Kimji Adventure : Ep 4 Nae Jang San ขุนเขางามยามใบไม้เปลี่ยนสี






เช้าวันต่อมา เราตื่นกันสายกว่าที่คิด คงเพราะเพลียจัด แถมเจ๊เรก็งอมๆ จากอาการหวัด แต่ก็ไม่สายเกินไปกว่าที่ตาพ่อหมีกลับมาจากเคลียร์งาน

น้องเลรีบลุก เปิดห้องมา เจอข้าวเช้าแบบเกาหลี ที่พ่อหมีจัดเตรียมไว้ให้ แต่เราอยากอาบน้ำก่อน แม้อากาศจะเย็นแต่ก็นิสัยคนไทยค่ะ ต้องอาบน้ำเข้าไว้ จิงไหมคะ

เมื่อเรา 2 ป้าอาบเสร็จก็เลยมานั่งลงเติมพลังให้กับร่างกาย กับอาหารเช้าของพ่อหมีใจดี แต่ก็ต้องอุ่นน้ำซุปก่อน (มะใช่ซุปสาหร่ายนะคะ เพราะว่าไม่ใช่วันเกิดใครสักหน่อย อิอิ)








หายไปนานเลยค่ะ งานเยอะมาก ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ตอนแรกก็คาดว่า ปีใหม่คงจะลดลง ที่ไหนได้ล่ะคะ กองเป็นเผิน

น่ากินไหมล่ะคะ อาหารเช้าสไตล์คนเกาหลีแท้ๆ พวกเราก็หม่ำกิมจิกันเอร็ดอร่อยกันตามระเบียบ

ทุกอย่างที่เห็นในรูปเป็นกิมจิทั้งนั้น กิมจิของเขาก็คือการนำพืชผัก ผลไม้มาดองนั่นแหละค่ะ เพื่อเก็บไว้กิน แต่เขามีแต่ดองเค็ม ไม่มีดองเปรี้ยว ดองหวานอย่างบ้านเรา

อันที่เป็นพริก เหมือนๆ ว่าจะเผ็ด แต่จริงๆ ไม่เผ็ดนะคะ หรือเพราะ พี่เร และน้องเล ก็ถนัดกินเผ็ดกันอยู่แล้ว (หน้าตาแต่ละคน ไม่ให้ว่าจะหม่ำเผ็ดๆ เลย)

อันที่เหมือนใบชะพลู (ในฟามคิดเลขา) มันก็ออกฝาดๆ สไตล์ใบชะพลูแหละค่ะ แต่ได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง ที่แปลกไปจากกิมจิทั่วๆ ไป ที่เราๆ เคยหม่ำกัน

พอหม่ำเส็ดไม่นาน พ่อหมีของเราก็กลับมาจากเคลียร์งาน (เก่งนะเนี่ยคนเกาหลี เพราะเราแอบเห็นว่า เมื่อคืนหลังจากกลับมา เขาก็ดวดโซจูไปอีก 2 ขวดได้ แล้วยังตื่นเช้ามาเตรียมอาหารเช้าให้เรา แล้วออกไปทำงาน) เราก็บอกพ่อหมีใจดีว่า เราจะขนสัมภาระไปเลย เพราะเราจะได้ไม่ต้องกลับมาที่นี่ให้เสียเวลา เราจะไปขึ้นรถไฟที่อีกเมืองใกล้ๆ แนจังซานเลย จะได้ไม่เสียเวลาย้อนไปย้อนมาอีก พ่อหมีก็เห็นดีด้วยค่ะ แล้วเราก็เริ่มปฏิบัติการแปลงตัวเป็นกะเหรียงกันอีกครั้ง แต่คราวนี้สบายหน่อยตรงที่มีรถรับส่งถึงที่ ก็พ่อหมีอาสาพาเที่ยวแนจังซานค่ะ เราก็เลยสบายไป ไม่ต้องกระเตงกระเป๋าแบกขึ้นเขาค่ะ



นิราศตอนนี้ ไม่จบสักที จะได้ขึ้นเขาไหมเนี่ย เดี๋ยวฟามทรงจำโดนล้าง แย่เลยนะยะ แม่เลขา หล่อนยิ่งแก่ๆ แล้วอยู่ด้วย


หลังจากที่พ่อหมีมารับ แล้วเราต้องไปแกร่วรอตาบิลแถวๆ บ้าน แล้วรู้ไหม พ่อหมีไปจอดรถหน้า สถานีตำมะหรวด เหอๆๆๆ เราก็เลยส่องๆ กันไป ว่าจะมีตำมะหรวด หน้าตาเข้าทีบ้างไหม อิอิ แต่ส่องตั้งนานก็ไม่มีเลย จนเจ้าบิลมา ก็ขอโทษขอโพยใหญ่ที่มาสาย แล้วเราก็บึ่งตรงไปแนจังซานเจ้าค่ะ

ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย ระหว่างทาง เหมือนเมืองควางจูนี้ กำลังพัฒนารอบนอก ทั้งที่พักอาศัย ถนนหนทาง ระบบขนส่งสาธารณะ การก่อสร้างก็เพียบเลยค่ะ แต่อย่างที่บอก ที่อยู่อาศัยเขาอ่ะ เหมือนการเคหะบ้านเรา แต่ก็ดูดีกว่า แถมบางแห่งก็ดูเป็นแมนชั่นหรูเหมือนกันค่ะ อย่างบ้านที่เราจะไปอยู่ในกรุงโซล ช่วง 3 วันสุดท้าย

ก่อนไปถึง พ่อหมีก็แวะที่จอดข้างทาง บรรยากาศก็ดีอีกค่ะ คนมาจอดพักเพียบ พ่อหมีขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะว่าพี่ทั่นล่อสูทเต็มยศมา ก็เลยขอเปลี่ยนเป็นยืด ยีนส์ จะได้ถนัดหน่อย เราก็เดินแกร่ว ดูแม็กกาซีน กะของกินเจ้าค่ะ อิอิ



บรรยากาศทั่วๆ ไป บริเวณจุดพักรถ



พอเดินๆ ไปเราก็เห็นตาบิลซื้อหนมมา 2 อย่างมาให้เราลอง อันแรกพอหม่ำได้ เหมือนแพนเค้กบ้านเรา มีไส้เหมือนสังขยาเลย หวานๆ ดี



ส่วนอันที่ 2 เป็นมันบดเค็มๆ แต่ไม่หย่อยเลย คิดถึงมันเทศบ้านเราอ่ะ แต่ไม้จิ้มฟันเขาแปลกดี สามารถกินได้ด้วย ทำจากแป้งแข็งๆ จุดประสงค์เพื่อ เวลาที่ทิ้งแล้ว มันจะได้ย่อยสลายเร็ว ไม่ต้องมาเป็นปลายไม้แหลมๆ ไว้คอยทำร้ายคนอื่นต่อไป



พ่อหมีของเราแต่งตัวเสร็จแล้ว ออกมาหาไรหม่ำเหมือนกัน ก็ตัวโตซะขนาดนั้นอ่ะนะ ไม่หิวเร็วได้ไง พ่อหมีซื้อไก่ที่เหมือนไก่ปิ้งราดซอสหวานๆ เลย ท่าทางน่ากิน แต่พวกเรามะได้ชิม มะอยากแย่งพ่อหมีตัวโต



พอหาอะไรรองท้องกันได้แล้ว (สำหรับ 2 หนุ่มเจ้าบ้าน) ก็ออกเดินทางต่อ จนมาถึงตีนเขาแนจังซาน เห็นประตูทางเข้าอุทยานแล้ว เย้ดีใจจัง

แง่บ แต่รูปถ่ายไม่ทัน ก็เลยไม่เห็นซุ้มประตูกันเลยนะ


วันนั้นคนเยอะมาก ทั้งๆ ที่เป็นวันธรรมดา ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์จะเป็นไงเนี่ย

ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไปก็จะเป็นคนชราทั้งน้าน แต่ละทั่น มีเป้ มีหมวก ไม้ค้ำกันเป็นทิวแถว ถ้าให้อาม่าเรามาแต่งตัวอย่างนี้ คงไม่ยอมแน่ๆ เลย ดูๆ ไปก็น่ารักดีนะ


เป็นอย่างที่หนังสือแนะนำไว้เลย 2 ข้างทางเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลเรียงรายตลอดทาง 2 กม. ก่อนถึงวัดแนจังซาน
อ้อ ลืมบอกไป เราจอดรถกันไกลจุดเริ่มเดินมาก เลยยิ่งไกลกันไปหย่ายเลย



ช่วงที่ไป ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี จึงยังมีที่ยังเขียวชอุ่มอยู่ และเริ่มเปลี่ยนสีออกเหลือง แล้วก็เปลี่ยนสีเต็มที่ เตรียมร่วงโรยเป็นสีแดง



เดินไป เรา 2 ป้าก็ผลัดกันถ่ายรูปกันไป เก็บมาเยอะพอสมควร แต่กัวเบื่อใบไม้ใบหญ้ากันเสียก่อน



มุ่งมั่นเดินกันไป หอบกันไป 2 ป้า ดีนะ ที่ไม่คิดมา trekking ต่างบ้านต่างเมืองมะงั้นตายแน่ เพราะ 2 หนุ่มที่พาเรามา ก็ไม่เคยมาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน ครั้งนี้ จึงเป็นครั้งแรกของพวกเขาเหมือนกัน เอาล่ะสิ ถ้าหลงกันตายแน่ๆ เลย



แล้วเราก็มาถึง สำนักงานของอุทยานแห่งชาติ แวะมาหาข้อมูลเพิ่มเติม เลยได้รู้ว่า ที่นี่ก็เลยเป็น film location เหมือนกัน ละครเรื่องไรมะรู้อ่ะ ออกแนวย้อนยุค (ไม่ค่อยเลยนะป้าๆ บ้าละครกันเจงๆ)

ทั้งพี่เร และน้องเลก็เก็บข้อมูลหย่ายเลย เจ้าหน้าที่ที่นั่น แปลกใจมาก อี 2 ป้าเนี่ยมาจากแทกุก มาเที่ยวไรที่นี่ คงเพราะที่นี่คงไม่เคยมีคนไทยมาเที่ยวแน่ๆ เลย (มั๊ง) เขาเลยพาเราไปดูวีดีโอคลิปของอุทยานแห่งนี้

โหนั่งดูไป อยากมาทั้ง 4 ฤดูเลย สวยมาก แต่ละฤดูมีความงามที่ต่างกันจริงๆ แง่ะ แต่งบคงไม่พอมาได้ทุกฤดูแน่เลย



แล้วเราก็ไปเจอบอร์ดเม้นท์ของที่นี่ อ่ะนะ ไหนๆ ก็มาทั้งที ฝากข้อความที่ระลึกไว้หน่อยก็แล้วกัน



เขียนเป็นไทย จะมีกะเหรี่ยงแบบเรามาอ่านเจอม๊ยน้อ



พอดูเสร็จ (จริงๆ แอบอู้ พักเหนื่อย 2 ป้าผู้ชรา เริ่มเดินไม่ไหว

สักระยะหนึ่ง (เท่าไรไม่รู้ จำไม่ได้ ไม่ได้เอาไม้เมตรไปวัด) เราก็เห็นประตูทางเข้าวัด

ตอนนั้น ได้ยินเสียงรัวกลอง คนมุงดูเพียบ สองป้าก็วิ่งค่ะ หยิบกล้อง หยิบวีดีโอ มาถ่ายภาพ อัดไว้ดู โชคดีจิงๆ





พอชมการแสดงเส็ด เราก็เดินเข้าไปในโบสถ์กราบนมัสการพระประทานในโบสถ์ (เรียก โบสถ์อ๊ะป่าวอ่ะ) รูปร่างของพระพุทธรูปหน้าตาแปลกๆ ออกแนวจีนๆ ยังใช้เขียนตัวจีนเป็นชื่อวัดอยู่

แล้วเราก็ออกมาชื่นชมธรรมชาติรอบๆ ตัว



จริงๆ ที่วัดนี้ ยังไม่ใช่จุดชมวิวของเขา แต่เนื่องจากเวลามันสายมากแล้ว (ก็เพราะออกสาย รอตาบิลคนเดียวเลย) เราก็เลยตัดสินใจกลับ เพราะว่าต้องไปจับรถไฟเข้ากรุงโซล เดี๋ยวจะไปถึงมืดค่ำไปเสียก่อน



ไว้ไปต่อตอนหน้า ว่า 2 ป้า จะผจญภัยบนรถไฟในแดนกิมจิเป็นอย่างไรบ้าง แล้วกับบ้านที่โซล โฮมเตย์กึ่ง Traditional เหมือนๆ ฮันอก แต่ดู loso กว่ากันหน่อยนึง (อ่ะนะ ปลอบใจว่าหน่อยนึง)




Create Date : 09 มกราคม 2549
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 11:52:23 น.
Counter : 2371 Pageviews.

1 comment
Kimji Adventure : Ep 3 ไปดวดโซจูกันเถอะ




หลังจากที่เราหม่ำข้าวกันเสร็จ ก็ส่งนายบิล(ลี่) ไปทำงานพิเศษด้วยการเป็นติวเตอร์สอนนักเรียนม. ปลาย แถวๆ นั้น แล้วเรา 2 ป้าก็ตัดสินใจว่า อยากกลับมาเดินถนนหลังมหาวิทยาลัยชนนัม ยามค่ำคืน แต่ขอไปอาบน้ำปะแป้งเสียหน่อย เพราะตัวยังไม่โดนน้ำเลยวันนั้น

พอกลับไปถึงบ้านพ่อหมี เราก็รีบ unpack ของในกระเป๋า เตรียมตัวอาบน้ำ ส่วนเจ๊เรเราขอนอน เพราะเป็นหวัดก่อนไป เริ่มงอมแล้วค่ะ เลขาก็เลยรีบไปอาบน้ำก่อน บ้านเขามีน้ำอุ่น น้ำร้อนกันทั้งนั้น ก็บ้านเขาอากาศเย็นนี่คะ ไอ้เราจะอาบน้ำเย็น ก็กลัวหนาวเหน็บ เพราะขนาด autumn ของเขา ยังเย็นกว่าบ้านเราหน้าหนาวเสียอีก

พออาบน้ำเสร็จ พวกเราก็แอบงีบพักนึงเอาแรง แล้วตาบิลก็โทรมา เราจึงออกไปรับตาบิล (สรุปงานนี้เราประหยัดงบเดินทางเพราะพ่อหมี escort เราตลอดทริปควางจูค่ะ)

ตอนขาไป ตำรวจบ้านเขา มีตั้งด่านเป่ากันตั้งแต่ 3 ทุ่ม (ก็น่าอยู่หรอก บ้านเขาดื่มเหล้ากันเป็นว่าเล่น) แล้วเราก็ไปรับตาบิล แล้วไปที่หลังมหาวิทยาลัยชนนัมกัน

ยามค่ำคืนช่างคนละเรื่องกะกลางวัน มีแสงสีเพียบเลยค่ะ เราก็เดินไปรอบๆ นึง ส่วนใหญ่จะมี Hof ซึ่งอาจหมายถึงบาร์ของเรา PC Bang หรือเน็ตคาเฟ่ เต็มไปหมดค่ะ พวกเราว่า ยังวันไป อยากนั่งสบายๆ แล้วก็เห็นร้านนึงน่านั่งมาก อยู่บนชั้น 2 ร้านน่ารักมากเลย น่าจะมีร้านแบบนี้ในไทยบ้างเนอะ

เข้าไปในร้านอุ่นดีค่ะ เขาไม่เปิดแอร์ แต่ก็คงไม่เปิดฮีตเตอร์ เพราะอากาศสบายๆ อยู่ในห้องกระจก



พวกเรานั่งกันที่ชิงช้า เสียวๆ ร่วงเหมือนกันนะเนี่ย



มีแบบเก้าอี้โยกด้วยค่ะ เหมือนเป็นรถ ขาเป็นเหมือนกงล้อ นี่เจ๊เรของเราเอง หุๆ (แอบขโมยรูปเจ๊มาลงหน่อยนะ )



แล้วเราก็จะสั่ง Fruit Sherbet แต่ตาบิลบอกว่า อีกอันหย่อยกว่า อ่ะนะ เราก็เชื่อ เจ้าบ้านเขาว่ามา

เราก็เลยสั่ง Snow Sherbet หน้าตาเป็นแบบนี้อ่ะ



ที่แปลกก็คือ จะมีหนมปังนุ่ม กับครีมนมตีจนฟูมากินเป็นเครื่องเคียงกันด้วย เป็นติมที่เป็นผลไม้แช่แข็งจนเป็นเกร็ด หย่อยอ่ะ เขียนแล้วอยากกินอีกจัง

แล้วนี่ก็ Fruit Sherbet ที่พวกเราอยากกิน ตาบิลสั่งหน้าตาเฉยเลย ดูน่ากินกว่าตั้งเยอะ ไม่น่าเชื่อตาบิลเลย



สักพักเราก็เคลื่อนพล 2 ป้าอยากลองโซจู ก็แหม เห็นในละครเกาหลี เห็นทั้งพระเอก นางเอก ตัวดี ตัวร้าย ชอบกินกันนัก อยากรู้ว่า มันเป็นไงกันเนี่ย

แล้วเราก็มาถึงร้านโซจูสไตล์เกาหลี แต่งแบบตะวันตก

เราได้โต๊ะริมหน้าต่าง 2 ป้าก็นั่งมองไปรอบๆ เหล่ทั้งหนุ่ม ทั้งสาวโต๊ะข้างเคียง (แต่ท่าทางจะเหล่หนุ่มมากกว่า อิอิ แหมก็มันน่ามองกว่ากันตั้งเยอะมะใช่เหรอ แล้วป้าเรกะหลานเรก็คนละสเป็ค ดีนะไม่ต้องตีกัน อิอิ

นี่ละโฉมหน้าโซจูยี่ห้อหนึ่ง





พ่อหมีกะตาบิลเห็นเราอยาก taste โซจู ก็เลยฉลองศรัทธา (จิงๆ ตาพ่อหมีคงเปรี้ยวปากมาแต่เย็นแล้วล่ะ เพราะเราแอบเห็นขวดโซจูในห้องที่แกนอนด้วยอ่ะ)
ตาบิลสั่งกับแกล้มสไตล์เกาหลีมาให้เราสองป้าลองกัน

อย่างแรกเลย เห็นไปแล้วกะขวดโซจู หน้าตาเหมือนๆ ยำบ้านเรา แต่จิงๆ หวานมากเลยล่ะค่ะ น้องเลไม่ชอบก็เลยชิมไปได้หน่อยนึง

ส่วนอย่างที่ 2 เหมือนสปาเก็ตตี้ในซอสมะเขือเทศเลยอ่ะ รสชาดออกหวานๆ เหมือนกัน แต่เจ๊เราพอหม่ำได้



ส่วนอย่างที่ 3 เหมือนไข่ม้วน ไข่ทรงเครื่องเลย ราดด้วยไข่ผสมอะไรไม่รู้ เป็นเส้นๆ (เห็นแล้วคิดว่ารสชาดเป็นไงล่ะ น่าหร่อยใช่ไหมล่ะ) แต่.............................. น้องเลก็ออกปากอีกเช่นเคยว่า "หวาน" (อันนี้แล้วแต่รสปากใครนะคะ ต้องไปลองกันเอง)



ใครอยากลองลิ้มชิมรส ก็ลองพิมพ์ภาพไปเป็นตัวอย่างก็ได้นะคะ


โดยรวมๆ แล้วกับแกล้มกะโซจูมื้อนี้ น้องเลว่าหวานทั้งนั้น แล้วพ่อหมีก็ว่าจะสั่งอะไรอีกอย่างให้แบบหม้อไฟ แต่คือแบบว่า เรา 2 ป้า ไม่ไหวแล้วค่ะ อิ่มมาก

แต่เราแอบเหล่ว่า 2 สาวหน้าตาดี (สวยเลยนั่นแหละ) โต๊ะข้างๆ สั่งเหมือนเราทุกอย่าง สั่งหม้อไฟมาหม่ำกันแล้ว โหกินกันเก่งจิงๆ เราขนาด 4 คนยังหม่ำไม่ได้เท่า 2 สาวนั้นเลย

ส่วนโต๊ะ (หนุ่ม) อื่นๆ (อิๆ เน้นหนุ่มๆ ค่ะ ) ก็สั่งสไตล์เดียวกันหมดเลย แต่เราไม่ไหวค่ะ เห็นว่าตี 2 ที่นั่นแล้ว แล้วพรุ่งนี้เราจะต้องไปเดินขึ้นเขาแนจังซานอีก ก็เลยเรียกร้องกลับบ้านกัน เพราะกลัวไม่ไหวกัน

เรื่องแปลกอีกอย่างที่เราเจอ ก็คือ โครงการ "ดื่มไม่ขับ" ของเขาเจ๋งจิงๆ เพราะเขาไม่ขับกันจิงๆ เราก็ถามว่าเขาทำไง แล้วรถพ่อหมีล่ะ เขาก็ว่า เขามีบริการ driver service ค่ะ มีคนมาขับรถพากลับบ้านค่ะ เพื่อไม่ให้ตำรวจจับได้ (เขาคงเห็นเป็นเรื่องใหญ่จิงๆ ค่ะ เพราะมีหลายบริษัทเสียด้วย) แล้วสักพักก็มีคนมารอเราที่ตรงบริเวณที่จอดรถ แล้วก็ขับรถพาเรากลับบ้าน

เราก็เลยถือโอกาสสัมภาษณ์ว่าคืนหนึ่งได้กี่ job เขาก็ว่าประมาณ 3-4 jobs เราก็ว่าดีเนอะ ไม่เหมือนเมืองไทย เขาเห็นเราคุยปะกิตกะพ่อหมีก็ถามว่าพวกเรามาจากไหนกัน 555 สองป้ากะเหรี่ยงสาวมาจากไทยแลนดึ เจ้าค่ะ แล้วสักพักเราก็ถึงบ้าน เราก้ไม่ไหวแล้ว ขอนอนค่ะ คงเพราะวันนี้เดินทางมาทั้งวัน ไม่ได้พักผ่อนเลย ตะลอนจากเจ้านกเหล็ก มาบนรถทัวร์ ตะลอนทัวร์เมืองต่ออีกทั้งวัน ก็เลยไม่ไหวซะแล้ว ขอนอนเลยค่ะ

ก่อนกลับจากร้านโซจู เราก็นัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เราจะขึ้นเขาตอน เช้าแล้วจะจับรถไฟเข้าโซลเลย พ่อหมีก็ว่าเขาจะพาเราเที่ยว เราก็เกรงใจกลัวรบกวนงานของเขา แต่เขาว่าไม่เป็นไร แล้วเขาก็บอกว่าแค่รอให้เขาเคลียร์งานตอนเช้าก่อนเท่านั้นเอง เซ้าซี้กันอยู่พักนึง เราสองป้าก็เลย เอาไงเอากัน

แล้วเราก็นัดแนะกันว่าตาพ่อหมีขอไปเคลียร์งานก่อน แล้วเราเจอกัน ตอน 9 โมงเช้า แล้วเราก็ล้มตัวนอน เพลียจัดค่ะ





Create Date : 05 มกราคม 2549
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 11:51:43 น.
Counter : 1250 Pageviews.

1 comment
Kimji Adventure : Ep 2 ควางจู กับบ้านหนุ่มโสด





มาต่อกันแล้วค่ะ กับ Episode ที่ 2 คงจะไม่เหมือนที่พวกเรา review กันใน pantip.com นะคะ เพราะฉบับนี้เป็นฉบับของเลขาฯ เองค่ะ มุมมองของเลขาฯ เองค่ะ

พอขึ้นรถไปได้สักพัก กะว่าจะหลับ แต่ก็ไม่ได้หลับกันสักเท่าไร หยิบหนังสือมาอ่าน หยิบเพลงมาฟัง ตอนนี้ยังอยู่ในเอง ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ เวลาที่เราออกจากหนามบินก็เป็นเวลาชั่วโมงเร่งด่วนของเกาหลี รถติดค่ะ เมืองไหนๆ ก็รถติดช่วงเร่งด่วนก้นท้างน้าน เฮ้อออออ



มองๆ ไปมีแต่ป้ายโคดนาของน้องมุน หรือมุนกึนยอง ของหนุ่มๆ หลายๆ คน แหมเทอเป็นคลื่นลูกใหม่ค่ะ น่ารักสดใส แต่จะแบบน้องจวนจีฮุนหรือป่าว อันนี้ต้องไปพิสูจน์กันเอาเองค่ะ เพราะสเป็คใครสเป็คมัน เนอะ
นอกจากน้องมุนแล้ว ซางวูก็เยอะใช่เล่นนะคะ (อ้าว โชว์ความบ้าดาราออกมาซะแล้ว) แหม มันก็ต้องรู้จักกันบ้างสิคะ จิงป่าว เหอๆๆๆ

พอออกนอกเมืองก็จะเป็นทางที่เป้นภูเขาสลับซับซ้อนกันไปมา ถนนก็เป็นทางสลับซับซ้อนกันไปมาเช่นกันค่ะ ไม่ได้เลียบเลาะริมเขาอย่างเดียวนะคะ แต่สร้างคร่อมไป ลอดมาหลายจุดเหมือนกัน เพราะว่าประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่มีพื้นที่ภูเขาสลับซับซ้อนมากมายเสีย 80% ค่ะ

เลขาก็ชมเมือง ชมธรรมชาติไปเรื่อย จนถึงที่พักรถระหว่างทาง ก็ลงไปหากาแฟมาจิบ เนสกาแฟบ้านเขา ยังรสชาติเข้มข้นกว่าบ้านเราอีกนเนี่ย แล้วก็ไปเจอแผงหนังสือ มี นสพ บันเทิง เจอะหน้าน้องซางวูของพี่ซีซีมาเนียด้วย เลยซื้อมาให้ และทุกวันยังอยู่กะเลขาเลย เพราะลืมเอาไปให้ค่ะ เหอๆๆๆๆ มันอยู่ในแฟ้มไอทินของเลขาอ่ะ



แล้วก็เห็นหนังสือปกน้องฝน อยากซื้อ แต่ด้วยความขี้เกียจแบก (แล้วเลยต้องสาละวนกันหาในเมืองหย่ายก้นวุ่นวายเลยค่ะ)

เราไปเมียงมองของว่าง เพราะยังเช้าไปสำหรับเรา เราก็เลยได้ potato stick มา แบบหวานๆ ไม่ได้เค็มๆ เหมือนบ้านเราหรอกค่ะ เอาไปนั่งกินบนรถเพลินๆ แล้ว 15 นาทีรถก็ออก คราวนี้พวกเรากลัวตกรถอีก เพราะไม่รู้ว่าเขาพักนานแค่ไหน เราเลยมารอแถวๆ รถบัสนั่นแหละค่ะ ใครๆ ก็มอง ก็กะเหรี่ยง 2 คนนี้มาทำไรเมืองเขาเนี่ย คนเกาหลีเขาแปลกใจค่ะ ว่าทำไมชาวต่างชาติมาเที่ยวบ้านเมืองเขากันอ่ะค่ะ บางคนไม่รู้เลยว่า ละครบ้านเขา ดังไปไกลหลายประเทศอยู่ คงเพราะคนของเขาอยู่แต่ในประเทศ มีน้อยใจที่ได้ออกไปสู่โลกกว้าง แล้วติดใจ เหมือนนายโฮสต์ที่เรากำลังจะติดต่อไปอยู่เนี่ยค่ะ



แล้วเราทั้งสองก็เคลิ้มหลับค่ะ แหมทำงานมาทั้งวันมะวาน เพื่อเคลียร์งานก่อนมา มาก็ไฟลท์ดึก แถมหลับๆ ตื่นๆ นอนมะเต็มที่ ก็เลยเริ่มเก็บแรงไว้เที่ยวค่ะ

จากหนามบินมาถึงควางจูใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเสดๆ ไม่ทันครึ่ง เราก็รีบลงไปรับกระเป๋า หาตู้ทอสับโทรหาหนุ่มที่เรานัดหมายค่ะ ตอนคุยผ่านเมล์ เหมือนเจ้านี่แปลกๆ แต่เอาฟระ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เขาจะเข้าใจผิด ว่า 2 สาวนี่มาทำงานอย่างนั้นหรือป่าวน้อออออ


เราตรงไปหาทอสับ เพราะซื้อการ์ดมาแล้ว แหมใช้ได้ถึงปี 09 สบายค่ะ มาได้อีก หลายทริป (อ่ะนะ ยังคิดมาอีกแฮะ) โทรไปตานี่กำลังเรียนอยู่ เราก็เกรงใจ มันบอกว่าจะมารับภายใน 15 นาที เราก็เลยบอกจุดที่เราจะไปรอค่ะ เพราะเราไม่เคยส่งรูปให้เขา มีแต่เขาส่งรูปมาให้เราค่ะ เหอๆๆๆ เราก็เลยผิดหวังหน้าตาเขาไปหน่อย (ไม่หน่อยอ่ะมั๊ง 5555) แต่ก็ไม่ได้คิดไร อยากเอาควางจูไว้พักเฉยๆ ก่อนจะเดินทางไปขึ้นเขาแนจังซานค่ะ เพราะเราคิดไว้อย่างนั้น วันนี้เลยกะว่าจะเดินแถวๆ ในควางจูเนี่ยแหละค่ะ





บริเวณท่ารถของเขาค่ะ



ใกล้ๆ กันนี้ก็มีห้างอยู่ค่ะ




โอ๊ะ โอ เพิ่งเห็น ว่ามีเพื่อนข้างบ้านมาเยี่ยมชม

ขอบคุณนะคะ ไม่ได้อัพเดทเล้ยยยย ไม่ว่างจริงๆ ไม่ได้มีคนใหม่ เหอๆๆๆๆ แบบว่างานการยุ่งเหยิงจริงๆ ค่ะ ช่วงนี้เลยซนไม่ค่อยจะออก

วันนี้มาต่อดีกว่าว่าเราไปแอ่วไหนกันในควางจู

หลังจากที่โทรเรียกหนุ่มเกาหลีหมายจะ (ยึด) บ้านเขาเป็นที่นอนแล้ว เราก็กะว่าจะเดินแถวๆ นี้แหละค่ะ เห็นว่าถนนหลังมหาวิทยาลัยเป็นที่ฮอตฮิตของ หนุ่มๆ สาวๆ ที่นี่ สองป้าก็กะกันว่าเดินตรงนี้แหละ มองหนุ่มๆ สาวๆ กันเพลินๆ ตาดีกว่า เหอๆๆๆๆ

ตรงบริเวณด้านหลังที่ลานจอดรถค่ะ มารออีก 1 หนุ่ม พี่ชายตาบิลลี่แหละค่ะ เขามีรถ จะมารับเราไปบ้านเขา



แล้วเขาก็พาไปบ้านเขา หนุ่มคนที่ 2 เป็นหนุ่มทำงานแล้ว อ้อลืมเล่าไป ตาบิลลี่ยังเรียนอยู่เลย เขา 25 แล้วแต่ยังเรียนอยู่ ไม่ได้เรียนโทด้วยนะ ตรีอยู่เลย แต่เขาไปใช้ชีวิตที่แคนาดาปีนึง กลายเป็นค่านิยมของคนเกาหลี ที่พอมีสตางค์ ส่งลูกไปเรียนนอกสักปี กลับมาค่อยเรียนต่อ ไปหาประสบการณ์ต่างแดน ซึ่งก็ดีค่ะ เป็นการเปิดโลกของเขาบ้าง เพราะคนเกาหลีไม่ค่อยออกไปนอกประเทศเลย
หนุ่มคนที่ 2 เนี่ยมีนามว่าเท็ดดี้ (แบร์) เราจะไปบ้านเขา ซึ่งก็ไกลจากท่ารถพอสมควร ช่วงนั่นช่วงบ่ายๆ รถไม่ค่อยติด เราก็เกรงใจพ่อหนุ่มว่าโดดงานมาหรือป่าว เขาก็ว่าเขาไม่ได้โดดมา แต่ตาบิลลี่บอกเพิ่งสอบเสร็จ มีเรียนต่อบ่าย 3 เราก็รีบเลยค่ะ เอาของไปเก็บที่บ้านตาเท็ดดี้ค่ะ



ตาเท็ดเขายกห้องนอนของเขาให้เรา ส่วนเขาระเห็ดออกไปอีกห้องหนึ่งค่ะ



ห้องครัวบ้านตาเท็ดค่ะ บ้านหนุ่มโสดก็งี้แหละ



เมื่อเก็บของเสร็จ เราก็รีบออกไปส่งตาบิลลี่ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชนนัม แล้วเราก็ว่าเราจะมาเดินที่หลังมหาวิทยาลัยของเขา รอเวลาเขาเลิกเรียนแล้วค่อยมาเจอกันอีกคร้ง

ตาเท็ดดี้ก็เกาะติดเราตลอดเลย อยากจะสบัดทิ้ง พวกเราอยากเดินกันเอง เราก็บ่นกันว่า ทำไงดี ทำไงดี อยากสะบัดตานี่ทิ้ง จริงๆ เลย เดินไม่สะดวก

เราก็เดินวนๆ ไป เจอโปสเตอร์ หนุ่มในดวงใจของใครหลายๆ คนทางเมืองไทยเพียบเลย (รวมทั้งมีหนุ่มในดวงใจเลขาด้วย อิอิ) แต่ว่าตาเท็ดดี้อยู่ เราเลยไม่ได้เก็บภาพมาเลย เพราะกลัวตานี่ว่าเรามาเพราะว่าบ้าดารา เพราะตอนเขาถามว่ามาเกาหลีทำไม เราก็บอกว่า เราชอบอาหารเกาหลี เหอๆๆๆ ในใจมะอยากบอกเล้ย ว่ามาเพราะอะไร

แล้วเราก็ไปเจอหนุ่มน้อยในร้านทอสับมือถือ หน้าตา ทรงผม ท่าทางเหมือนน้องเจ็ดเลย อยากถ่ายภาพมาใจจะขาด แต่ติดที่ตาหมีน้อยนี่แหละ เส้าค่ะเส้า

ตอนเราไปเดิน บ่าย 3 ยังไม่มีไรเลย แถมไปเจอร้านขายโค้กชินวาด้วย แต่ไม่ได้ซื้อ เจ๊เราขี้เกียจแบก เพราะความขี้เกียจเนี่ยแหละ เป็นเหตุให้เราเศร้าเลยค่ะ (เจ๊เศร้าคนเดียวนะคะ เลขามะได้เศร้า มะใช่วงในดวงใจค่ะ


แล้วตาบิลลี่ก็ติดต่อมาว่าเรียนเสร็จแล้ว เราก็ไปรับเขา เขาก็พาดูรอบๆ มหาวิทยาลัยของเขา กว้างใหญ่เชียวค่ะ

เราก็เลยชักภาพเป็นที่ระลึก ภาพแรกนี่ พ่อหมีค่ะ




ต่อมาก็หนุ่มบิลลี่

อ้อขอบอกว่าพวกเขาออกเสียง ฟ ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ฟังแรกๆ แทบแย่เหมือนกัน สำหรับนักเรียนที่เรียนอังกิตแบบ local สำเนียงต้องมีพยางค์ลงท้ายตลอดเลย



แล้ว 2 หนุ่มก็พาเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ คงเป็นค่า default ของเมืองเขาเหมือนกันมั๊งคะ ที่แรก เราเบื่อแทบตาย ไม่ใช่ว่าไม่สนใจศาสนาพุทธ แต่แบบว่า เขามาบรรยายแบบนึกว่า บ้านเราไม่มีหรือไงก็ไม่รู้ (ก็มันเบื่อนี่

)



แล้วเราก็ไปอีกที่ เป็น folk museum ค่ะ แบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย

(อ้อ กาซิบ ค่าเข้าทั้ง 2 museum เนี่ยเราไม่รู้นะคะ เพราะว่า 2 หนุ่มแย่งเราจ่ายหมดเลยค่ะ ดีจัง )



ข้างในเขาห้ามถ่ายภาพ ขออภัย เอาภาพมาเผื่อแผ่ไม่ได้นะคะ แต่บอกว่า ที่หลังเนี่ย น่าสนใจกว่าที่แรกค่ะ เพราะจะได้ดูหุ่นขี้ผึ้ง จำลองวิถีชีวิตสมัยก่อนของเกาหลีไว้ เหมือนๆ เราดูแดจังกึมแหละค่ะ แต่เป็นชาวบ้านธรรมดา เอิ๊กกกกก

ออกมาก็ชักภาพที่ระลึกหน่อย



พอเดินนานๆ เข้าก็เริ่มหิวค่ะ เพราะเราหม่ำมื้อเช้า (ตรู่) บนเครื่อง หลังจากนั้นก็เป็น snack ระหว่างทาง แล้วก็ยังไม่ได้หม่ำไรอีกเลย

มามะ มาดูกันค่ะ ว่า เราหม่ำอะไรกันเป็นมื้อแรกในเกาหลีค่ะ




เราสั่งมาหลายๆ อย่างโดยพ่อหมีเนี่ยแหละค่ะ
แบบนี้เป็นอาหารพื้นๆ ของเขา ที่เขากินกันโดยทั่วไปค่ะ



เรียกว่าไรบ้างก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่า ถ้าขอข้าวเพิ่มก็
"ผับ จูเซโย้" หรืออะไรก้แล้วแต่ ตามด้วย จูเซโย้ จำมาถูกหรือป่าวก็ไม่รู้ ใครรู้บอกทีนะคะ









Create Date : 30 ธันวาคม 2548
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 11:51:07 น.
Counter : 1666 Pageviews.

4 comment
Kimji Adventure : Ep 1 จุดเริ่มต้นการเดินทาง




7 Days Memorial in Kimji Land Episode I จุดเริ่มต้นการเดินทาง ฉบับเลขาตัวซน



และแล้วก็ได้เวลาฤกษ์งามยามดี มาแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวดินแดนกิมจิ หลังจากต้องสะสางการงานที่สุมอยู่เต็มโต๊ะตอนที่พวกเราไปพบเจอกับความสุข ความประทับใจมา

ครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ครั้งแรก ในรูปแบบของ backpack tour (จิงๆ แล้ว ที่เราไป ก็ไม่ค่อย backpack สักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ไปกะทัวร์ทั่วๆ ไป - จิงไหมคะ) ไปเที่ยวกัน 2 สาว ทำเอาใครๆ ตกตะลึง นึกว่าไปกันเยอะ ที่ไหนได้ 2 ป้าลุยกันเองค่ะ


หลังจากวางแผนกันอยู่นาน (ก็ดูจาก Preparation Part ไง มีตั้ง 2 ภาคแน่ะ หุๆ) พวกเราก็ตัดสินใจหนีงาน และหนีนายไปเที่ยว Kimji Land กันเสีย 7 วัน ดื่มดำบรรยากาศแห่งดินแดนกิมจิเสียเต็มที่ (กลับมาเลยต้องมาใช้กรรมกันยกใหญ่เลยค่ะ)



พาหนะที่พาเราเหิรฟ้าจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ไปสู่แดนกิมจิ ก็คือ เจ้าจำปี หมายเลข TG658 เดินทางคืนวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2548 (ต้องมีข้างขึ้น ข้างแรมไหมเนี่ย เหอๆๆๆ) เที่ยวบินนั้น เป็นเที่ยวบินร่วมระหว่าง TG และ OZ (อ๋อ ก็เอเชียน่า สายการบินกิมจิสายหนึ่งไง) ตอนที่พวกเราไปถึงหนามบินดอนเมือง พวกเราก็ไปกันแต่วัน ไปเช็คอิน โดยมีเฮียไปส่ง คืนนั้น หนุ่มกวางแห่งวงไม่ปกติ อุ๊บส์ เอบี นอร์มอลค่ะ เดินทางไปแดนซากุระด้วย เจ๊กะเฮียแกรู้จัก เลขาฯ เลยได้อาศัยใบบุญถ่ายรูปกะหนุ่มกวางไปด้วย หุๆๆ (อิจฉาฉานไหม ยัยบัวเอ้ย)



พอเข้าไปในเกท เราก็ไปเดินๆ ดูของค่ะ เจ๊แกได้ผ้าพันคอโครงการดอยตุงมาผืน กะหนมกูลิโกะรสลาบไปฝากคนทางโน้น เหอๆ งานยุ่งจนลืมหาของฝากกันค่ะ เพราะพวกเราไปอยู่กะแฟมิลี่ เลยต้องหาสินน้ำใจไปฝากเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนไทยน้ำใจงามค่ะ

กลับมาเที่ยวบินที่ว่า เราก็เห็นคนเกาหลีเดินทางเพียบ ไม่มีทัวร์ค่ะ คงเพราะเป็นคืนวันอังคาร ทัวร์ยังไม่จัดไป คนเขาไม่ค่อยหยุดงานเยอะ ส่วนใหญ่เขาออกคืนพุธกันค่ะ เราเลยโล่งปลอดโปร่ง ไม่มีกลุ่มทัวร์ให้กวนใจ ตอนนั่งรอ on board เราก็เห็นคู่รักเกาหลีหลายคู่ แหมก็สังเกตจากที่เขาใส่ Couples T-Shirt กันสิคะ บางคู่ ก็รองเท้าเหมือนกัน หุๆ เราดูๆ ก็น่ารักดีนะคะ แต่ให้ทำแบบนี้ คงขอบายค่ะ ไม่ใช่วัฒนธรรมของเราด้วย แต่ในอนาคตเด็กไทยจะเลียนแบบอย่างนี้หรือป่าวก็ไม่รู้นะคะ แต่แบบนี้ไม่ต่อต้านค่ะ เป็นการแสดงความรัก ความน่ารักต่อกัน น่ารักดีค่ะ ^_^

พอได้เวลาขึ้นเครื่อง โดยปกติสายการบินเขาจะให้คนชรา แล้วก็คนพิการขึ้นก่อน (สำหรับชั้นประหยัดทั่วไป) พวกเราก็นิ่งนอนใจ ได้ที่นั่งดีกันมาแล้ว ได้แถวหน้าสุดของชั้นประหยัด เลือกที่นั่งเองกะมือ หุๆๆๆ เลยไม่รีบเร่ง แต่พอข้นเครื่องที่ไหนได้ มีคนมานั่งที่เราซะแล้ว เขาเป็นคนพิการค่ะ เขาจะให้ไปนั่งที่เขา เราก็อ่ะนะจะไม่ยอมหรอก ถ้าไปได้ที่นั่งหลังๆ ได้ไง (อันนี้ขอเห็นแก่ตัวล่ะค่ะ เพราะว่าเลขาเป็นคนมีปัญหากับระบบแรงดันในหูเวลาเครื่องบินขึ้น-ลงอย่างมาก เลยเลือกที่นั่งหน้าๆ ไว้ เคยนั่งข้างหลังเกือบสุด แทบตายค่ะ ทรมานมาก) ตอนแรกคุยกะเขาไม่รู้เรื่อง โฮสเตสกะสจ๊วตมัวแต่ไปแป้นแล้นต้อนรับ เราก็ยืนบื้อกันอยู่นานค่ะ กว่าจะมีคนมาบอกว่าที่เขาอยู่ข้างหลังถัดไปนี่เอง เราเลยโอเค

พอเครื่องใกล้ขึ้น เราเห็นว่าแถวหน้าสุดตรงกลาง ไม่มีคนนั่งเอาล่ะ เราก็เลยถามสจ๊วต (หล่อป่าวไม่รู้ แต่กิตติศัพท์เลื่องลือ เลยมะค่อยสนใจอ่ะ -_-) เราแถวหน้าถ้าไม่มีคนนั่ง เราขอย้ายนะ เขาก็โอเค จนเครื่องจะขึ้น ประตูปิด พวกเราเลยย้ายกัน นั่งไปสบายหน่อย เพราะตั้ง 5 ชั่วโมงกว่าๆ จิงๆ แล้วราคานี้ไปนั่ง Biz Class ของโอเรียนท์ได้สบายเลย แต่เราคิดว่าไป TG ดีกว่า หนับหนุนสายการบินแห่งชาติแล้วยังได้เวลาขากลับดีกว่า เหอๆๆๆๆ


เรื่องที่น่าแปลกใจอีกเรื่อง เจ๊เรกะน้องเล หยิบหนังสือเรื่องเดียวกันมาอ่านเลย แต่คนละเวอร์ชั่น เจ๊เรภาคไทย น้องเลภาคปะกิต แหมอยากรู้แล้วล่ะสิว่าเรื่องอะไร บันทึกลับเจ้าหญิงมือใหม่ไง Princess' Diary เจ้าค่ะ หยิบขึ้นมา หัวเราะกันเลย ไรเนี่ยพวกเรา เกินไปมั๊ง

พอนั่งอ่านไปได้สักพัก เขาก็เริ่มเสิร์ฟอาหารว่างก่อนค่ะ เป็นฟรุตเค้ก แต่หวานมาก เลขามะชอบของหวานจัดแบบนี้ เลยบาย กัดไปได้ 2 คำ รอเขามาเก็บเลยค่ะ แล้วอ่านหนังสือต่อ
พักใหญ่ๆ เขาก็เสิร์ฟอาหาร หม่ำเนื้อค่ะ อ้าวอย่าถามนะคะ เป็นเจ็กแท้ๆ กินเนื้อได้ไง ก็มันหร่อยอ่ะ กินมาแต่เกิด เพิ่งโดนห้ามเอาเข้าบ้านหลังๆ นี่เอง แต่ยังหม่ำได้ปกติ แม่บอกว่า มันอยู่ที่ใจลูก เหอๆๆๆ หม่ำอย่างอเร็ดอร่อยกันไปค่ะ ส่วนเจ๊กินไรจำไม่ได้ สนของตัวเองอย่างเดียว (อีกอย่างมันนานเป็นเดือนแล้วด้วย เพิ่งจะนึกมาเขียน)

พออิ่มก็นั่งดูหนัง แม่ยายตัวแสบที่ป้าเจโลเล่น แต่ดูมะจบ หลับซะก่อน มาตื่นตอนฟ้าสาง เห็นพระอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้า คิดถึงละคร Good Luck จังตอนที่ไฟฟ้าในเครื่องขัดข้อง นางเอกช่วยแก้ไม่ได้ พระเอกเหลือบไปเห็นอาทิตย์รำไร เลยชักชวนให้ผู้โดยสารดู เหอๆๆๆ อยากให้กัปตันเป็นพระเอกจังเลยเนอะ (ขอไปดูก่อน พระเอกชื่อไรหว่า ไว้จะกลับมาแก้ตัวใหม่เน้อ)

หลังจากที่นั่ง-นอนขดตัวอยู่บนเจ้านกเหล็กอยู่ 5 ชั่วโมงกว่า และแล้วเจ้าจำปีก็พาพวกเราเหิรฟ้ามาถึงดินแดนกิมจิจนได้ มาถึงนี่ก็เวลาเช้าที่เกาหลีพอดี เราก็รีบลงจากเครื่องมาเข้าคิวตรง ตม. ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ จะผ่านไหมหว่าเรา แต่เตรียมตัวมาอย่างดี ทั้งหนังสือรับรองการทำงาน ทั้ง Itinerary แผนการเที่ยวทั้งหมด เฮียเอบอกว่า ยังเข้าญี่ปุ่นได้เลยนะน่าน หุๆๆๆๆ
ที่ตุ๊มๆ ต่อมๆ ก็เพราะเลขาฯ ไปเกาหลีครั้งแรก แถมขึ้น passport เล่มใหม่อีกตะหาก แถมใครต่อใครก็ไซโคไว้ ทั้งพี่ตัวเอง ทั้งเพื่อนๆ คนรู้จัก ว่า ตม. เกาหลีมหาโหด แต่ด้วยความมั่นใจ เราว่าเราผ่านอยู่แล้ว

ตอนไปต่อคิว คิวของเลขาฯ ท่าทางคนข้างหน้าจะมีปัญหา ก็เลยผ่านช้าไปนิด พอถึงคิวตัวเอง เราก็ เซย์ มอร์นิ่งไป แต่พี่ ตม. ทั่นหน้าบึ้งมะตอบกลับ เปิดพลิก passport เราทุกหน้าเลย กำลังกะจะบอกว่า จะดูเล่มเก่าไหม แถมเตรียมควัก หนังสือรับรองกะ itin ให้อยู่แล้ว แต่เขา แต๊มป์ให้ก่อน ก็เลยผ่านยิ้มหน้าบานเลยเรา แล้ว 2 ป้าก็รีบไปที่ baggage claim belt เพื่อรีบไปรับกระเป๋าค่ะ

ออกมาจากเกท เห็น tourist information รีบวิ่งรี่เข้าไปเก็บข้อมูลก่อน ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่า จะไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน แวะอยู่พักนึง เก็บแผ่นพับไปเพียบ ตอนหลังมาคิด เก็บไปทำไมฟระ บางอย่างก็มีข้อมูลในมือแล้วด้วย ต้องแบกไปหลายวัน หนักจิงๆ (จะหนักสักเท่าไรเนี่ย)

พอเก็บข้อมูลได้เสร็จ ก็ไปหาห้องน้ำ ผลัดกันเข้า เพื่อเฝ้าสมบัติ ระหว่างรอก็นั่งดูละครภาคเช้า ก็แหมของชอบของ 2 ป้าเลยนะน่าน แต่ดารามะใช่ target เรา เลยตัดใจได้สบาย 5555



แล้วเราก็ไปหาประตูที่จะขึ้นรถบัสไปควางจู เพราะเราไม่อยากเข้าไปในตัวเมืองโซลให้เสียเวลา ราคาค่าตั๋ว 30,900 วอน ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง รถจะมาทุก 80 - 180 นาทีค่ะ พอซื้อตั๋วได้ ยังพอเหลือเวลา เลขาฯ เลยรีบวิ่งเอากระเป๋าขึ้นรถ แล้วก็ไปซื้อการ์ดโทรศัพท์ โทรไปหาโฮสต์ที่เราติดต่อไว้ว่าจะไปพักกะพี่ชายเขาที่ควางจู เนื่องด้วยบ้านเขาไม่ว่างค่ะ เลยส่งเราไปอยู่กะพี่ชายเขาแทน
ตอนโทรไป เหมือนเขาเพิ่งตื่น ยังงัวเงีย เลขาฯ ก็รัวภาษาซะ แล้วก็รีบวาง ไปขึ้นรถ ขอบอก เกือบไม่ทันแน่ะค่ะ ก้าวขาขึ้นรถได้ เวลารถออกเป๊ะเลย เขาตรงเวลามาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนยังขึ้นไม่ครบอ่ะค่ะ หวิดแล้วค่ะ หวิดต้องแยกจากเจ๊เร เสียวันแรกแล้วค่ะ




TBC กับ Episode II ควางจู เมืองที่คิดไว้แค่เป็นที่นอนนะเนี่ย




Create Date : 10 ธันวาคม 2548
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 11:49:45 น.
Counter : 1080 Pageviews.

2 comment
Kimji Adventure : First Trip Preparation




หลังจากทำงาน เก็บตังค์มาพักใหญ่ๆ บวกกับเริ่มนิยมหันมาบริโภคกิมจิ เป็นอาหารตา อาหารใจ เพิ่มอีกอย่างแล้ว ก็ได้คู่หูตัวฉกาจอย่างเจ๊เรจัง คิดกันไม่นานว่าเราจะไปบุกแดนกิมจิกัน คิดไม่เกิน 3 วันโครงการก็ออกมาเป็นรูปร่าง แม้จะมีมาร (คอนเสิร์ตนู๋พีที่ฮ่องกง) มาผจญบ้าง แต่ในที่สุดเราก็ต้องกลับมาตายรังแผนเดิม และแล้ว การผจญภัยก็เริ่มต้นขึ้น

จากการหาข้อมูล เก็บข้อมูลเกี่ยวกับเกาหลี ทั้งหนังสือ เว็บ และแผ่นโฆษณา ของ อสท เกาหลี

เริ่มแรก เราต้องหาพาหนะพาเราไปสู่ดินแดน Kimji Land เสียก่อน จากที่สืบทราบ (ก็ที่เขาโฆษณาในเว็บน่านแหละ) ว่า OX หรือ Orient Thai ถูกที่สุด ก็ตกหมื่นต้นๆ แบบเน็ตๆ รวมภาษีและ Fuel Charge แล้ว แต่ทำไปทำมา มันกลับไม่ได้ จะได้ Biz Class แทน ซึ่งราคาถูกกว่า Eco ของ TG อยู่ 3 พัน เราเลยตัดสินใจไป TG แทน เพราะเวลามันดีกว่า ทั้งๆ ที่แพงขาดใจ

เมื่อได้ตั๋ว และข้อมูล เราตัดสินใจนอนแบบ Home Stay ด้วยความที่เราอยากใกล้ชิดวัฒนธรรม และ lifestyle ของคนเกาหลี อีกทั้งราคาถูกกว่าโรงแรมโดยทั่วไป ตกคนละ 30 US$ ต่อคนต่อคืน แต่เราไป 2 คน นอนห้องเดียวกัน เขาเลยคิดแค่ 45 เหรียญต่อคืน โดยมีอาหารเช้า ห้องน้ำ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ซักผ้า ทำครัวได้ด้วย รวมถึงการสันทนาการร่วมกับเจ้าของบ้าน (กะไปตีท้ายครัวลูกชายเขาล่ะไม่ว่า)

เราเลือกได้ 2 ที่ที่น่านอน จึงตัดสินใจอยู่ทั้ง 2 ที่ ที่แรก ดูจะเป็น Business ไปนิดนึง แต่เป็นบ้าน Traditional Korean House แถมอยู่ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง อย่างเมียงดองอีกด้วย ส่วน ที่ที่ 2 เป็นบ้านครอบครัวเกาหลี แถมบ้านน่านอน แต่เสียดายมะมีลูกชายให้พวกเราตีท้ายครัว เพราะเขามีแต่ลูกสาว มะเป็นไร เผื่อได้ข้อมูลใหม่ เกี่ยวกะ target ในดวงใจของพวกเรา เลยตัดสินใจนอนที่นี้เป็นที่ที่ 2 ในโซล

ช่วงเวลาที่เราไป เป็นช่วง Autumn หรือช่วงใบไม้ร่วง โดยต้นฤดู ใบไม้จะเปลี่ยนสีสวยงามมาก เราจึงค้นหาสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีได้สวยสดงดงาม และเราก็เลือกที่จะไปชมที่ วัด แนจัง ในเขตควางจู จังหวัดทางฝั่งตะวันตกของเกาหลี อันนนี้เป็นความลำบากอย่างยิ่ง ข้อมูลเกี่ยวกะที่พักแบบ Home Stay หาได้น้อยมาก แต่ในที่สุดก็มีครอบครัวชายหนุ่มหลงมาจนได้ อิอิ เราจึงตัดสินใจนอนที่ควางจูคืนแรก แล้วค่อยขึ้น เขาแนจัง แล้วค่อยกลับโซลในวันรุ่งขึ้น



มาอีกแล้ว กะการเตรียมการขั้นที่ 2 ก็เกี่ยวกะ plan เที่ยวทั้งหลาย ว่าเราจะไปที่ไหนกันบ้าง เที่ยวที่ไหนดี เดินทางอย่างไร ค้นหาลำบากมาก ด้วยความที่เราไม่เคยไป แถมจากข้อมูลที่ได้มา บางครั้งก็ไม่ค่อยเคลียร์สักเท่าไรเลย



ตอนแรกเรากะจะไปปูซานกัน แต่อ่านไปอ่านมา ว่าที่เขาแนจังก็ดูใบไม้เปลี่ยนสีสวย มี Maple Tunnel ตลอดทางขึ้นเขา เอาล่ะ ทางด้านตะวันตก ไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวกัน ลองไปเสียหน่อย ถือว่าเป็นการค้นหาประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆ แต่กว่าจะหาข้อมูลใหม่ๆ ได้ รวมถึงที่พัก ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยค่ะ



หาข้อมูลที่พักที่แนจังซานไม่ได้เลย มีแต่ต้องนอนเต๊นท์กลางป่า ดูๆ ก็น่าสนุก แต่คิดไปคิดมา ไม่ไหวค่ะ ไปกันแค่ 2 สาว แถมไปต่างบ้านต่างเมือง ไม่นอนดีกว่า ไปหาที่พักในเมือง หาไป หามา เข้าไปพักในควางจู ก็เริ่มค้นหาที่พัก Homestay ในควางจู หาอยู่หลายวัน ไม่มีใครตอบมา ต้องเสี่ยงเข้าไปทักทายดู แล้วก็ได้บ้านหนุ่มคนนึงติดต่อมา (อิอิ) คุยไปคุยมา เขาจะให้ไปพักอยู่กะเพื่อนเขา เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองสักตั้ง ตานี่ที่ติดต่อด้วย มีชื่อปะกิตด้วยนะ ชื่อว่า "บิลลี่" ดูๆ ช่างขี้โม้เสียจิง คุยทางเมล์มาหลายฉบับ เจอกันใครจะผิดหวังน้ออออ



เป็นอันว่า เราจะไปพักที่ควางจู แล้วขึ้นเขาเช้าวันถัดไปหลังจากได้นอนหลับพักผ่อนกันเต็มที่ เหมือนจะเสียเวลาไปวันนึงเต็มๆ แต่เราจะกวาดเที่ยวแถวควางจูนี่แหละค่ะ เผื่อได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ กับธรรมชาติงามๆ อีกรูปแบบที่ไม่เหมือนประเทศไทย กลับไปเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง



หลังๆ มานี่ ข้อมูลท่องเที่ยวเริ่มเยอะ ที่โน่นก็อยากไป ที่นี่ก็อยากไป ก็เลยต้องตัดออกบ้าง บางที่ก็ทำลิสต์ไว้ ว่าอยากไป แต่เวลาอำนวยหรือป่าวไม่รู้ ต้องรอดูกันไปค่ะ แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยได้อยู่ในโซล ออกนอกโซลเกือบทุกวัน เพราะว่าจะตามรอย film location หนัง ละครกัน เอางานนี้ คงกลับมาใช้หนี้หัวบานแน่เลย ก็ดูค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ทะลุ budget กันเห็นๆ เลยค่ะ



ถึงแม้จนบัดนี้ อีกไม่กี่วันก็จะไปแล้ว แต่ก็ยังจัดการตัวเองไม่เสร็จ นั่งๆ นอนๆ ดูว่าจะเอาเสื้อผ้าไปกี่ชุด เอาอะไรไปบ้าง เอาโน่นไป เอานี่ไป โอย ลองมากองๆ ดู ล้นกระเป๋า ต้องมานั่งจัดการใหม่ วิ่งหากระเป๋า เพราะตัวเองมีกระเป๋าเดินทางใบเล็ก สำหรับเดินทาง 3-4 วัน กะเป้ backpack แบบเดินป่า ซึ่งไม่เหมาะแก่การนำมันออกนอกแน่ๆ วิ่งจะยืมกระเป๋าชาวบ้าน ไม่ใหญ่เกินไป ก็เล็กเกินไป แล้วก็กลับบ้านมาสะดุดกระเป๋าตัวเองอีกใบเข้า เอามาลองยัดๆ สัมภาระดู หุๆๆๆ ใช้ได้ค่ะ เหลือที่อีกนิดหน่อย เผื่อขากลับจะยัดปู้ชายกลับมาได้ อุ๊บส์ (ไม่ได้เห่อนะคะ แต่คือการเตรียมการค่ะ จะได้ไม่ฉุกละหุกไงล่ะ ใช่ไหมล่ะคะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน)



เมื่อสบายใจแล้ว ก็รอจ่ายตังค์ค่าตั๋ว กะแลกตังค์ ซึ่งก็คำนวนกันไว้คร่าวๆ แล้ว ว่าจะต้องจ่ายประมาณเท่าไร ส่วนตัวเท่าไร กินเท่าไร แล้วที่เหลือก็ไปแลกเอากันข้างหน้าน่านแหละค่ะ ไม่อยากแลกไปเยอะ เพราะว่าแลกกลับแล้วเรทตก



อีกอย่างที่ต้องหา คือปลั๊กบ้านเขาเป็นอย่างไร ไฟบ้านเขาก็เท่ากะบ้านเรา คือ 220 โวลต์ แต่รูเต้ารับของเขาจะเป็นหัวกลมๆ ฉนั้น จะไปก็เตรียม adaptor หัวกลมไปด้วยก็ดีนะคะ



เรื่องต่อมาที่ต้องหาก็คืออากาศ จะได้จัดเสื้อผ้าไปได้ถูกและเหมาะแก่อากาศ ช่วงที่ไป เท่าที่ดูอากาศอยู่ระหว่าง 7 - 22 องศาซี เอ้อ อากาศเย็นๆ ถึงขั้นหนาว สำหรับเราคนไทยเชียวล่ะ คงต้องไปเตรียม sweater เพิ่มเสียหน่อยแล้วล่ะค่ะ



มะวานนี้ (13 ตค.) เจ๊ก้อยไปได้หนังสือเกร็ดท่องเที่ยวมา แหมดูหน้าปกนึกว่าหนังสือการ์ตูนหวานแหววของแจ่มใสเขา อ่านไปได้หน่อยนึง เอ เข้าท่าแฮะ แล้วก็ไปสะดุด คนเกาหลีจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ต้องสอบ TOEIC ผ่าน ไม่ใช่แค่ 550 เหมือนแอร์ไทยนะคะ แต่ต้องได้ 850 โหหหหหหหห เกือบเต็มแน่ะ ตัวเองเคยสอบ ยังได้แค่ 7 โร้ยก่าๆ เท่านั้นเอง โอวววมายก๊อด ถ้าบ้านเราเอาอย่างบ้างจะเป็นไงบ้างนะ



จบ preparation part แล้ว ขอไปเตรียมเก็บเสื้อผ้า จัดกระเป๋าก่อนดีกว่า เพราะกัวว่า วันอังคารกลับจากทำงาน คิดว่าคงจัดไม่ทันแน่ค่ะ



Create Date : 14 ตุลาคม 2548
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 11:49:16 น.
Counter : 1315 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

เลขาตัวซน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เลขาตัวซน ทำงานเป็นเลขาฯ
บวกความซนอันมีมาแต่กำเนิด
เป็นลูกสาวคนเล็ก แม้จะมีน้องชายหนึ่งหน่อ
เลยค่อนข้างเอาแต่ใจ ออกจะใจร้อนตามป๊ะป๋า
แต่ก็เป็นคนตรงและจริงใจนะ
ที่สำคัญเป็นคนรักอิสระอย่างแรง


อาจทำอะไรเหมือนเอาแต่ใจ
...แต่ไม่เคยไร้เหตุผล
ในบางเรื่องอาจไม่มีความอดทน
...แต่ไม่เคยเป็นคนอ่อนแอ
บางเวลาอาจท้อแท้
...แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด
อาจจะเฉยชาเกินไป
...แต่ไม่เคยทรยศต่อความตั้งใจของตัวเอง
โดย เฉกชนม์




All Blog