กุมภาพันธ์ 2553 (I)

ไม่อารัมภบทล่ะนะครับ เวลามีน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด

1. From Paris with love [Pierre Morel] @ สกาลา



My rating [B]

อะไรยังไง : พระเอก (โจนาธาน รีส เมเยอร์) ได้รับโอกาสเป็นผู้ช่วยสายลับมือใหม่หัดขับ เป็นคู่หูกับสายลับตัวแสบ (จอห์น ทราโวลตา) โดยตะลุยล่าแก๊งมิจฉาชีพ และบานปลายไปถึงผู้ก่อการร้ายสากลในกรุงปารีส

+ พอดีผมยังไม่ได้ดู Taken ผลงานเรื่องก่อนที่ผู้คนชื่นชมของ ผกก.ปิแอร์ มอเรล ก็เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ แต่กับเรื่องนี้ ผมว่าพล็อตมันดูกลวงๆ โบ๋ๆ ไงไม่รู้ ... และ “ใครคนนั้น” ก็อุตส่าห์วางแผนมาตั้งหลายปี เพื่อจะทำอะไรง่ายๆ อย่างในเรื่องนั่นน่ะเหรอ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเอาซะเลย

+ อย่างไรก็ดี ความมันส์ก็ยังคงมีอยู่ การันตีโดยโปรดิวเซอร์ และต้นธารของพล็อตเรื่องนี้ โดย ลุค เบซง

+ ทราโวลตา ดูกวนทีนมากกว่าตอนเป็นผู้ร้ายใน Pelham 1-2-3 ส่วนหนุ่ม JRM ก็พกหน้าหล่อๆ มาทำเท่ห์เป็นสายลับได้แบบพอผ่านมาตรฐาน

2. The wolfman [Joe Johnston] (SF เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์)



My rating [C+]

อะไรยังไง : ลูกชายคหบดี (เบนนิซิโอ เดล โตโร่) ถูกตามตัวกลับบ้านกะทันหันโดยคู่หมั้นของพี่ชาย ซึ่งถูกฆ่าโดยสัตว์ร้ายกระหายเลือด ทำให้อดีตอันดำมืดในวัยเด็กที่เขาพยายามจะลืมเลือนต้องถูกขุดค้นขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกอีกครั้ง

+ ผมอาจไม่รู้สึกถึงกับเลวร้ายกับหนังเรื่องนี้มากเท่ากับที่หลายๆ คนรู้สึก อาจเป็นเพราะผมชอบบรรยากาศทึมทะมึนที่ครอบคลุมหนังทั้งเรื่องเอาไว้

+ ถึงแม้จะคับคั่งไปด้วยดาราดราม่าตัวพ่อตัวแม่ (ซึ่งอาจถือว่ามาเสียเครดิตกับหนังเรื่องนี้) ทั้งทั่นเซอร์แอนโธนี ฮอปกินส์, หนุ่มเบนนี (2 คนนี้ ก็ 2 ออสการ์ไปแล้ว) แล้วยังมีสาวมาแรงอย่าง เอมิลี บลันต์ กับ เอเจนต์สมิธ เอ๊ย! ฮิวโก้ วีฟวิ่ง ร่วมจอด้วย ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้แสดงเลวเกวอะไร เพียงแต่บทหนังมันไม่ค่อยมีเหตุมีผลแค่นั้นเอง

+ เบนนีเป็นโปรดิวเซอร์เองด้วยเรื่องนี้ พล็อตหลักได้โครงมาจากต้นฉบับหนังเก่าคลาสสิค The Wolf Man (1941) ที่มี ลอน เชนีย์ จูเนียร์ นำแสดง ... แต่การเลือก ผกก. โจ จอห์นสตัน (Jumanji, Jurassic Park III) มากำกับ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ผิด เพราะเวอร์ชันนี้ ดูค่อนข้างโฉ่งฉ่าง แต่กลับเข้าไม่ถึงอารมณ์ลึกๆ ของตัวเอก และผู้เป็นพ่อ เท่าใดนัก

+ [ขัดใจ 1] พวกชิ้นส่วนเครื่องใน อวัยวะปลิวว่อนนี่ มันจะอะไรกันนักหนา กลายเป็นหนังเกรดบีไปเลย

+ [ขัดใจ 2] บทหนังหลายๆ ช่วงไร้ตรรกะ ที่เห็นเด่นๆ ก็ ...
.
.
.
.
.
*** [Spoil zone] ***
- มรึงจะตามไปเฉลยความจริงให้ลูกฟังทำไมถึงในคุก กลัวมันจะตามมาแก้แค้นไม่ได้เหรอไง หา!

- ฉากหมาป่า 2 ตัวฟัดกันตอนท้ายเรื่อง ดูตลกมากกว่าน่ากลัว

- ยัยนางเอก อุตส่าห์ไปถามความจริงจากยิปซีเฒ่า เพียงเพื่อจะวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังไปหาพระเอก แล้วพอเห็นเป็นหมา ก็เผ่นแน่บออกมา วิ่งหน้าตั้ง เพื่อจะไปพิฆาตกันตรงริมหน้าผาเนี่ยนะ ทำไปเพื่อ?!?
*** [Spoil end] ***



3. Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief [Chris Columbus] @ Major รัชโยธิน



My rating [B-]

อะไรยังไง : เด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง (โลแกน เลอร์แมน) ผู้มีอาการ Dyslexia (ไม่สามารถอ่านคำแล้วสะกดออกมาเหมือนคนทั่วไปได้) เพิ่งค้นพบว่าเขาเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ (Demigod) ลูกชายของเทพโพไซดอน (กรีก / โรมัน คือเนปจูน) เทพเจ้าแห่งมหาสมุทร และเพื่อนรักของเขาคือ (แพะ?) ผู้พิทักษ์ แต่เคราะห์หามยามซวย เค้าดันถูกหาว่าขโมยสายฟ้าของมหาเทพซุส / เซอุส (ชื่อทางกรีก ถ้าโรมันเรียกจูปิเตอร์) ไป ดังนั้นจึงต้องหาสายฟ้าเวรนั่น เพื่อนำกลับไปคืนเจ้าของให้ทันเวลา (เทพเวร เก่งนักทำไมไม่หาเองวะ!)

+ ถ้าโลกของเรามีผู้ปกครองสูงสุด เป็นแก๊งเทพเอาแต่ใจพวกนี้ ผมว่าทำลายโลกให้แตกดับไปวันพรุ่งนี้ซะเลยดีกว่า!

+ โปรดอย่านำไปเปรียบเทียบกับแฮรี่ พ็อตเตอร์เป็นอันขาด ... เพราะถ้าเรื่องนั้นเป็นระดับมหา’ลัย เรื่องนี้ก็คงประมาณประถมปลายเท่านั้น

+ ความรู้สึกนึงก็คือ มันเหมือนมุกต่อมุก แบบเจอคลูอันนึง เพื่อจะตามไปเจออีกอันนึง หาความซับซ้อนแทบไม่ได้เลย ยังดีที่ยังพอมีความสนุกตามรายทางให้เก็บเกี่ยวอยู่บ้าง

+ วัยรุ่นตัวหลักทั้ง 3 ก็ยังแสดงได้โอเชตามบทบาท พ่อหนุ่มโลแกน น่าจะพอเรียกได้ว่าแจ้งเกิดได้จากบทนี้ (แต่จะมีภาคต่อได้หรือเปล่านะ คงต้องรอลุ้น เพราะยังเหลือหนังสืออีก 4 เล่มให้สร้างได้)

+ คนที่ผมรู้สึกว่า miscast คือ แม่พระเอก (แคธลีน คีเนอร์ - จะเอาระดับเธอมาเล่นทำไมให้เสียของ) กับ เฮดีส / พลูโต เทพแห่งยมโลก (สตีฟ คูแกน - ดูตลกมากกว่าน่ากลัว)

+ สิ่ง / คน ที่จ๊าบที่สุด (และน่าจะเล่นได้อย่างมีอารมณ์มากที่สุดแล้วในเรื่องนี้) ก็คือ เมดูซ่า (อูมา เธอร์แมน) และหัวของเธอ!

4. The Imaginarium of Doctor Parnassus [Terry Gilliam] @ SF World



My rating [A-]

อะไรยังไง : ดร.พาร์นัสซุส (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ - แสดงได้ดีทีเดียว และปีนี้เขาก็ได้เข้าชิงออสการ์อีกด้วยจากเรื่อง The Last Station) ได้ทำสัญญากับปิศาจไว้ว่าต้องการมีชีวิตอมตะ และยังพนันกันต่อมาเรื่อยๆ โดยสุดท้ายเขากลับนำลูกสาวตัวเองมาเป็นเดิมพัน โดยจะยกเธอให้กับปิศาจเมื่ออายุครบ 16 ปี ถ้าเขาแพ้ และวันนั้นก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า!

หมายเหตุ : นี่เป็นหนังเรื่องสุดท้าย (จริงๆ) ของ ฮีธ เลดเจอร์ ที่ถ่ายไว้ยังไม่จบดี ก็เสียชีวิตลงเสียก่อน แต่สุดท้ายก็ได้รับความร่วมมือจากเพื่อนรักของเขา 3 คน มาเป็นตัวแทน (ที่เปลี่ยนใบหน้าไปเรื่อยๆ) เมื่อหลุดเข้าไปสู่ “โลกหลังกระจก”

+ การต่อบทกันระหว่างฮีธ ที่กลายร่างไปเป็น จอห์นนี เด็ปป์, จูด ลอว์และโคลิน ฟาร์เรล (ในบทตัวแสบ) ทำได้เนียนดี

+ ผกก.เทอรี กิลเลียม (Twelve Monkeys) ยังคงมีวิสัยทัศน์บรรเจิดเช่นเคย ภาพในจินตนาการทำได้น่าตื่นตาตื่นใจ

+ อย่างไรก็ดี พอไปเน้นทางด้านภาพ ด้านอารมณ์ความรู้สึก ก็เลยยังไม่ลึกมากนัก

[หนังเคเบิล]
1. Dead Poets Society [Peter Weir] (1989)



+ หนังในตำนานเยี่ยงนี้ คงไม่ต้องแจกเกรดหรอกเนาะ

+ ตลกดี ผ่านไปตั้ง 21 ปี ผมถึงเพิ่งจะได้ดูหนังเรื่องนี้ (ที่คอหนังทุกคนไม่ควรพลาด) เต็มๆ ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้น (ส่วนมากตอนอยู่หอจะเปิดมาเจอตอนกลางค่อนท้ายเรื่องแล้ว) ซะที โดยที่แทบจะรู้พล็อตทั้งเรื่องแล้ว และวลีเด็ดอย่าง Carpe diem = Seize the day และ Oh! Captain My Captain ก็ยังคงถูกกล่าวอ้างถึงมาจนถึงยุคปัจจุบัน

+ นับเป็น 1 ในหนังจำนวนไม่มากนักที่ผมเพิ่งได้มาดูเอาตอนโต แล้วยังคงรู้สึกประทับใจมากๆ ได้อยู่ (เคยเป็นกับ Stand by me ที่ความรู้สึกผมดันไม่ซึ้งมากเท่ากับที่ตัวหนังส่งออกมา ซึ่งถ้าได้ดูตั้งแต่ตอนเด็กๆ คงกลายเป็นหนังในดวงใจไปแล้ว)

+ วิธีการสอนของ ครูคีธติ้ง (โรบิน วิลเลี่ยมส์) นี่มันช่างจ๊าบจริงๆ ถึงเอามาใช้ในยุคปัจจุบันก็ยังคงล้ำสมัยอยู่

+ เด็กคนเดียวที่แจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ และยังคงมีที่ทาง มีหนังให้เล่นในฮอลลีวูดจนทุกวันนี้ก็คือ อีธาน ฮอว์คส์ ส่วนที่เหลือหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้แล้ว
______________________________________________________

พักกันก่อน เด๋วสัปดาห์หน้ามาต่อกับอีก 4 เรื่องที่เหลือ (หนังรางวัลเกือบทั้งนั้น) และหนังเคเบิลอีกสักเรื่อง 2 เรื่อง นะครับผม




 

Create Date : 15 มีนาคม 2553   
Last Update : 17 มีนาคม 2553 12:15:07 น.   
Counter : 2605 Pageviews.  


มกราคม 2553

เนื่องจากเดือนมกราคมที่ผ่านมา แทบไม่มีหนังน่าสนใจเข้าฉายในโรงเลย จึงเป็นเดือนที่ผมได้ดูหนังโรงน้อยมากๆ แค่ 4 เรื่องเท่านั้น ดังนั้นจึงขอพ่วงหนังเคเบิลที่ได้ดูในเดือนกุมภาเข้าไปด้วย (เพราะเดือนกุมภาหนังโรงเยอะ หนังรางวัลก็หลายเรื่อง) ดังนี้

1. The Men Who Stare at Goats [Grant Heslov] @ เฮาส์ RCA



My rating [B+]

พล็อตย่อ : นักข่าวนายหนึ่งติดตามขุดคุ้ยข่าวเด็ดเรื่อง “กองพันนักรบเจได” ที่มีภารกิจในการต่อสู้กับศัตรูโดยใช้พลังจิต! อาทิ การวิ่งทะลุผ่านกำแพง, การบังคับก้อนเมฆบนท้องฟ้าให้เป็นรูปร่างที่ต้องการ และที่เด็ดมากๆ จนกลายมาเป็นชื่อเรื่องก็คือ การสังหารศัตรูโดยการใช้พลังจิตบังคับให้หัวใจวายตาย ซึ่งสิ่งที่ใช้ในการฝึกก็คือ แพะ(รับบาป) !!

ความคิดเห็น : เป็นหนังตลกร้ายล้อเลียนกองทัพอเมริกาที่พล็อตฮาดี (แต่ทำเป็นเล่นไป เคยอ่านมาเค้าบอกว่าหน่วยที่มีภารกิจคล้ายๆ เช่นนี้มีจริงๆ นะเออ!) และทุกคนก็เล่นกันได้อย่างหน้าตาย ไม่ว่าจะเป็นคุณพี่ยวน แม็คเกรเกอร์ (นักข่าว), เฮียจอร์จ คลูนี่ย์ (อดีตทหารในหน่วยนี้ที่เก่งที่สุด), ลุงเจฟ บริดเจส (ผู้ก่อตั้งหน่วยกองพัน) และ น้าเควิน สเปซีย์ (ตัวร้ายจอมอิจฉา) หลายๆ มุกก็เวิร์คใช้ได้ทีเดียว ... แต่ถึงแม้พล็อตหลักจะน่าสนใจ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่าภารกิจนี้บางช่วงมันช่างดูเลอะเทอะเลื่อนเปื้อนพิกล

2. Brothers [Jim Sheridan] @ สกาลา



My rating [A-]

พล็อตย่อ : ครอบครัวหนึ่งมีพี่ชาย นายทหารผู้มีครอบครัวอันอบอุ่น ภรรยาน่ารัก และลูกสาวที่กำลังโต 2 คน กับน้องชายไม่เอาถ่านที่เพิ่งพ้นโทษจากคุก พี่ชายต้องไปรบที่อัฟกานิสถานและถูกกลุ่มตาลีบันจับตัวไปกักขังทรมาน ทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว น้องชายจึงได้เข้ามาช่วยเยียวยาครอบครัวของพี่ชาย แต่ในที่สุดเขาก็กลับมาบ้านด้วยจิตวิญญาณอันแหลกสลาย และกลายเป็น “คนแปลกหน้า” ของครอบครัวตัวเอง

ความคิดเห็น : รีเมคจาก Brødre หนังเดนมาร์ค ที่เน้นถึงผลกระทบจากการที่ทหารต้องไปร่วมรบในสงคราม รวมถึงครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง ผกก. จิม เชอริแดน (In America, In the Name of the Father, My Left Foot) ยังคงถนัดกำกับหนังดราม่าครอบครัวหนักๆ และดาราหลักๆ ก็แสดงอารมณ์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็น โทบี้ แม็คไกวร์ (ที่คนดูหลายท่านบอกว่าดูแสดงล้นมากไป), นาตาลี พอร์ตแมน, เจค กิลเลนฮาล และโดยเฉพาะนักแสดงเด็กอย่างลูกสาวคนโต (เบลี่ แมดิสัน) ฉาก “สงครามประสาท” บนโต๊ะอาหารที่เป็นไคลแม็กซ์ดูกดดันทีเดียว ... สงครามมันช่างกัดกร่อนความเป็นมนุษย์ได้เลวร้ายจริงๆ

3. 20th Century Boys 3: The Last Chapter - Our Flag [Yukihiko Tsutsumi] @ ลิโด



My rating [B+]

พล็อตย่อ : ชาวแก๊งรวมทั้งหลานสาวคนสวย ต้องทำหน้าที่ปกป้องการครอบครองโลกของ “เพื่อน” ให้สำเร็จ และนี่คือบทสรุป รวมทั้งการกระชากหน้ากากว่าจริงๆ แล้ว “เพื่อน” คือใคร (ในหมู่พวกเขา) กันแน่

ความคิดเห็น : ในเมื่อตามดูมาตั้ง 2 ภาคแล้ว ก็ต้องไปปิดท้ายด้วยภาคนี้ให้จงได้ ด้วยพล็อตของการ์ตูนเรื่องนี้ที่ค่อนข้างซับซ้อนและ “ใหญ่โต” อยู่มาก ทำให้เวอร์ชันภาพยนตร์เรียกว่าสร้างได้ยังไม่ถึงระดับของการ์ตูนนัก (เห็นว่า “เพื่อน” ในหนังกับในการ์ตูน เฉลยไม่เหมือนกันด้วย) ... อย่างไรก็ดี การได้ฟังเพลง “กูตาลาลา ... ซือ ตาลาลา ............” ในหนังก็ช่วยบิวด์อารมณ์คนดูให้อินไปกับเรื่องราวได้เพิ่มขึ้นอีกโขอยู่

4. Dorian Gray [Oliver Parker] @ สกาลา



My rating [B-]

พล็อตย่อ : นิยายชื่อดังของ ออสการ์ ไวลด์ ถูกนำมารีเมคอีกครั้ง กับพล็อตคลาสสิคของการแลกวิญญาณกับปิศาจ เพื่อคงความเป็นอมตะและเป็นชายหนุ่มผู้ไม่มีรอยบุบสลายชั่วนิรันดร์

ความคิดเห็น : ถึงแม้การแคสต์เจ้าชายแคสเปียน (จาก Narnia) เบน บาร์นส์ มาเป็นโดเรียน เกรย์ จะไม่ถึงกับเป็นจุดอ่อนของหนัง แต่เขาก็ไม่สามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้ โดยเฉพาะพัฒนาการของคาแรคเตอร์อันเป็นชื่อเรื่อง ... ซึ่งมันอาจเป็นมาตั้งแต่บทภาพยนตร์แล้วก็เป็นได้ (อาทิ จากคนที่เคยรักนางเอกละครเวที แค่โดนชักชวนไปเที่ยวแค่หนเดียว กลายเป็นใจแตกเสียผู้เสียคนไปเลยซะอย่างนั้น ... มันดูโดดไปหน่อยนะ)


= หนังเคเบิล เดือนกุมภา =
ได้มาร์คเวลาดูไปแค่ 2 เรื่อง ซึ่งก็ชอบมากๆ ทั้งคู่เลย

1. Nick & Norah's infinite playlist (2008) [Peter Sollett]



My rating [A]

พล็อตย่อ : พระเอกเด็กเนิร์ดผู้บ้าคลั่งเสียงเพลงและเป็นสมาชิกของวงดนตรีที่เป็นเกย์ทั้งวง (ยกเว้นตัวเขา) ตามตื๊อสาวนางหนึ่งด้วยการส่ง “CD รวมเพลงฮิต” ไปให้เธอฟังเป็นแรมปี แต่คนที่รู้สึก “โดน” กลับเป็นเพื่อนของเธอต่างหาก แล้ววันหนึ่งโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งคู่ได้มาพบกัน พร้อมกับเรื่องวุ่นๆ ในการตามดูการแสดงสดของวงดนตรีอันเป็นที่รักของเขาทั้งสองคน

ความคิดเห็น : เป็นหนังเกี่ยวกับ พรหมลิขิต และ “คนที่ใช่” ที่เขียนบทออกมาได้จี๊ดทีเดียว เคมีระหว่างคู่พระนางอย่างไมเคิล เซรา (หนุ่มเนิร์ดหน้าจ๋อยๆ กำลังครองโลก! ) และแคท เดนนิ่งส์ ก็ดูน่ารักกุ๊กกิ๊กลงตัว มุกฮาๆ ระหว่างทางก็เวิร์คเอาการทีเดียว เป็นหนังวัยรุ่นที่ดูแล้วเพลินและมีความสุขจัง

2. Rachel Getting Married (2008) [Jonathan Demme]



My rating [A+++++++]
พล็อตย่อ : เริ่มตั้งแต่นางเอกถูกรับออกมาจากสถานบำบัดผู้ติดยาชั่วคราว เพื่อมาร่วมงานแต่งงานของพี่สาว และจบลงเมื่องานเสร็จ ... และอย่างช้าๆ หนังค่อยๆ “ปอกเปลือก” พฤติกรรมและความรู้สึกที่แต่ละคนในครอบครัวนี้มีต่อกัน รวมทั้งเปิดเผยถึงเรื่องราวที่ทำให้ครอบครัวนี้ “ล่มสลาย” กลายเป็นเช่นที่เห็นในหนัง

ความคิดเห็น : ที่สุดยอดที่สุด ก็คือการแสดง ดาราทุกคนเล่นกันได้อินสุดๆ และบทหนังก็ส่งด้วย จนทำให้หนังเรื่องนี้ดู “จริง” และมีความเป็นมนุษย์สูงมากๆ ผู้ที่สมควรกล่าวถึงได้แก่ แอน แฮทธาเวย์ พลิกบทมาเป็นน้องสาวตัวแสบ (เข้าชิงออสการ์จากเรื่องนี้) ที่จริงๆ แล้วคาแรคเตอร์ของเธอก็มีทั้งแง่มุมที่แสบสันต์ แต่ก็น่าสงสารอยู่ไม่ใช่น้อย, โรสแมรี่ เดวิทท์เป็น เรเชล พี่สาวผู้กำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน คาแรคเตอร์ของเธอก็มีความซับซ้อนทางอารมณ์สูงทีเดียว กับความรู้สึกที่มีต่อน้องสาวและคนอื่นๆ ในครอบครัว และเดบรา วิงเกอร์ แม่ ผู้ถึงแม้จะมีบทแค่ไม่กี่ฉาก แต่ก็มีความสำคัญมากๆ

เป็นหนัง “ความล่มสลายของครอบครัว” ที่คนดูสามารถรับรู้ได้ผ่านงานแต่งงาน (เข้าใจง่าย และอินกว่า Margot at the wedding) ที่ทำเอาคนดูอย่างผมใจสลายเลยทีเดียว
______________________________________________________

สุดสัปดาห์ถัดไป (คืนศุกร์ 5 มีนา - ค่ำอาทิตย์ 7 มีนา) ผมมีโปรแกรมไปเที่ยวอุทยานฯ สามร้อยยอด จังหวัดประจวบฯ เลยอาจเข้าไปเยี่ยมใครๆ ที่บล็อกไม่ทันเท่าไหร่นะครับ (พูดยังกะทุกทีไปเยอะงั้นแหละ! ) ต้องขอโทษล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วย แหะๆ




 

Create Date : 01 มีนาคม 2553   
Last Update : 1 มีนาคม 2553 3:04:46 น.   
Counter : 1241 Pageviews.  


My Top 10 movies which I saw in 2009

และแล้วก็ได้เวลาปล่อยบล็อกมหากาพย์ที่ตั้งใจไว้มานานเสียที (คงเป็นเอนทรี่สุดท้ายของบล็อกเกอร์ทั้งมวลแล้วล่ะ ที่จะเขียนเนื้อหานี้ เลทคอตรๆ ) นั่นคือสรุป 10 อันดับหนังในดวงใจปี 2009 ของผม (บางเรื่องอาจเป็นหนังของปีอื่น แต่ผมได้ดูในปีนี้ ก็ขออนุญาตนับรวมๆ กันไปเลยนะครับ) ... ซึ่งกว่าจะตัดให้เหลือ 10 อันดับได้เนี่ย ก็ต้องให้ความรู้สึกที่มีต่อแต่ละเรื่องตกตะกอนเสียก่อน จึงต้องใคร่ครวญตัดไปตัดมาอยู่หลายรอบกันเลยทีเดียว

ก่อนอื่นผมก็จะขอพูดถึงหนังในกลุ่ม “สมควรแก่การกล่าวถึง” ที่ไม่ได้อยู่ใน 10 อันดับก่อน (เรียงตามเวลาที่ได้ดู) อันได้แก่

+ Happy-go-Lucky
“ถัดจากนางสาว Amelie เป็นต้นมา ก็คงมีครูป๊อปปี้จากเรื่องนี้แหละที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงที่สุด แต่เป็นเอมิลี่ที่ realistic และ drama มากกว่า ซึ่งต้องขอบคุณต่อการแสดงที่พอดีๆ ของแซลลี ฮอว์กินส์ที่เป็นหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้”

+ The curious case of Benjamin Botton
“สุดยอดงานทางด้านเทคนิคขั้นเทพ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ, ลำดับและตัดต่อภาพ, เพลงประกอบ, แต่งหน้า & CGI (ที่เราคนดูคงจะไม่ได้เห็นแบรด พิตต์ หล่อ และเคทท์ แบลนเชตต์ สวยเท่านี้ได้อีกแล้ว) ... แต่การเล่าเรื่องเหมือนเป็น Forrest Gump เวอร์ชันถอยหลัง”

+ Doubt
“เหมือนเป็นละครเวที ที่ตัวละครหลักทั้ง 4 ต่างปล่อยของเชือดเฉือนฝีมือกันอย่างเต็มที่ และให้ผลลัพธ์ในระดับกระชากอารมณ์คนดูได้ชะงัด”

+ Milk
“ชีวประวัติที่สุดแสนจะเปรี้ยวจี๊ด แต่นุ่มนวลชวนฝัน ลืม ฌอนน์ เพนน์, เจมส์ ฟรังโก, เอมิล เฮิร์ช ฯลฯ ที่แสนห้าวไปได้เลย เพราะในหนังเรื่องนี้ลุคพวกเค้าจะ “เก๊ย์ เกย์” จนทำให้คนดูเกือบจะคิดไปว่าพวกเขาไม่ได้แอ๊บ แต่เป็นเกย์กันจริงๆ”

+ Watchmen
“แม้แต่ซุปเปอร์ฮีโร่ก็มีความเป็นมนุษย์และมีด้านที่มืดหม่นเช่นเดียวกับคนเดินดินโดยทั่วไปเช่นกัน”

+ ความจำสั้น แต่รักฉันยาว
“เป็นหนังไทยที่ผมชอบเป็นอันดับ 2 ของหนังไทยที่ได้ดูในปีนี้จากค่าย GTH ที่ถึงแม้จะยังคงฟีลกู๊ด แต่ก็มี “รสขม” อวลอยู่มากพอ (ที่จะทำให้ผมชอบ) ประเด็นที่หนังเล่นกับความจำ / การลืม ของคู่รักต่างวัยทั้ง 2 คู่ ช่างจี๊ดได้ใจ”

+ Gone baby gone (2007)
“ด้วยพล็อตที่ล่อหลอกคนดู แล้วค่อยๆ เฉลยเหมือนแกะเปลือกกะหล่ำปลีออกมาทีละชั้นๆ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ชวนให้ใจสลาย ... บางที ความถูกต้อง กับความเหมาะสม มันก็ช่างสวนทางกันซะอย่างนั้น”

+ Bandslam
“ถึงแม้จะไม่มีใครพูดถึงเท่าไหร่ แต่ผมกลับชื่นชอบหนังวงดนตรีในโรงเรียนมัธยมเรื่องนี้มากโขอยู่ นอกจากอุดมไปด้วยเพลงเพราะๆ, พล็อตที่ออกจะซับซ้อน (กว่าหนังแนวนี้ทั่วๆ ไป), กิมมิคเก๋ๆ จนทำให้ HSM ดูเป็นหนังเด็กไปเลย”

+ Young@heart
“สารคดีเพลงที่ดูแล้วแสนจะเพลิดเพลิน ให้ความรู้สึกทั้งรื่นรมย์ และปลงอนิจจัง (ต่อชีวิต) ไปในเวลาเดียวกัน”

+ Antichrist
“ลึกมากๆ เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ (โดยเฉพาะทางด้านศาสนาคริสต์) ให้ต้องตีความ ถ่ายภาพสวยเทพ และมีช่วง 30 นาทีท้ายที่จะหลอกหลอนความรู้สึกคุณไปอีกนานหลังจากดูจบ”

+ Dogtooth
“ถ้าสามารถหยิบเอาสามัญสำนึกของผู้คนออกมาได้ เอามีดกรีดกระชากให้กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วโปรยเศษซากเหล่านั้นลงไปในกองไฟ ... ก็คงจะได้ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้”

+ 35 shots of rum
“เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูก กับผู้คนอีกไม่กี่คน ที่ผมรู้สึกว่าเป็นหนังที่ให้อารมณ์อาร์ตที่สุดที่ผมได้ดูในปีที่ผ่านมา”

+ A prophet
“เป็นหนังนักโทษ ที่ถึงแม้จะยืดยาวไปสักนิด แต่ก็ดูสนุกมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง”

+ All Around Us
“หนังญี่ปุ่นเกี่ยวกับผู้คนประหลาดๆ ที่อาจสามารถเยียวยาจิตวิญญาณของใครบางคนที่กำลังสับสนในชีวิตได้”

+ I killed my mother
“เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ที่จี๊ดใจมากๆ ... ถ้ามีแม่เยี่ยงนี้สักคนคงคิดไม่ตกเลยว่าจะรักหรือไม่รักเธอดี”

+ Broken embraces
“หนังเรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ถึงแม้จะมีพล็อตน้ำเน่า แต่ถ้าผู้กำกับแม่น และบทหนังมีชั้นเชิงมากพอ มันก็สามารถเป็นหนังที่ดีได้”

+ Treeless mountain
“เป็น Nobody knows เวอร์ชันเกาหลี ที่บิวด์น้อยกว่า เด็กหญิงทั้ง 2 คนแสดงได้เป็นธรรมชาติมากๆ”

+ My sister's keeper
“ถึงแม้จะจงใจบีบน้ำตา แต่กับเรื่องนี้มันกลับได้ผลแฮะ ทำเอาคนดูเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไปตามๆ กัน”

+ Julie & Julia
“การเจอกันบนจออีกครั้ง (แม้จะไม่ได้ร่วมเฟรมกันเลยแม้แต่ฉากเดียว) ของเจ้าป้าเมอริล กับ เอมี่ อดัมส์ ให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะเอมี่ เธอทำให้คาแรคเตอร์ที่เธอได้รับ ดูน่ารักและน่าเอาใจช่วยขึ้นมาอีกโขเลย”

+ Looking for Eric
“ได้ดู เอริค คันโตน่า แสดงหนังอีกครั้ง ... ผมสะใจกับ “การแก้แค้นอันแสนสนุกสนาน” ในเรื่องนี้เอาการทีเดียว”

+ The road
“ชอบบรรยากาศที่หนังรังสรรค์ขึ้นมา เสียดายถ้ามันมืดหม่นกว่านี้ (อีกเยอะๆ) น่าจะติด 10 อันดับไปแล้ว”

+ Avatar
“งานเทคนิคชั้นเซียน เสียดายที่ผมไม่ได้ดูในโรง 3D ... และด้วยพล็อตประมาณนั้น เลยให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดู Titanic & โพคาฮอนทัส ภาคอวกาศอยู่”

... และเรื่องเหล่านี้ ที่ถูกคัดออกในรอบสุดท้าย
+ Revolutionary road
“ด้านมืดของชีวิตครอบครัวชนชั้นกลางผู้มีความใฝ่ฝันแบบ American dream ที่เป็นรูปธรรมที่สุด”

+ Slumdog Millionaire
“เป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์ที่ดูไม่ยาก และยังสนุกมากๆ อีกด้วย งานเทคนิคก็โดดเด่นมีเอกลักษณ์และอยู่ในระดับสุดยอดทั้งสิ้น ... แต่สำหรับตัวผมเอง ถ้าเรื่องราวมันมืดหม่นกว่านี้ และบทสรุปที่ไม่ง่ายดาย ลงตัว (จนดูฟุ้งฝัน) ขนาดนี้ ก็คงจะชอบมากกว่านี้”

+ Star trek
“เป็นการรีบูตซีรีส์ที่พ้นยุคสมัย แทบหมดลมหายใจขึ้นมาใหม่ได้อย่างสุดยอด และดูสนุกมากๆ”

+ Drag me to hell
“ลุ้นมันส์สุดๆ สนุกเหมือนได้นั่งรถไฟเหาะเข้าบ้านผีสิง ยังไงยังงั้นเลย”

+ Boy A (2007)
“ถ้าชีวิตเราเหมือนเด็กผู้ชายคนนี้ เราจะรับมือกับความรู้สึกที่เขาได้รับ ที่ต้องถูกตีตราบาปไปชั่วชีวิตได้หรือไม่หนอ”

และแล้วก็มาถึง 10 อันดับกันเสียที ...



10. District 9
“สารคดีจอมปลอมที่สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่ามี “เขตกักกันมนุษย์ต่างดาว” นี้อยู่บนโลกใบนี้จริงๆ หนังเล่นประเด็น คนใน/คนนอก และเหน็บแนมการเหยียดสีผิว/ชาติพันธุ์ ได้อย่างเมามันส์ยิ่ง”

9. Silent wedding (2008)
“หนังโรมาเนีย ที่เสียดสีการปิดกั้นความคิดและความรู้สึก โดยให้อารมณ์ทั้งตลกมาก และเศร้ามากๆ ในเวลาเดียวกัน”

8. The hangover
“เป็นหนังที่ผมดูแล้วตลกที่สุดของปีที่ผ่านมา พล็อตฉลาดและมุกที่สดใหม่ รวมทั้งฉากเฉลยในช่วงท้าย ทำเอาฮาจนท้องคัดท้องแข็ง”



7. Into the wild (2007)
“ชีวิตคืออะไรเหรอ ... บางทีมันอาจจะว่างเปล่า, มืดมน และสุดแสนจะโดดเดี่ยวอ้างว้างเลยก็เป็นได้นะ”

6. Marry and Max
“เมื่อคนไม่สมประกอบทางอารมณ์ และเด็กหญิงในอีกซีกโลกหนึ่งได้รู้จักกัน การวิพากษ์สังคมผ่านสายตาของพวกเขาก็เกิดขึ้น ... ชีวิต บางทีแค่มีใครสักคนที่เราสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างสนิทใจ ก็อาจเพียงพอแล้ว”

5. เฉือน : ฆาตกรรมรำลึก
“เป็นหนังไทยไม่กี่เรื่อง ที่จับเอา “ฆาตกรต่อเนื่อง” มาพูดถึง และที่เหนือชั้นกว่านั้นก็คือ การใส่ปมทางจิตวิทยาอันซับซ้อนเข้ามาเป็นโครงเรื่อง โดยส่วนที่ดีที่สุดของหนัง คือช่วงแฟล็ชแบ็ค ย้อนอดีตไปยังตอนที่พระเอก และฆาตกรยังเป็นเด็กชายที่เป็นเพื่อนกัน พล็อตที่ปูไว้แน่นซะจนพอถึง “ฉากเฉลย” ก็สามารถกระชากใจคนดูไปได้แบบเต็มๆ”



4. The wrestler
“จะมีอะไรจริงกว่า “ชีวิตบัดซบ” ของนักมวยปล้ำ - หมาล่าเนื้อแก่ๆ คนนี้ได้อีกมั้ยเนี่ย”

3. Departures
“ถึงแม้บางช่วงจะดูเป็นการ์ตูนๆ ไปบ้าง และพล็อตมีรูโหว่อยู่ในช่วงท้ายๆ เรื่องที่จงใจรวบรัดบทสรุปแบบในหนังมากไปหน่อย แต่ความดีงามของหนังเรื่องนี้คือ การทำให้คนดูหยุดคิดถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต - ความตาย ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างงดงามบนแผ่นฟิล์ม”

2. Up
“แค่ฉากเปิด 10 นาทีแรก ก็ทำเอาใครต่อใครซึ้งจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว แต่เรื่องราวหลังจากนั้นกลับทำให้ผมเพลิดเพลินไปกับการเดินทางและมิตรภาพของชาย 2 วัยได้อย่างสนุกสนาน โดยบรรลุถึงแก่นของเรื่องคือ “การยึดติด - การปล่อยวาง” ได้ในที่สุด



1. Inglourious Basterds
“เป็นอีกครั้งที่ประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนบนจอเงินอย่างเมามันส์เป็นที่ยิ่ง ถ้าปีที่แล้วมี “แอนตัน ชิเกอร์” จาก No country for old men เป็นตัวเอก ปีนี้ก็คงต้องยกให้ “ผู้พันฮานส์ ลันดา” นาซีจอมโหดหน้าตายผู้ฉลาดเป็นกรดคนนี้ (แค่ฉากเปิดที่ยาวนานร่วม 10 กว่านาที ก็แนะนำตัวละครตัวนี้ได้หลายแง่มุมแล้ว) ... เควนติน ตารันติโน แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเขาเป็น “คนรักหนัง” มากขนาดไหน และผลลัพธ์ที่ได้คือเรื่องนี้ ก็เป็นระดับท็อปฟอร์ม"


สุดท้ายนี้ ก็ขอทุกท่านจงมีความสุขกับงานอดิเรกของท่านนะครับ ส่วนผมปีนี้ ก็คงจะต้องตะลุยดูหนังกันต่อไป อีก 2 ปีก็จะถึง 2012 แล้ว จะทำอะไร จะบอกรักใคร ก็รีบทำเข้า ก่อนโลกจะแตกนะครับผม หุๆ

ปล. ที่อาบรูดถามไว้ พี่ไม่ได้เชื่อเรื่องโลกแตกหรอกจ้า มุกน่ะมุก จริงๆ จะบอกว่า "คิดอะไรไว้ ก็ให้รีบทำอย่าได้รั้งรอ" นั่นแหละน่อ




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2553 10:06:23 น.   
Counter : 958 Pageviews.  


พฤศจิกายน – ธันวาคม 2552

ในที่สุด ผมก็ผ่านสัปดาห์อันเลวร้ายนรกแตกในที่ทำงานไปจนได้ (แต่ต่อไปก็คงไม่ได้จะว่างขึ้นสักเท่าไหร่ มีแต่งานที่จะถูกถมเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆๆ!!) แต่เมื่อเหลือบมองดูบล็อกตนเอง ก็ให้ละอายใจเป็นยิ่งนัก นี่ปาเข้าไป 2 อาทิตย์ครึ่งแล้วเหรอเนี่ย แถมยังไม่ได้ร่างหน้าหนังแห่งปีที่ผ่านมาเลย

แต่ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าก่อนจะสรุปว่าชอบเรื่องไหนบ้าง ก็ควรเขียนถึงทุกเรื่องที่ได้ดูให้ครบก่อนไม่ใช่เหรอ แต่เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เอาเป็นว่าผมขออนุญาตสรุปถึงหนัง 2 เดือนสุดท้ายที่ผมได้ดูสั้นๆ โดยไม่แปะรูปแล้วกันนะครับ แหะๆ

พฤศจิกายน (10)

1. My sister's keeper (เฮาส์ RCA) [A]
+ ถึงจะเมโลดราม่า แต่จังหวะจะโคนของอารมณ์ก็ถูกวางไว้เป็นอย่างดี เรียกน้ำตาคนใจอ่อนได้ชะงัด
+ เป็นอีกครั้งที่หนูน้อย อบิเกล เบรสลิน แสดงให้เห็นว่า เธอสามารถยึดตำแหน่ง “มือวางอันดับ 1 ดาราเด็กผู้หญิง” ที่เคยเป็นของ ดาโกต้า แฟนนิ่งไว้ได้โดยสมบูรณ์
+ ไม่ได้เห็น คาเมรอน ดิแอซ เยิน (แต่แสดงดี) แบบนี้ตั้งนานแล้วนะเนี่ย

2. The rebound (SF เซ็นทรัล ลาดพร้าว) [B+]
+ อีกครั้งกับพล็อตของนางโคแก่กับหนุ่มหญ้าอ่อน ที่เวิร์คได้ก็เพราะเคมีที่เข้ากันระหว่างแคธลีน ซีต้า โจนส์ ที่ยังคงสวยไม่สร่าง กับ จัสติน บาร์ธา ที่ดูเป็นหนุ่มข้างบ้านเซื่องๆ ที่สาวๆ มักจะเผลอใจตกหลุมรักได้โดยง่าย แท้ๆ เลยทีเดียว

3. The brothers Bloom (สยาม) [B]
+ โดยส่วนตัว ผมไม่ค่อยถูกกับสไตล์การกำกับหนังของ ผกก. ไรอัน จอห์นสัน มาตั้งแต่ครั้งเรื่อง Brick โน่นแล้วแฮะ และกับเรื่องนี้ก็เช่นกัน ที่หนังดูมีความพยายามให้เป็นในแนวทางที่หนังเป็นมากไป จนดูล้นๆ ไปสักหน่อย
+ อย่างไรก็ดี เอเดรียน โบรดี้ ยังหน้าป่วยเหมือนเดิม, เรเชล ไวส์ สวยเหมือนเดิม และริงโกะ คิคูชิ พูดน้อย แต่ต่อยหนักเหมือนเดิม

4. Taking Woodstock (ลิโด) [B]
+ ผกก. อั้งลี่ เจ๋งตรงที่สามารถถ่ายทอดภาพเหตุการณ์เบื้องหลังคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์นี้โดยไม่ต้องมีภาพบนเวทีคอนเสิร์ตจริงๆ มาประกอบหนังด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถหยิบยกเอาจิตวิญญาณบุปผาชนในยุคนั้น มาสร้างเป็นบรรยากาศในหนังได้อย่างลงตัว ... แต่ด้วยตัวหนังที่ดูล่องลอยไปหน่อย เลยไม่ค่อยถูกใจมหาชนสักเท่าไหร่
+ อิเมลดา สตอนตัน ยังคงเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีเช่นเคย, พอล เดโน ฮิปดี, เอมิล เฮิร์ช เล่นดีเหมือนเดิม และเลียฟ ชไรเบอร์ กรี๊ดดดดดด

5. The box (SF มาบุญครอง) [A-]
+ ผกก.ริชาร์ด เคลลี่ ยังคงไม่ยอมละทิ้งตัวตน แต่กับเรื่องนี้เค้าคงทะเยอทะยานมากไปหน่อย เลยทำให้หนังที่หน้าหนังดูจะเป็นหนังเมนสตรีม (แต่จริงๆ เป็นหนังอินดี้ดำมืดที่เสนอไอเดียสุดล้ำ) เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จ (ทางด้านรายได้) เอาซะเลย
+ โดยส่วนตัว ผมยอมรับว่างงๆ กับการตัดต่อในบางฉากพอสมควร เลยทำให้รู้สึกเหมือนเรื่องราวบางช่วงของหนังมันโดดๆ ไงไม่รู้แฮะ

6. 2012 (สยาม) [B-]
+ เทคนิคพิเศษ ชนะเลิศ ... ส่วนบทหนัง อ่อนกว่าหนังหายนะรุ่นพี่อีกหลายๆ เรื่องก่อนหน้าอยู่เป็นอันมาก อารมณ์ดราม่าที่หนังพยายามใส่เข้ามา ก็ไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไหร่

7. Twilight saga : New moon (สกาลา) [C+]
+ หลายๆ คนเลี่ยนกับภาคแรก แต่สำหรับผมพอรับได้ ... แต่ผมกลับมาเลี่ยนกับภาคนี้ว่ะ! ใน 3 โลกนี้ใครจะโชคดีเท่ายัยเบลล่าได้อีกเนี่ย ที่มีแวมไพร์ขน(ตามตัวเป็น)เพชร กับมนุษย์หมาป่ากล้ามล่ำ มาตกหลุมรักพร้อมๆ กัน เฮ้อออออ!!! เวิ่นเว้อซะไม่มีอ่ะ

8. [เทศกาลหนังยุโรป] Silent wedding (SFW) [A+]
+ เป็นหนังโรมาเนียที่เสียดสีระบอบการปกครองและระบบการเซ็นเซ่อร์ได้ทั้งเศร้า ทั้งฮาโคตรๆ
+ ตลกท่าทางระหว่างงานกินเลี้ยงแต่งงานของผู้คนทั้งโต๊ะ ช่างขำกลิ้งซะจริงๆ เชียว

9. The September issue (เฮาส์ RCA) [A-]
+ ถึงไม่ใช่คนในวงการแฟชั่น แต่สารคดีเรื่องนี้ก็จัดวางองค์ประกอบไว้ดีพอที่ผมพอจะติดตามเรื่องราวได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อไปซะก่อน
+ แอนนา วินทัวร์ตัวจริง ถึงจะดูเป็นนางมาร แต่เธอก็มีหัวใจนะ (ส่วน เกรซ คอดดิงตัน ก็กลายเป็นนางฟ้าไปเลย)

10. Paranormal activity (สกาลา) [B]
+ โดยส่วนตัวผมเป็นพวกไม่ค่อยอินกับกระแสอยู่แล้ว และกับเรื่องนี้ (ที่ก่อนไปดู ไม่อินตามแต่แรกแล้ว) เลยรู้สึกค่อนข้างเบื่อหน่ายกับการนั่งจ้องมองเฉพาะตอนกลางคืน ที่เวลาของกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วและค่อยๆ ช้าลงๆ จนหยุด ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ส่วนเวลาที่เหลือ ก็แค่มานั่งดูอิคนคู่นี้ทะเลาะกันไปวันๆ แค่นั้น


December (6)
1. Julie & Julia (พารากอน) [A]
+ ถึงแม้ตัวเอกทั้งสองคน จะไม่มีช่วงเวลาใดที่ได้อยู่ร่วมเฟรมเดียวกันเลย แต่ ผกก.นอร่า เอฟรอนก็เก่งพอที่จะทำให้คนดูสามารถอินและรู้สึกร่วมไปกับเธอทั้ง 2 คน ในช่วงเวลาที่ห่างกันหลายสิบปีได้ โดยมีเหตุการณ์ร่วมต่างๆ ที่ต้องฟันฝ่าคล้ายคลึงกัน และไม่มีใครเด่นกว่าใคร
+ เจ้าป้าเมอริล ยังคงแปลงร่างได้เนียนสุดๆ อีกครั้ง ส่วนเอมี่ อดัมส์ เธอทำให้คาแรคเตอร์ จูลี่ ดูน่ารักขึ้นอีกเป็นกองเลย

2. [เทศกาลหนังอังกฤษ] Looking for Eric (SFW) [A]
+ เป็นหนังของ ผกก. เคน โลช ที่รู้สึกรื่นรมย์ (?!?) เวลาดูแฮะ (หายากนะเนี่ย) โดยเฉพาะฉาก “การแก้แค้นอันหอมหวาน” สะใจดีจังเลย เหอๆ
+ เอริค คันโตน่า พอได้มาเล่นเป็นตัวเอง แล้วเล่นดีกว่าตอนเป็นทูตฝรั่งเศสใน Elizabeth ราว 18 เท่า

3. Whip it (เฮาส์ RCA) [A-]
+ การกำกับหนังครั้งแรกของ ผกก.ดรู แบรี่มอร์ ที่ทำออกมาเป็นหนังกีฬาเพื่อนหญิงพลังหญิงที่สนุกกลมกล่อมได้ที่ทีเดียว
+ เอลเลน เพจ ยังคงเปล่งประกายเจิดจรัสอีกครั้งให้เห็นว่าในรุ่นเธอ เธอนี่แหละมือวางอันดับต้นๆ และขอกรี๊ดดดดด ให้กับความคิดถึงแด่ จูเลียต ลูอิส

4. The road (SFW) [A-]
+ สงสัยจะเป็นเพราะ “ความคาดหวัง (ว่าจะต้องมืดหม่นกว่านี้)” แน่ๆ เลย ที่ทำให้ผมรู้สึกกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่สุด
+ วิกโก มอร์เตนเซ่น ยังคงเล่นเป็นพ่อผู้ใจสลายได้ดีโคตรๆ (สมควรมีรางวัลติดมือได้แล้วนะ) และเด็กที่เล่นเป็นลูกชาย (โคดี สมิธ-แมคฟี) ก็รับส่งอารมณ์กับเขาได้ดีทีเดียว

5. Avatar (สกาลา) [B+]
+ ตอนนั้นมัวแต่กลัวว่าไม่ได้ดูหนัง 3D มานาน แล้วจะปรับสายตาไม่ทัน อ่านซับฯ ไม่รู้เรื่องเลยตัดสินใจไปดูโรงธรรมดา ... ซึ่งจนถึงวันนี้ก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์ของผมนะ!
+ ภาพล้ำโคตรๆ, ไอเดียเจ๋ง แต่ที่ธรรมดาก็คือบทภาพยนตร์ ที่เอา Titanic กับ Pocahontas มายำรวมกัน โดยไม่ได้นำเสนออะไรใหม่ๆ ไว้เลย ... อย่างไรก็ดี นี่เป็นหนัง “รักษ์โลก” อีกเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้รสชาติกลมกล่อมดีทีเดียว

6. Sherlock Holmes [B+]
+ มันส์ๆ กวนๆ สไตล์ ผกก.กาย ริตชี่ แต่ดูจบแล้วก็จบกัน ไม่เหลืออะไรติดค้างในหัวสักเท่าไหร่
+ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ กับ จู๊ด ลอว์ ตีความบท นักสืบโฮล์มส์ กับหมอวัตสัน รอบนี้ได้กวนบาทามากมาย หุๆ

... จบแล้วจ้า สำหรับหนังทั้งปีที่กระผมได้ดู แล้วเอนทรี่หน้าคงได้สรุปความชอบกันอีกทีนะครับผม ... ขอบคุณที่อ่านคร้าบ




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2553 2:10:59 น.   
Counter : 546 Pageviews.  


Top 12 (+2) of 00’s

มาต่อกันที่หนังในดวงใจของทศวรรษที่ผ่านไป (ไม่นับปี 2009 ซึ่งจะจัดแยกมาเฉพาะต่างหากอีกที) นะครับ โดยสามารถอ่านของทศวรรษก่อนหน้าได้ ... ที่นี่

เริ่มกันเลยแล้วกัน ...



1. Cast Away (2000 / Robert Zemeckis)
+ พล็อตแบบว่า ... คิดได้ไงเนี่ย คนติดเกาะ?!?
+ ป๋าทอม แฮงคส์ สุดยอดมากๆ ที่สามารถแบกรับหนังคนเดียวเอาไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง โดยไม่ทำให้คนดูเบื่อตายไปซะก่อน (ล่าสุดก็เห็นมี แซม ร็อคเวลล์ จาก Moon อีกคน ซึ่งผมยังไม่ได้ดูเลย)
+ “วิลสัน” เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และฉุดรั้งสติให้คงอยู่ที่ดีที่สุด ถ้าไม่มีวิลสัน พระเอกก็อาจฆ่าตัวตายไปแล้ว
+ ถ้าสมมติว่าเปลี่ยนเป็นตัวผมเองไปติดอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันนี้แทน ก็อาจจิตใจไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่รอดจนถึงวันที่ได้กลับมาสู่ “โลกมนุษย์” อีกครั้งอย่างเขาก็เป็นได้
+ ฉากถอนฟัน สยองสุดยอด!!
+ เป็นหนังที่ทำให้ “วิถีแห่งสันโดษ” เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ... และฉากจบ ทั้งเหงา ทั้งอ้างว้างฉิบหาย!!

2. Billy Elliot (2000 / Stephen Daldry)
+ เป็นหนังความสัมพันธ์/ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกที่ผมชอบมากที่สุด อารมณ์อิ่มอุ่นละมุนละไมสุดๆ
+ หนังเรื่องนี้บอกผมว่า ถึงเราจะชอบในสิ่งที่แตกต่างจากวิถีแห่งสังคมที่นิยมกัน แต่ถ้าเรารักในสิ่งนั้น ก็จงเดินไปให้สุดทางเถิด

3 All About Lily Chou-Chou (2001 / Shunji Iwai)
+ เรื่องนี้ขณะที่ดู ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ทำไมพอดูจบแล้ว อารมณ์ซึมเศร้ามันครอบงำจิตใจไปได้เป็นอาทิตย์ๆ วะเนี่ย?!?
+ สมัยนึง ผมเคยคิดพล็อตเกี่ยวกับมิตรภาพของเพื่อนทางเน็ต 2 คน ... แล้วตอนต้นของหนังเรื่องนี้ มันก็ใช่พอดี โคตรเดจาวูเลย
+ สำหรับผมถ้าดู Shawshank จบ แล้วทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ... แต่ถ้าดูเรื่องนี้จบ อาจทำให้อยากฆ่าตัวตายหนีโลกบ้าๆใบนี้ไปเลยก็เป็นได้
+ โปสเตอร์หนังเรื่องนี้ เป็น 1 ในใบปิดที่งดงามที่สุด เห็นแล้วอยากเป็นพระเอก เสียบหูฟังเพลง แล้วยืนอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งอีเธอร์ ... ชั่วนิรันดร์

หนังผี เป็น 1 ในหนังตระกูลที่ผมชอบที่สุด และใน 3 เรื่องนี้ ไม่รู้จะตัดเรื่องไหนดี ก็เลยขอยกมาทั้ง 3 เรื่องเลยแล้วกัน



4.1 The Others (2001 / Alejandro Amenabar)
+ ถึงแม้การหักมุม จะมีส่วนคล้ายกับหนังบางเรื่องที่สร้างมาก่อนหน้า แต่ถึงอย่างไร ก็ยังสามารถหลอกผมได้จนจบเรื่องอยู่ดี
+ ชอบบรรยากาศในหนังเรื่องนี้มากๆ หลอกหลอนขนหัวลุกสุดๆ

4.2 ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547 = 2004 / ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ & บรรจง ปิสัญธนะกูล)
+ เป็นตัวอย่างของหนังผีที่ “หลอนด้วยพล็อต” แล้วสามารถทำออกมาได้ดี มีโครงเรื่องและมีที่มาที่ไป และเหตุผลรองรับ
+ ฉากไคลแม็กซ์ และฉากจบ ทำได้สยองมากๆ และใช้ความเชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” มารองรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.3 เปนชู้กับผี (2549 = 2006 / วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง)
+ เป็นตัวอย่างของหนังผีที่ “หลอนด้วยบรรยากาศ” แบบไทยโบราณ แล้วสร้างออกมาได้ถึงคุณภาพ
+ ถึงแม้จะโดนข้อหาว่าจุดเฉลยและโปสเตอร์ มีส่วนคล้ายหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพล็อตของหนังเรื่องนี้ มีต้นกำเนิดมาจากนิยายเรื่องผีของครูเหม เวชกร ซึ่งท่านได้ประพันธ์ไว้ก่อนหน้าหนังเรื่องนั้นมานานนมแล้วต่างหาก
+ หนังจบเรื่องด้วยการใช้ "ความเชื่ออย่างหนึ่ง" ของคนไทย มาทำให้ทรงพลังมากขึ้น และก้าวไปได้ไกลกว่าหนังฝรั่งเรื่องที่ว่านั่นด้วย
+ เพลง end credit “สิ้นรักสิ้นสุข” โดยคุณนรีกระจ่าง เข้ากับหนังมากๆ ได้ยินทีไร ขนลุกทุกที



5. Amelie (2001 / Jean-Pierre Jeunet)
+ บุคลิกและพฤติกรรมของนางเอก ดูประหลาดโลกแต่ก็น่ารักมากๆ (ที่เห็นมีใกล้เคียงกันก็ “ครูป๊อปปี้” จาก Happy-go-lucky ... แต่ Amelie จะเซอร์เรียลมากกว่า และดราม่าน้อยกว่า)
+ เป็นหนังที่ช่วยเปลี่ยนมุมมองต่อโลกของผม ให้รักคนอื่นมากขึ้น และรู้จักการทำอะไรให้แก่ผู้อื่น โดยไม่จำเป็นต้องหวังอะไรตอบแทน แค่ได้เห็นพวกเค้ามีความสุข ก็ทำให้เราสุขได้แล้ว

6. In America (2002 / Jim Sheridan)
+ เป็นหนังครอบครัว “ผู้อพยพ” ที่ตอนที่ผมได้ดู รู้สึกอิ่มอุ่นมากมาย น้ำตาซึมไม่รู้กี่ฉากต่อกี่ฉาก
+ ชอบความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ-แม่-ลูก / พี่-น้อง / เพื่อนบ้านผิวสี (ผู้โชคร้าย) คนนั้นมากๆ มันดูจริง และดูเป็นมนุษย์ดี

7. Finding Nemo (2003 / Andrew Stanton & Lee Unkrich (ผู้กำกับร่วม))
+ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่อนิเมชั่นของค่าย Pixar ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุด แต่เป็นเรื่องที่สัมผัสกับความรู้สึกผมได้มากที่สุด (ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกนั่นเอง) และรู้สึกสนุกที่สุด เท่าที่ได้ดูมาร่วม 10 กว่าเรื่อง
+ คาแรคเตอร์เหล่าปลา สร้างสรรค์ได้โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อจอมเป๋อ, ลูกชายจอมซน แต่ที่ผมชอบที่สุดคือ ปลาดอรี่ความจำสั้นที่ให้เสียงพากย์โดยเอลเลน เดอ เจนเนอเรส



8. Nobody knows (2004 / Hirokazu Koreeda)
+ เป็นหนังเรื่องที่ 2 ของทศวรรษนี้ ที่พอดูจบแล้วสามารถสั่นคลอนอารมณ์ผมได้ในระดับ “ใจสลาย ตายไปเลย” ถัดจากลิลี่ ชูชู รู้สึกโคตรเศร้าอยู่เป็นอาทิตย์ๆ ทำไมโลกนี้มันช่างโหดร้ายยังงี้วะ?!?
+ ทั้งยูยะ ยากิระ และคนที่เป็นน้องๆ แสดงกันได้เป็นธรรมชาติมากๆ จนฉาก “กระเป๋าเดินทางที่สนามบิน” นั่นทำเอาผมสะอื้นฮักเลยทีเดียว

9. Pan’s labyrinth (2006 / Guillermo del Toro)
+ เป็นหนังที่เอาโลกแห่งความจริงและสงครามอันโหดร้าย กับโลกแห่งความฝันอันบริสุทธิ์ของเด็กน้อย มาเดินเรื่องคู่ขนานกันได้อย่างลงตัว
+ ชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ของ ผกก.กุยเลอโม เดล โตโร เกี่ยวกับฉากแฟนตาซีทั้งหลายที่โกธิค มืดหม่นได้ใจ รวมทั้งตัวฟอน และ “ปิศาจจ๊ะเอ๋” ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมากๆ
+ ฉากโหด ก็โหดได้ใจ และฉากจบ ก็ทำให้คนดูจินตนาการได้เป็น 2 ทางระหว่าง ความจริง กับ โลกในจินตนาการ ที่ให้อารมณ์อันแตกต่างกันอย่างถึงที่สุด

10. รักแห่งสยาม (2550 = 2007 / ชูเกียรติ์ ศักดิ์วีระกุล)
+ เป็นหนังไทยยุคหลังๆ ที่พูดถึงความรักอันหลากหลายรูปแบบ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนได้ละเมียดละไมลงตัวมากๆ (จนทำให้ผมเข้าไปดูในโรงซ้ำเป็นรอบที่ 2 ซึ่งไม่เคยทำแบบนี้มาตั้งนาน ตั้งแต่ Jurassic park โน่นแล้ว)
+ ชื่นชมความกล้าของคุณมะเดี่ยวในการเขียนบทหนังเรื่องนี้ออกมา รวมทั้งให้มี “ฉากจูบ” อันลือลั่นที่ทำให้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปเลย
+ ได้ชมการ “ปล่อยของ” ของคุณนกสินจัยอีกครั้ง, ได้ชมฝีมือที่แท้จริงของคุณกบ ทรงสิทธิ์ และพลอย เฌอมาลย์ รวมทั้งเป็นหนังที่น้องมาริโอ้ แสดงได้ดีที่สุด ... เพียงเรื่องเดียว! (ณ ขณะนี้ เพราะถัดจากเรื่องนี้ไป น้องเล่นได้ “ซุง” มากๆ )



11. The diving bell and the butterfly (2007 / Julian Schnabel)
+ เป็นหนังอีกเรื่องนอกจาก Shawshank ที่ดูจบแล้วทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป รู้ซึ้งถึงคุณค่าของการมี "ชีวิตปกติ" ที่ครบ 32 ไม่ป่วยไม่ไข้
+ ชอบเทคนิคหลายๆ อย่างที่หนังใช้ และทำให้เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของ “ฌอง โด” ผู้ขยับได้แต่เพียงเปลือกตาได้อย่างถึงแก่น
+ การที่หนังใส่มุกตลกผ่อนคลายเข้ามาเป็นระยะๆ ช่วยทำให้ไม่เครียดเกินไป ดูได้เรื่อยๆ
+ พอดูจบแล้ว รู้สึกได้เลยถึงความอึดอัดของการถูกกักขังใน “ชุดประดาน้ำ” กับความอิสระที่ได้โบยบินเยี่ยง “ผีเสื้อ” ตามชื่อเรื่อง

12. Let the right one in (2008 / Tomas Alfredson)
+ ผมเคยมีโอกาสไปฝึกงานที่สวีเดนเป็นช่วงเวลาสั้นๆ มาครั้งนึง ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่า “ในที่ที่เงียบๆ เย็นๆ มืดๆ อย่างนี้ มันน่าจะมีพวกภูติผีปิศาจสิงสถิตย์อยู่บ้างนะ” ... แล้วหนังเรื่องนี้ก็สอดคล้องกับความรู้สึกที่ว่านี่ได้พอดี
+ ชอบที่หนังมีหลายอารมณ์อันคลุมเครือปนๆ กัน โดยใช้ความรู้สึกระหว่างเด็กชายกับแวมไพร์น้อยเป็นแกนกลาง
+ กฎประหลาดๆ ของแวมไพร์เรื่องนี้ไม่ค่อยเคยเห็นจากหนังเรื่องไหน ... ทำให้แวมไพร์เรื่องนี้ดูจริงจังดีและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
+ หนังมอบฉากไคลแม็กซ์ที่สุดขั้วถึงใจ และฉากจบที่แสนเศร้าสุดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อๆ ไปข้างหน้า

... เอนทรี่หน้า (เมื่อไหร่ไม่รู้) คือหนังแห่งปี 2009 ของผมนะครับ (จนชาวบ้านเค้าจัดกันเสร็จไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย )




 

Create Date : 13 มกราคม 2553   
Last Update : 13 มกราคม 2553 23:46:16 น.   
Counter : 3442 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  

บลูยอชท์
 
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add บลูยอชท์'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com