|
ล่าอสูร.....The 2 Swords 5
ล่าอสูร.......The 2 Swords
บทประพันธ์ของ "วายุอัสนี" 5. อิเหนาแทงกริช ภายในห้องอันมืดมิดเมื่อหม่าหยงจุดเทียนขึ้นเงาจางๆของสิ่งที่อยู่ข้างในปรากฏขึ้น ลังไม้เก่าๆหลายใบซ้อนกันมีฝุ่นจับหนา ฝาผนังมียันต์รูปร่างแปลกแขวนอยู่มากมายแทรกด้วยกระบี่ไม้เก่าๆหลายด้าม บ้างอยู่ในสภาพผุพัง บ้างแสดงถึงการใช้งานมาอย่างหนัก ตัวดาบบางด้ามปรากฏลวดลายสีแดงจางๆ ยอดนำเศษกระบี่อาคมที่ครั้งหนึ่งเคยผนึกวิญญาณร้ายฟางจงเอาไว้ออกมาเปรียบเทียบกับด้ามกระบี่นั้นก็พบว่ามีความคล้ายกันอย่างมาก ผนังด้านหนึ่งมีชั้นวางหนังสือทั้งที่เป็นเล่มและม้วนกระดาษ แต่ละเล่มเขียนบันทึกถ่ายทอดประวัติความเป็นมาอันยาวนานและความยิ่งใหญ่ของสำนักนี้ในอดีตได้ละเอียดมาก หม่าหยงเดินไปจุดเทียนบนโต๊ะไม้ใหญ่กลางห้อง มุมในสุดของห้องยอดเห็นความแตกต่างได้ว่าโต๊ะตัวนี้ไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีของหลายสิ่งวางอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาของเขา
นายมีสิ่งนี้ด้วยรึ ยอดหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาดูพิเคราะห์ เกตุและอาเหมยหันไปมองของในมือของยอด ส่วนหม่าหยงเดินเข้าไปหาหนุ่มไทยด้วย ลูกปืนนี่นา! เกตุพูดขึ้น พลางเอื้อมมือไปหยิบสิ่งนั้นมาดูอย่างใกล้ชิด หม่าหยงยิ้มมุมปาก พลางพูดขึ้น ถูกต้องแล้ว..... เป็นลูกปืนจริงๆ เธอบอกได้ไหมว่าเป็นลูกปืนอะไร? กระสุนของปืนลูกโม่ขนาด .357 แม็กนั่ม เกตุตอบทันที ท่าทางมั่นใจ หม่าหยงมองทึ่งใจ เธอรู้ได้อย่างไร ยอดยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบแทนเพื่อนหญิงว่า พ่อของเธอเป็นตำรวจใหญ่ที่เมืองไทย และเป็นครูสอนยิงปืนให้กรมตำรวจด้วย เกตุเขายิงปืนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ผมยังต้องให้เธอสอนเลย เก่งขนาดนั้นเชียวรึ หม่าหยงรู้สึกประทับใจเมื่อได้ยินยอดเล่าถึงเพื่อนสาว เกตุยิ้มตอบ
รู้ไหมว่าลูกปืนนี้มีอะไรพิเศษ หม่าหยงถามขึ้นด้วยท่าทางโอ่ หัวกระสุนทำจากเงิน ไม่ใช่ตะกั่ว เกตุตอบเน้นเสียง ใช่แล้ว.....และมีอีกสิ่งหนึ่งที่พิเศษสุดคืออะไร รู้ไหม ? นักพรตหนุ่มถามตอนท้าย พลางอมยิ้ม ด้วยคิดว่าเกตุไม่มีทางที่ตอบได้แน่นอน เกตุมองพิเคราะห์กระสุนในมืออยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติ พลันฉุกใจคิดบางอย่าง รึว่ากระสุนนี้นาย.....ขโมยมา! เกตุตอบเสียงดัง ไม่ใช่! หม่าหยงอุทานลั่น เธอไม่เคยมองผมในแง่ดีบ้างเลยหรือไง หม่าหยงพูดตัดพ้อ พลางเอื้อมมือไปหยิบกระสุนในมือของเกตุ แล้วเดินไปหยิบสเปรย์ขวดหนึ่งซึ่งบรรจุของเหลวชนิดหนึ่งมาพ่นใส่หัวกระสุน สักครู่จึงหยิบกระบอกไฟฉายด้ามเล็กแท่งหนึ่งบนโต๊ะมาส่องที่หัวกระสุน แสงสีฟ้าอ่อนๆส่องจากหลอดไฟอัลตร้าไวโอเล็ต ทันใดนั้นปรากฏรอยจางๆบนหัวกระสุนเป็นลวดลายเส้นเล็กๆคล้ายลายบนกระบี่ไม้อาคมของเหมาซาน มันคือกระสุนอาคมเหมาซานที่ฉันคิดค้นขึ้นมา หม่าหยงพูดโอ่ด้วยความภาคภูมิใจ
ยอดหยิบกระสุนนั้นและหลอดไฟมาส่องดูอีกครั้ง ริมฝีปากแย้มกว้าง นายทำได้อย่างไร ยอดถามสงสัย ใช้เลือดหมาดำมาเขียนบนหัวกระสุน มันก็แค่นั้นเอง ถ้าจะให้คนเห็นชัดๆก็ต้องใช้สารเคมีนี้ช่วย หม่าหยงตอบยิ้มเล็กน้อย ลูมินอล! เกตุอุทานขึ้น พลางพูดอธิบายต่อไปว่า มันเป็นสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากับเลือดเมื่อส่องด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ตก็จะเห็นลอยเลือดชัดขึ้น มันใช้กันมากในการพิสูจน์หลักฐานทางคดีของตำรวจ ถูกต้องแล้วคร๊าบ..... หม่าหยงปรบมือชื่นชมเกตุ อาเหมยเหลือบไปมองอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ พลางเห็นขวดใสเล็กหลายใบตั้งเรียงกันอยู่ มันบรรจุของเหลวสีแตกต่างกันและมีกระดาษใบเล็กติดข้างขวด นี่อะไรรึ อาเหมยหยิบขวดใบหนึ่งซึ่งมีน้ำสีแดงเข้มขึ้นมาดู และอ่านตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษข้างขวด เลือดหมาดำ..... ยี่สิบดอลลาร์ฮ่องกง เธอขายของพวกนี้ด้วยหรือ อาเหมยถามด้วยความประหลาดใจ หม่าหยงหยิบขวดเลือดหมาดำใบนั้น แล้วบอกสรรพคุณราวกับเขากำลังออกโทรทัศน์ เลือดขวดนี้ทำจากเลือดหมาดำสนิทจริงๆ ไม่ใช่ดำๆด่างๆ แถมเรายังใช้สารกันเลือดแข็งอย่างดี รับรองไม่จับเป็นก้อน สาดได้กระเซ็นถึงใจแน่ๆ รับประกันคุณภาพตลอดชีพ หากสนใจภายในสามสิบนาทีนี้เราจะแถมฉี่ชายพรหมจรรย์ให้อีกขวด โปรดโทรมาตามเบอร์ที่ปรากฏด้านล่างนี้ อย่ารอช้าสินค้ามีจำนวนจำกัด หากไม่พอใจสินค้ายินดีคืนเงินให้ในสามสิบวัน หม่าหยงมองเลือดหมาดำและฉี่ชายพรหมจรรย์ในมือ รอยยิ้มบอกความภูมิใจชัด ฮึ.... เกินเยียวยาจริงๆ อาเหมยส่ายหน้า ยอดและเกตุพยักหน้าสนับสนุนด้วย
เช้าสดใสของวันใหม่หม่าหยงและอาเหมยขลุกตัวอยู่ในห้องตำราเก่าๆภายในสำนักเหมาซานเพื่อค้นหาหนังสือและบันทึกของสำนักโดยหวังว่าจะมีเบาะแสเกี่ยวกับจอมปีศาจร้ายฟางจงซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกสยบด้วยมนต์เหมาซาน ทั้งสองต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกเนื่องจากฝุ่นผงที่คลุ้งกระจายไปทั่วห้องจากการปัดเป่าออกจากกองหนังสือ เสียงไอของหญิงสาวดังเป็นระยะ หม่าหยงมองด้วยความห่วงใย อาเหมยทำไหวหรือไม่ เธอออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้ ฉันหาคนเดียวก็ได้ ไม่เป็นไร สองแรงดีกว่าแรงเดียว เวลาใช่ว่ามีมาก เราต้องรีบหาให้เจอ อาเหมยตอบ มือก็เปิดหนังสือทีละเล่มต่อไป หม่าหยงหยิบหนังสือเก่าขึ้นมาเล่มหนึ่งดวงตาเบิกกว้างเมื่ออ่านเนื้อหาของมัน ดูนี่สิ อาเหมย ตำราเล่มนี้มีคาถาดีๆเยอะเลย หม่าหยงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นิ้วพลิกเปิดหน้ากระดาษไปทีละหน้า มีทั้งคาถาถอดวิญญาณ คาถาสะกดการเคลื่อนไหว คาถาเคลื่อนฟ้าย้ายดาว เป็นคาถาชั้นสูงทั้งนั้นเลย! เป็นคัมภีร์อะไร อาเหมยถามด้วยความอยากรู้
หม่าหยงพลิกไปดูที่หน้าปกของหนังสือเล่มนั้น น้ำเสียงฉงนยามเอ่ยว่า แอบดูคาถาเหมาซาน...... ฟังดูคล้ายๆหนังสือปลุกใจเสือป่ายังไงไม่รู้ มิน่าล่ะ พี่จึงหยิบเล่มนี้มาดู อาเหมยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่น หนุ่มจีนเจ้าเล่ห์ยิ้มเจื่อน พี่เป็นถึงเจ้าสำนัก.... ไม่รู้จักวิชาเหล่านี้อย่างนั้นหรือ อาเหมยถามด้วยความสงสัย เธอก็รู้.....พี่เป็นแค่ งูๆ ปลาๆ พื้นฐานก็พอได้ แต่ศาสตร์ชั้นสูงขนาดนี้คนที่จะใช้ได้ต้องมีพลังจิตกล้าแข็ง อาจารย์ของพี่ยังใช้คาถาเหล่านี้ไม่ได้เลย หม่าหยงเปิดตำราเล่มนั้นด้วยความสนใจ ปากพูดต่อไปว่า ฉันเคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นตัวคาถาหรอก
โอ้! มีคาถานี้ด้วยรึ คาถามหาเสน่ห์ เจ๋งจริงๆอันนี้ใช้หากินได้! เจ้าสำนักหนุ่มหัวการค้ามองตาโตด้วยความดีใจ รอยยิ้มกว้าง อาเหมยรีบดึงตำราเล่นนั้นมาถือไว้ คาถาดีๆไม่รู้จักเรียน คาถาแบบนี้สนใจนัก คาถานี้ห้ามอ่านน่ะ หญิงสาวกล่าวตำหนิเสียงขุ่นมัว จ้าๆ.... ไม่อ่านๆ หม่าหยงเสียงอ่อนพร้อมกับหยิบตำรานั้นไปเก็บไว้ แล้วหยิบเล่มอื่นมาอ่าน อาเหมยเหลือบตาไปเห็นหนังสือเก่าเล่มหนึ่งเมื่อเปิดอ่าน ดวงตาส่องประกาย น้ำเสียงตื่นเต้น เจอแล้วพี่หยง!
ช่วงเย็นวันเดียวกันยอดและเกตุเดินเข้าไปในสำนักเหมาซานพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่คนละใบหลังจากไปตรวจสอบข่าวที่งานจัดแสดงมาแล้ว ส่วนหม่าหยงและอาเหมยนั่งรออยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้อง เจ้าสำนักหนุ่มเห็นเพื่อนคนไทยทั้งสองถือกระเป๋าเดินทางเข้ามาก็รู้ได้ทันที รอยยิ้มกว้าง พวกเธอจะมาพักที่นี่รึ สำนักเหมาซานยินดีต้อนรับ คืนพรุ่งนี้สำคัญมากพวกเราอยากมาเตรียมตัวด้วยกันก่อน ยอดวางกระเป๋าใบใหญ่บนพื้น ดีๆ ฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับนายเยอะเลย ที่นี้ไม่ใหญ่ มีห้องไม่มาก นายนอนกับฉัน ส่วนเกตุก็นอนกับอาเหมยแล้วกัน หม่าหยงจัดแจงตามหน้าที่เจ้าบ้าน อาเหมยดีใจที่มีเพื่อนร่วมห้องเพราะไม่คุ้นกับบ้านเก่าหลังนี้ ดีจังเลย ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเกตุเหมือนกัน ฉันช่วยถือกระเป๋าไปไว้ในห้องน่ะ เกตุ สาวจีนหน้าตาสดใสช่วยนำกระเป๋าของเกตุไปไว้ในห้องนอน
หลังจากจัดแจงกระเป๋าเดินทางกันแล้วทุกคนก็มารวมกันที่ห้องโถงกลางรอบโต๊ะกลมอีกครั้ง วันนี้นายได้อะไรบ้าง? ยอดถามไปทางเจ้าสำนักหนุ่ม ได้สิ.... คาถาเด็ดๆเพียบ แค่คาถามหาเสน่ห์อย่างเดียวก็ไม่อดตายแล้ว! หม่าหยงพูดขึ้นด้วยความดีใจ พลันเสียงสะดุดลงเมื่ออาเหมยใช้เท้าเตะที่หน้าแข้งอย่างแรงเพื่อให้พูดเข้าเรื่องโดยเร็ว โอ้โทษทีๆ.... เรื่องของฟางจงใช่ไหม เราพบบันทึกเกี่ยวกับฟางจงอยู่เล่มหนึ่ง
หม่าหยงหยิบหนังสือเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมาและอ่านสิ่งที่บันทึกอยู่ให้ทุกคนฟัง เล่มนี้เป็นบันทึกของอาจารย์ปู่ทวดของสำนักเลยน่ะ ท่านบันทึกไว้ว่า..... เจ้าสำนักเหมาซานพูดนำและกล่าวถึงสิ่งที่บันทึกอยู่ภายใน หลังจากที่จอมโจรร้ายแห่งมณฑลเหอหนานนาม ฟางจง จบชีวิตลงภายใต้คมกระบี่ของยอดฝีมือนาม ตงเฉิน ฉายากระบี่ทะลวงใจนั้น ลูกน้องคนสนิททั้งสี่คนของฟางจงฉายาเสือดำ แมงป่อง จงอาง และคนสุดท้ายเป็นผู้หญิงฉายา แมงมุมเบญจพิษ ต่างหลบหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางแล้วถูกตามล่าจากเหล่าจอมยุทธและยอดฝีมือของทางการสุดท้ายทุกคนต้องจบชีวิตลงตามหัวหน้าของพวกเขาเช่นกัน เดือนมืดคืนหนึ่งมีฝนตกหนักฟ้าร้องเสียงดังไปทั่ว ท่ามกลางสายฝนสัปเหร่อ หลายคนกำลังแบกโลงศพไม้ใบใหญ่กว่าปกติใบหนึ่งผ่านป่าละเมาะ ภายในโลงใบนั้นบรรจุร่างอันใหญ่โตที่ไร้วิญญาณของฟางจงตรงไปยังหลุมฝังศพที่เตรียมไว้ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นขณะที่วางโลงศพลงหลุม พลันเกิดแสงสว่างวาบอย่างฉับพลันใส่ร่างชายคนหนึ่งในกลุ่มสัปเหร่อพร้อมเสียงดังกัมปนาทไปไกล ชายคนนั้นล้มลงสิ้นใจทันทีร่างคร่อมบนโลงศพทำให้ทุกคนตกใจมากจึงวิ่งหนีเตลิดอย่างไม่คิดชีวิต เลือดจากปากและจมูกของสัปเหร่อที่ไร้ลมหายใจไหลลงไปตามรอยแยกที่ฝาโลงศพทำให้ฟางจงสัมผัสเลือดคนเป็นครั้งแรกหลังจากเสียชีวิต เนื่องด้วยเป็นคืนเดือนมืดวิญญาณฟางจงซึ่งเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาตแค้นและผูกพยาบาทยังวนเวียนอยู่ไม่ไกลเมื่อสัมผัสเลือดคนและดูดซับพลังไอฟ้าดินไว้ ปีศาจร้ายตนนี้จึงฟื้นขึ้นมาได้แถมยังมีอิทธิฤทธิ์กล้าแข็งขึ้น เนื่องจากได้คร่าชีวิตคนเป็นจำนวนมากและได้ดูดซับพลังวิญญาณของพวกเขาไว้ แม้จะมีนักพรตและหลวงจีนจำนวนมากไปปราบแต่ไม่สามารถหยุดความบ้าคลั่งของปีศาจร้ายตนนี้ได้ จนกระทั่ง........ หนุ่มจีนหยุดอ่านชั่วขณะ คิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนอ่านต่อไป อาจารย์ปู่ทวดนาม จู่จิง เจ้าสำนักเหมาซานในสมัยนั้นได้รับเชิญให้ไปปราบปีศาจร้ายตนนี้....
ภาพเหตุการณ์ในอดีตของบรรพชนเหมาซานหวนกลับมาอีกครั้ง ปีศาจร้ายฟางจงกวัดแกว่งดาบพยัคฆ์คู่ใจสังหารผู้คนไม่เลือกหน้า เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวดังไปทั่วในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งของจีน วิญญาณของชาวบ้านกลายเป็นไอไหลรวมเข้ากับฟางจงอย่างไม่ขาดสายทำให้พลังแก่กล้ายิ่งขึ้น หลายคนพยายามต่อสู่ด้วยอาวุธที่พอหาได้ไม่ว่าจะเป็น จอบ เสียม หรือแม้แต่ดาบก็ไม่ระคายผิวของปีศาจร้ายตนนี้แม้แต่น้อย ฟางจงจอมกระหายเลือดต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินผ่านสายหมอกของค่ำคืนที่เย็นยะเยือก เงาจางๆของชายถือกระบี่เริ่มปรากฏชัดขึ้นเป็นภาพที่ฟางจงไม่มีวันลืม แม้ตายไปกี่ครั้งก็ตาม ตงเฉินรึ! ฟางจงพึมพำ น้ำเสียงเยือกเย็น มือกำดาบแน่น แสงจากโคมไฟข้างทางสั่นไหวส่องให้เห็นใบหน้าของเจ้าของกระบี่ เขาหาใช่ตงเฉินไม่ แต่เป็นผู้อาวุโสไว้หนวดเคราใบหน้าสงบนิ่งในชุดนักพรตสีเหลืองมีรูปยันต์แปดทิศติดอยู่ที่หน้าอก เอวเหน็บถุงย่ามเล็กๆใบหนึ่งและกระบี่ไม้สั้นด้ามหนึ่ง มือถือกระบี่ยาวก้าวย่างด้วยท่าทีเยือกเย็น บรรยากาศสงบนิ่งโดยฉับพลัน นักพรตหรอกรึ เสียงปีศาจร้ายแหวกอากาศขึ้นทำลายความเงียบสงัด
นักพรตท่าทางเก่งกล้าวิชาหยุดยืนเผชิญหน้ากับฟางจง สีหน้าเย็นชา ฟางจงก่อกรรมทำเข็ญมามากแล้ว ขอให้หยุดเสียเถิด เสียงทุ้มนักแน่นของนักพรตเฒ่าดังขึ้นด้วยหมายจะกล่อมปีศาจร้าย เจ้าเป็นใคร? ฟางจงถามชายแปลกหน้าที่มีท่าทางไม่เกรงกลัวเขา ข้าชื่อ จู่จิง เจ้าสำนักเหมาซาน! นักพรตเฒ่าตอบเสียงดังด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม ตอนเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ก่อกรรมไว้มากแม้ตายไปแล้วก็ยังไม่เลิก หากเจ้ากลับใจเสียในตอนนี้ข้าจะทำพิธีสวดส่งวิญญาณให้เจ้าได้ไปผุดไปเกิด จักไม่ต้องอยู่ในสภาพอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ซึ่งเกิดใหม่ก็ไม่ได้เกิด หากตายก็ไม่ได้ตาย ต้องเป็นปีศาจที่ทุกคนรังเกียจ..... เจ้าสำนักเหมาซานกล่าวให้คำเตือนแก่ปีศาจฟางจงอีกว่า หากไม่สำนึกข้าคงต้องส่งเจ้าลงนรกชั่วกัปชั่วกัลป์! ฮึ..... อย่างเจ้าจะมีปัญญาทำได้อย่างนั้นรึ ฟางจงตอบด้วยน้ำเสียงดูถูก ทำไมเจ้าต้องอาละวาดเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ นักพรตเฒ่าถาม ยามมองดูคนตายจำนวนมาก
ฮึ ฮึ อีกไม่นานพวกมนุษย์ทุกคนจักต้องตายกันหมดเมื่อข้าเปิดประตูทะลุโลก ที่นี่จะกลายเป็นนรกโดยมีข้าเป็นพระเจ้า ฮ่า ฮ่า ฟางจงหัวเราะเสียงดังด้วยความกระหยิ่มใจ เจ้าสำนักเหมาซานมีสีหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เจ้าคิดจะเปิดประตูทะลุโลกอย่างนั้นรึ! เจ้าอยากให้ข้าลงนรกมิใช่หรือ ข้าจะทำให้ที่นี่กลายเป็นนรกอย่างที่เจ้าต้องการอยู่แล้วยังไงเล่า ฮ่า ฮ่า ฟางจงหัวเราะด้วยความพอใจอย่างมาก ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นหรอก วันนี้ไม่เจ้าก็ข้าต้องม้วยกันไปข้างหนึ่ง! นักพรตเฒ่าเจ้าสำนักเหมาซานดึงกระบี่ออกจากฝักกระโดดโจนทะยานพุ่งกระบี่เข้าสัปยุทธโดยพลัน แสงไฟต้องกระบี่แวววับกวัดแกว่งไปทั่ว ฟางจงหลีกหลบคมกระบี่เป็นพัลวัน พลางถอยเป็นระยะแล้วใช้ดาบพยัคฆ์ปัดป้องไว้ นักพรตจู่จิงรุกต่อเนื่องมิรอช้าเมื่อเห็นฟางจงเริ่มถอยไม่อาจตอบโต้ได้ เสียงคมกระบี่แหวกอากาศไปมาทุกกระบวนหมายเอาชีวิตฟางจง กระบี่ มือ และเท้าประสานเป็นหนึ่งจนไร้ช่องโหว่ฟางจงพลาดท่าถูกเจ้าสำนักเหมาซานเตะยอดอกไปหนึ่งครั้งด้วยพลังวัตรที่กล้าแข็ง แม้ฟางจงจะมีร่างกายใหญ่โตแต่ก็กระเด็นไกลไปกระแทกกับกำแพงบ้านหลังหนึ่งจนเกิดรอยยุบชัดเจน
ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วฟางจงค่อยๆลุกขึ้นยืน มือกำดาบแน่น ดวงตาแดงฉานจ้องเขม็งไปที่ศัตรูเบื้องหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ เสียงฟันขบเขี้ยว กลิ่นไอปีศาจโพยพุ่งจากปากเป็นระยะ ปีศาจที่โกรธเกรี้ยวสะบัดเท้าวิ่งเข้าหาเจ้าสำนักเหมาซานอย่างไม่เกรงกลัว ปลายดาบคมพยัคฆ์ลากไปกับพื้นเป็นทางยาว นักพรตจู่จิงเห็นฟางจงถาโถมเข้าใส่จึงพลิกตัวหมุนใช้เท้าเตะสิ่งของบนพื้นทั้ง ดาบ มีดและท่อนไม้ ขึ้นในอากาศและสะบัดเท้าอีกครั้งใช้สิ่งของเหล่านั้นประดุจอาวุธพุ่งจู่โจมเข้าหาฟางจง ผิวหนังของปีศาจร้ายตนนี้บัดนี้แข็งแกร่งดั่งเสื้อเกราะ ดาบและมีดไม่อาจระคายผิวแม้แต่น้อย ฟางจงแกว่งดาบฟันท่อนไม้แหวกเป็นทางแล้วพุ่งเข้าหานักพรตเฒ่า เสียงดาบพยัคฆ์คำรามฟาดฟันใส่เจ้าสำนักเหมาซาน นักพรตเฒ่าต้องปัดป้องสลับถอยเพื่อหลบคมดาบ ฟางจงรุกไล่ด้วยกระบวนท่าที่ดุดัน นักพรตจู่จิงแม้กำลังเสียเปรียบ แต่ด้วยทักษะยุทธที่เหนือชั้นก็สามารถเห็นช่องโหว่ของฟางจง ชั่วพริบตานั้นเขาสะบัดกระบี่ไปที่แขนซ้ายของฟางจง ผิวหนังที่แกร่งดั่งเสื้อเกราะปรากฏบาดแผลเป็นทางยาว ปีศาจร้ายสะดุ้งสุดตัวและร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด พลางถอยหลังหนึ่งก้าว ดวงตาสีแดงเพลิงมองแผลบนแขนแล้วหันไปที่กระบี่ในมือของเจ้าสำนักเหมาซาน กระบี่อาคมสวรรค์รึ! ฟางจงพึมพำ เมื่อเห็นลวดลายบนกระบี่สลักคาถาเหมาซานชั้นสูง
นักพรตจู่จิงยกกระบี่ในมือขึ้นตั้งท่าเตรียมรุกต่อ ปากบอกว่า อาวุธทั่วไปอาจทำร้ายเจ้าไม่ได้ แต่กระบี่เหมาซานของข้าผนึกมหาเวทย์ดาวดึงส์ไว้ อานุภาพไร้เทียมทาน ข้าก็อยากรู้ว่าดาบในมือของข้าหรือกระบี่ของเจ้า ใครจะเหนือกว่ากัน ฟางจงคำรามลั่น มือกำดาบแน่น กระบี่แยกฟ้า ลมปราณแยกดิน กระบี่ข้าไม่ปราณี! นักพรตเฒ่าจู่จิงกวัดแกว่งกระบี่ร่ายมนต์เหมาซาน ศาสตราวุธในมือพลันเปล่งประกายวับ กระบี่นับสิบเล่มลอยอยู่กลางอากาศล้อมรอบฟางจงไว้แล้วพุ่งจู่โจมจากทุกทิศ ฟางจงจอมปีศาจบัดนี้ตกอยู่ในค่ายกลกระบี่เวทย์เหมาซานเสียแล้ว เขากวัดแกว่งดาบปัดป้องเป็นพัลวัน แม้ดาบพยัคฆ์จะว่องไวเพียงใด แต่ไม่อาจต้านทานคมกระบี่ซึ่งถาโถมประดุจห่าฝนได้ ชายเสื้อถูกฉีกเป็นทางหลายครั้งด้วยพลังกระบี่เหมาซาน จบกันเสียที....กระบวนสุดท้าย ทำลายมาร! เจ้าสำนักเหมาซานคำรามพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่เพื่อร่ายมนต์สุดท้าย
กระบี่อาคมรอบตัวฟางจงเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต มันพุ่งโจมตีเข้าหาปีศาจร้ายพร้อมกัน เมื่อใกล้จะเพลี่ยงพล้ำฟางจงคำรามเสียงดังและเปล่งพลังวัตรออกมาจนกระบี่รอบตัวหยุดชะงักโดยพลัน จากนั้นร่างของปีศาจร้ายก็แยกออกเป็นจอมมารนับสิบตนสัปยุทธ์กับกระบี่เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว วิชาแยกร่างย้ายวิญญาณรึ นักพรตเฒ่าตกใจกับภาพเบื้องหน้า มินึกว่าฟางจงปีศาจร้ายตนนี้จะมีวิชาแก่กล้าเช่นนี้ ตัวจริงของมันอยู่ที่ไหนล่ะ? เจ้าสำนักเหมาซานพูดขึ้นพลางมองฟางจงนับสิบตนที่กำลังต่อสู้กับกระบี่อาคมอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้าอยู่นี่!
เสียงดังมาจากด้านบนของนักพรตจู่จิง พลันเงาดำร่างใหญ่สองมือถือดาบพุ่งตรงลงมาโจมตีคู่ต่อสู้ เจ้าของเงานั้นคือฟางจงจอมปีศาจร้ายนั่นเอง นักพรตจู่จิงยกกระบี่ขึ้นรับทันใด แต่ด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ของฟางจงทำให้เท้าของนักพรตเฒ่าจมลงในดินมากกว่าคืบ เมื่อฟางจงได้เปรียบก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย เขาพลิกตัวเตะนักพรตเฒ่าที่ยอดอก ร่างนั้นกระเด็นไปไกลแล้วกระแทกพื้นราวกับใบไม้ร่วง นักพรตจู่จิงรวบรวมพละกำลังลุกขึ้นยืน ใบหน้ามีเหงื่อและหายใจยาวลึก มือกำหน้าอกแน่นโลหิตไหลรินจากมุมปากอันบ่งบอกการบาดเจ็บภายในมิใช่น้อย ปีศาจร้ายฟางจงเห็นศัตรูกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงชิงรุกต่อเนื่องด้วยการกวัดแกว่งดาบพยัคฆ์คู่ใจวิ่งตะลุยไปข้างหน้าหมายฟันศัตรูให้ขาดสะบั้น พลังปีศาจที่แข็งแกร่งก่อเกิดเป็นมวลอากาศเบื้องหน้าแหวกเป็นทาง
นักพรตจู่จิงเจ้าสำนักเหมาซานแม้จะบาดเจ็บแต่ยังมิใช่เสือสิ้นลาย นักพรตเฒ่าปักกระบี่ในมือลงดินแล้วหยิบถุงย่ามเล็กๆที่เอวออกมา ภายในมีเหรียญจีนโบราณหลายเหรียญแล้วพ่นเลือดที่อยู่ในปากใส่เหรียญเหล่านั้น ฝ่ามือประกบกันแล้วแยกเหรียญออกมาไว้ในมือทั้งสองจากนั้นร่ายคาถาเหมาซาน วิชาพลิกปฐพีถล่มภูผา! เสียงนักพรตจู่จิงร้องขึ้นเมื่อร่ายคาถาเสร็จ ฝ่ามือหงายและยื่นออกไปข้างหน้า เขากระดกปลายนิ้วขึ้น ผืนดินเบื้องหน้าของฟางจงถูกยกขึ้นเป็นกำแพงดินขนาดใหญ่ขวางทางไว้ แต่ฟางจงมองเกรี้ยวกราด มิเกรงกลัวสิ่งใดมือกำดาบแน่นพุ่งตรงเข้าฟาดฟันอย่างไม่รีรอ ดาบพยัคฆ์เปล่งอานุภาพออกมา เสียงระเบิดดังกัมปนาทฝุ่นผงกระจายไปทั่ว กำแพงดินเบื้องหน้าทลายลงเป็นเศษเล็กเศษน้อย ขณะเดียวกันนักพรตเฒ่าจู่จิงพลิกฝ่ามือผลักออกทั้งสองข้างสลับไปมาเหรียญอาคมในมือพุ่งรัวราวกับปืนกลตรงใส่ร่างฟางจงอย่างแม่นยำ เมื่อเหรียญติดกับร่างกายฟางจง มันระเบิดขึ้นแล้วส่งให้ร่างปีศาจร้ายกระเด็นถอยกลับไปไกลมากมันเปล่งเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
เมื่อสิ้นเหรียญในมือของนักพรตเฒ่าและกลุ่มควันจางหายฟางจงถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลง มันอาศัยดาบพยัคฆ์ช่วยพยุงตัวไว้มิให้ล้ม เสียงครางในลำคอด้วยความเจ็บปวด ผิวหนังที่แกร่งดังเหล็กก็ยังมิอาจต้านทานอาคมชั้นสูงของเจ้าสำนักเหมาซานท่านนี้ได้ หากเป็นปีศาจทั่วไปคงถูกทำลายด้วยวิชานี้แล้ว ไม่นึกว่าเจ้าจะรอดมาได้ นักพรตเฒ่ากล่าวเสียงเบาเนื่องด้วยอ่อนล้าจากการใช้พลังไปมากและประหลาดใจเมื่อเห็นปีศาจร้ายฟางจงยังยืนหยัดอยู่ได้ เห็นทีหากไม่ใช้กระบี่วกกลับ คงมิอาจสยบเจ้าได้ เจ้าสำนักเหมาซานพูดขึ้นเมื่อนึกถึงวิธีสุดท้ายที่สามารถกำราบปีศาจร้ายตนนี้
หม่าหยงเจ้าสำนักเหมาซานอ่านมาถึงจุดนี้ก็นิ่งไปชั่วครู่ พลางมองสบตาทุกคนรอบโต๊ะที่กำลังตั้งใจฟังด้วยใจจดใจจ่อเนื่องจากอยากรู้จุดจบของปีศาจร้ายพันปี แล้วไงต่อล่ะ.....พี่หยง! อาเหมยอดใจรอไม่ไหว จึงเอ่ยเสียงขึ้นทำลายความเงียบนั้น ฉันไม่รู้เหมือนกัน มันจบอยู่แค่นี้ นักพรตหนุ่มเปิดบันทึกให้ทุกคนดูหน้าสุดท้าย บันทึกทั้งหมดมีอยู่แค่นี้ ฉันได้ยินว่าหลังจากอาจารย์ปู่ทวดต่อสู้กับฟางจงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้นก็เสียชีวิต เขาอาจยังเขียนบันทึกไม่เสร็จก็สิ้นใจไปเสียก่อน อาจจะมีบันทึกอีกเล่มก็ได้นะ? เกตุออกความเห็น ตอนแรกฉันก็คิดเช่นนั้น แต่หาจนทั่ว ก็ไม่พบ หม่าหยงตอบด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
ยอดคิดอยู่ชั่วครู่ อย่างน้อยเราพอจะรู้ว่าวิชากระบี่วกกลับน่าจะสามารถสยบฟางจงได้ วิชานี้คืออะไรรึ ยอดถามเจ้าสำนักเหมาซานคนปัจจุบัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสำนักเรามีวิชาอะไรแบบนั้น ฉันไม่เคยได้ยินชื่อวิชานี้มาก่อน หม่าหยงตอบด้วยสีหน้างง ไม่แปลกใจหรอกที่พี่ไม่รู้จัก ก็พี่ขี่เกียจออกอย่างนี้ จะรู้จักสักกี่วิชากันเชียว อาเหมยปรายตามองเพื่อน น้ำเสียงดูแคลน อะไรกัน..... ฉันตรวจหาในฐานข้อมูลของสำนักและในกูเกิลก็ไม่พบนะ เจ้าสำนักเหมาซานพูดเสียงดังพร้อมกับหยิบพ็อกเก็ต พีซีขึ้นมาแล้วกระแทกนิ้วบนนั้นประกอบด้วย เดี่ยวนี้หาเรื่องพวกนี้ในพ็อกเก็ต พีซีได้แล้วรึ ยอดพูดด้วยความประหลาดใจแกมสงสัย
สำนักใหญ่ๆเขามีของแบบนี้ใช้กันทั้งนั้นแหละ นายไม่มีใช้รึ....เชยจังเลย ไม่ยักรู้ว่าที่นี้เป็นสำนักใหญ่ ยอดพูดแกมประชด สายตามองไปรอบห้องที่เก่าใกล้จะพังเต็มที หม่าหยงนึกได้ว่ายังมีเรื่องของดาบพยัคฆ์อีก จึงถามด้วยความอยากรู้ว่า เรื่องดาบพยัคฆ์เป็นอย่างไรบ้าง ? เราไปตรวจบัญชีรายชื่อสิ่งของที่นำมาจัดแสดงแล้ว ดาบพยัคฆ์ก็ยังอยู่ เกตุตอบ เราพยายามขอเข้าไปดูมัน แต่ดาบพยัคฆ์เป็นทรัพย์สินของทางการจีน พวกเขาจึงไม่อนุญาตให้เข้าไปดู ยอดเล่าเสริม แล้วยังเอ่ยทิ้งท้ายชวนคิดว่า หวังว่าบัญชีนั้นจะถูกต้องนะ
ค่ำคืนเดือนเต็มมีแสงจันทร์ให้ความสว่างภายนอกอาคารสำนักเหมาซาน ยอดในเสื้อยืดแขนกุดกางเกงขาสั้นเดินออกมาที่ลานหน้าสำนักเพื่อทบทวนวิชามวยตามที่เคยทำประจำ เริ่มจากการพนมมือไหว้ปากร่ายคาถาขอบคุณครูบาอาจารย์ที่ประสาทความรู้แก่ตน ทั้งหมดอยู่ในสายตาของอาเหมยในชุดวอร์มที่เดินผ่านมาเห็นโดยบังเอิญและยืนดูด้วยความสนใจ
ยอดเริ่มรำมวยไหว้ครูตามลำดับอันเป็นประเพณีสืบทอดกันมายาวนานหลายร้อยปี เขานั่งคุกเข่าถวายบังคมทั้งสามครั้งเพื่อคาราวะแด่แม่พระธรณี ยอดชักเท้าขวามาข้างหน้าร่ายรำมวยตามที่บรรพชนได้กำหนดไว้ การเคลื่อนไหวของยอดลื่นไหลไม่มีติดขัด แม้เชื่องช้าแต่แฝงด้วยพละกำลัง อาเหมยยืนดูด้วยความชื่นชมด้วยเหมือนการรำมวยไทยที่เคยเห็นในโทรทัศน์ แต่ไม่นานอาเหมยสังเกตเห็นบางอย่างที่แตกต่างกัน ทุกย่างก้าวของยอดที่กระแทกพื้นลงไปปรากฏเป็นหลุมลึกเล็กน้อย มันแสดงถึงพลังที่แฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว หมัดที่แหวกอากาศออกไปบังเกิดสายลมบังคับให้ใบไม้ใบหญ้าโดยรอบเคลื่อนไหวตามไปด้วย แม้ท่าพรหมสี่หน้าจะเชื่องช้าแต่เปี่ยมด้วยพลังจนอาเหมยสัมผัสได้ ยอดรำจนจบกระบวนท่าที่การย่างสามขุมเท้ากระแทกพื้นจนเกิดหลุมลึกกว่าปกติแล้วเดินสืบเท้าตามจังหวะ มันดูน่าเกรงขามยิ่งนัก เมื่อรำมวยไหว้ครูเสร็จสรรพยอดเริ่มเคลื่อนไหวแขนขาไปมาจากช้าๆแล้วค่อยเร่งจนเร็วขึ้น กำหมัดชกลมซ้ายขวา ตั้งท่าจดมวยสืบเท้าเข้าหาศัตรูที่ประหนึ่งว่าอยู่เบื้องหน้า ยอดออกอาวุธมากขึ้นทั้งเตะ เข่า ถีบ และศอก ทุกการเคลื่อนไหวสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว ท่ารุกดุดัน ท่ารับตั้งรับรัดกุม อาเหมยไม่เคยเห็นมวยไทยเช่นนี้มาก่อนจึงยิ่งรู้สึกอยากประมือด้วยสักครั้ง เมื่อโอกาสมาถึงหล่อนไม่ปล่อยให้หลุดลอยไป ฉันขอเป็นคู่ซ้อมให้นะ! อาเหมยตะโกนขึ้นแล้วกระโจนเข้าจู่โจมยอดทันที
************************************* โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 23 เมษายน 2556 |
Last Update : 23 เมษายน 2556 14:45:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 786 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|