ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 
ล่าอสูร........The 2 Swords 4

                           ล่าอสูร........The 2 Swords
                                                                            บทประพันธ์ของ "วายุอัสนี"
                                                  4.
                                           ชวาซัดหอก

          เช้าวันถัดมาอากาศสดใสแสงแดดอ่อนๆบริเวณหน้าอาคารจัดแสดงวัฒนธรรมของฮ่องกงผู้คนเดินกันขวักไขว่ ประตูมีกระดาษขาวแผ่นใหญ่เขียนบอกว่า “ปิดบริการชั่วคราว” ติดไว้พร้อมกับตำรวจฮ่องกงยืนเฝ้าอยู่สองคน โดยคนหนึ่งดูสูงวัยมากเหมือนใกล้เกษียณ อีกคนเป็นหนุ่มหน้าใสคล้ายกับเพิ่งสำเร็จการศึกษา
“ทำไมผู้กองชอบให้ตำรวจจบใหม่อย่างผมมายืนเฝ้าอาคารเหมือนเป็นยาม ลุงจง” ตำรวจหนุ่มถามไปทางตำรวจสูงวัย พลางถอนใจยาว  “ผมน่าจะไปวิ่งไล่จับคนร้ายมากกว่ามาทำงานนี้”
“เมื่อก่อนฉันก็ไฟแรงแบบนาย!”  ลุงจงหัวเราะหึในลำคอ พลางย้อนถามไปว่า  “นายรู้ไหมว่า ฉันเคยมีคู่หูมาทั้งหมดกี่คน?”
“สามสี่คนกระมัง”
“สิบห้าคน!”  คำตอบนั้นทำให้ตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตกใจ
“พวกเขาไปไหนกันหมดล่ะ”  เขามองอยากรู้
“บ้างก็ตาย บ้างก็พิการ”  ลุงจงตอบ แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ยามคิดถึงเรื่องราวในอดีต รอยยิ้มเย็น  “ครั้งสุดท้ายที่ฉันเสียคู่หู คือ เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนนั้นฉันรับหน้าที่อารักขาหัวหน้ามาเฟียไปขึ้นศาล มันพยายามหนี แม้เราจะจับมันไว้ได้ในที่สุด แต่เราก็เสียตำรวจดีๆไปถึงสามคน เวลานี้ฉันจึงเฝ้าเฉพาะสิ่งที่วิ่งหนีไม่ได้ไงล่ะ....ฮึ ฮึ”

ยอด หม่าหยง เกตุ และ อาเหมย ยืนมองตำรวจจากฝั่งถนนตรงข้ามอาคารจัดแสดง สีหน้าครุ่นคิดหนัก
“ตำรวจเต็มไปหมดเลย ประตูด้านหลังก็มีตำรวจด้วย”  หม่าหยงพูดหลังจากเดินสำรวจมาแล้ว
“ทำไมเราต้องมาทำลับๆล่อๆอย่างนี้ด้วย”  อาเหมยถามสงสัย พลางมองไปทางเพื่อนชาย  “คงไม่ใช่จะมาขโมยของข้างในเพื่อเอาไปใช้หนี้น่ะ”
“ไม่ใช่!” หม่าหยงตอบยืนยัน ใบหน้างอ  “หน้าอย่างฉันเหมือนขโมยอย่างนั้นรึ”
อาเหมยจ้องหน้าเพื่อนชายเขม็ง ส่วนหม่าหยงแกล้งทำหน้าแบบไร้เดียงสา

“เหมือนสิ!” อาเหมยตอบหน้าตาเฉย
“เธอเนี่ยตาถั่วจริงๆ หล่ออย่างฉันจะเหมือนขโมยได้อย่างไร”  หม่าหยงตอบเสียงขุ่น พลางบอกเสียงจริงจังขึ้นว่า  “เมื่อคืนเราเจอปีศาจพันปีซึ่งเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีมัมมี่โจรหายไป เราจึงมาตรวจสอบหน่อย”
“เธอเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยรึ เกตุ”  อาเหมยหันไปถามเกตุ เพื่อนหญิงของยอด
“เรื่องนี้ก็เหลือเชื่ออยู่หรอก แต่ยอดไม่เคยโกหกฉัน”  เกตุตอบอ้อมแอ้ม รอยยิ้มเจื่อน
“นายไม่เคยโกหกผู้หญิงรึ เดี๋ยวฉันสอนให้ มันไม่ยากหรอก”  หม่าหยงพูดหยอกเย้ากับยอด อาเหมยถลึงตาและใช้ศอกกระทุ้งไปที่หม่าหยง
“ดีแต่สอนให้คนอื่นเสียคน”  อาเหมยพูดตำหนิ
“พวกเราจะทำอย่างไร จึงเข้าไปข้างในได้”  เกตุถาม
ยอดยืนใช้ความคิด ก่อนเอ่ยว่า  “คงต้องให้ท่านประธานเหมาฯช่วยแล้ว!”

รูปประธานเหมาเจ๋อตุงบนเงินธนบัตรที่หม่าหยงกำลังนับได้จำนวนหนึ่งแล้วยื่นให้ตำรวจแก่หน้าประตูอาคารจัดงานแสดงเพื่อพาเพื่อนเข้าไปชมเป็นกรณีพิเศษ
 “ขอเข้าไปดูข้างในเล็กน้อยนะครับ”  หม่าหยงบอกเสียงอ้อนเต็มที่
“ให้เวลาสิบห้านาทีเท่านั้น”  ลุงจงพูดเสียงเข้มแล้วรับเงินใส่กระเป๋า ส่วนตำรวจหนุ่มมองตกใจกับการรับเงินของตำรวจสูงวัยคนนี้

“มันผิดวินัยนะ ลุงจง”  ตำรวจหนุ่มลากเพื่อนไปพูดเตือนสติ
“ไม่เป็นไร ฉันจัดการทั้งหมดเอง”  ตำรวจแก่ตอบแล้วโบกมือให้หม่าหยงกับเพื่อนผ่านเข้าประตูไป พร้อมกับใช้วิทยุสื่อสารบอกเจ้าหน้าที่ในอาคารด้วย
“แมวใหญ่เรียกแมวเล็กจะมีหนูเข้าไปข้างในสี่ตัวให้เวลาสิบห้านาที เข้าด้านหน้าและออกด้านหลัง ทราบแล้ว....เปลี่ยน!”  ลุงจงพูดทางวิทยุสื่อสาร
“รับทราบ.... เปลี่ยน!”  เสียงตอบจากวิทยุสื่อสารดังขึ้น
“ตอนนี้ฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่แล้วเราต้องฟังคำสั่งจากท่านประธานเหมาสิ จริงไหม”  ลุงจงพูดด้วยรอยยิ้ม โดยไม่สนใจกับสีหน้าตกใจของเพื่อนต่างวัย

ภายในอาคารมีแสงไฟไม่กี่ดวงให้ความสว่างเนื่องจากอาคารยังปิดบริการอยู่ หม่าหยง ยอด เกตุและอาเหมย เดินไปที่ห้องจัดแสดงมัมมี่จีน จึงพบว่ามัมมี่ร่างใหญ่ซึ่งเป็นของฟางจง หัวหน้าโจรอันเลื่องชื่อในอดีตและลูกน้องทั้งหมดได้หายไปแล้ว
“ตายแน่! ฟางจงกับลูกน้องหายไปทั้งหมด” หม่าหยงอุทานออกมา
ทุกคนเดินมองหาร่องรอยผิดสังเกตในห้องจัดแสดงมัมมี่ ยอดเห็นบางอย่างสะดุดตา
“ดูนี่สิ!”  ยอดหยิบแท่งไม้ยาวประมาณคืบเศษบนพื้นขึ้นมองพินิจ  ทุกคนรีบเข้าไปดูสิ่งนั้น
“มันคือเศษกระบี่ไม้ของสำนักเหมาซาน” หม่าหยงเอ่ยขึ้น หลังจากมองพิเคราะห์แท่งไม้นั้น
“รู้ได้อย่างไร?” ยอดถามด้วยความสงสัย

“ลวดลายจางๆบนแท่งไม้ คือ ยันต์อาคม มันเป็นลักษณะเฉพาะของวิชาเหมาซาน” หม่าหยงอธิบาย สายตามองดูแท่นวางมัมมี่จีนและเพดานที่เป็นโดมกระจกใสซึ่งมองเห็นพระอาทิตย์ได้
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง!”  หม่าหยงฉุกใจคิดถึงเรื่องบางอย่าง พลางบอกว่า  “ตำแหน่งที่ฟางจงกับพวกนอนอยู่สามารถดูดซับพลังสุริยันและจันทราได้เป็นอย่างดี จึงคอยหล่อเลี้ยงวิญญาณร้ายไว้ เดิมทีกระบี่ไม้ผนึกมารนี้ช่วยสะกดวิญญาณไว้ แต่อาจมีบางคนดึงมันออกโดยไม่รู้ว่ามันมีความสำคัญขนาดไหน  ทำให้ปีศาจร้ายตนนี้ฟื้นขึ้นมา”
“เมื่อก่อนกระบี่ไม้ปักอกไว้ แต่กาลเวลาทำให้มันผุพังจนเหลือแค่แท่งไม้ยาวแค่คืบ บางคนอาจคิดว่ามันทำให้มัมมี่เสียหาย จึงดึงออก”  ยอดให้ความเห็น
อาเหมยส่ายหน้า  “มือซนมากไปแล้ว”
“พวกเขาไม่รู้ความสำคัญของแท่งไม้นี่นา”  ยอดยิ้ม
“ทำไมมีแท่งไม้แค่หนึ่งชิ้น ทั้งๆที่มัมมี่หายไปหลายร่าง” เกตุถามสงสัย

“อาจารย์เคยบอกว่าปีศาจที่มีพลังกล้าแกร่งสามารถควบคุมวิญญาณร้ายอื่นๆได้ แล้วยังสามารถเรียกวิญญาณที่ยังไม่ไปเกิดให้กลับฟื้นขึ้นมาด้วย”  หม่าหยงตอบ แล้วนิ่งคิด ก่อนเอ่ยอีกว่า  “พวกนี้ใช้วิญญาณต่อวิญญาณ! มันต้องดูดวิญญาณจากคนหรือวิญญาณปีศาจด้วยกันเพื่อฟื้นชีวิตใหม่และคงสภาพอยู่ในโลกนี้ ได้ ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร ก็ต้องใช้วิญญาณมาก”
“มัมมี่ฟื้นชีพอีกครั้งรึ ?”  เกตุครางด้วยความสยองใจ

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ!”  อาเหมยตกใจในสิ่งที่ได้ยิน เริ่มรู้สึกกลัว
“อืม.... พ่อผมก็เคยเล่าเรื่องคล้ายๆกันนี้ให้ฟัง”  ยอดพูดเสริม แววตาบอกความไม่สบายใจ
“ฟางจงดูดวิญญาณลูกน้องเพื่อฟื้นชีพของเขา มัมมี่ลูกน้องจึงสลายตัวไป”  เกตุพูดวิเคราะห์
ยอดส่ายหน้า  “ฟางจงอาจต้องการชุบชีวิตลูกน้องขึ้นมา จึงนำร่างของพวกเขาไปด้วย”
“พวกเขาฟื้นขึ้นมาแล้วรึ ?”  เกตุถามสงสัย
“ถ้าฟื้นชีพสำเร็จ คงได้เห็นพวกมันเดินยั้วเยี้ยแล้ว.....”  หม่าหยงตอบปนเสียงหัวเราะ พลางเล่าต่อไปว่า  “......... การคืนชีพต้องอาศัยคืนเดือนมืดที่ประตูวิญญาณเปิด ทำให้โลกวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ น่าจะเป็นอีกสองวันข้างหน้า”
“มันต้องมีพิธีกรรมอีกใช่ไหม อาหยง”  อาเหมยถาม
“ใช่”
ยอดขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง “ปัญหามีสองอย่าง คือ เราไม่รู้ว่ามันจะใช้วิญญาณของคนหรือวิญญาณของปีศาจในการชุบชีวิต และ มันจะทำพิธีชุบชีวิตที่ไหน”

“การชุบชีวิตให้ลูกน้องนั้นฟางจงต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก ส่วนนายเล่าเรื่องการต่อสู้กับเขาเมื่อคืนนั้น ฉันคิดว่าเขายังไม่น่าจะทำได้”  หม่าหยงให้ความเห็น
“เราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการชุบชีวิตลูกน้องแล้วสิ”  อาเหมยพูด
เกตุมีความเห็นแตกต่างไปว่า  “ฟางจงนำเอาร่างของลูกน้องไปด้วยทั้งที่รู้ว่าขณะนี้ยังไม่สามารถชุบชีวิตได้ ก็แสดงว่าเขามีวิธีจัดการกับเงื่อนไขนั้นได้”
“มันมีวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้พลังวิญญาณของฟางจงแข็งแกร่งเร็วขึ้น” หม่าหยงนึกบางอย่างได้ สีหน้าจริงจัง  “อาจารย์เคยบอกว่าหากปีศาจตนใดมีอาวุธคู่กาย เมื่ออาวุธนั้นกลับมาอยู่ในมือของเจ้าของอีกครั้งจักทำให้พลังวิญญาณสูงขึ้น ในกรณีของฟางจงคงเป็นดาบพยัคฆ์ที่นำมาแสดงพร้อมกัน ยิ่งเป็นดาบที่เคยดื่มเลือดคนมามาก จักมีพลังวิญญาณสูงตามไปด้วย”

“เราไปดูกันว่าดาบพยัคฆ์ยังอยู่หรือไม่”  เกตุพูดชวน
ทุกคนพยักหน้ารับแล้วเดินไปยังจุดวางโชว์ดาบพยัคฆ์ของฟางจง แต่มันว่างเปล่า
 “ดาบพยัคฆ์ไม่อยู่แล้ว!”  อาเหมยอุทาน สีหน้าตกใจ  “ฟางจงเอาไปแล้วรึ ?”
“อาจจะยัง.....” ยอดพูด แล้วเดินนำไปยังห้องเก็บวัตถุที่อยู่ด้านหลังห้องจัดแสดง   “ในช่วงปิดงานแสดงวัตถุสำคัญบางชิ้นจักถูกเก็บในห้องนิรภัยเพื่อความปลอดภัย บางทีดาบพยัคฆ์อาจถูกเก็บไว้ในนั้น”

ขณะที่ทุกคนเร่งเดินไปยังห้องนิรภัยโดยเร็ว เสียงฝีเท้าคนดังมาจากชั้นลอยภายในห้องโถงจัดแสดงและทุกคนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเริ่มร้อนใจมากเมื่อคาดว่าต้องถูกขัดขวางอย่างแน่นอน
“หยุดก่อน !”  ตำรวจหนุ่มตะโกนลั่น พลางใช้วิทยุสื่อสารในมือชี้ไปที่คนทั้งสี่  “พวกนายรีบออกไปจากที่นี้เดี๋ยวนี้”
หม่าหยงตะโกนบอกว่า  “พี่ชาย.... ขอเวลาอีกสักครู่เถอะ เราดูอีกที่หนึ่งแล้วจะกลับทันที”
“ไม่ได้! ตอนนี้ผู้กองกำลังจะเข้ามาในนี้ เขากำลังอยู่ที่หน้าประตู ลุงจงคงถ่วงเวลาได้ไม่นาน ถ้าเขาเห็นพวกนายอยู่ในนี้ พวกนายและพวกฉันมีหวังโดนเล่นงานแน่” ตำรวจหนุ่มมีสีหน้ากังวลหนัก
“เอาอย่างไรดีล่ะ?”  หม่าหยงหันไปถามทุกคน
ยอดคิดชั่วครู่ พลางพูดว่า  “ฉันกับเกตุเป็นคนต่างชาติและไม่อยากมีปัญหากับตำรวจฮ่องกง พวกเราควรออกไปก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีกันใหม่”
หม่าหยงยิ้ม  “แม้ฉันจะเป็นคนฮ่องกง ก็ใช่ว่าอยากมีปัญหากับตำรวจนะ”
“พวกนายรีบออกไปทางประตูหลังเดี๋ยวนี้เลย”  ตำรวจหนุ่มชี้ไปยังทางออกด้านหลัง หนุ่มสาวทั้งสี่รีบวิ่งไปตามเส้นทางนั้นโดยเร็ว

ช่วงบ่ายที่มีแสงแดดอ่อนส่องผ่านใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่สองข้างทาง หม่าหยง ยอด เกตุและอาเหมยเดินไปตามทางเดินแคบในชนบทแห่งหนึ่งของฮ่องกง หม่าหยงนำทุกคนไปยังตึกเก่าทรงจีนหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยว ขณะจะเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านในยอดต้องชะงักเท้าไว้เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างดึงชายเสื้อไว้ เขาก้มมองกุมารทองของเขา
“ฉันเข้าไปข้างในไม่ได้”  กุมารทองในชุดไทยโบราณดึงชายเสื้อของยอด น้ำตาคลอ
เกตุและอาเหมยหันไปเห็นเจ้าของเสียงสะอื้น สองสาวมองตาโต
“โอ้….. น่ารักจังเลย!” ทั้งคู่เปล่งเสียงดังแล้วโผเข้ากอดผีน้อย ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลย
หนุ่มต่างเชื้อชาติทั้งสองมองประหลาดใจกับท่าทางของสองสาว
“เธอชื่ออะไร ?”  เกตุถามด้วยความเอ็นดู
“กุมารทอง ขอรับ”  เสียงเล็กๆของกุมารทองดังตอบ เกตุและอาเหมยมองชื่นชม
“อายุเท่าไรแล้ว ?” อาเหมยถาม พลางลูบศีรษะและใบหน้าของผีเด็ก
“ไม่ทราบขอรับ” กุมารทองตอบ
“นี่เป็นผีเด็กที่พี่หยงเล่าให้ฟังล่ะสิ”  อาเหมยพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเข้าไปข้างในไม่ได้ล่ะ ?” เกตุถามสงสัย

“ประตูมียันต์เหมาซานสินะ” หม่าหยงแสดงท่าโอ่อวด พลางชี้ไปที่ยันต์สีแดงจืดๆซึ่งติดที่ประตูทั้งสองบาน  “ไม่ว่าผีหรือปีศาจร้ายตนใดก็ผ่านเข้าประตูนี้ไปไม่ได้หรอก”
“ไม่ใช่!” กุมารทองทำตาโตแล้วแลบลิ้นล้อหนุ่มจีน พลางบอกเสียงขึงขังว่า  “เมื่อเข้าไปแล้วก็จะรู้เองว่าทำไมถึงไม่อยากเข้าไป”
คำตอบของกุมารทองสร้างความสงสัยแก่ทุกคนว่าสิ่งใดในอาคารเก่าหลังนี้ทำให้ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้เลย
เมื่อกุมารทองไม่อาจผ่านประตูที่มียันต์เหมาซานไปได้ยอดจึงเดินไปที่ลานโล่งหน้าประตูและมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งให้ร่มเงาได้ดีจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น
“เจ้าไปสิงในต้นไม้นี้ก่อนช่วงที่พวกเราอยู่ข้างใน แล้วช่วยเฝ้าระวังภัยให้ด้วย” ยอดบอกกุมารทอง พลางพนมมือร่ายคาถาและเป่าลมไปที่ต้นไม้นั้น กุมารทองจางหายไปโดยพลัน

เสียงไม้เสียดสีดังขึ้นเมื่อหม่าหยงผลักประตูไม้เก่าสีแดงซีดเปิดออกแล้วเดินนำทุกคนเข้าไป ห้องโถงกลางไม่กว้างมากทุกคนเห็นเทวรูปมีรูปสัญลักษณ์สวัสดิกะอยู่กลางหน้าอก อันเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า สองข้างของเทวรูปมีผ้าสีเหลืองหม่นผืนยาวตรงกลางมีรูปยันต์แปดทิศเขียนไว้ ผืนผ้าขาดแหว่งเป็นรูเห็นเป็นระยะห้อยยาวจากเพดานถึงโต๊ะบูชา บนโต๊ะยาวมีกระถางธูป เชิงเทียนสองข้างแต่อันหนึ่งล้มอยู่บนโต๊ะ หยากไย่และฝุ่นหนาปกคลุมไปทั้งห้อง ด้านขวาของห้องมีเก้าอี้และโต๊ะไม้เล็กวางชิดผนังสำหรับแขกผู้มาเยือนนั่งพัก แต่เก้าอี้บางตัววางนอนบนพื้น ถัดเข้าไปมีประตูโค้งซึ่งนำทางไปสู่อีกห้องหนึ่ง ด้านซ้ายเป็นซุ้มประตูอิฐโค้งน่าจะเป็นทางเข้าห้องด้านใน มันมีผ้าสีดำเก่าบางๆกั้นไว้ ฝาผนังปรากฏรอยปูนแตกระแหง สีเดิมหลุดร่อนอันแสดงถึงความเก่าและขาดการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของอย่างมาก
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของฉัน..... สำนักเหมาซาน!” หม่าหยงกล่าวแนะนำ รอยยิ้มภูมิใจ
“นี่เป็นบ้านของนายรึ ?”  ยอดอุทานอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

“นึกว่าวัดร้างเสียอีก มิน่าล่ะกุมารทองจึงไม่อยากเข้ามา” เกตุมองสภาพรอบกายแล้วยิ้ม
“มันคือบ้านของพี่หยง รูหนูยังเรียกพี่เลย”  อาเหมยพูดเย้า
หนุ่มจีนทำหน้างอ พลางบอกเสียงขุ่นว่า  “อะไรกัน..... ก็แค่ดูโทรมไปหน่อย แต่อยู่ได้สบาย”
“ที่นี่ไม่ใช่สำนักร้างนะ ยังมีนักพรตอย่างฉันอยู่  เพียงแต่มันเก่าและอยู่ไกล เดินทางไม่สะดวก ผู้คนจึงไม่ค่อยมากัน ทำให้ขาดปัจจัยในการบูรณะ อีกไม่นานมันจะต้องกลับมามีชีวิตชีวาอีกแน่ๆ”  ดวงตาของหม่าหยงบอกความหวังเต็มเปี่ยม พลันนึกถึงสภาพสำนักในอดีตด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข  “ตอนที่อาจารย์ของฉันยังมีชีวิตอยู่ มันคึกคักมาก กลิ่นธูปคลุ้งไปทั่ว ผู้คนมากมายแวะมากราบไหว้ไม่ขาดสาย มีอาหารเจดีๆกินทุกวัน มีเสื้อผ้าใหม่ๆใส่กันทุกคน พวกเราเดินไปไหนก็มีคนนับถือ”
“พอมาถึงยุคของพี่ ทุกอย่างแย่ลง อาจารย์ของพี่คิดอย่างไรจึงยกสำนักให้พี่” อาเหมยพูดเสริมปนเหน็บแนมในที
“มันเป็นแค่วัฏจักรนะ มีขึ้นก็มีลง ที่สำคัญอุดมการณ์ต้องยังอยู่” หม่าหยงแสดงท่าทางมุ่งมั่น ทุกคนเงียบไปด้วยไม่อยากขัดคอเพื่อน
“กร๊อก.....” เสียงท้องของหม่าหยง เจ้าสำนักเหมาซานคนล่าสุดและตกยากดังทำลายความเงียบ

“ตอนนี้พี่หิวเหลือเกิน อาเหมยช่วยหาอะไรให้กินหน่อยสิ” หม่าหยงกุมท้อง พลางหันไปพูดกับอาเหมยด้วยสายตาวิงวอน รอยยิ้มเจื่อน
“ฉันไปดูในครัวก่อนว่ามีอะไรพอให้กินได้บ้าง” อาเหมยตอบ แล้วเดินผ่านประตูโค้งและผ้าสีดำไปที่ห้องครัว
“นั่นเป็นห้องครัวรึ ?”  เกตุกระซิบกับหนุ่มไทย ดวงตามองสาวจีนปัดผ้าสีดำก่อนเดินผ่านเข้าไป
“คงใช่มั้ง”  ยอดตอบ รอยยิ้มน้อยๆ
“ขอบคุณ ขอบคุณ” หม่าหยงยกมือไหว้ตามหลัง

เกตุเดินดูห้องโถงอย่างละเอียดด้วยความสนใจ  “ไม่นึกว่าคุณจะอยู่ที่นี่คนเดียว”
“ผมไม่ได้อยู่คนเดียว”  เจ้าสำนักหนุ่มบอก  ยอดและเกตุมองฉงน
“ผมมีพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเพียบเลย พี่แมงมุมที่มุมห้องด้านนั้นอยู่มาตั้งแต่ผมเป็นเจ้าสำนักใหม่ๆ” หนุ่มจีนชี้ไปที่เพดานไม้ผุๆซึ่งมีแมงมุมสร้างรังอยู่ แล้วหัวเราะ  “ส่วนน้องแมลงสาปด้านนี้ก็เห็นกันมาตั้งแต่ผมจำความได้”
หม่าหยงชี้ไปที่แมลงสาปตัวหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งไต่ผนังผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วโบกมือทักทายแมลงสาปด้วย ยอดและเกตุต่างมองหน้ากันเมื่อสัมผัสถึงการมองโลกในแง่ดีของเจ้าสำนักเหมาซานตกยากคนล่าสุด

ตอนย่ำค่ำ ณ ห้องโถงกลางแห่งสำนักเหมาซานทุกคนนั่งล้อมวงทานอาหารอยู่ที่โต๊ะกลมแบบพับได้ ทุกคนถือถ้วยโฟมใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ลวกแล้วและส่งกลิ่นหอมยิ่ง ส่วนกับข้าวคือผัดผักกวางตุ้งกับเกลือ แต่นับเป็นอาหารที่มีรสชาติดีมื้อหนึ่งได้
“เรื่องดาบพยัคฆ์จะทำอย่างไรต่อไป ?”  หม่าหยงถาม ขณะที่เคี้ยวบะหมี่ในปาก
“พรุ่งนี้ฉันกับยอดจะตรวจสอบบัญชีรายชื่อวัตถุจัดแสดงว่ามีอะไรหายไปหรือไม่ เราจักรู้ได้ว่าดาบพยัคฆ์อยู่หรือไม่” เกตุตอบและยอดพยักหน้ารับ
“ฉันกับพี่หยงควรทำอะไร ?” อาเหมยถามบ้าง
ยอดคิดชั่วครู่ พลางเอ่ยว่า  “ตำราพิชัยสงครามของจีนกล่าวว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง พวกเธอหาข้อมูลเกี่ยวกับฟางจงให้มากที่สุด ศึกในคืนเดือนดับคงหนักสาหัสแน่ เราควรรู้กำลังของศัตรูให้มากที่สุด”
“สำนักของฉันมีบันทึกอยู่หลายเล่ม มันอาจมีเล่มที่บันทึกเกี่ยวกับฟางจงซึ่งถูกผนึกวิญญาณด้วยวิชาเหมาซานก็ได้” หม่าหยงมีสีหน้าครุ่นคิด มือหมุนถ้วยชาไปมา

“อย่าหวังพึ่งพี่หยงมากเลย เขาขี้เกียจแบบนี้ ไม่รู้ว่าอ่านตำราเหมาซานไปกี่หน้ากันเชียว” อาเหมยพูดดักคอ
“อาเหมย..... ไม่น่าดูถูกพี่เลย พี่ก็เป็นเจ้าสำนักเหมาซานรุ่นที่สามร้อยหกสิบเก้าเชียวนา” หม่าหยงกล่าวตัดพ้อ
การปะทะคารมระหว่างหม่าหยงกับอาเหมยกำลังเริ่มขึ้น ยอดพูดเชิงยอว่า  “สำนักเหมาซานเก่งกาจด้านปราบปีศาจ คงมีอะไรดีๆอยู่มากเลย”
หม่าหยงฟังแล้วก็ยิ้มกว้าง แล้วชวนทุกคนไปดูสิ่งที่เขาภูมิใจอย่างมากในอีกห้องหนึ่ง
“นายพูดถูกแล้ว..... ต่อไปนี้ท่านจะได้เห็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของสำนักนี้” เจ้าสำนักเหมาซานพูดด้วยน้ำเสียงโอ่ พลางเปิดผ้าดำที่ประตูบานหนึ่งออกเพื่อให้ทุกคนเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

                                 *************************************
                                                      โปรดติดตามตอนต่อไป




Create Date : 23 พฤษภาคม 2555
Last Update : 23 พฤษภาคม 2555 1:20:55 น. 0 comments
Counter : 795 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.