ใกล้...จนมองผ่านไป หรือว่าไกล...จนสุดมือคว้า
Group Blog
 
All blogs
 
ขอรักคืนใจ

หวาน...เพียงถ้อยหวานที่ผ่านมา
สุข...สุขนักหนายามรักหวาน
เหงา...ค่ำคืนที่เหงาหรือเพราะรักจืดจาง
รักแรมร้าง...ดั่งสายลมผ่านพัดจากไป

คืนนี้เธอก็ต้องอยู่คนเดียว...


รีโมตทีวีที่ถูกกดเวียนไปมาอยู่ครึ่งชั่วโมงถูกวางลงช้าๆ บนเบาะนั่ง
เสียงถอนหายใจค่อยๆ ดังขึ้นแข่งกับเสียงทีวีที่ดูท่าว่าจะเรียกความสนใจใดๆ จากเจ้าของบ้านมิได้เลย


ร่างบางนั่งนิ่งอยู่นานเท่าใดก็ไม่รู้ จวบจนเสียงกริ่งโทรศัพท์แผดร้องดังขึ้น
รอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งใครบางคนเคยชมเสมอว่าแสนหวานแต้มขึ้นที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง
ดวงตาพราวขึ้นอย่างมีความหวัง รีบลุกขึ้นเดินไปยังต้นเสียงแล้วกดรับสาย

“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักปลายสายอย่างอ่อนหวาน

“เกดว่างรึเปล่า”

รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้าของธัญสินี ก่อนเจ้าตัวจะฝืนยิ้ม
ปั้นเสียงร่าเริงตอบไป “ก็...ว่างสิ มีอะไรเหรอจิ”

“ดีเลย คืนนี้พวกหนูนา วี อัน ทิพย์ ลงมาจากเชียงใหม่ เกดจะออกมาหาเพื่อนๆ มั้ย”
จิรวดีบอกก่อนจะเอ่ยชวนอีกฝ่าย


ธัญสินีนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ...


แล้วจะอยู่บ้านไปเพื่ออะไร รอคนบ้างานที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับบ้าน
ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันสำคัญแท้ๆ จึงตัดสินใจโดยพลัน
“ได้สิจิ เพื่อนๆ อุตส่าห์มาทั้งที แล้วจะไปเจอกันที่ไหนดีล่ะ”

“ร้านเดิมเลยเกด 2 ทุ่มนะจ๊ะ แต่งตัวสวยๆ ล่ะ” บอกก่อนจะวางสายไป

ธัญสินียกหูโทรศัพท์ค้างเอาไว้ นิ่งมองเสมือนมันเป็นสิ่งประหลาด
ไม่สิ! ที่น่าประหลาดน่าจะเป็นใครอีกคนที่วันนี้ไม่มีมาแม้แต่เสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคย

ดีล่ะ! ไม่มาก็อย่ามา งั้นจะไม่เกรงใจล่ะนะ

+++++++++++++++++

สองทุ่มตรง ร่างบางในชุดแซกสีขาวก้าวลงจากรถแท็กซี่ที่หน้าร้าน ‘กาลครั้งหนึ่งถึงความรัก’
ร้านอาหารที่เป็นที่สิงสถิตประจำของเธอและเพื่อนๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ตัวร้านเป็นไม้สีน้ำตาลเข้ม ตกแต่งด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ ส่วนใหญ่เป็นไม้ในวรรณคดี
(ไอเดียตกแต่งร้านเหล่านี้เป็นของพวกเธอด้วย) อากาศยามค่ำในช่วงปลายฝนต้นหนาวพัดผ่านผิวให้ใจไหวสะท้าน


ปกติเธอไม่ได้มาอย่างโดดเดี่ยวเช่นวันนี้...


คิดพลางสั่นศีรษะราวกับจะให้ใครคนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในทุก
ห้วงคำนึงหลุดออกไปตามแรงสะบัดนั้น แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงต้องย้ำด้วยคำพูด

“อย่าคิดถึงคนใจร้ายแบบนั้นเด็ดขาดนะเกด วันสำคัญของเราแท้ๆ ทำไมถึงลืมไปได้...”
เสียงในตอนท้ายเครือแผ่วเบา อย่างจะตัดพ้อใครคนนั้น

“เกดมาแล้ว” เสียงทักที่ดังขึ้นจากจิรวดีทำให้เธอต้องสูดลมหายใจลึกๆ
ไล่อาการบ่อน้ำตาตื้นทิ้งไปโดยพลัน ยิ้มรับคนที่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาก่อนจะพาลากเข้าร้านไป


เสียงทักทายเซ็งแซ่ของสี่สาวเหนือที่นานๆ จะว่างบินลงมาที่เมืองหลวง
ร้องทักเพื่อนคนสุดท้ายที่เพิ่งมาถึงอย่างดีใจ

“นึกว่าเกดจะมาไม่ได้แล้วสิ” หนูนาหรือนาราวัลย์ทักทายขึ้น

“ใช่ เราก็คิดว่าเธอจะออกมาไม่ได้ซะอีก เพราะพวกเรามาถึงก็เย็นแล้ว
แถมไม่ได้นัดเธอล่วงหน้าอีก โชคดีนะเนี่ยที่เกดว่าง” วีรกานต์เสริม

“มาได้สิ ถึงไม่ว่างเราก็จะออกมา ก็เพื่อนอุตส่าห์มาทั้งที
อะไรก็คงไม่สำคัญแล้วล่ะ” ธัญสินีตอบยิ้มๆ เห็นหน้าเพื่อนๆ แล้วทำให้ลืมบางเรื่องไปได้บ้าง

“ก็อยากจะมาบ่อยๆ หรอกนะ แต่ยัยอันนะสิ ชวนทีไรก็บอกว่า ยุ่ง ยุ่ง ยุ่ง ทั้งปี
นี่ก็เพิ่งบังคับให้หยุดงานแล้วลากลงมาหาเกดกับจิได้เนี่ยล่ะ”
ทิพญาดาพยักเพยิดไปทางคนต้นเรื่องที่ทำให้ขึ้นมากรุงเทพฯไม่ได้บ่อยๆ

“แหม ก็กำลังจะขยายสาขาร้านนี่นามันก็เลยยุ่งๆ น่ะ
เออ ว่าแต่วันนี้คุณพระเอกไม่มาเหรอ ทำไมปล่อยให้นางเอกของเราฉายเดี่ยวได้ล่ะ
ปกติเห็นหวงเกดจะตาย” อันติมาหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยกระเซ้า

สีหน้าของคนถูกถามเผือดลงเล็กน้อย ก่อนจะอ้อมแอ้มแก้แทน
คนที่เคย ‘หวง’ เธอนัก “พัธงานยุ่งเลยไม่ได้มาส่งเราน่ะ”


ไม่ใช่แค่งานยุ่งนะ...ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าฉันออกมาเนี่ย


เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาซ่อนรอยของความน้อยใจที่กำลังพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้เธอไม่ได้เห็นจิรวดีเอามือตีคนที่พูดสะกิดแผลนั้น

บรรยากาศที่เริ่มจะกร่อยทำให้จิรวดีต้องรีบคลี่คลายให้มันสดใสขึ้น
ด้วยการเรียกคุณลุงเจ้าของร้านออกมาทักทาย ย้อนให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ

เสียงพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ถูกนำมาบอกเล่าให้สมกับที่ไม่ได้พบกันนาน
สลับกับเสียงร้องเพลงคาราโอเกะ เรียกรอยยิ้มอ่อนให้ปรากฎขึ้นได้
แต่ใจของธัญสินีกลับไพล่คิดไปถึงคนที่ตอนนี้คงนั่งหัวปั่นที่ออฟฟิศ

อีตาบ้า! จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว จะมีใครบ้างหนอที่ยังคงขลุกอยู่ออฟฟิศในเวลา
ที่ดึกอย่างนี้...ก็เขาไง ปวิณพัธ


มือบางเปิดกระเป๋าก่อนจะค่อยๆ ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วออกมาดู
หน้าจอยังเป็นปกติ ไม่มีข้อความ ไม่มี miss call ไม่มีอะไรเลย...


“เกด เกด” เสียงเรียกของเพื่อนทำธัญสินีสะดุ้ง
รีบเก็บโทรศัพท์และปิดกระเป๋า เงยหน้าขึ้นยิ้มแหยๆ ให้กับเพื่อนสาวทั้งห้า

“อะ...อะไรเหรอ”

“ใจลอยไปถึงไหน เรียกตั้งนานแล้วไม่ได้ยินเหรอ เพลงโปรดเกดมาแล้วล่ะ”
วีรกานต์เอ่ยพร้อมกับยื่นไมค์ให้

มือบางรับไมค์มาจากมือเพื่อนสาว เสียงหวานค่อยๆ
เอื้อนเอ่ยเรียงร้อยออกมาเป็นท่วงทำนองที่แสนหวาน...เจือไว้ด้วยกลิ่นไอของความเศร้า


เป็นแค่คนหนึ่ง...ในโลกใบเก่า
ชีวิตช่างเงียบเหงา ไม่เคยได้เห็นความจริง
มีพร้อมทุกอย่าง และมีในทุกสิ่ง
อยากบอกว่าความจริงฉันเดียวดาย

เธอนั้นก็อยู่...ในโลกใบหนึ่ง
ที่ฉันเอื้อมไม่ถึง และยังไม่เคยได้เข้าใจ
เธอเหมือนลมผ่าน ผ่านมาในหัวใจ
แต่งเติมชีวิตฉันให้สดใส

แค่เพียงได้พบเธอ แค่เพียงได้รักเธอ
อยากอยู่กับเธอตลอดไป

จะนานเพียงไหน...ใจฉันก็มีแต่ภาพเธอ
แม้ความจริง ไม่เห็นว่าเธออยู่ข้างกาย
หลับตาก็ยังพบกัน ไม่มีวันลบเลือนไป
ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน

ก็อยากจะขอ...ให้ฉันมีเธออยู่เรื่อยไป
แค่มีเธอ เคียงข้างดูแลและเข้าใจ
ไม่เคยมีใครเหมือนเธอ ที่ทำเพื่อฉันมากมาย
ใจฉันจะมีเธออยู่อย่างนี้ ตลอดไป*

จบเพลงพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มหยด
อารมณ์น้อยใจที่สะสมมาตลอดสามเดือนปะทุได้ด้วยเพลงที่เธอเคยมอบให้เขาคนนั้น

เพราะมัวแต่วุ่นวายกับการเอาผ้าเช็ดหน้าที่ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่อวดความอ่อนแอ
ทำให้ไม่ทันสังเกตถึงความเงียบรอบๆ ตัว หันมาอีกทีก็พบกับหน้าของคนคุ้นเคยที่แสนจะคุ้นใจยืนยิ้มให้

เกือบจะยิ้มตอบ แต่เมื่อนึกขึ้นได้จึงสะบัดหน้าพรืดกลับมาอ้าปาก
จะร้องเรียกหาเพื่อนๆ ทั้ง 5 คน...แต่ก็พบกับความว่างเปล่า


เจ้าเพื่อนบ้า! หายไปไหนกันหมดเนี่ย


เมื่อไม่เจอใครเจ้าตัวเลยคว้ากระเป๋าเตรียมลุกขึ้นเดินหนี
แต่ก็ช้ากว่ามือแกร่งที่เอื้อมคว้าคนกำลังน้อยใจไว้ทัน เสียงนุ่มๆ ที่เธอรักผ่านเข้าหู
“จะไปไหนเกด ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย”

หญิงสาวหันกลับมาเอ่ยเสียงเรียบๆ “แต่เกดอิ่มแล้ว...
อีกอย่างพัธคงอิ่มกับสารพัดงานที่ออฟฟิศแล้ว อาหารเย็นคงไม่จำเป็นหรอก”

สะบัดแขน แต่มีหรือจะสู้แรงของคนตัวโตกว่าได้ แขนนั้นจึงยังถูกกุมอยู่กับมืออุ่น
ที่พลันกระชับขึ้นเมื่อรับรู้ถึงแรงสะบัด

“อิ่มแล้วก็กินเป็นเพื่อนกันหน่อยเถอะนะ” น้ำเสียงอ้อนวอน
ราวกับจะงอนง้อนั้นเคยทำให้เธอใจอ่อน แต่คราวนี้ธัญสินีตั้งใจว่าจะไม่ใจอ่อนอีกแล้ว
ให้สมกับที่สามเดือนเธอต้องทนกินข้าวคนเดียว!

เมื่อได้รับความเงียบเป็นคำตอบ ปวิณพัธก็แปลงความหมายเข้าข้างตัวเองว่า
ไม่ใช่คำปฏิเสธ ถือวิสาสะฉุดร่างเล็กให้นั่งลงข้างๆ จับมือน้อยไว้ด้วยมือข้างซ้าย
ก่อนจะใช้มือขวาทานอาหารที่เรียงรายบนโต๊ะ หนักใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการที่บ่งบอกว่า
คนหน้าหวานข้างๆ โกรธ...จนถึงโกรธมาก รู้ตัวดีว่าสามเดือนที่ผ่านมาเขาทำตัวแย่กับภรรยาแค่ไหน...
หวังว่าเธอคงเข้าใจเมื่อเขาบอกความจริงทุกอย่าง

ผู้เป็นภรรยาสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ปวิณพัธก็ยื่นช้อนมูสช็อกโกแลตมาจ่อให้ถึงปาก
แถมเอ่ยว่า “ไม่ทานข้าวก็ทานขนมหน่อยเถอะนะ ของโปรดเกดนี่นา”


อ๋อ นี่ยังจำได้ใช่มั้ยว่าฉันชอบอะไร!


ใจแข็งจังแฮะ ปวิณพัธคิดอย่างว้าวุ่นใจเมื่ออีกฝ่ายเบือนหน้าหนีของหวานนั่น
มือน้อยขยุกขยิกราวกับว่าจะหนีไปให้พ้นๆ ทำให้เขาต้องออกแรงจับเอาไว้ให้แน่นขึ้น


แต่เรื่องอะไรจะปล่อยให้โง่เล่า...


“เกด”

“...”

“เกด จ๋า”

“…”

“ผมขอโทษนะเกด” คำพูดสุดท้ายทำให้น้ำตาที่เพียรจะกลั้นหยาดหยดลงมาราวกับสายน้ำ
เจ้าของน้ำตาสะบัดมืออย่างแรงจะหลุดจากการเกาะกุม ยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา
อย่างอับอายที่ปล่อยโฮให้คนตรงหน้าเห็น

“โธ่เกดจ๋า อย่าร้องไห้เลยนะ ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ”


ใครอยากร้องเล่า อีตาบ้า!


ชายหนุ่มโอบไหล่บางที่ยังคงมีแรงสะอื้นมาแนบอกกว้าง ครานี้ไม่มีอาการขัดขืน
เพราะคนแสนงอนคงจะหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน มือใหญ่ลูบไหล่หลังแผ่วๆ คนในอ้อมแขน
อย่างจะปลอบใจ พร่ำพูดซ้ำๆ คำขอโทษ พลางนึกก่นด่าตัวเองในใจที่ทำให้คนที่รักที่สุดต้องเสียน้ำตาในวันสำคัญ

รอจนคนในอ้อมแขนค่อยๆ สงบลง จึงเชยคางมนขึ้น ตาแดงช้ำและรอยคราบน้ำตา
ทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น นิ้วโป้งค่อยๆ บรรจงปาดคราบน้ำตาออกจากแก้มอย่างแผ่วเบา
ถ่ายทอดทุกความรู้สึกที่มีออกไปให้คนในอ้อมแขนรับรู้ ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งห่วง ทั้งอาทร

เสียงสะอื้นแผ่วๆ ยังคงมีให้ได้ยิน ทำให้เขาต้องรีบพูดให้จบ
ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาคงได้กระต่ายตาแดงกลับบ้านเป็นแน่แท้

“เดือนที่ผ่านมาผมทำผิดกับเกดมาก ทิ้งให้เกดอยู่คนเดียว ไม่มีเวลาให้เกดเลย”
ยังไม่ทันจะจบประโยค คนที่กำลังจะกลายเป็นกระต่ายตาแดงก็แย้งขึ้น

“3 เดือน ไม่ใช่แค่เดือนเดียว”

นั่นทำให้ปวิณพัธเริ่มยิ้มออก เพราะลองเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้
แสดงว่าคงเริ่มจะหายโกรธแล้ว “ครับ 3 เดือนก็ 3 เดือน เกดยดโทษให้ผมนะครับ”
เออออตามก่อนจะยกมือน้อยขึ้นจุมพิตแผ่วเบา

“เราดีกันเถอะนะ”

“จำได้รึเปล่าว่าวันนี้วันอะไร” นอกจากจะไม่ยอมคืนดีแล้ว ธัญสินีกลับถามคำถามกับคนตรงหน้า

ปวิณพัธทำสีหน้างุนงง วันนี้วันอะไรหว่า ก่อนจะตอบ “ก็วันศุกร์ไงครับ มีอะไรรึเปล่า”
จบประโยคด้วยการที่เขาต้องออกแรงรั้งคนในอ้อมแขนไว้อีกครั้ง ด้วยคนแสนงอนเริ่มจะออกอาการงอนขึ้นมาอีก


“ปล่อยเกดนะ” เสียงแหวอย่างมีโทโสดังขึ้น แต่มีหรือที่ปวิณพัธจะทำตาม

ครั้นคนขี้ลืมไม่ทำตามน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาอวดความน้อยใจอีกรอบ
ทำให้คนขี้แกล้งต้องรีบเฉลย “วันสำคัญของเราสองคน ทำไมจะจำไม่ได้เล่าครับ ฮืม”

คนหน้าหวานหยุดดิ้นเงยหน้าขึ้นมามองสามีอย่างสงสัย
ก็พบกับสายตาอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความรักความอาทรอย่างเคย
ใจที่กำลังคิดเคืองคนตรงหน้าค่อยๆ อ่อนลง

เมื่อคนในอ้อมกอดยังไม่ยอมพูดอะไร ปวิณพัธจึงเอ่ยต่อไป
“ก็วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานสองปีของเราสองคนไงครับ”


เขาจำได้!


เสียงทุ้มๆ จึงร่ายต่อไปว่า “3 เดือนนี้ผมทำงานหนักมากเลยนะครับ
จะได้ลาหยุดสามอาทิตย์ เราสองคนจะได้ไปฮันนีมูนกันอีกรอบไง
แถมยังมีข่าวอีกเรื่อง ผมได้เลื่อนตำแหน่งด้วยนะเกด ดีใจรึเปล่าเอ่ย”

ถ้าปวิณพัธหวังว่าจะได้รับรอยยิ้มหวานๆ เป็นการตอบแทนข่าวดีนี้แล้ว
ก็ต้องบอกว่า ‘เขาคิดผิด’ เพราะที่เขาได้คือ ฝ่ามือน้อยๆ ที่ทุบลงมาไม่ยั้ง

“นี่ คนบ้า ปล่อยให้เค้าอยู่บ้านคนเดียว ปล่อยให้เค้ากินข้าวคนเดียว
เค้าเหงารู้มั้ย ทำไมทำอะไรไม่บอกกันบ้าง ฮือ ฮือ” ปิดท้ายด้วยกองทัพน้ำตาอีกระลอก
อย่างที่คนร้องก็ยังแปลกใจตัวเองไม่หายว่าจู่ๆ ทำไมวันนี้ถึงบ่อน้ำตาตื้นนัก

“อูย! โธ่เกดจ๋า อย่าร้องไห้เลยนะ ดูสิเอามือมาตีผมแล้วตัวเองก็เจ็บใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่เจ็บ!” คนปากแข็งยังคงปฏิเสธพลางสะบัดมือที่ถูกคว้าไปเกาะกุมกันการประทุษร้าย
แต่มีเหรอที่จะหลุด มือน้อยถูกคว้าขึ้นมาแนบอก เจ้าของมือรับรู้ถึงแรงเต้นที่หัวใจ
ใจที่เคยรวดร้าวเพราะคิดว่ารักกำลังจืดจางเริ่มสมานกลับเป็นเนื้อเดียวกัน

“หายโกรธรึยังครับ”

“ไม่ได้โกรธนี่” ธัญสินีอ้อมแอ้มตอบ

“ผมรักเกดนะ”

เหมือนโดนหมัดหนักๆ ต่อยเข้าอย่างจังๆ กับคำบอกรักอันแสนหวานที่ได้ยิน
ธัญสินีเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เพิ่งจะบอกรัก คนที่อยู่ในทุกห้วงคำนึง
เปลือกตาหวานค่อยๆ พริ้มหลับลง พร้อมๆ กับหน้าคมค่อยๆ โน้มเข้าใกล้มอบจุมพิตแทนคำรักให้กับสุดที่รักของหัวใจ

หวาน...หวานเกินคำบรรยาย


+++++++++++++++++


2 ร่างที่นั่งอิงแอบกันทำให้ทั้ง 5 คนที่แอบลุ้นอยู่ด้านหลังถอนหายใจอย่างโล่งอก

“นึกว่าจะไม่สำเร็จซะแล้ว” หนูนาเปรยขึ้นอย่างโล่งใจ

“ใช่ ปกติยัยเกดโกรธยากจะตาย นี่คงจะเหลืออดจริงๆ ถึงได้โกรธคุณพัธมากขนาดนี้”
ทิพญาดาเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย

“แหงสิ ก็เล่นทิ้งยัยเกดไว้คนเดียวตั้ง 3 เดือน เป็นฉันเหรอ
แค่อาทิตย์เดียวคงวีนแตกไปแล้ว” จิรวดีให้ข้อมูลเพิ่ม

อันติมาจึงแย้ง “ก็นั่นมันเกด ไม่ใช่คนใจร้อนอย่างแกนี่”

“อย่าเถียงกันเลย จบหน้าที่กาวประสานใจให้คู่สามีภรรยาคู่นี้แล้ว
เราไปต่อที่อื่นกันดีกว่า” วีรกานต์ห้ามศึกที่กำลังจะเกิด เอ่ยชวนเพื่อนสาวที่นานๆ จะเจอกันไปเปิดหูเปิดตายามค่ำคืน

“ไปสิ”

แล้วจึงพากันออกจากร้านไปโดยมีเจ้าถิ่นอย่างจิรวดีเป็นผู้นำทาง ทิ้งคู่สามีภรรยาเอาไว้ตามลำพัง


+++++++++++++++++++++++++++

คน 2 คนนั่งเคียงกันเงียบๆ ความขุ่นข้องหมองใจหายไปแล้ว บรรยากาศรอบๆ
กรุ่นไปด้วยไออุ่นของสิ่งที่เรียกว่า...ความรัก

จู่ๆ ธัญสินีก็เงยหน้าขึ้น พูดช้าๆอย่างชัดเจนว่า
“คราวหน้าพัธทำอะไรต้องบอกเกดบ้างนะคะ” คำขอที่ทำให้ปวิณพัธยิ้ม

“จ้า เข็ดแล้วล่ะ จะบอกทุกอย่าง”
ที่ไม่ได้บอกไปอีกอย่างคือ...เขาไม่อยากทำให้เธอร้องไห้อีกแล้ว


คำที่เสมือนหนึ่งเป็นดั่งคำสัญญานั้นทำให้เขาได้รางวัลเป็นยิ้มหวานๆ…ชื่นใจ


“เกดอยากไปไหนจ๊ะ” ปวิณพัธถามอย่างอ่อนหวาน มือใหญ่กุมมือน้อยเอาไว้แน่น

นิ่งคิดสักพักจึงตอบ “อยากไปทะเลค่ะ”

“งั้นสามอาทิตย์นี้เราไปทะเลกันนะ”

“ค่ะ”

รอยยิ้มถูกส่งให้กันและกัน เขาสัญญาว่าต่อไปนี้จะมีแต่รอยยิ้ม...

เสียงท่วงทำนองที่คุ้นเคยดังแว่วขึ้น เสียงนุ่มทุ้มเอื้อนเอ่ยอย่างจะบอกความในใจ


เธอคือลมหายใจ...เธอคือทุกอย่าง
จะรักเธอ ไม่มีวันจางจากใจ...
ก็เพราะเธอคือ...ลมหายใจ
เธอคือทุกสิ่ง
จะทิ้งอะไรก็ยอมทุกอย่างจากนี้…
ใจฉันจะมีแต่เธอ*

จบแล้วค่ะ


*เพลง แค่มีเธอ : ปนัดดา เรืองวุฒิ
*เพลง ลมหายใจ : บอย โกสิยพงษ์



Create Date : 18 กันยายน 2549
Last Update : 18 กันยายน 2549 11:35:30 น. 1 comments
Counter : 319 Pageviews.

 
เข้ามาเยี่ยมบ้านค่า
เลยรู้ว่า ต่อไปนี้จะเรียกน้องยู้นะคะ


โดย: สายลมโชยเอื่อย วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:15:18:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

@ลูกท้อแช่อิ่ม@
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เรียกยู้ได้นะคะ

แล้วก็ลงท้ายที่ MBA
Friends' blogs
[Add @ลูกท้อแช่อิ่ม@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.