ปลายปีที่แล้ว ช่วงอากาศเย็นๆ ก็ได้เวลาขึ้นภูเขาคราวนี้ไปอุทยานแห่งชาติแมปิง ฟังชื่อแล้วกะว่าอยู่เชียงใหม่แน่เลยแต่ไม่ใช่หรอกค่ะ อยู่ลำพูนทั้งทุ่งกิ๊ก และแก่งก้อ อยู่ในความดูแลของอุทยานนี้ไปถึงที่นั่นแต่เช้าตรู่ ผ่านทางคดเคี้ยวและหมอกจัดเหมือนกำแพงสีขาวเมื่อเลี้ยวขึ้นภูเขาจากอำเภอลี้คว้ายากันเมารถกินเข้าไปตอนตีสามกว่า ด้วยความที่อากาศเย็นจัด ก็เลยรอดตัว ไม่อ๊อกพอลงมาถึงที่ทำการอุทยานฯ ก็เริ่มรู้ว่าตะเข็บกางเกงยีนส์อยู่ที่ไหนต้องวิ่งมาคว้าเสื้อกันหนาวในรถ ก่อนวิ่งเข้าบ้านไปแต่ยังอุตส่าห์อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา ระหว่างรออาหารเช้าปลุกตัวเองด้วยกาแฟ กับข้าวตังสมุนไพรสุดอร่อยของพี่ที่ไปด้วย รวมทั้งข้าวเหนียวเนื้อเค็มหอมนุ่มแล้วก็ออกมาเจอแดดอุ่นๆเจ้าแมวอ้วนตัวนี้เป็นพนักงานรับแขก ถ่ายรูปรออยู่พักหนึ่ง ก็ออกไปวัดพระพุทธบาทห้วยต้มพระเณรเตรียมสถานที่ทำบุญ รู้สึกว่ากลางคืนจะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรด้วยชาวบ้านพากันมาทำบุญ ไหว้พระ ฟังเทศน์ลูกเด็กเล็กแดงมากันหมดชอบเด็กคนนี้มากพอเห็นเราเดินเข้าไปใกล้ พร้อมรอยยิ้มเอาใจเด็ก ก็ยิ้มหวานตอบทันทีโทษฐานเป็นเด็กเส้น โพสต์ซะสองรูปจริงๆถ่ายมาเยอะกว่านี้ตอนบ่ายๆกลับมาฟังบรรยายสรุปจากรองหัวหน้าอุทยานว่าแถวๆนั้นมีอะไรบ้างแล้วก็จับพวกเราใส่รถไปที่ ทุ่งกิ๊ก ซึ่งเป็นทุ่งโล่งตามธรรมชาติกลางป่าห่างจากที่ทำการไปสักครึ่งชั่วโมงพักที่นั่นตอนกลางคืน ก่อนจะตื่นมาดูนกอากาศเริ่มเย็นยะเยือกอย่างรวดเร็ว หลังพระอาทิตย์ตกอาบน้ำเสร็จก็ตัวชาเลยแถมฝักบัวห้องนั้นไหลริบหรี่ ต้องบอกคนที่รอเข้าห้องน้ำว่า รอห้องอื่นเถอะค่ะมีเสื้อกันหนาวกี่ตัว โปะลงไปโชคดีที่ก่อนไป พี่คนหนึ่งส่งเมล์สภาพอากาศที่นั่นมาให้ 11-12 C แจ็คเก็ตบางๆเอาไม่อยู่แน่ เลยต้องม้วนเสื้อกันหนาวอุ่นๆอีกตัวไปเพิ่มหลังกินข้าว พี่ๆ 2-3 คน นั่งปิคอัพไปกับเจ้าหน้าที่อุทยาน ไปถ่ายรูปที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มเพราะต้องให้คนขับรถตู้พักเราส่ายหน้าดิก ไม่ละค่ะ ปิคอัพลมโกรก แบบ 11 C เหรออยู่บ้านดีกว่าแล้วก็จุดเทียนที่บ้าน เจ้าหน้าที่เตรียมโคมลอยไว้ให้ด้วยเช้าตื่นมา กินข้าวเช้า แล้วเจ้าหน้าที่ก็แจกกล้องส่องทางไกลพร้อมซักซ้อมวิธีใช้แต่เรามีกล้องของน้องอีกคนที่ไปด้วยอยู่แล้ว ก็ค่อยๆออกเดินไปเงียบๆกับเจ้าหน้าที่อีกสองคน และหนังสือดูนกสามเล่ม เราน่ะไม่ใช่นักดูนกอยู่แล้วและความรู้เกี่ยวกับสัตว์ก็น้อยจนน่าใจหายรอดู เวลาเจ้าหน้าที่ปรับโฟกัสไว้ให้ ง่ายกว่าเยอะ ดูไปเปิดหนังสือไปหนหนึ่งเจ้าหน้าที่เจอนกแก้ว แก้มสีชมพูหวานแหววเราเกือบหัวเราะออกมา ตอนที่น้องเขารำพึงรำพัน เหมือนเจอสาวแก้มสีชมพูเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปนกแก้วตัวนั้นมาให้ดูได้ก็เลยเดินถ่ายรูปไปด้วย ดูนกไปด้วย เจอไก่กำลังจิกมะละกอแบบเอาเป็นเอาตายด้วงน้ำมันดอกไม้ริมทาง ถามเจ้าหน้าที่แล้ว ลืมชื่อ พอสายหน่อยก็ไป น้ำตกก้อหลวงเดินพอได้เหงื่อและเริ่มหายใจฟืดฟาดน้ำตกใสสีเขียวอมฟ้า เหมือนทะเลอันดามัน ละอองน้ำเย็นเฉียบล่องแพไปตามแม่น้ำปิง ชมวิวคนอื่นพักที่แพริมน้ำ แต่เราพักที่บ้านบนเนินเขาเหมาะกับคนไม่ชอบอะไรโคลงเคลงอย่างเรามาก ใครอยากว่ายน้ำ ก็ว่ายไปพายเรือคยัคก็พายไปเรานั่งเอาขาจุ่มน้ำได้เพลินๆอยู่สักพักก็ต้องลุกมาปฏิบัติภารกิจกู้ notebook ของพี่คนหนึ่งให้กลับมาทำงานได้เหมือนเดิมที่นี่หน้าตาและบรรยากาศพอฟัดพอเหวี่ยงกับปางอุ๋งที่แม่ฮ่องสอนมีทะเลสาบและไอหมอก ที่เรือนแพตอนเช้า สวยพอกันแต่คนน้อยดี เพราะที่พักจำกัดชอบมากตรงที่ทั้งภูเขาและเวิ้งทะเลสาบนั้น มีคนอยู่สักสามสิบกว่าคนคือที่แพ ที่บ้าน และนักท่องเที่ยวที่กางเต๊นท์อยู่บนเนินเขาอีก 4-5 คนเรียกว่าท้องฟ้า ภูเขา และสายน้ำ เป็นของเราอากาศก็อุ่นกว่าตอนอยู่ที่ทุ่งกิ๊กเยอะ สระผมได้สบายๆต้องบอกว่าเจ้าหน้าที่น่ารักมาก อัธยาศัยดีสุดๆทุกคนทั้งรองหัวหน้าอุทยานและน้องอีกสองคนที่พาไปดูนกแต่เชื่อว่าเขาคงจำแก๊งนี้ไปอีกนาน เพราะถูกน้องผู้หญิงคนหนึ่งในแก๊งแหย่แล้วแหย่อีกจนเราพูดกันว่า กลับไป เขาต้องแปะรูปน้องคนนั้นไว้ที่อุทยานแห่งชาติทุกที่ ห้ามเข้า!เราเกือบจบทริปนี้ได้อย่างสวยงามอยู่แล้วถ้าขาลงจากเขา เราจะไม่อ๊อก ก่อนถึงทางราบแค่ห้านาที มีกันเก้าคน อ๊อกซะสามคน เล่นเอาหมดแรง