม่ำเสมอก็หายไปเลย
เป็นการสครัปผิวหน้าไปในตัว แต่ไม่ต้องถูให้ผิวเกิดริ้วรอยเลย

เจ้าตัวนี้สนนราคาอยู่ที่ 6,500 บาท จำได้เลยว่าไปซื้อที่ sephora สาขา emquatier
ตอนนั้นแบรนด์เชิญไปทดลองใช้ ประจวบเหมาะกับที่เม้ากับคุณอาที่อเมกา บอกว่าเธอต้องมี
นี่ก็สอยไปตามระเบียบสิฮะ
(ความคุ้มค่าในวันนั้น คือได้หัวแปรงแถมมาอีกหัวนึง) 



แน่นอนว่าต้องมีคำถาม พี่คะ แล้วผิวบอบบางอย่างนู๋ จะใช้ได้หรอคะ
เอาแปรงมาขัดหน้า หูยย ดูทำร้ายผิวมากกว่ารึเปล่า

คือเขาออกแบบขนแปรงมาหลายรุ่นค่ะ ตั้งแต่ขนนุ่มสุดฟินไปจนถึงขนแน่นละเอียดสครัปล้ำลึก
สองวิธีที่จอยแนะนำสำหรับคนที่ผิวบางระคายเคืองง่าย
คือใช้ขัดผิวสัปดาห์ละครั้งถึงสองครั้งพอ
หรือไม่ก็เลือกหัวแปรงที่มีความอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ
แค่นี้เราก็สามารถมีผิวที่สะอาดเนียนนุ่มประดุจแก้มก้นเด็กได้แล้วล่ะฮะ

วันนี้จอยเอาหัวแปรงทั้ง 4 ที่มีในครอบครองมารีวิวให้ดูกันทีละตัวเลยยย

เริ่มจากตัวแรก หัวแปรงแสตนดาด หรือหัวแปรงที่แถมมากับตัวเครื่องนี่เอง
ซึ่งคือรุ่น Sensitive (ราคา 1,030 บาท)



รุ่นคลาสสิกแบบนี้ คือใช้ได้กับทุกสภาพผิว ไม่ว่าผิวธรรมดาหรือผิวบอบบาง
ขัดถูได้ทั่วหน้า ไม่รู้สึกเจ็บหรือแสบแต่อย่างใด
สำหรับหัวตัวนี้ไม่ต้องเลือก เพราะยังไงก็แถมมาให้กับตัวเครื่องอยู่แล้ว
แต่แบรนด์แนะนำให้เปลี่ยนหัวแปรงทุกๆ 3 เดือน นี่ใช้มาจะ 3 ปีแล้ว ยังไม่เปลี่ยนจ้า 5555



หัวแปรงอันต่อมาคือสุดยอดของความฟิน น้องสาวเบอร์ 2 ที่ได้ตามมาติดๆ
กับเจ้าหัวแปรง Cashmere Cleanse (ราคา 1,030 บาท)

ตัวนี้คือหัวแปรงที่ได้แถมมา ตอนซื้อเครื่อง (เพราะซื้อในงานอีเว้นท์)
มีความฟินสุดยอดเพราะหัวแปรงนุ่มมากกกกกกกก ที่สุดๆๆๆ
ขนแปรงค่อนข้างยาว เรียวเล็กสุดๆ
ตัวนี้จอยว่าใช้ขัดผิวตอนเช้าๆ ที่ไม่ได้มีเครื่องสำอางจะดีกว่า
เพราะถ้าใช้ล้างเครื่องสำอางแน่นๆ พวกหัวแปรงธรรมดาจะขัดมันส์กว่า

ด้วยความที่ขนแปรงนุ่มเป็นพิเศษ ดุจขนแคชเมียร์ ทำให้เราสามารถ
ขัดผิวหน้าได้ทุกๆ วันเช้า-เย็น โดยไม่รู้สึกระคายเคืองผิวเลย

แน่นอนว่าใช้แปรงนุ่มๆ ขัดหน้าแบบนี้ ดีกว่าการใช้นิ้วกดลากถูตอนล้างด้วยโฟมแน่ๆ


มาที่หัวแปรงอันถัดไป ซึ่งจอยเพิ่งได้ทดลองใช้มาเมื่อเร็วๆ นี้
ซึ่งก็คือ หัวแปรง Deep Pore Cleansing (ราคา 1,030 บาท)


เด่นมากๆ กับวงแหวนสีฟ้าสดใส 
รุ่นนี้เชื่อว่าหลายๆ คนต้องสนใจ เพราะเป็นรุ่นที่เคลมว่าช่วยทำความสะอาด
ล้ำลึกถึงรูขุมขนและช่วยให้ผิวหน้าเนียนกริบบบ
ไอเดียของหัวแปรงตัวนี้คือ ขนแปรงที่ต่างระดับกัน ทำให้ซอกซอน(?) เข้าถึงทุกรูขุมขน
(เดี๋ยว หรือนี่คือโฆษณาแปรงสีฟัน)
เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมันและรูขุมขนกว้าง
ตัวนี้จนว่าขนแข็งกว่าหัวแปรง Sensitive จิ๊ดดดดด นึง
ถึงจะไม่ค่อยต่างกัน แต่ก็รู้สึกว่าคนที่หน้าบอบบางมากๆ อาจจะต้อง
แนะนำเป็นหัวแปรงอันสุดท้ายที่จอยกำลังจะรีวิว จะดีกว่า


ซึ่งหัวแปรงอันสุดท้าย และเป็นความเห่อสุดๆ ของบทความนี้
นั่นก็คือ Sonic Radiance Brush Head (ราคา 1,030 บาท)

อ๊ากกกก ความมุ้งมิ้งงกิงก่องแก้วว!!
คือสีขนแปรงช่างเข้ากับตัวเครื่องสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง!! รักเลยยยย
และที่สำคัญ ขนนุ่มมากกกกกกก อาจจะไม่ได้นุ่มเท่าขนแคชเมียร์
แต่คือนุ่มกว่าหัวแปรงอีกสองตัวที่เหลือมากๆ
คือกำลังดี ขัดหน้าได้ แถมนุ่มด้วย โอ เริศศศศ
ตัวนี้จอยว่าใช้ขัดผิวด้ทุกวัน ถึงเมคอัพจัดเต็มก็คลีนได้สบาย
เอาไปเลย 10 หัวใจ

แล้วจอยจะเทสขนแปรงหัวสีชมพูนี้ให้เพื่อนๆ ดูไปพร้อมๆ กันเลยจ้า
วิธีการทำงานของเจ้าเครื่องนี้ คือระบบสั่นที่รัวและเร็วมาก
(ไม่ใช่การหมุนนะ แต่เป็นระบบสั่น ที่สบายผิว+จั๊กจี๊ดี) 
สำหรับ mia 2 สามารถปรับระดับความแรงได้ 2 ระดับ (ซึ่งจอยก็ใช้ระดับต่ำอยู่ระดับเดียว)
สังเกตเวลาเรากดปุ่มเริ่มทำงาน ที่ปุ่มจะเรืองแสงขาวๆ แบบในรูปเลย
(ถ้าแบตใกล้หมด ไฟสีขาวจะกระพริบถี่ๆ เป้นการเตือน)
อีกอย่างที่จอยชอบคือเวลาชาร์จแบต จะเป็นหัวชาร์จมาแปะไว้ที่ด้ามจับ ไม่มีช่องให้เสียบใดๆ
สะดวกและง่ายมาก แถมไม่ต้องกลัวไฟช็อตด้วย
เครื่องทั้งเครื่องเลยสามารถโดนน้ำได้ 100%

หลัวจากบีบโฟมลงบนแปรงแล้ว เราก็เอามาวนๆ ถูๆ ที่บริเวณผิวหน้าได้เลย
โดยเทคนิกคือห้ามออกแรงกดลงบนผิวนะ! ห้ามเลย อย่าทำร้ายผิวตัวเอง
แค่ลากๆ วนๆ บนผิว สิ่งสกปรกก็กระเด็นออกไปหมดแล้ว
ระหว่างวนไป ก็สบาย ฟินเบาๆ หัวแปรงตัวนี้จอยวนบริเวณเปลือกตาได้เลย ไม่แสบด้วย



ตอนเริ่มกดปุ่มให้เครื่องทำงาน มันจะมีเวลากำหนดไว้ด้วย
และจะมีเสียงเตือน ปี๊ปๆ ทุกๆ 15 วินาที ถ้าจำไม่ผิดคือเครื่องมันกำหนดเวลาให้เราวน
บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่นหน้าผาก 15 วิ แล้วเครื่องก็จะเตือนให้เราเปลี่ยนไปวนส่วนอื่นบ้าง
ตอนแรกๆ นี่ก็วนตามที่เค้าบอกอ่ะ หน้าผาก แก้มซ้าย แก้มขวา ทีโซน คาง เปลี่ยนๆ ไป
หลังๆ เริ่มขี้เกียจ วนมั่วๆ ไปทั่วหน้าเนี่ยแหละ สบายใจดี 55555


จะเห็นได้ว่า แค่ลากแปรงไปเบาๆ ทั่วหน้า เครื่องสำอางก็หลุดออกมาติดแปรงหมดแล้ว
โดยไม่ต้องถ ไม่ต้องเช็ดหรือขยี้เลย แม้กระทั่งอายไลน์เนอร์ก็หลุดออกมาหมด
สะอาดเกลี้ยง สบายใจ แถมขนแปรงนุ่มฟินอีกตางหาก

ใครที่มองหาเครื่องทำความสะอาดหน้า จอยอยากแนะนำแบรนด์นี้นะ
อาจจะเหมือนการลงทุน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคุ้มค่าสุดๆ
ยิ่งคนที่แต่งหน้าบ่อยๆ บล็อกเกอร์ทั้งหลาย ยิ่งควรมีติดห้องน้ำเลย
เพราะการดูแลผิวให้สะอาด เป็นจุดเริ่มต้นของผิวที่ดีเลย
ล้างหน้าไม่สะอาด ต่อให้บำรุงเริศยังไง หน้าก็เจ๊งนะจ้าาา
จัดเครื่องนี้ไป เจ็บแต่จบนะฮะ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ
มีข้อสงสัยตรงไหนก็แวะมาถามจอยได้เลย
แล้วพบกันใหม่บทความหน้า แล้วพบกันจ้าาา




Create Date : 08 มีนาคม 2560
Last Update : 8 มีนาคม 2560 22:55:12 น.
Counter : 1456 Pageviews.

1 comment
Review | ร้านทำเล็บใจกลางกรุงเทพ ย่านทองหล่อ-สุขุมวิท!



 สวัสดีค่า กลับมาพบกันจอยอีกแล้วว
วันนี้จอยมีร้านทำเล็บมานำเสนอให้เพื่อนๆ ค่ะ
สำหรับสาวกที่ชอบทำเล็บ ทำสีเจล ทำสปาเล็บหรือแม้กระทั่งต่อเล็บอะครีลิกจะต้องชอบที่นี่!



ร้านนี้ชื่อว่า Treat nails Spa & Salon 
ตั้งอยู่ในซอยทองหล่อค่ะ ใกล้ๆ ซอย 10 
หรือถ้าใครขับรถมา แนะนำว่าจอดที่ J Avenue ก็ได้ หรือถ้าโชคดีหน้าร้านว่าง ก็จอดริมถนนได้เลย
(จอยโชคดี มา 2 รอบก็ได้ที่จอดหน้าร้านสองรอบเลย ลักกี้!)



ลักษณะร้านเก๋มากๆ มีกระจกวงกลมขนาดใหญ่สะดุดตาพอสมควร
เหมือนเดินเข้าเรือดำน้ำยังไงอย่างงั้นเลย



สิ่งแรกที่เห็นหน้าประตู คือป้ายโปรโมชั่นตัวเบ้อเริ่ม 
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าบริการเค้าราคาเท่าไหร่กันบ้าง
จอยถ่ายมาให้ดูแล้วค่ะ แถมเค้ายัังมีโปรโมชั่นเริศๆ เยอะเลยช่วงนี้
บอกเลยว่าคุ้มเว่อร์ๆ 






ภายในร้านตกแต่งได้สวยงาม สะอาดตามากๆ ค่ะ 
แต่วันแรกที่จอยเข้าไปในร้าน ด้านล่างไม่มีพนักงานต้อนรับเลยแอบเงิบไปนิดหน่อย
จะต้องเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ค่ะ เพราะส่วนบริการทำเล็บอยู่ด้านบน

ส่วนชั้นล่าง น่าจะขายน้ำและขนมนิดหน่อย เพราะเห็นเคาท์เตอร์และโซฟาเก้าอี้ไว้บริการ
เดินขึ้นไปชั้น 2 พร้อมๆ กันเลย



ขั้นมาชั้น 2 แล้วจะเจอกับโซฟาทำเล็บ วางเรียงกัน 3 ตัวค่ะ
ขนาดกระทัดรัด แต่ไม่ได้ดูอึดอัดอะไร
ห้องดูโล่งและสะอาดมากๆ ค่ะ

แถมที่ถูกใจอีกอย่างนึงคือไม่มีกลิ่นของยาทาเล็บแบบร้านทั่วๆ ไป 
จอยไม่ชอบเลย เวลาเดินเข้าร้านแล้วเจอกลิ่นแรงๆ ลมจะใส่เอา ฮือๆ
เพราะการนั่งทำเล็บเป็นชั่วโมง แล้วต้องนั่งดมกลิ่นยาทาเล็บเหม็นๆ มันไม่ใช่เรื่องสนุก



เดินไปห้องข้างๆ หลังม่าน มีโซนทำผมอยู่ด้วย
สาวๆ ที่อยากทำครบเซ็ตทั้งทำเล็บทำผม ที่นี่คือครบวงจรเลยทีเดียว!!





พอขึ้นเขียง เอ๊ย ขึ้นนั่งโซฟา เราก็สามารถเลือกสี เลือกลายเล็บ
หรือนั่งหาตัวอย่างเล็บที่อยากได้ไปเพลินๆ (หรือหามาจากบ้านจะสะดวกมากๆ)

แอบกระซิบว่า ที่นี่เค้ามีลายเก๋ๆ ของเล่นของประดับติดเล็บ เยอะมากกกก
สไตล์น่ารักๆ แบบญี่ปุ่น อย่างเพชรหรือเปลือกหอยก็มี!! 
ซึ่งร้านแบบนี้ ในราคาแบบนี้ หาได้ยากมาก!









ระหว่างที่ลบเล็บเก่า และเตรียมเล็บไปเพลินๆ 
จอยก็ตกลงปลงใจ ที่ลายเล็บจาก Pinterest สีนี้จ้า



ความดีงามก็คือ พอเรายื่นลายและสีนี้ให้พนักงานดู
พนักงานก็เดินไปหยิบสี กับเพชรสำหรับติดเล็บมาได้แบบเป้ะๆ
อะเมซิ่งมากกก ถูกใจสุดๆ

แต่ด้วยความที่อยากลองติดหินใสๆ ด้วย ก็เลยดัดแปลงลายเล็กน้อย
คือสามารถบอก และคุยกับพนักงานได้เลย ขอติดเพชร ติดหิน เลือกเปลือกหอย ติดฟลอยด์ 
ทำได้สารพัดเลย เพราะเค้ามีตัวอย่างให้เลือกเยอะมาก
จะออกมาเป็นยังไง เดี๋ยวดูกันเลย











อย่างลายของจอย รวมๆ แล้วราคาประมาณ 1,200 บาท
เป็นสีเจลค่ะ มีความคงทนสูงมากกก
นี่ผ่านไปเกือบ 2 อาทิตย์ ทั้งซักผ้า ลงว่ายน้ำ เที่ยวทะเล ใช้ชีวิต สระผม
บอกเลยว่าไม่หลุด! เพชรที่ติดคือนูนมากก แต่ไม่หลุดเลย
มีความอยู่ทนดีงามมาก ประทับใจสุดๆ

ลายเล็บอีกลายที่ที่นี่ทำแล้วสวยมากก คือกากเพชรลายการ์ตูน
น่ารักมากกกกก
คราวหน้าจอยไม่พลาดลายนี้แน่ๆ (แค่ 990 บาทเท่านั้น)



ข้อมูลร้าน
ร้านเปิด 10.30 - 21.00 น.
https://www.instagram.com/treatnailsalon/
https://www.facebook.com/treatnailsalonbkk/
tel : 089 784 8246

หวังว่าจะถูกใจเพื่อนๆ ที่ตามหาร้านทำเล็บดีๆ กันนะคะ
แล้วพบกันใหม่บทความหน้า
ไว้จะพาไปเยี่ยมชมร้านเจ๋งๆ กันอีก







Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:30:42 น.
Counter : 6218 Pageviews.

0 comment
Review | แป้งตลับ 5 แบรนด์ hi-end ข้อดีข้อเริศมีอะไรบ้าง เทียบกันให้ดูเลย



สวัสดีค่า จอยเองค่ะ กลับมาพบกันอีกแล้ว
ซึ่งวันนี้จอยยกกรุแป้งของตัวเองออกมา เพื่อรีวิวให้เพื่อนๆ ได้ชมกันค่ะ

สำหรับครั้งนี้จอยเน้นรีวิวแป้งระดับสูงหน่อย
เพราะเชื่อว่าคงมีสาวๆ ที่อยากจะมีแป้งตลับดีๆ ไว้ในครอบครองซักตลับสองตลับ (หรือมากกว่านั้น?)
จะให้ลองซื้อถูกซื้อผิดมาให้เปลืองงบเล่นก็ใช่ที่
วันนี้จอยเลยเอาประสบการณ์ที่ได้ลองใช้แป้งเหล่านี้มาบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกันค่ะ!
จะมีแบรนด์อะไรกันบ้าง ไปดูกันเลย!





แป้งตลับทั้ง 5 ตัวที่จอยหยิบมารีวิวในวันนี้ได้แก่
1. Jill Stuart Everlasting Silk Powder Foundation Flawless Perfection สี 103 nude (ตลับ+แป้ง/550+1,250)
2. Covermark Moisture Veil LX สี MN10 (ตลับ+แป้ง/700+1,500)
3. Givenchy Doctor White Teint Couture White Brightening Compact Foundation SPF20 สี 2 Shell (ราคา 2,520 บาท)
4. Benefit Cosmetics Hello Flawless! "i love me" SPF15 สี Ivory (ราคา 1,450 บาท)
5. Dior Diorsnow white reveal pure transparency makeup SPF30/PA+++ สี 020 (ราคา 2,450 บาท)






สังเกตุดู แป้งส่วนใหญ่ที่จอยมีสะสมไว้ จะเป็นแป้งที่เน้นผิวหน้ากระจ่างใส
ให้ผิวที่ขาวสว่าง แต่ไม่ได้เน้นปกปิดแน่นปังแบบ full-coverage (อย่างแป้ง mac, Laura Mecier)
มาดูกันเลยว่า แป้งตัวไหน เหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง


เริ่มจากตัวแรก 
Jill Stuart Everlasting Silk Powder Foundation Flawless Perfection สี 103 nude 
(ราคา 1,800 บาท)




แป้งจากแบรนด์เจ้าหญิงที่เลอค่า Jill Stuart แค่แพกเกจก็ชนะใจไปอย่างขาดลอย
ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกระเป๋าใบเล็กๆ เวลาหิ้วไปงานเลี้ยง
(แถมมีโซ่เอาไว้หิ้วเป็นหูกระเป๋าด้วย น่าร๊ากกก)
กลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อแป้งเนี่ยนนุ่มลื่น สีที่ได้มารู้สึกว่าจะเข้มไปนิด ค่อนข้างพอดีผิว
แต่จอยชอบแป้งที่สีสว่างกว่าผิวเล็กน้อย เพื่อความกระจ่างใส และป้องกันสีดรอประหว่างวัน



ให้การปกปิดได้ดีที่สุด และรู้สึกว่าจะมีความหนาที่สุด เมื่อเทียบกับแป้งอีก 4 ตัวที่เหลือ
วิธีการลง สามารถใช้ฟองน้ำที่มากับตลับ กดย้ำลงบนผิวหน้าได้เลย
(ฟองน้ำฟูนุ่มมากกกกกก เหมือนขนมญี่ปุ่น)
ให้ความเนียนละเอียดและติดทนพอสมควร
ตัวนี้ใช้ทาก่อนถ่ายรูป ผิวจะสวยเป้ะมาก ดูนวลเนียนละมุนตุ้นมากๆ
แต่สำหรับใช้เติมระหว่างวัน จะหนักไปนิ้สส ไม่ค่อยแนะนำ


Covermark Moisture Veil LX สี MN10
(ราคา2,200บาท)





อีกหนึ่งแบรนด์ที่ทำตลับออกมาได้สวยสะพรึงมากกกก เป็นสีดำ-ทอง กลิตเตอร์ ดูหรูหราสุดๆ
ตัวนี้มีความเริศเป็นพิเศษตรงที่สามารถย้ำลงไปเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ดูหนาหนักเลย 
(ดูจากรูป swatch มุมซ้ายล่างได้ เทียบกับแป้งตัวอื่นๆ ดูไม่เป็นผงๆ แป้งๆ เลย)
แถมยังให้การปกปิดได้ดี เนื้อเนียนละเอียดไม่เป็นคราบ
เวลาใช้นิ้วปาดลงไปบนแป้งนี่ นุ่มฟินสุดๆ



เป็นแป้งตัวเดียวจบ ที่ตบในตอนเช้าแล้วไม่ต้องเติมแป้งอีก
สำหรับจอยเวลาทาแป้ง ช่วงบ่ายๆ เวลาส่องกระจกจะเริ่มมันทั่วทั้งหน้า 
โดยเฉพาะหน้าผากและจมูก (นึกว่าทอดไข่ได้)
แต่สำหรับวันที่โบกเจ้าตัวนี้ หน้าจะมันน้อยลงมาก คือมันควบคุมมันได้ดีที่สุดในแป้งทั้ง 5 ตัว
ผิวที่ทาคือจะไม่ฉ่ำวาว รู้สึกเนียนๆ เหมือนกำมะหยี่ ดูสุขภาพดีเว่อร์
(ไม่ได้ดูแห้งๆ แป้งๆ นะ)
ช่วงไหนที่หน้ามัน จอยหยิบตัวนี้ขึ้นมาใช้แบบไม่ลังเลเลย
ถ้าอยากได้ลุคบางเบาหน่อย ก็ปัดวนทั่วหน้าด้วยแปรงพุ่มหัวใหญ่ๆ
แต่ถ้าต้องการเพิ่มระดับการปกปิดและความเป้ะปัง ก็แตะด้วยฟองน้ำได้เลย
(บางทีนี่ก็งง แป้งบางแบรนด์เคลมว่าคุมมัน แต่ก็เฉยๆ 
ส่วนตัวนี้ชื่อเป็นแป้ง moisture veil แต่ดันไม่ทำให้ผิวมันซะอีก เออ เริศอ่ะ)


Givenchy Doctor White Teint Couture White Brightening Compact Foundation SPF20 สี 2 Shell 
(ราคา 2,520 บาท)





เป็นแป้งที่หอมมากกกกกกก นี่เคยคิดว่า Jill Stuart หอมแล้ว
ตัวนี้หอมแรงกว่าอีก! ส่วนตัวชอบนะ ชอบมากด้วย
แต่สำหรับคนที่กลัวเรื่องน้ำหอม อาจจะต้องข้ามตัวนี้ไปนะจ้ะ

ด้วยตัวแป้งมีความพิเศษ ทำออกมา 2 เฉดสี เพื่อเน้นผิวหน้าให้กระจ่างใสx2 5555
เนื้อแป้งจะแห้งๆ แข็งๆ ไม่เนียนนุ่มเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ อีก 4 ตลับ
แต่เนื้อเนียนละเอียด 

สำหรับตัวนี้จอยว่าสามารถใช้ได้ทุกวัน เบาๆ สบายๆ 
ไม่เน้นการปกปิดเท่าไหร่ ระดับ light coverage แต่ก็ยังช่วยทำให้รอยแดงบนผิวลดเลือนได้
ไม่ช่วยควบคุมความมัน แต่ผิวดูกระจ่างใส สุขภาพดี มีความฉ่ำนิดๆ เวลาเหงื่อออก
และที่สำคัญคือไม่เป็นคราบ
จอยว่าตัวนี้ปัดด้วยแปรง จะให้ลุคที่สวยกว่า สามารถฟาดลงไปเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ดูหนักเช่นกัน
ปัดไปก็หอมไป ฟินเว่อร์ๆ ส่วนตรงไหนที่เราอยากให้ดูกระจ่างใสเป็นพิเศษ 
ก็ปัดย้ำที่แป้งสีขาว มาเล่นมิติบนใบหน้าได้ 



Benefit Cosmetics Hello Flawless! "i love me" SPF15 สี Ivory 
(ราคา 1,450 บาท)





ตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นแป้งกึ่งๆ Hi-End ที่ไม่ได้แพงมาก แต่ก็ไม่ได้ถูก
และที่อยากหยิบมาพูดถึงก็เพราะว่ามันมีความดีงามมากกกกก
ตลับสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทำให้พกพาค่อนข้างสะดวก 
อีกทั้งแถมทั้งแปรงและฟองน้ำมาให้ในตลับเลย!
ความดีงามของมันก็คือ แป้งตัวนี้ใช้เซ็ตคอนซีลเลอร์ใต้ตาได้เริศมากกก
หรือเวลาเราต้องการเซ็ตผิวในส่วนต่างๆ ตัวนี้ทำได้ดีมาก
เพราะแป้งไม่หนาหนักและไม่ทำให้เกิดคราบ



แป้งที่เซ็ตรองพื้น คอนซีลเลอร์ได้ หมายความว่าใช้ Touch-up ระหว่างวันได้เช่นกัน!
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นคราบแป้งเลย
(แต่ถ้าหน้ามันมาก ยังไง จอยแนะนำให้ซับก่อนนะจ้าา อย่าฟาดลงไปเลยทันที ฮือๆ)

ถามว่าการปกปิดเป็นอย่างไร จอยว่าไม่ค่อยเน้นการปกปิดเท่าไหร่
เนื้อแป้งเล็กละเอียด มีความนุ่มนิดๆ เวลาใช้แปรงปัดบนเนื้อแป้ง
มีผงมีฝุ่นกระจายพอสมควร ต้องเบาๆ มือหน่อย
ตัวนี้เห็นบล็อกเกอร์ต่างประเทศก็ชอบกันหลายคนเหมือนกัน <3


Dior Diorsnow white reveal pure transparency makeup SPF30/PA+++ สี 020 
(ราคา 2,450 บาท)





มาที่แป้งตัวสุดท้าย ที่รู้สึกว่าควรทิ้งได้แล้ว 
ไม่ใช่ไม่ดี แต่เพราะเป็นแป้งลูกรักที่ติดกระเป๋าอยู่ด้วยกันมานานม๊ากกกกกกก
ส่วนใหญ่ตัวนี้จอยเอาไว้พก Touch-up ระหว่างวัน
เพราะไม่เป็นคราบ แต่ให้การปิกปิดที่บางเบา 
เนื้อเนียน ละเอียด และนุ่มมากกกกกก
พัฟเยินมาก เพราะส่วนใหญ่ใช้เติมหน้าข้างนอกตลอด



ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น ผิวยังดูเป็นผิวจริงๆ (เหมาะกับคนที่ผิวหน้าดีระดับนึง)
ตลับหรูหรา สวยงาม เหมาะแก่การพกพาไปข้างนอก 
ไม่ค่อยคุมมัน แต่ใช้เติมระหว่างวันเวลาที่หน้ามันได้ (โดยไม่ทำให้เกิดคราบ)
หรือจะใช้ปัดเบาๆ ทั่วหน้าในวันสบายๆ ที่ไม่เน้นการปกปิด
ให้ผิวดูสว่างๆ เป็นธรรมชาติ




ครบแล้วววว ทั้ง 5 ตัว 
ที่นี้มาดูสรุปจากแป้งทั้งหมดกัน

ไล่จากแป้งที่แนะนำที่สุด (ซ้าย) ไปถึงแป้งที่ไม่แนะนำ (ขวา)

แป้งที่เหมาะจะใช้ในตอนเช้ามากที่สุด เพื่อความสวยและเป้ะตลอดทั้งวัน
Covermark > Jill Stuart > Givenchy > Dior > Benefit

แป้งที่เน้นการปกปิดมากที่สุด
Jill Stuart > Covermark > Givenchy > Benefit Dior

แป้งที่คุมมันมากที่สุด
Covermark > Benefit Dior > Jill Stuart Givenchy

แป้งที่เหมาะสำหรับเซ็ตผิว หรือเติมระหว่างวัน
Dior > Benefit > Givenchy > Covermark > Jill Stuart

ความติดทน
Covermark Benefit > Dior > Jill Stuart Givenchy

ราคา (สูง>ต่ำ)
Givenchy > Dior > Covermark Jill Stuart Benefit 


ครบแล๊ววววว

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับเพื่อนๆ กันนะคะ
แล้วพบกันใหม่ บทความหน้าจ้า




Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 14 เมษายน 2560 21:30:55 น.
Counter : 2567 Pageviews.

0 comment
Swatch | L'Oréal GOLD OBSESSON ปาดให้ดูกันจะๆ ทั้ง 6 เฉดสีใหม่!



สวัสดีค่า จอยเองค่ะ
วันนี้เอาไอเท็มใหม่มาเห่อให้เพื่อนๆ ได้ชมกันอีกแล้ว

หลังจากไปแดนซ์ในงานปาร์ตี้เปิดตัวอย่างอลังการกับลิปสติกใหม่ล่าสุด
L'Oréal Paris GOLD OBSESSON 6 เฉดสี ที่การันตีความทองเลอค่า!
จัดไปกับการสว้อชสีให้ดูกันนะจ้า
เนื้อลื่น ทาง่าย เม็ดสีชัด จอยว่าเค้ามีค่อนข้างหลาย texture บางสีเนื้อสีแน่น
บางสีเนื้อสีเชียร์ รู้สึกลุ้นทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาปาด
ใครชอบสีไหน พุ่งตัวไปซื้อให้ไวเลย! (สนนราคาอยู่ที่แท่งละ 399 บาท)
ความพีคอยู่ที่ตัวเอกของงานกับสีทอง ที่สามารถทาทับสีอื่นเพิ่มความวิ้งค์วาวก็ได้
หรือจะเอามาทาเป็นไฮไลท์ที่แก้มหรือเปลือกตาก็ได้ เริศเนอะ!



G101 / LE GOLD
สีนี้คือสีที่เป็นพระเอกสุดของคอลเลกชั่นนี้
สีทอง ซึ่งสีไม่ได้ทองแน่นแบบในรูปโฆษณา (55555)  
ออกประกายทองๆ เหมือนเมทัลลิกมากกว่า สวยและแปลกดี
สามารถนำไปทา on top ลิปสีอื่นๆ เพื่อสร้างความพิเศษได้
ไม่เคยเห็นตามท้องตลาด มีความเริศอยู่ ทาไปปาร์ตี้ ได้ลุคเก๋กว่าใครแน่นอน

N601 / NUDE GOLD
สีชมพูหวาน ตัวนี้สีเชียร์มากๆ แทบไม่ออกสี
ได้ความชมพูระเรื่อๆ (ไม่ค่อยต่างจากสีปากเดิมจอยมากเท่าไหร่ ปกติจอยปากชมพูมาก)
ให้ความชุ่มชื้นได้ดีมากๆ สวยใส ไม่เป็นคราบบริเวณร่องปากด้วย
ใครชอบลุคหวานๆ จัดแท่งนี้ไปโลด

C601 / CORAL GOLD
สีส้มปรี๊ด ออกติ่งไปทางแดง
แซ่บมาแต่ไกลแน่นอน เนื้อสีเรียบลื่น เม็ดสีแน่นชัด ปาดครั้งเดียวรู้เรื่อง


P601 / ROSE GOLD
สีนี้ก็สวยไม่แพ้กัน ชมพูบานเย็น สีสดชัดมากกก
มีความหวาน แต่ก็ยังดูเปรี้ยวซ่า เข้ากับลุคแก้มชมพูที่จอยแต่งสุดๆ
เนื้อลิปชุ่มชื่น ไม่ตกร่องปาก

R601 / ROUGE GOLD
เพิ่มดีกรีความเผ็ดขึ้นมาอีกด้วย สีแดงแรงฤทธิ์
เป็นสีที่เซ็กซี่เว่อร์ (แล้วทำไมต้องกัดปาก?) จะทาไปดินเนอร์กับแฟน
หรือทาไปปาร์ตี้ก็ยังไหว มันเป็นสีแดงติ่งส้ม ทำให้เข้ากับสีผิวสาวเอเชียได้ดีเลย
(ถ้าแดงติ่งฟ้า ทาแล้วจะดูซีดๆ หมองๆ)

M601 / MOCHA GOLD
สีนี้เป็นสีที่จอยคาดหวังมากที่สุด (ส่วนตัวชอบลิปสีเข้ม)
แต่เนื้อมันกลับไม่ได้แน่นเหมือนที่เห็นจากตัวแท่ง
เลยได้ลุคปากแดงก่ำๆ ระเรื่อๆ ทำให้สม่ำเสมอยากกว่าสีอื่นๆ เพราะเนื้อบางเบา
แต่จอยคิดว่าเป็นไอเท็มที่ดี สำหรับมือใหม่ที่อยากลองลิปสีเข้ม
แต่ไม่กล้าจัดหนักจัดเต็ม ลองตัวนี้ซ้อมๆ ดูก่อนเลย



หมดแล้วววว หวังว่าจะเจอสีที่ถูกใจกันนะคะ
แล้วพบกันใหม่บทความหน้า แล้วเจอกันค่า





Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2560 20:28:24 น.
Counter : 1242 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

LoveBerryJoyJee
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



loveberry joyjee
See my Art work, Graphic Design