...ส บ า ย ๆ ส ไ ต ล์ มื อ ไ ม่ PRO แ ถ ม ยั ง... LOWFESSIONAL ...
 
 

จับไมค์ใส่ MSN

เที่ยงๆ แถวๆที่ทำงานผมนี่ ผมเปิดโอกาสให้น้องๆได้ผ่อนคลายกันบ้าง จึงมักพบว่า บางคนนั่งเปิด MSN พิมพ์ก๊อกๆแก๊กๆแล้วก็นั่งยิ้มมมมม... เอ้า...ก็ไม่ว่ากัน ยามว่างๆไม่เป็นไร แต่ถ้าในเวลางานก็ต้องขอๆกันไว้บ้าง...

ใหนๆก็ใหนๆ จะทำร้ายจิตใจกันถึงขั้นถอดเน็ตก็กระไร เลยมาปรับแต่งกันอีกนิด ซื้อไมค์ตั้งโต๊ะมาเพิ่ม แล้วจัดการให้ MSN สามารถคุยผ่านไมค์กันได้ด้วย เอาไว้ใช้ติดต่อกันระหว่างชั้น ระหว่างตึก ระหว่างสาขาได้ทันที มาดูวิธีการกันหน่อย...

1. ติดตั้ง MSN ด้วยวิธีการปกติ ให้สามารถพิมพ์ข้อความหากันได้โดยปกติซะก่อน

2. สำรวจเครื่องคอมกันสักนิด ว่าสามารถดูหนัง/ฟังเพลงได้เป็นปกติ ถ้าไม่อย่างนั้น ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนด้วย

3. ลองมองตรงมุมล่างขวาของจอภาพเราเองว่ามีรูป "ลำโพง" อยู่หรือเปล่า รูปนี้อาจจะเป็นสีเหลือง หรือสีเทาก็ได้ ถ้าไม่มี ก็ต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน

4. อ่าาาา...มาถึงเนื้อหากันซะที ให้ไปดับเบิ้ลคลิกที่รูปลำโพงนั้นขึ้นมา จะได้ดังรูปข้างล่างนี้



ลักษณะจะเป็นแผงควบคุมอย่างนี้ มองหา Mic หรือ Microphone ถ้าเจอแล้วก็แล้วไป แต่ถ้าไม่เจอให้ทำดังนี้

4.1 คลิกที่เมนู Options เลือก Properties
4.2 มองหา Microphone ในกรอบเลื่อนกรอบล่างนั้น สังเกตว่ายังไม่มีเครื่องหมายใดๆ ให้กาเครื่องหมาย "ถูก" แล้วกด OK กลับออกมาเลย



4.3 จะเห็นแผงควบคุม Microphone ออกมาแล้ว



5. สังเกตรูปข้างบน ที่ช่องของ Microphone ว่า จะมีการติ๊กเครื่องหมายไว้ที่ Mute นี้คือการ "ปิด" ไม่ให้เสียงที่เราพูดใส่ไมค์ มาดังออกที่ลำโพงเราเอง เพราะส่วนมากแล้ว เราจะวางลำโพงไว้ใกล้ๆเครื่องคอม และไมค์ก็จะเอามาวางอยู่ใกล้ๆกันด้วย หากไม่เลือก Mute ไว้ อาจจะทำให้เกิดเสียง"หอน" วี้ดๆจนปวดหูไปหมดก็ได้ คำแนะนำคือให้ติ๊กเลือกเอาไว้

6. มองดูใต้ข้อความ Mute เมื่อตะกี้ หากเครื่องใครไม่มีปุ่ม Advance ก็ข้ามไป แต่ถ้ามี ก็คลิกเม้าส์ที่ปุ่ม Advance น่าจะเห็นรูปข้างล่างนี้



ดูข้างล่างของรูปข้างบน (?) เครื่องผมเขียนไว้ว่า 1 Mic Boost นี่คือการเพิ่มอัตราความไวของการรับเสียงของไมค์ ทำให้เวลาเราพูด ไม่จำเป็นต้องจ่อปากไปใกล้ๆไมค์ และไม่จำเป็นต้องตะโกน สามารถพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แนะนำว่าให้ติ๊กเครื่องหมายไว้ ตรงนี้ คอมบางเครื่องอาจจะใช้ข้อความที่แตกต่างกันไป ต้องสังเกตและแปลดูให้ดี เสร็จแล้วก็กด Close กลับไป

7. ทีนี้ ให้คลิกเม้าส์ที่เมนู Options อีกที แล้วเลือก Properties แล้วคลิกเลือกที่ Recording ดังรูป



ดูรูปข้างบน ในกรอบเลื่อนนั้น ถ้ามีเครื่องหมายติ๊กไว้ที่ใด ให้ติ๊กออกให้หมด เหลือไว้เพียงที่ Microphone ที่เดียวเท่านั้น แล้วคลิก OK กลับไป

8. จากรูปข้างล่างนี้ ต้องติ๊กเครื่องหมายไว้ที่ Select ดังรูป และเลื่อนก้าน Volume ขึ้นมาจนสุด เพื่อให้การรับเสียงมีความไวมากๆ



หากได้ตามนี้แล้วก็คลิก X ออกไปได้เลย

ทีนี้ก็มาที่ MSN กันบ้าง อ่อ...บอกก่อนว่าผมใช้ Windows2000 จึงติดตั้งได้เพียง MSN 7.0 เท่านั้น ใครที่ใช้ตัวใหม่ๆกว่านี้ ก็คงต้องเทียบเคียงให้ดีอีกที

9. เปิด MSN ขึ้นมา ยังไม่ต้อง Sign In ก็ได้ คลิกที่เมนู Audio Tuning Wizard จากรูปข้างล่าง เขาบอกไว้ว่า ถ้ามีโปรแกรมที่ใช้เสียง เช่น WinAmp หรืออื่นๆ ให้ปิดลงก่อน และให้แน่ใจว่า ได้ต่อลำโพง และเสียบไมค์ไว้ให้ตรงช่องเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็คลิก Next



10. หน้าจอนี้บอกว่า ระยะห่างระหว่างปากกับไมค์ น่าจะประมาณ 3 ถึง 5 นิ้ว และอย่าวางลำโพงไว้ใกล้กับไมค์นัก เพราะจะเกิดการหอนได้ อ่านแล้วก็คลิก Next



11. รูปข้างล่าง จะแสดงถึงชื่อรุ่นหรือชื่อชิพของซาวด์การ์ดในเครื่องเรา ตรงนี้ต้องไม่ขึ้นคำว่า None เด็ดขาด ถ้าไม่มีชื่อใดๆขึ้น โครงการนี้จะต้องยกเลิกซะแล้ว แต่ถ้ามีชื่อขึ้นถูกต้อง ก็คลิก Next



12. ตามรูปข้างล่างนี้ จะเริ่มทดสอบก่อนว่าลำโพงมีเสียงมั้ย โดยเอาเม้าส์เลื่อน Volumn มาทางขวาสุด แล้วคลิกที่ปุ่มยาวๆ จะต้องได้ยินเสียงออกมา ถ้าไม่ได้ยินต้องหาสาเหตุ ว่าเสียบสายถูกต้องหรือไม่ ถ้าได้ยินเสียงเรียบร้อยแล้วก็คลิก Next



13. รูปข้างล่างนี้เป็นการทดสอบไมค์ จะสังเกตว่า แถบสีเขียวๆ จะวิ่งขึ้นๆลงๆเล็กน้อย ให้เอาเม้าส์จับ Volumn เลื่อนไปทางขวาสุด แล้วลองเคาะๆที่ไมค์ หรือจะ "อะโหลๆ" ก็ได้ แถบสีเขียวจะต้องพุ่งขึ้นตามเสียงเรา หากว่าเราทำตามขั้นตอนมาตั้งแต่ข้อ 1. เราจะไม่ได้ยินเสียงเราเอง ออกที่ลำโพง แต่จะต้องสังเกตที่แถบสีเขียว ถ้ามันไม่ขยับ หรือไม่พุ่งขึ้นตามที่เราพูดใส่ไมค์ ต้องตรวจสอบว่าเสียบสายไมค์ตรงกับช่องของมันหรือไม่ อาจจะลองสลับดูก็ได้ เพราะมักจะสับสนกันอยู่เสมอๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็คลิก Next



14. อ่าาาา...เรียบร้อยละ คลิก Finish ได้เลย



ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสำคัญ คือจะส่งเสียงคุยกันกับเพื่อนแล้ว สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ ฝ่ายที่กำลังแชตใน MSN กับเรา จะต้องมีไมค์ด้วย จึงจะสามารถทดสอบได้ราบรื่น เอ้า... Sign In เข้าไปเล้ยยยย...

15. เมื่อเราดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อของคู่สนทนา หน้าจอสำหรับพิมพ์ข้อความก็จะเป็นแบบนี้



ให้คลิกที่ปุ่มที่ชื่อว่า "Audio" โปรแกรมจะส่งคำขอเปิดการสนทนาด้วยเสียงไปยังฝั่งตรงข้ามทันที โดยถ้าหากเกิดเปลี่ยนใจกระทันหัน ก็สามารถคลิกที่ปุ่ม "Cancel" ได้

16. ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ก็ต้องรู้ไว้ เพราะบางทีก็มีคนเรียกเรา แทนที่เราจะเรียกเขา (งงมั้ย?) รูปนี้เป็นหน้าจอของคู่สนทนา



ที่ฝั่งตรงข้ามเรา โปรแกรมจะถามว่า คุณจะตอบรับการขอสนทนาด้วยเสี่ยงมั้ย? ถ้าตอบรับก็กด Accept หรือถ้าไม่ต้องการก็กด Decline ตอนนี้ สมมติว่าตอบรับก็แล้วกัน

17. พอคู่สนทนาของเราคลิกตอบรับปุ๊บ โปรแกรมก็จะแจ้งให้เราทราบ เราก็จะได้ยินเสียงกันและกันได้ทันที ไม่ต้องคลิกแล้วพูดเหมือนพวก Intercom แต่ประการใด ดูรูปข้างล่างนี้



เวลาหมาพูด (ฝ่ายตรงข้าม) สังเกตที่รูปลำโพงข้างๆหมา และใต้ลำโพงนั้นก็คือ Volumn หากว่าเสียงจากฝ่ายตรงข้ามดังมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ก็สามารถเอาเม้าส์จับก้าน Volumn เลื่อนขึ้นลงได้ และตรงนี้ จะมีแถบไฟสีเขียวๆแสดงสัญญาณตามการพูดของหมาด้วย

เวลาเราพูดบ้าง ก็จะเห็นแถบไฟสีเขียววูบวาบตามเสียงเราพูดด้วย สำหรับ Volumn ของไมค์ เราน่าจะต้องดันขึ้นให้สุดด้านบนไว้ก่อน ทีนี้ก็พูดๆๆๆๆกันเข้าไป จะพูดไปด้วยพิมพืไปด้วยก็ยังไหว

18. ทีนี้จะเป้นเรื่องตรงกันข้ามบ้าง ดูรูปข้างล่างนี้



หากว่ามีใครเข้ามาขัดจังหวะ ต้องคุยกับคนทางนี้ โดยที่ไม่อยากให้คนทางโน้นได้ยิน เราก็สามารถเอาเม้าส์ไปคลิกเบาๆที่รูปไมค์ ก็จะมีเครื่องหมาย "ห้ามจอด" ขึ้นมาบังไว้ เท่านี้ฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่ได้ยินเสียงเราแล้ว พอคุยธุระทางนี้เสร็จ ค่อยกลับไปคลิกที่เครื่องหมายห้ามจอดตรงไมค์อีกที เครื่องหมายก้จะหายไป คุยกันต่อได้เหมือนเดิม

ในทำนองเดียวกัน หากฝ่ายโน้นพูดไม่หยุดจนน่ารำคาญ หรือไม่ต้องการให้คนทางนี้ได้ยินในบางประโยค ก็สามารถไปคลิกที่รูปลำโพงข้างบน เครื่องหมายห้ามจอดก็จะเกิดขึ้น ต่อให้ฝ่ายโน้นบ่นแทบตาย เราก็จะไม่ได้ยินเสียงใดๆ กะว่าปล่อยให้พุดจนเหนื่อยแล้ว ค่อยกลับไปคลิกเพื่อคุยกัน(ดีๆ)ต่อไป

และพอหมดอารมณ์(จะคุย)ด้วยกันทั้งคู่ ก็ไปกดที่ปุ่ม "Audio" ข้างบน ระบบก็จะยกเลิกการสนทนาด้วยเสียงออกจากกันทันที โดยที่เรายังสามารถพิมพ์ข้อความคุยกันได้เหมือนเดิม

จบแล้วครับ...ทีนี้หลายๆคนน่าจะพอทำด้วยตัวเองได้กันละ วันนี้ไปก่อน สวัสดีครับผม...




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2549   
Last Update : 11 ตุลาคม 2549 10:19:39 น.   
Counter : 5057 Pageviews.  


การ์ดรีดเดอร์ : (เพราะ)สายจริงๆด้วย!?

มก็มีกล้องดิจิตอลกับเขาเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้เล่นแบบที่วิริสสะมาหราตามโฆษณาเขาหรอก พิจารณาเอาตามความจำเป็น ก็เลยได้มาเป็นแบบตัวอ้วนๆหน่อย ซูมได้พอประมาณ เมื่อ 2 ปีก่อนก็ 3.1 ล้านพิคเซล ก็จัดว่าใช้ได้ครับ เกินครึ่งหมื่นมานิดๆ

จะยุ่งยากเล็กน้อยก็ตรงที่ เวลาจะเอารูปลงคอมฯ เพราะต้องค่อยๆ"แยง"หัวสายเล็กๆเข้าไปในกล้อง แล้วอีกปลายนึงไปเข้าช่อง USB ในคอม ซึ่งจะว่าไป มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก เพียงแต่สายจะระเกะระกะหน่อยเท่านั้น หวุดหวิดจะปัดสาย ทำกล้องร่วงลงพื้นก็หลายครา ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ

จนลูกชายเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด ก็ขอเอากล้องไปใช้งานด้วย เสร็จงานก็เอากลับมา แต่ดั๊น...ลืมสาย USB ซะงั้น...ทำไงล่ะทีนี้ ถ่ายรูปได้ แต่เอารูปลงคอมไม่ได้!?

ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการไปซื้อ card Reader มาตัวนึงครับ เลือกเอาแบบถูกสุด และฟังก์ชั่นเดียว เสียบการ์ดแบบเดียว ราคา 150 บาท



ลักษณะก็ดังรูปข้างบนนั่นละครับ (ก็บอกกันก่อนสักเล็กน้อยว่า ตัวที่ผมมีไม่ใช่ยี่ห้อในรูปนะครับ อันนี้เสริจมาจากเน็ต เพื่อประกอบเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่เป็นลักษณะเดียวกัน) ปลายนึงเป็น USB เสียบเข้ากับคอม อีกด้านนึง เมื่อเปิดฝาออก ก็เอา SD Card ของกล้องเสียบเข้าไป มี LED ดวงเล็กๆไว้บ่งบอกว่ามันกำลังทำงาน แค่นั้นเองครับ

คอมที่บ้านผม มันออกจะตกยุคสักหน่อย เอาแค่ว่ามีพอร์ท USB ก็หรูแล้วครับ(ฮ่าๆ) แต่เจ้าพอร์ทที่ว่านี้อยู่หลังเคสครับ ผมเองก็มีทั้งเครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนเน่อร์ และแฮนดี้ไดร้ฟ์ จะมัวเดินอ้อมหน้าอ้อมหลัง เพื่อเสียบๆถอดๆ USB ก็กระไร เลยหาซื้อสายต่อมาเส้นนึงครับ



หน้าที่ของสายเส้นนี้ก็คือ ทำให้พอร์ท USB มาอยู่ด้านหน้า ใกล้ๆมือผมเท่านั้นแหละครับ ซึ่งที่ผ่านๆมา เขาก็ทำหน้าที่ของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะพิมพ์จะสแกน หรือจะโอนถ่ายเพลงลงแฮนดี้ไดร้ฟ์ สำเร็จเรียบร้อยดีตลอดมาครับ

จนวันที่ผมซื้อ Card Reader ตัวนี้มานี่ละครับ

กลับมาถึงบ้าน ผมก็เอา Card Reader เสียบเข้ากับ USB CABLE ที่มีทันที อ่า...เห็นครับ คอมมองเห็นว่ามีไดร้ฟ์เพิ่มขึ้นมา ก็คลิกๆอีก 2-3 ที เพื่อให้คอมกับ Card Reader ตัวนี้รู้จักกัน เสร็จแล้วผมก็ถอด SD CARD จากกล้องมาเสียบเข้าไปที่ Card Reader

คอมก็ตรวจพบครับ ว่ามีการ์ดเสียบเข้ามา แล้วก็ขึ้น "นาฬิกาทราย" หมุนๆๆๆๆ...แล้วก็หมุนๆๆๆๆๆ....



อ้าวววว...เข้าไม่ได้ครับ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ผมลงความเห็นไปที่ Card Reader ก่อนเลยว่าอาจเป็นเพราะราคามันถูกจัง ซื้อมาเสียเลยซะมั้ง?

ว่าแต่ว่า...จะเสียจริงหรือเปล่า? ก็เลยดึง Card Reader ออก แล้วเดินไปลองเสียบกับคอมเครื่องอื่นดู อ้าวววว...อ่านได้ ใช้ได้

เอาไปลองอีกเครื่องให้แน่ใจ...ปรากฏว่าอ่านได้ทุกเครื่อง สรุปว่าไม่เสีย(หรือเปล่า?)

เอากลับมาเสียบที่ USB CABLE กับเครื่องเดิม ก็อาการอย่างเดิมคือ นาฬิกาทรายหมุนๆอยู่ตลอด ผมหันไปหันมา อืมมม...ลองเสียบเข้าตรงๆ ไม่ต้องผ่านสาย USB สักทีซิ...

เรียบร้อยครับ อ่านได้ฉลุยเลย

ผมลองดูจนแน่ใจว่า ผ่านสายไม่ได้ แต่เสียบตรงๆได้ อืมมม...ผมไม่รู้จะตอบคำถามตัวเองอย่างไงเหมือนกัน เพราะสาย USB เส้นนี้ ก็ยังคงทำหน้าที่กับอุปกรณ์อื่นๆที่ผมมีได้อยู่อย่างเดิม แต่ทำงานกับ Card Reader ตัวนี้ไม่ได้ และเมื่อนำสายเส้นนี้ไปทดลองกับคอมตัวอื่นๆ ก็ ผ่านสายไม่ได้ แต่เสียบตรงๆได้ เหมือนกันทุกเครื่อง

ใครพอจะรู้เหตุผล หรือมีประสบการณ์ ช่วยไขข้อข้องใจทีนะครับ และก็หยิบยกเรื่องนี้มาเล่า ก็เพื่อว่า หากใครเจอแบบเดียวกับผม จะได้ไม่ถือ Card Reader กลับไปเปลี่ยนที่ร้าน ให้ต้องหน้าแตกกันครับ

โชคดีทุกๆท่าน สวัสดีครับผม...




 

Create Date : 28 กันยายน 2549   
Last Update : 28 กันยายน 2549 11:25:23 น.   
Counter : 3633 Pageviews.  


เมื่อโปรแกรมเมอร์ถุงเท้าขาดส้น...!?

จริงๆนะ ไม่ได้ล้อเล่น...
ทุกๆวัน ผมต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงตึก 4 ชั้นเป็นประจำ เรียกว่าชั้นใหนมีคอม ชั้นนั้นผมต้องไปเสนอหน้าบ่อยๆ ก็สำนักงานยังไม่มากชั้นพอจะมีลิฟท์ เลยต้องใช้บันไดไปเรื่อยๆก่อน

ส่วนมากพนักงานสาวๆเขาจะมีรองเท้าผ้าครับ ซึ่งบรรดารองเท้าผ้าทั้งหลาย ก็ตัดเย็บมาเหมาะกับคุณเธอซะจริงๆเชียว เป็นหัวมิคกี้เม้าท์ก็มี เป็นรูปหัวใจสีชมพู ฯลฯ คน"หลักสี่"อย่างผมก็มองแล้วมองอีก จะซื้อมาใส่สักคู่ก็กลัวเขาจะขำเอา อีกอย่าง เราก็มีถุงเท้าอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหารองเท้าผ้ามาใส่อีก


(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันที่ผมเขียนบล็อกนี้เป็นวันศุกร์ครับ อ้าว...วันสุดท้ายของสัปดาห์ ถุงเท้าเลยเหลือคู่สุดท้ายแล้ว เมื่อเช้าก็จับพลิกไปพลิกมาอยู่ อืมม...ส้นมันออกจะบางลงๆมากแล้วนะนี่ แต่ยังไม่ขาดครับ ก็เลยใส่มาทำงาน

จาก 8 โมง ถึงประมาณ 9 โมงเองครับ ขึ้น-ลงได้สัก 3 รอบ มันก็เย็นส้นวาบๆซะแล้ว พลิกเท้าขึ้นมาดู โอ้โห...ก็ตามรอยที่เห็นเมื่อเช้านั่นละครับ ทะลุออกมาแทบจะทั้งส้นเลย เรียกว่าแค่ยืนธรรมดานิ่งๆ มันก็ร่นขึ้นมาให้เห็นแล้ว เวลาเดินยิ่งไปกันใหญ่ เหมือนเปิดไฟต่ำวับๆตลอดทาง ไม่กล้าเดินออกหน้าใครเลยครับ โดยเฉพาะตอนขึ้นบันได

จะออกไปซื้อก็ใช่ที่ (มันขาดแค่ข้างเดียว) จะถอดออกเลยก็ไม่น่าดู จะปล่อยไว้อย่างนี้ยิ่งไม่น่าดูเข้าไปใหญ่ เลยถอดถุงเท้าข้างที่ขาดออกมานั่งพิจารณา อ้อ...ยังเช้าอยู่ครับ ยังไม่ค่อยมีกลิ่นเท่าไร

เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจับถุงเท้าให้ตึง แล้วก็พับปลายขอบด้านบนกลับเข้าข้างใน โดยใช้ 2 มือช่วยกัน เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางประคองด้านนอก แล้วเอานิ้วโป้งเป็นตัวดันส่งขอบเข้าไปข้างใน ค่อยๆดันไปทีละนิดๆ จนขอบถุงเท้าเข้าไปจนเลยรอยขาดส้นสักเล็กน้อย เป็นอันว่าเสร็จพิธีครับ

ทีนี้ก็เอามาสวมอย่างเก่า โดยต้องบรรจงในการใส่สักหน่อย ปลายขอบถุงเท้าก็จะไปอยู่ใต้ส้นเท้าเรา ก็จะมองไม่เห็นรอยขาดอีกต่อไป ถ้าหากกลัวว่า เวลาปลายขากางเกงเลิกขึ้นแล้วจะไม่สวยงาม เพราะตอนนี้ ถุงเท้าจะสั้นข้างยาวข้าง ก็ให้ไปพับถุงเท้าข้างที่ไม่ขาด ให้ลงมาเท่าๆกับอีกข้างนึง แค่นี้ก็ไม่ขัดตาแล้วละครับ

พอได้ไอเดียจากวันนี้ อืมม...ที่บ้านมีอีก 2-3 คู่ ที่จำเป็นต้องปลดระวางเพราะส้นมันขาด ได้การละครับ ต้องไปค้นกลับมาใช้งานต่อ ไม่ต้องซื้อใหม่อีกเป็นปีละครับท่านผู้ชม...
สวัสดีครับผม




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2549   
Last Update : 25 สิงหาคม 2549 10:01:53 น.   
Counter : 1514 Pageviews.  


สาย AC : อย่ามองข้ามความปลอดภัย



เมื่อเร็วๆนี้ คอมฯตัวนึงในร้านผม เกิดวูบดับลงไปซะเฉยๆ เด็กที่กำลังเล่นเกมก็ร้องเรียก ลุง...ลุง คอมดับ ผมเดินไปดูก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ดึงปลั๊กไฟออกมาดูก็ไม่เห็นเป็นไร พอเสียบลงไปใหม่ก็เปิดใช้งานได้อีก

ใช้ไปสัก 10 นาที เสียงเด็กเรียก ลุงๆอีกแล้ว ผมคิดในใจว่าอาจจะมีใครไปตั้ง ScreenSaver ไว้หรือเปล่า หรือมีโปรแกรมอะไรแอบมาฝังตัวไว้ ก็เสียบปลั๊ก เปิดเครื่อง อ้าว...มันก็ยังเปิดได้อีก ผมก็พยายามไล่หาชื่อโปรแกรมแปลก ทั้งตรวจผ่านทาง MSCONFIG ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ สักพักนึงคอมก็ดับลงไป

อืมม...เริ่มมึนๆละทีนี้ ผมก้มลงไปดึงปลั๊กไฟออกอีกที คราวนี้พอรู้สึกได้ว่ามันอุ่นๆไปจนค่อนข้างร้อนนะ



ผมลองจับมันหงายขึ้นแล้วจับโยกๆดู ความรู้สึกว่ามันอ่อนๆมากผิดปกติ ลองดึงดูก็ไม่หลุด แต่เมื่อลองดูใกล้ๆ ตรงบริเวณที่โผล่พ้นฉนวนดำๆออกมา ที่ผมชี้ลูกศรสีแดงเอาไว้นั่นละ สังเกตว่าเป็นเนื้อพลาสติดดำๆ ยุ่ยๆ เหมือนกับโดนความร้อนแล้วปูดออกมา

ใช่เลยครับ...สายสำเร็จรูปพวกนี้ จุดอ่อนจะอยู่ที่การบัดกรี ขั้วปลั๊กโลหะกับสายทองแดงที่เป็นเนื้อสายไฟ ในกรณีที่ผมเจอนี้ ผมเสียบไว้ข้างหลังโต๊ะคอม ซึ่งเสียบคาไว้ตลอดเวลา ไม่มีใครเข้าไปโยกหรือถอดแต่อย่างใด

คาดว่า จุดบัดกรีภายในอาจจะไม่ดี ไม่สนิทแน่นพอ ในระหว่างการใช้งานที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน จึงทำให้เกิดความร้อนขึ้น และร้อนขึ้นเรื่อยๆ จุดบัดกรีก็จะยิ่งเลื่อนหลุดออกจากกันมากขึ้น ความร้อนที่เกิดขึ้น จึงมีผลทำให้เนื้อพลาสติค หลอมละลายปูดออกมา

หากเครื่องคอมไม่ดับลงให้เห็นเสียก่อน ความร้อนอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะมากจนพลาสติคลุกเป็นไฟ หรือไม่ก็ควันโขมงโฉงเฉง ให้ลูกค้าตกใจวิ่งไปตามรถดับเพลิงเป็นแน่

เป็นอุทาหรณ์ว่า ก่อนเสียบปลั๊กคอมลงไปในเต้าเสียบ ให้ลองโยกๆหรือขยับๆขาปลั๊กดูสักเล็กน้อย สังเกตความมั่นคงของการเชื่อมต่อสักนิด หากไม่ดีก็ขอเปลี่ยน หรือไม่ก็ซื้อใหม่เสียนะครับ ยิ่งถ้าเป็นปลั๊กที่อยู่ในมุมอับ ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมักจะไม่ค่อยได้เข้าไปดูกันสักเท่าไร

และถ้าจอมอนิเตอร์ยังเอาสายมาเสียบรับไฟจากหลังเคสไปอีก ยิ่งต้องตรวจตราให้มากขึ้น เพราะจะมีไฟฟ้าไหลผ่านสายเส้นนี้ค่อนข้างมากครับ ในการใช้งานปกติยังออกจะอุ่นๆเล็กน้อย หากขั้วต่อไม่ดีพอ อาจจะร้อนจนลุกไหม้ได้ โชคดีและสวัสดีครับผม




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2549   
Last Update : 22 สิงหาคม 2549 14:06:30 น.   
Counter : 2130 Pageviews.  


AntiVIR ป้องกันไวรัสที่ใช้ง่าย,ใช้ดี และใช้ฟรี!

AntiVIR : อยากแนะนำให้ลองใช้กันดู

ผมเองมีเหตุให้ต้องปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงวินโดวส์เวอร์ชั่นต่างๆอยู่บ่อยๆครับ เนื่องจากส่วนมากต้องทำคนเดียว คิดคนเดียว ที่จะเป็นที่พึ่งได้ ก็คือแหล่งความรู้ในอินเตอร์เน็ต และเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย แต่ท่านเหล่านี้ก็ยินดีตอบคำถามในเรื่องต่างๆ เวลาว่างๆไม่มีเครื่องใหนตามไปแก้ไข ผมก็มักจะเข้าเน็ต หาอ่านคำถาม/คำตอบจากหลายๆที่ ทำให้ได้ความรู้ ได้แง่มุมความคิดต่างๆตามเขาไปด้วย

และ AntiVIR โปรแกรมป้องกันไวรัสตัวนี้ก็เช่นกันครับ เห็นหลายๆคนพูดถึงในแง่บวกมากกว่าแง่ลบ ผมจึงตัดสินใจนำมาติดตั้งใช้งาน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแจ่มแจ๋วใช้ได้ครับ ติดตั้งง่าย รองรับในหลายๆเวอร์ชั่นของวินโดวส์ ตัวโปรแกรมเองมีการอัพเดทแบบอัตโนมัติ และที่สำคัญ สามารถดาวน์โหลดลงมาติดตั้งใช้งานได้ฟรีๆ ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆให้ยุ่งยากอีกด้วยครับ

หาได้จากใหน?
ง่ายๆ สบายๆสไตล์ผมครับ ไม่ต้องไปสืบหา URL มาพิมพ์ให้ยุ่งยาก ผมยังคงใช้สูตร "คิดอะไรไม่ออกบอกกูเกิ้ล" อยู่ครับ โดยค้นหาด้วยคำว่า antivir ก็จะได้ออกมาดังรูปข้างล่างนี้ (ถ้าอยากปวดหัวเล่นๆ ให้ลองไปค้นที่ "กูเกิ้ลกลับข้าง" ดูครับ)



จะเห็นว่าลิ้งก์ตรงๆของเขาก็คือ //www.free-av.com/ นั่นเองครับ แต่ตอนนี้สามารถคลิกจากหน้าสืบค้นของกูเกิ้ลออกไปได้เลย



จากรูปข้างบนนี้ก็คือเว็บของโปรแกรมนี้ครับ กรอบแรกที่จะต้องดู จะเป็นโปรแกรม Avira AntiVir PersonalEdition Classic นะครับ สังเกตข้อความบรรทัดบนตัวเล็กๆว่า Free virus protection for your home PC: อันนี้ก็ยืนยันได้ว่าไม่เสียกะตังค์แน่นอน จะอ่านหรือไม่อ่านสรรพคุณก็ตามใจ ให้คลิกที่ Download Now มาเลยครับ

หน้าถัดมานี้จะเป็นลิ้งก์ให้ดาวน์โหลด ซึ่งแบ่งออกเป็น Windows NT / 2000 / XP, Windows 98/Me และ Linux / FreeBSD / Solaris ซึ่งครอบคลุมทั้งวินโดวส์และลีนุกซ์ครับ บอกขนาดไฟล์เอาไว้ประมาณ 12 M. เลือกเอาตามถนัดกันเลย พอคลิกแล้ว กรอบสำหรับดาวน์โหลดก็จะแสดงขึ้นมา เราก็เลือก Save แะดูที่เก็บเอาไว้ (เคยมีคนดาวน์โหลดลงมาแล้วหาไม่เจอ) จากนั้นก็ตอบตกลง ระหว่างนี้ก็หาบล็อกอ่านไปพลางๆก่อนก็ได้ครับ

ติดตั้งอย่างไร?
เดี๋ยวนี้น่าจะใช้ ADSL กันโดยถ้วนหน้านะครับ ก็จะใช้เวลาสักครู่นึงในการดาวน์โหลด แต่ถ้าเน็ตใครยังเป็นแบบ 56k ธรรมดาก็จะต้องรอนานหน่อย สรุปว่าได้ไฟล์ติดตั้งลงมาเรียบร้อยแล้วก็แล้วกันนะครับ สัญลักษณ์ของเขาจะเป็นรูป ร่มขาวเอียงซ้ายบนพื้นแดง ให้ดับเบิ้ลคลิกลงไปเลยครับ

ให้กด Accept ลงไปเลย การติดตั้งก็จะเริ่มขึ้น หลังจากนั้นก็ NExt ไปเรื่อยๆ โดยจะมีหน้าจอให้เราการเครื่องหมายอยู่ 2 หน้าจอ ซึ่งถ้าเราไม่ติ๊กเครื่องหมาย ปุ่ม Next มันก็จะคลิกไม่ได้ เป็นการบังคับเลือกไปในตัว ส่วนอีกหน้าจอหนึ่งจะมีติ๊กไว้แล้ว ก็ปล่อยไว้อย่างนั้น แล้ว Next ไปอีกจนถึง Finish เสร็จแล้วก็จะให้เลือก Restart เครื่อง ซึ่งแนะนำว่าให้ Restart ไปเลยดีกว่าครับ

ใช้อย่างไร?
พอบู๊ตเครื่องกลับมาเรียบร้อย โปรแกรมจะถามว่าต้องการอัพเดทเลยมั้ย ซึ่งถ้าใครออนไลน์อยู่ ก็สามารถตอบตกลงไปได้เลย แต่แนะนำว่าอย่าเพิ่งใจร้อนครับ มาอ่านกันต่ออีกหน่อย

ก็จะเจอสัญลักษณ์ของโปรแกรม AntiVIR อยู่บนพื้นจออันนึง และอยู่บนทาสก์บาร์อันนึงครับ ให้คลิกเม้าส์ขวาที่สัญลักษณ์ตรงนี้ จะได้หน้าจอดังรูปข้างล่างนี้



อันที่จริง เมื่อแรกเข้ามาหน้านี้ หน้าจอจะแสดงอยู่ที่แท็ป Status ครับ เราก็ต้องคลิกเลือกที่แท็ป Scan ดังรูปเอาอีกทีนึงนะครับ

ในหน้าจอนั้น โปรแกรมจะเตรียมส่วนหลักๆไว้ให้เราเลือกใช้งานอยู่แล้ว การเริ่มต้นสแกนก็ง่ายๆด้วยการ คลิกขวา ตรงชื่อที่ต้องการ แล้วเลือกคำสั่ง Start scan โปรแกรมก็จะเริ่มทำการสแกนให้ทันที อย่างเช่นตามรูป ผมสั่งให้สแกนไดเร็คทอรี่ของวินโดวส์ ก็จะเจอหน้าจอข้างล่างนี้ครับ



โปรแกรมก็จะทำการสแกนจนจบ แต่ว่าจะไม่ปิดหน้าจอลงไปเอง จะรอให้เรากดปุ่ม End เพื่อปิดหน้าจอออกไปครับ และจะเหลือหน้าจอหลักอีกอันนึง ก็สามารถคลิกกากะบาทปิดลงไปเลย

จบแล้วครับ อะไรจะง่ายซะจริงๆ ไม่ต้องลงทะเบียน ใส่รหัส หรือเครคกันให้วุ่นวาย ก็ติดตั้งแล้วปล่อยเขาทำงานไปเรื่อยๆครับ ถ้าเราออนไลน์อยู่ โปรแกรมจะทำการอัพเดทตัวเองเป็นระยะๆ (กี่วันผมก็ไม่เคยนับสักที) โดยจะมีหน้าจอโฆษณาขึ้นมาเกือบเต็มจอ(ให้รำคาญเล็กน้อย) เราต้องคลิกปิดเอง และมีกรอบแสดงความคืบหน้าของการอัพเดทเล็กๆแสดงอยู่ ซึ่งกรอบนี้จะไม่รบกวนการทำงานของเราครับ

และในบางวาระ อย่างเช่นตอนตะกี้นี้เรายกเลิกไม่ให้มันอัพเดท พอถึงตอนนี้เสร็จภาระกิจแล้ว อยากให้มันอัพเดทเลย ก็สามารถคลิกขวาตรงสัญลักษณ์ตรงทาสก์บาร์นี้ แล้วเลือก Start Update ได้เลย สะดวกดีครับ

หมดเรื่องคุยแล้วครับ เพราะโปรแกรมเขาง่ายๆจริงๆ ไม่หนักเครื่อง ไม่เรื่องมาก ใช้งานไปสักพัก หากเข้าเว็บโน้นออกเว็บนี้บ่อยๆ อาจจะได้ยินเสียง "ตะลิ้ด" นั่นแสดงว่ามีตัวอะไรสักอย่างจ้องจะเข้ามาละ แต่ว่าเจอดักไว้ซะก่อน ซึ่งเท่าที่ผมใช้ๆงานมาก็รู้สึกว่าดีครับ เจอหลาย "ตะลิ้ด" แล้วละครับ

วันนี้ไปก่อน สวัสดีครับผม...




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2549   
Last Update : 17 สิงหาคม 2549 13:59:08 น.   
Counter : 1300 Pageviews.  


1  2  3  

mitrapap
 
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




Free Domain Names @ .co.nr!
[Add mitrapap's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com