In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 
วิธีเข้าถึงพระรัตนตรัย

ในวาระวันอาสาฬหบูชานี้ “คาบใบลานผ่านลานพระ” จึงขออาราธนาเทศนาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรื่อง “วิธีเข้าถึงพระรัตนตรัย” ซึ่งท่านแสดงไว้เมื่อ 31 ปีก่อนคือ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2522 มาเสนอ

วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของปีที่ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เกิดวันอาสาฬหบูชาขึ้นครั้งแรก

วันอาสาฬหบูชามีความหมายสำคัญคือ เป็นวันแรกที่มีพระรัตนตรัยครบองค์สาม คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

มีเหตุการณ์ 4 อย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ 4 ประการ คือ

1.เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา

2.เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงได้ปฐมสาวก

3.เป็นวันแรกที่พระสงฆ์เกิดขึ้นในโลก

4.เป็นวันแรกที่บังเกิดรัตนะครบสาม เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ


วันอาสาฬหบูชาปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 26 ก.ค. 2553 เวลาผ่านมาแล้ว 2598 ปีแต่แค่นับถือพุทธหมายความว่า เราเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้วหรือ เพื่อให้สอดคล้องกับวาระนี้ “คาบใบลานผ่านลานพระ” ฉบับนี้ จึงขออาราธนาเทศนาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรื่อง “วิธีเข้าถึงพระรัตนตรัย” ซึ่งท่านแสดงไว้เมื่อ 31 ปีก่อนคือ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2522 มาเสนอดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

วันนี้จะเทศน์ “วิธีเข้าถึงพระรัตนตรัย” ให้เข้าใจอีกทีหนึ่ง ซึ่งเคยเทศน์มานานแล้ว อาจจะลืมไปก็ได้ จะเทศน์ซ้ำอีกที ทุกคนที่เรียกว่าเป็นพุทธมามกะ เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่ง

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ


แปลความว่า ที่พึ่งอื่นนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วไม่มี ก็กล่าวกันอยู่มั่นเหมาะเอาเสียเหลือเกิน แต่หากความถึงแท้ที่จริงนั้นยังไม่เป็นอย่างนั้น

พูดถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จะต้องเอาเป็นสรณะที่พึ่งจริงๆ จังๆ อย่างเช่น ท่านให้คำบริกรรมว่า “พุทโธ” เอาพุทโธเป็นอารมณ์ ต้องนึกพุทโธไว้อย่าให้ลืม เอา “พุทโธ” คำเดียวนั่นเท่านั้น ให้แน่วแน่อยู่ในพุทโธอันเดียว จะพูดจะคุยจะปรึกษาหารือเรื่องกิจการงานต่างๆ ต้องนึกถึงพุทโธอยู่เสมอ เอาพุทโธนั้นเป็นที่พึ่ง

ขอให้คิดว่าการที่นึกถึงพุทโธไม่ได้เสียงานเสียการอะไร เราประกอบกิจการงานทั้งปวงหมด แต่ใจนั้นนบน้อมถึงพุทโธอยู่เสมอ การงานนั้นก็ไม่ได้เสีย มันเพิ่มสติเข้าให้มั่นคงขึ้นอีกหรือ เช่น เราทำสวน จะขุดดินฟันไม้อยู่ก็ตาม เรานึกพุทโธไว้ในใจ การนึกพุทโธนั้นช่วยให้มีสติควบคุมอยู่เสมอ การกระทำการงานต่างๆ มันก็ไปพร้อมกัน สติ นั้นมิใช่ว่ามันจะห่างเหินจากตัวเมื่อไร สติตั้งมั่นอยู่แล้ว สติมันไปคุมอยู่ทั่วตัวพุทโธนั่น เรานึกพุทโธอยู่เสมอ ในเวลาที่ทำงานจิตมันก็แวบออกไป พุทโธมันก็มีอยู่ในที่นั่น คิดนึกสิ่งใด จิตก็แวบออกไป พุทโธมันก็มีอยู่ในที่นั้น อำนาจจิตของเรามันเร็วแสนเร็วที่สุด

ทีนี้ เรานึกพุทโธยังไม่ทันถึงตัวจริง ถ้ามันถึงตัวจริงแล้วนั้น จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า พุทโธนั่นมันดีวิเศษอย่างไร รู้ได้ด้วยตนเอง แม้จะไม่มีคนอื่นบอกให้ก็รู้ได้ ท่านมีเรื่องเล่าไว้ว่า ตาคนหนึ่งแกเอาแต่ภาวนาพุทโธอยู่ตลอดเวลา อยู่มาปีหนึ่งเกิดฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพง คนทั้งหลายอดข้าวหมดทั้งบ้านทั้งเมือง ตาแก่คนนั้นก็เลยนึกเอาพุทโธนั่นแหละ เสกใบไม้กินแทนอาหาร ยังชีวิตให้เป็นไป

นั่นท่านเล่าเป็นอุทาหรณ์ไว้ เราไม่อดอยากถึงขนาดเสกใบไม้กินหรอก อยู่ดีๆ นี่แหละ นึกถึง พุทโธ อยู่เสมอ จึงจะเรียกว่าเป็นสรณะที่พึ่ง เอาพุทโธเป็นที่พึ่ง เรายังไม่ทันถึงพุทโธ ยังไม่ทันเอาพุทโธเป็นที่พึ่ง เราเลยหนีจากพุทโธไปเสีย พลั้งเผลอหลงลืมไปทางอื่นเสีย จึงยังไม่ทันถึงของที่พึ่งของเรา อันนั้นยังใช้การไม่ได้

ให้ถือจริงๆ จังๆ ให้คล่องปากคล่องใจ นึกพุทโธก็คล่องอยู่อย่างนั้น ใจก็คล่องอยู่อย่างนั้น ให้เหมือนกับคนโบราณ บางขณะที่เผอเรอลืมสติ พลั้งพลาดหกล้มก็ดี หรือทำของแตกก็ดีท่านจึงค่อยระลึกได้ กล่าวอุทานว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” เพิ่งระลึกได้ นั่นแสดงว่า ใจมั่นถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ แต่ยังเผลอสติอยู่

ถ้าเราทำทุกอิริยาบถ ตั้งมั่นอยู่ในพุทโธแล้ว สามารถที่จะระงับความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เบาบางลงไปได้ พุทโธ คำนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ พุทโธคำนี้มีอำนาจปาฏิหาริย์ พอนึกถึงพุทโธได้ ที่โกรธกันก็หาย ต้องเอาจริงๆ ให้ถึงพุทโธจริง ให้เหมือนกับนั่งอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า มันเกิดความละอายพระพุทธเจ้าขึ้นมา เหมือนกับว่าพระองค์ประทับอยู่เฉพาะหน้านั่นเลย จะโกรธก็โกรธไม่ออก จะรักก็รักไม่ขึ้น จะเกลียดจะชังก็ชังไม่ลง ถ้าถึงพุทโธจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น

จึงว่า พุทโธเป็นของศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจ สามารถคุ้มครองปกปักรักษาให้พ้นภยันตราย ได้ พ้นจากโลกได้จริงๆ พุทโธอันนี้จะยืนจะเดิน จะนั่ง จะนอน หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม เอาพุทโธออกหน้า คือรู้ตัวอยู่กับเรา รู้ตัวอยู่ว่าเราเผลอไม่ได้

เมื่อเราทำอย่างนี้ได้แล้ว พุทโธนั้นเป็นพื้นฐาน นานหนักเข้าพุทโธจะรวมเข้าไปอยู่ในใจ รวมลงเป็นหนึ่งในใจ คำบริกรรมว่าพุทโธเลยหายไป จิตใจแน่วแน่เป็นอันหนึ่งอันเดียว นั่นแหละถึงตัวพุทโธแท้

เปรียบเหมือนกับเรามาวัดนี้ บ้านอยู่ไกล คิดว่าไปวัดหินหมากเป้ง ก็เดินมา เดินมา ใกล้มา ใกล้มา พอมาถึงวัดหินหมากเป้ง วัดหินหมากเป้งเลยหายไป ไม่ทราบอยู่ที่ไหน อันนั้นก็โบสถ์ อันนั้นก็ศาลา อันนั้นก็ป่าไผ่ อันนั้นก็กุฏิ ต้นไม้อะไรต่างๆ วัดหินหมากเป้งเลยหายไปหมด ฉันใด การนึกพุทโธๆ เมื่อเราเข้าถึงที่แล้ว คือ เข้าถึงจุดรวมแล้วนั้น พุทโธเลยหายไป

การนึกถึงพระธรรม จะเอา “ธัมโม” เป็นคำบริกรรมแทน “พุทโธ” ก็ได้ หรือเอา “สังโฆ” เป็นบริกรรมก็ได้ เมื่อเข้าถึงที่แล้ว มันก็รวมลงจุดเดียวกันนั่นแหละ คือ บริกรรมคำพุทโธ หรือธัมโม นั่นเป็นคำตักเตือนเราอยู่เสมอๆ ครั้นทำชั่ว ทำผิด คิดผิด มันเตือนเราอยู่เสมอ อันนั้นเรียกว่า พระธรรมเตือน โดยให้เราเกิดละอาย ให้เรากลัว แล้วเราละความชั่วนั้น จึงเรียกว่า พระธรรมเตือน ไม่กล้ากระทำความชั่วต่อไป อยู่กับธัมโมอันเดียวเท่านั้นแหละ ไม่กล้าทำความชั่วเลย คิดผิดแผกออกไปจากความดีนิดเดียวเท่านั้น ก็รู้สึกตัวได้อาการรู้ตัวอยู่เสมอๆ คือ พระธรรม พระธรรมย่อมแนะนำให้คนละชั่ว ทำดี

พระธรรม คือ สติ ตัวสตินั่นแหละคือพระธรรมมีสติรู้สึกตัว รอบคอบ รู้ตัวอยู่เสมอ ทำอะไรก็รู้ตัวอยู่เสมอ เลยไม่กล้าทำความชั่ว เพราะเราหวังดี ปรารถนาดี จึงเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าหากคิดชั่วนิดเดียว รู้จักว่าเผลอสติไป นั่นเรียกว่าพระธรรมค่อยอยู่ใกล้ชิด ใกล้เข้ามาตลอดเวลา เมื่อรวมลงไปเป็นหนึ่งได้ นั่นเข้าถึงพระธรรม เหมือนกันกับการเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าถึงอันเดียวกันหมด

การนึกถึงพระสงฆ์ เราจะนึกเอาพระสงฆ์เป็นสรณะก็ได้ เพื่อให้เข้ากับว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งของเรา ที่พึ่งอื่นไม่มี เอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
พระสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ เป็นไปเพื่อทำความน่าเคารพน่ากราบไหว้บูชา ปฏิบัติเป็นไปเพื่อพ้นทุกข์ เมื่อเราระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ นำเอาคุณความดีนั้นเข้ามาไว้ในตัวของเรา ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามท่าน

ที่เราปฏิบัติอยู่เดี๋ยวนี้ ปฏิบัติอย่างไรกัน? ดีหรือไม่ดี?

บอกว่า ปฏิบัติดีเท่าที่เราจะปฏิบัติได้ ตั้งใจปฏิบัติดีแล้ว สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทุกสิ่งทุกอย่าง กายวาจาใจเวลานี้เราทำอะไรอยู่? ไม่ได้ประกอบภาระธุระอะไรทั้งหมด
อุชุปฏิปันโน มันก็ปฏิบัติตรงนะซี ตรงเข้าหาทางพ้นทุกข์ ตรงเข้าหาทางมรรคผล นิพพาน จิตไม่งอกแงก คลอนแคลน ตั้งมั่นในคุณพระสงฆ์

ถ้าว่างอกแงกคลอนแคลน ก็รู้ตัวอยู่ว่า มันวอกแวกไปมาก็น้อมเข้ามาหาทางตรงนั้น รวมเข้ามาหา “ทางตรง” นั้น ป้องกันไม่ให้มันหลีกเลี่ยงไปข้างนอก มันก็ตรงนะซี ทางตรงหรือทางไม่ตรงเราก็รู้ เราปฏิบัติอยู่นี่มันตรงไหม? มันตรงเราก็รู้ การปฏิบัติอย่างนี้แหละเป็น สามีจิปฏิปันโน เราเป็นใหญ่ เราเป็นหัวหน้า เรามีอำนาจ เรามีพลังกำลังใจ ต่อต้านกองกิเลสทั้งปวงหมด ปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่เป็นไปเพื่อเลวร้าย มิใช่เป็นไปเพื่อเลวทราม ทุกคนพากันสงบเงียบ ตั้งมั่นอยู่ในที่เดียวเรียกว่า สามีจิปฏิปันโน

ญายปฏิปันโน ปฏิบัติเป็นธรรม ก็ปฏิบัติอันเดียวกันนี้แหละ เพื่อพ้นจากทุกข์ ปฏิบัติทางนี้ทางเดียว ไม่มีทางอื่นหรอกคุณพระสงฆ์มาอยู่ในตัวของเราหมด

สุปฏิปันโน, อุชุปฏิปันโน ญาญปฏิปันโน, สามีจิปฏิปันโน 4 ข้อ มารวมอยู่ในที่เดียว เมื่อเราทำถูกอย่างนี้ ใจก็จะรวมลงไปเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียว แล้วก็ลืมหมดของพรรค์นั้น ทั้ง 4 ข้อมารวมเป็นอันเดียวหมด มารวมแห่งเดียวนั่น พระสงฆ์ไม่ได้อยู่ที่อื่นแล้ว คราวนี้พระสงฆ์เข้ามาอยู่ในตัวของเราแล้ว

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงเป็นอันเดียวไม่ต้องมาก มันก็ลงจุดเดียวกันนั่นแหละ บรรดาศีลทั้งหลายก็มารวมลงเป็นอันเดียว สมาธิ ก็มารวมลงในที่อันเดียวนี้ แล้วก็เกิดปัญญา ความรู้แจ้งขึ้นว่า เราทำถูกแล้ว เราปฏิบัติดีแล้ว

เมื่อจิตรวมลงเป็นอันเดียวแล้ว จิตแน่วแน่เป็นอันหนึ่งแล้ว มันก็เกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้น แต่ก่อนแต่เก่าเราไม่เคยเป็น จิตเราไม่เคยรวมอย่างนี้ จิตเราไม่เคยเป็นสมาธิอย่างนี้ ไม่เคยแน่วแน่อย่างนี้ เห็นจิตของเราผ่องใสเบิกบานเรียกว่า ปัญญาเกิดขึ้นในที่นี้ อันนี้เป็นปัญญาส่วนหนึ่ง ส่วนปัญญาวิปัสสนานั้น อีกอย่างหนึ่งต่างหาก ขอให้ได้ปัญญานี้เสียก่อน

เห็นด้วยปัญญาอันนี้เรียกว่า เห็นความดีของตน มันปรากฏขึ้นมา ความดีอันนี้เอาไว้เสียก่อน รักษาเอาไว้ เป็นปัญญาอันหนึ่ง

ส่วนปัญญาวิปัสสนา คือว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สติ และสมาธิ รวมลงอันเดียวเหมือนกัน มันเกิดเองเป็นเอง เราแต่งเอาไม่ได้ เห็นสังขารทั้งปวงหมดลงสภาพเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มันลงอันเดียวที่เดียวก็จริง แต่มันเห็นพิสดารแตกต่างไป

เราฝึกหัดปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธนี้สอนให้คนปฏิบัติ ให้คนฝึกหัดอบรมตนตามคำสอนของพระพุทธองค์ ด้วยเหตุนี้เราจึงเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถือไว้เสียก่อนถือว่าเป็นตนเป็นตัว ถือว่าเป็นเราเป็นเขาไปเสียก่อน ครั้นปฏิบัติเข้าถึงที่สุดแล้วนั้น การถือ อัตตา เลยเป็นอนัตตา สิ่งทั้งปวงหมดเปลี่ยนสภาพไปเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เป็นอนัตตา ไม่เป็นของใคร

การที่จะเห็นอนัตตา ก็เพราะ อัตตา คือ เราเป็นผู้เห็น เป็นผู้รู้ เป็นผู้คิดพิจารณา ครั้นจิตลงถึงเข้าไปเป็นหนึ่งแล้วธรรมเหล่านั้น (ที่แจ้งชัดขึ้นมา) เป็นใครเห็นก็ไม่ทราบ ใครรู้ก็ไม่ทราบ ใครพิจารณาก็ไม่ทราบ ถึงที่ตรงนั้นแล้วมันไม่มีใคร อันนั้นเรียกว่า อนัตตา

นี่แหละธรรมะ ที่แสดงมาในวันนี้เรียกว่า ถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง ที่พูดให้ฟังนี้ยังไม่ทันเห็นจริง ครั้นปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเองแล้ว มันจะต้องรู้เห็นจริงอย่างที่อธิบายมานี้ แล้วจะต้องกำจัดโทษทุกข์ได้จริง ระงับได้ทุกสิ่งทุกประการ ที่มาเป็นอุปสรรคขัดข้องเกี่ยวกับการปฏิบัติของเรา เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เห็นชัดเห็นจริงอย่างนี้

ไม่ใช่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเหตุเครื่องรางของขลัง ไปยึดถือเอารูปเหรียญโลหะต่างๆ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ มันจะศักดิ์สิทธิ์อะไรของโลหะพวกนั้น ของอันนี้ศักดิ์สิทธิ์กว่าอันนั้นอักโขอักขัง ระงับดับทุกข์ ความเดือดร้อนได้ทุกสิ่งทุกประการ ที่เป็นความเดือดร้อนภายใน ที่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงหายหมด นั่นจึงเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์จากโลกหะต่างๆ นั้น มันไม่สามารถที่จะระงับเสียซึ่งความโลภ ความโกรธ ความหลงได้หรอก ความโลภ ความโกรธ โทสะ มานะทิฏฐิ มันระงับไม่ได้ มันกลับยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

ศักดิ์สิทธิ์จากการถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์นี้มันละถอนได้ เบาบางลงไป จนบริสุทธิ์หมดจด อย่างนี้จึงเรียกว่าของศักดิ์สิทธิ์


อธิบายมาวันนี้ ก็เพียงเท่านี้ เอวํ ฯ

โดย...ภัทระ คำพิทักษ์


Create Date : 26 กรกฎาคม 2553
Last Update : 26 กรกฎาคม 2553 2:33:20 น. 4 comments
Counter : 873 Pageviews.

 
อนุโมทนาครับ


โดย: shadee829 วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:28:59 น.  

 


โดย: wildbirds วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:14:48 น.  

 


แวะมาทักทายในวันหยุด ไปทำบุญที่ไหนเอ่ย




โดย: หน่อยอิง วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:35:27 น.  

 
เฝ้าบ้านครับ

คนในบ้านไปกันหมด


โดย: ขอบฟ้าบูรพา วันที่: 26 กรกฎาคม 2553 เวลา:17:38:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.