โรคสะเก็ดเงิน หรือ เรื้อนกวาง (Psoriasis) เป็นโรคที่เรียกว่า wax and wane คือเป็นๆหายๆ เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป กำเริบบ้าง สงบบ้าง สลับกันไปไม่หายขาด เป็นเรื้อรัง แต่ก็อาจสงบหายไปได้เป็นปีๆ ก่อนจะกำเริบใหม่คนไข้คงอยากเรียกว่าโรคกรรมโรคเวรเพราะเป็นสิ่งที่เวลาเป็น มองเห็นทีไรก็สร้างความหงุดหงิด รำคาญใจว่าเราเป็นอะไรกลัวใครๆรังเกียจเป็นมากๆเข้าก็เครียด เลยยิ่งพาลเป็นมากขึ้น เพราะปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เป็นมากขึ้นคือความเครียด และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิดการใช้ยาบางตัวเช่น ยาโรคหัวใจในกลุ่มเบต้าบล็อคเกอร์ ยาต้านมาลาเรีย หรือยาต้านการอักเสบพวก NSAIDsอาการที่เป็น มักแสดงออกที่ผิวหนัง อาจเป็นผื่นแดง มีสะเก็ดสีขาวเงิน เป็นขุยๆ ถึงได้เรียกสะเก็ดเงิน พอหลุดออกไปก็จะมีเลือดออกเป็นจุดๆบางทีเป็นผื่นหนา แข็ง เป็นแผ่นๆ แบบนี้เวลาทายาอาจต้องใช้ยาที่ทำให้ผิวหนังแข็งๆหลุดลอกออกก่อน ยาจะได้ดูดซึมไปออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นพวกนี้มักเป็นที่ศอก เข่า หนังศีรษะ ลามไปที่ตัว แขน ขา หน้า หู มือ เท้า เล็บบางคนเป็นจุดๆสีแดง ทั่วตัวบางครั้งอาจมีอาการอักเสบของข้อร่วมด้วยโรคนี้ไม่ติดต่อ แต่คนทั่วไปก็มักจะไม่ทราบและหลีกเลี่ยงผู้ป่วยพบว่าคนในครอบครัวเดียวกันมักมียีนบางตำแหน่งที่แสดงการเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะแบบที่มีข้ออักเสบ มีสิทธิ์เป็นได้มากกว่าคนที่ครอบครัวไม่เป็น โรคสะเก็ดเงินเกิดจากการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับ T-lymphocytes (T-cells) โดยที่ T-cells ที่ถูกกระตุ้นจะหลั่งสารที่เรียกว่า Cytokines ออกมาทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังและการผลัดผิวอย่างรวดเร็วก็เลยเห็นอาการผิวหนังเป็นขุย เป็นแผ่น หนา ลอกดังนั้นการรักษาก็คือจัดการกับระบบอิมมูนที่ผิดปกติซะ เช่นการใช้สเตียรอยด์ หรือยาที่ทำให้การผลัดผิวเป็นปกติมากขึ้นการรักษาจะแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นกับความรุนแรงของโรค การตอบสนองของผู้ป่วย และการทนต่อยาถ้าเป็นไม่มากนักก็ใช้ยาทาเป็นมากขึ้นมาหน่อยก็ใช้การรักษาโดยการฉายแสง UV ร่วมกับ Chemotherapyแล้วก็ผลัดเปลี่ยนวิธีรักษาเวียนไปเรื่อยๆ เพื่อลดผลข้างเคียง และความเป็นพิษของยาวิธีที่ไม่ใช้ยา ก็มี สำหรับคนที่ไม่ชอบใช้ยา แต่ชอบการดูแลตัวเองแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาให้หายได้เพียงแต่ชะลอการกำเริบของโรคเท่านั้นที่แน่ๆคือ - ลดความเครียด เพราะสามารถลดได้ทั้งระยะเวลาและความรุนแรงของโรค- แช่น้ำข้าวโอ๊ตอุ่นๅ เพื่อลดอาการคัน (กินจะอร่อยกว่าไหมเนี่ย) เป็นวิธีของฝรั่ง คนไทยคงต้องน้ำข้าวอุ่นๆ แต่ข้าวโอ๊ตมี วิตามิน B สูง ก็อาจจะดีกว่าน้ำข้าวขาวที่ผ่านการขัดสีแล้วของเรา-ทาครีมหรือโลชั่นที่ปราศจากน้ำหอม เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น วันละหลายๆหน เพื่อลดอาการแห้งแตกของผิว-หลีกเลี่ยงของที่ระคายผิว เช่น การใช้สบู่แรงๆหอมไปสามคุ้งน้ำ ฟอกแล้วผิวสะอาดถูดังเอี๊ยด หลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ต้องทำตัวเป็นคุณนาย ถ้าจำเป็นก็ใช้ถุงมือ-หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ แสบร้อนของผิวหนัง อย่างเช่น sunburn อย่าคิดว่าดำอยู่แล้ว ไม่เป็นไร ดำก็ผิวไหม้ได้ แต่อาจช้ากว่าพวกฝรั่งขาวๆเท่านั้นเอง เวลาคันก็อย่าขูดข่วนแกะเกาจนถลอกส่วนใหญ่การใช้ยาทาเฉพาะที่มักจะได้ผล 70-80% ของผู้ป่วยทั้งหมดเพราะฉะนั้นพอมีอาการแล้วก็ใช้ยาเถอะ ข้างบนที่ว่ามานั่นเก็บเอาไว้เวลาไม่มีอาการดีกว่ายาทาที่ใช้ก็คือสเตียรอยด์ ซึ่งมีหลายชนิด หลายความเข้มข้นรายที่อาการปานกลางก็ใช้ 0.05% - 1% Betamethasone valerateพออาการดีขึ้นแล้วก็ลดความแรงของยาลงมาเป็น 0.5% - 2% Hydrocortisone คนที่เป็นที่หน้าหรือข้อพับ ซึ่งผิวอ่อนบาง ควรใช้ตัวที่ไม่แรงมากอย่าง 0.5% Hydrocortisoneรายที่อาการมากๆ มีผื่นหนาแข็งเป็น plaque ก็อาจใช้ตัวที่แรงขึ้นมาเช่น Fluocinonide, Clobetasol, Halobetasol, Betamethasone dipropionate (สังเกตว่าชื่อยาเดียวกัน แต่ตัวต่อท้ายไม่เหมือนกัน ความแรงจะไม่เท่ากันกับ Betamethasone valerate ตัวข้างบน )แต่ที่สำคัญมากก็คือ อย่าใช้นาน ควรใช้แค่ระยะสั้นๆ แล้วหยุด เช่น ใช้แค่อาทิตย์ละ 1-2 วัน จำง่ายๆก็คือ "Weekend Therapy" เท่านั้นอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยาทาพวกนี้ จะอยู่ในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันถ้าเป็น ointment การดูดซึมจะดี แต่เหนอะหนะครีมหรือโลชั่นจะทาง่ายกว่าโฟมจะเหมาะกับบริเวณที่ผิวบางๆอีกตัวที่เป็นยาทาที่ดีก็คือ Calcipotriol เป็น Vitamin D analogues ซึ่งได้ผลดีพอๆกับการใช้ Betamethasone dipropionateแต่ไม่ค่อยระคายเคือง ก็เลยเหมาะจะใช้กับผิวอ่อนบางที่หน้าหรือข้อพับบางทีก็ใช้ร่วมกันทั้งสองตัวแต่ระวังอย่าใช้ร่วมกับ Salicylic acid เพราะจะทำลายฤทธิ์ของ Calcipotriolถ้าเป็นผื่นหนาแข็งก็ต้องใช้ Salicylic acid ร่วมกับสเตียรอยด์ เพื่อให้สเตียรอยด์เข้าถึงผิวหนังชั้นในได้ง่ายขึ้นเนื่องจาก Salicylic acid จะไปทำลาย keratin ทำให้ผิวหนังนุ่มขึ้น การรักษาก็จะดีขึ้น