ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 
ล่าอสูร....The 2 Swords 1

ล่าอสูร...The 2 Swords
บทประพันธ์ของ "วายุอัสนี"
1.
สลับฟันปลา


ณ งานแสดงวัฒนธรรมตะวันออกในฮ่องกง ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ผู้ชมสนใจกับความงดงามของวัฒนธรรมตะวันออกจากหลายประเทศทั้ง ไทย จีน อินเดีย เวียดนาม เขมร ลาว แต่ละประเทศต่างนำเสนอหลากรูปแบบ ทั้งการจัดบอร์ดแนะนำความเป็นมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบันของประเทศ แล้วนำข้าวของโบราณ ของใช้ประจำวันของชาวบ้านมาแสดงอย่างหลากหลายละลานตายิ่ง ส่วนโซนประเทศไทยนั้นนอกจากมีบอร์ดรูปภาพและคำบรรยายภูมิหลังของชนชาติไทยแล้ว ยังมีการนำสิ่งของหลากชนิดซึ่งบ่งบอกถึงวิถีชีวิตและสัญลักษณ์ความเป็นคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาแสดงให้แขกในงานชื่นชมด้วยอาทิเช่น พระพุทธรูปเก่าแก่ เรือนไทยจำลอง ของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งสิ่งของซึ่งมีใช้ในวังอันสวยงามทั้งในอดีตและปัจจุบัน หุ่นขี้ผึ้งชาวบ้านในอิริยาบถต่างๆ บูธซึ่งดึงดูดสายตาของแขกต่างชาติมากอันเนื่องจากการตบแต่งด้วยสีสันสะดุดตา สิ่งของแสดง รวมทั้งการให้ข้อมูลประกอบภาพหรือสิ่งของได้น่าสนใจพิเศษด้วยการบรรยายจากผู้ดูแลบูธและเอกสารที่แจกจ่ายแก่ทุกคน คือ การแสดงอาวุธในอดีตอันประกอบด้วย ดาบ ธนู หอก โล่ ภาพวาดการทำสงครามของนักรบไทยด้วยช้างและม้าในอดีต เครื่องแต่งกายของนักรบซึ่งไม่มีชุดเกราะอันหนักอึ้งเหมือนนักรบยุโรป แต่เป็นชุดที่กระชับและมีผ้าน้อยชิ้นที่สุด การชนช้างในสมรภูมิยุทธหัตถีอันเลื่องชื่อของกษัตริย์ไทย หุ่นแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย รวมทั้งการชกมวยคาดเชือกและมวยทะเล ส่วนจุดเด่นของบูธประเทศไทยคือ การจัดทัพทหารโบราณซึ่งสร้างจากหุ่นขี้ผึ้งบนสมรภูมิรบจำลองขนาดใหญ่ แขกต่างส่งเสียงชื่นชมกับหุ่นทหารไทยซึ่งถือดาบคู่ในมือด้วยท่าทางเข้มแข็งและสายตามุ่งมั่น โดยเฉพาะนักเรียนมัธยมของฮ่องกงกลุ่มหนึ่งเดินมาหยุดที่หุ่นทหารไทย มัคคุเทศน์หนุ่มยืนผายมือไปที่มันพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร
“สมัยก่อนทหารไทยเรียกกันว่านักรบไทยก็ได้ จักออกรบโดยอาศัยดาบเป็นอาวุธ.....” เสียงบรรยายอังกฤษของยอด มัคคุเทศน์หนุ่มใบหน้าสดใสในชุดไทยพระราชทานสีครีมดังขึ้น พลางผายมือไปตามจุดต่างๆประกอบด้วย อันเพิ่มความอยากรู้แก่ผู้ชมใกล้เคียงให้เดินเข้าไปฟังคำบรรยายของเขา “.....เรามีอาวุธหลายชนิดทั้งดาบมือเดียว ดาบสองมือ กระบองไม้ หอก ง้าว”
“โดยพื้นฐานแล้วนักรบไทยทุกคนต้องฝึกฝนการต่อสู้มือเปล่าก่อน เราเรียกว่า “มวยไทย” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ที่ดุดันที่สุดในโลก....” เขาผายมือไปยังหุ่นขี้ผึ้งนักมวยซึ่งแสดงลีลาแม่ไม้มวยไทยทั้งการใช้ศอก เข่าหลากรูปแบบ “...........มวยไทยประกอบด้วยแม่ไม้และลูกไม้ซึ่งมีผลต่อคู่ต่อสู้แตกต่างและหนักเบาไม่เท่ากัน ด้วยลักษณะรูปร่างของคนไทยทำให้การใช้มวยไทยมีอานุภาพสูงที่สุดและสังหารคนได้ แต่คนรูปร่างสูงใหญ่จะค่อนข้างเก้งก้างและขาคความคล่องตัวมาก หลายท่ามวยโบราณกำลังจะสูญหายไปเพราะความยากของมันและความอดทนของคนรุ่นใหม่ที่มีน้อยลง แต่ละท่ามวยจะมีชื่อเฉพาะที่ฟังไพเราะ ถ้าเข้าใจภาษาไทยจึงซาบซึ้งกับความงามของชื่อโบราณเหล่านี้ครับ”
“ผมเคยดูมวยไทยทางทีวี แต่เห็นไม่กี่ท่าที่ใช้กัน เพราะส่วนที่เหลือยากใช่ไหม ?” นักเรียนชายคนหนึ่งถาม แววตาสนใจกับหุ่นนักมวย
“ความยากเป็นปัจจัยสำคัญ มันบอกเราว่าคนโบราณมีความมุ่งมั่นและคิดค้นท่ามวยทำให้มันมีอานุภาพมากขึ้น มันคือการพัฒนาอาวุธทางร่างกาย นอกจากจะใช้เพื่อการทหารแล้ว ชาวบ้านยังฝึกใช้ป้องกันตัวได้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง..............” ยอดยิ้มน้อยๆ ดวงตามองหุ่นนักมวยนิ่ง “..........หลายท่าที่นักมวยปัจจุบันนำไปใช้บนเวที พวกเขายังใช้ไม่สมบูรณ์แบบ หากใช้จระเข้ฟาดหางถูกจังหวะและมีน้ำหนักเหมาะสม คู่ต่อส้อาจตายหรือสลบคาที่ทันที”
ชื่อท่ามวยที่ยอดเอ่ยขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้ฟังอย่างดีจึงมีเสียงฮือฮาดังขึ้น นักเรียนอีกคนยกมือขึ้น แล้วถามว่า “มวยไทยฆ่าคนได้จริงตามที่คุณพูดหรือ ?”
“อันที่จริงแล้วแม่ไม้และลูกไม้มีหลายท่า แค่จระเข้ฟาดหางที่เตะถูกก้านคอตรงๆและเต็มกำลัง ผมรับรองคอหักได้ทันที แต่อย่าบอกให้แสดงเลย...........” เขาพูดดักคอ แล้วอมยิ้ม “............พวกท่านมองดูหุ่นนักมวยและภาพแม่ไม้หรือลูกไม้มวยไทยบางส่วนที่เรานำเสนอตามบอร์ด จะเข้าใจชัดว่าเหตุใดคู่ต่อสู้ต้องตาย ถ้าเจอกับนักมวยที่ใช้ท่ามวยคล่องแคล่วจนกระทั่งมือและเท้ากลายเป็นอาวุธสังหาร”
“ตอนนี้มีคนเรียนรู้ท่ามวยเหล่านั้นจนครบบ้างไหม ?” หญิงฝรั่งถาม
“บางทีจอมยุทธมวยไทยอาจซ่อนตัวอยู่สักแห่งหนึ่ง ผมขอยืมคำพูดของจอมยุทธจีนมาใช้ก่อน”
คำพูดของยอดสร้างเสียงหัวเราะจากกลุ่มนักเรียนมัธยมฮ่องกง หนุ่มฝรั่งถามขึ้นว่า
“ระหว่างมวยจีนและมวยไทย ใครเหนือกว่ากัน ?”
“คุณจะถามว่ามวยสากลกับมวยไทย ใครจะชนะใช่ไหม ?” ยอดอมยิ้ม

คำถามนี้เรียกความสนใจจากผู้ฟังบรรยายของยอดทันใด ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนตอบว่า “การประลองอย่างไม่เป็นทางการระหว่างมวยจีนกับมวยไทยนั้น มวยไทยชนะ แต่ผมเห็นว่าการแพ้หรือชนะนั้นมีเหตุปัจจับหลายประการมิได้อยู่ที่วิชาที่ใช้แต่เพียงอย่างเดียว คนที่แพ้มิได้หมายความว่าวิชาที่เขาใช้ด่อยกว่าอีกวิชา ศิลปะการต่อสู้ทั้งสองต่างมีประวัติอันยิ่งยงมานานหลายร้อยหลายพันปีได้พิสูจน์ตัวเองในสมรภูมิมานับไม่ถ้วนต่างต้องมีจุดดีจุดเด่นในตัวเองอย่างแน่นอน ขอเพียงเราฝึกฝนวิชาจนแตกฉานชัยชนะก็จะอยู่ที่เราในที่สุด”
“คุณใช้มวยไทยเป็นไหม ?” นักท่องเที่ยวคนหนึ่งถาม
ยอดพยักหน้าแล้วยิ้ม “ผมฝึกมาพอสมควร มันเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมาก”
“ความเห็นของคุณเกี่ยวกับมวยจีนและมวยไทยล่ะ ?” นักเรียนหญิงถาม
“แต่ละศาสตร์ต่างมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้มวยจะนำไปใช้แก้ทางมวยของอีกฝ่ายได้เหมาะสมหรือไม่ ชัยชนะจึงเป็นของเขาได้”
“คุณหมายถึง การใช้ทักษะใช่ไหม ?”
“ถูกต้องครับ” ยอดตอบ พลางหันไปที่โต๊ะขายเทปดีวีดี “ท่ามวยไทยบางส่วนก็ไม่ได้ใช้ จึงขาดการสืบทอดต่อไป ผู้ใหญ่รู้ปัญหาเหล่านี้ จึงแก้ไขด้วยการเก็บท่ามวยในตำราโบราณเหล่านี้ไว้ในเทปดีวีดีเพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจศึกษาได้เอง ผู้ที่แสดงท่ามวยล้วนชำนาญมวยไทยทุกท่าและสมบูรณ์แบบที่สุด ท่านใดสนใจอยากศึกษามวยไทย ผมขอแนะนำซื้อเทปเหล่านี้ไปดูได้ แต่ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า ถ้าเป็นไปได้ท่านคงต้องสละเวลาเล็กน้อยมาศึกษาเคล็ดลับมวยไทยจากผู้ชำนาญตัวจริง ก่อนจะฝึกแม่ไม้ลูกไม้ในเทป”
“ทำไมไม่บอกในเทปเลย ?” หญิงฝรั่งมองสงสัย
“มันคล้ายกับการฝึกเล่นกอล์ฟที่ต้องให้ผู้ชำนาญสอนการจับไม้ก่อนจะเริ่มฝึกเทคนิคการตี ก่อนใช้มวยไทยก็ต้องฝึกการหายใจ การใช้มือและเท้าให้คล่อง มันเป็นศาสตร์เบื้องต้นของมวยไทย เทปบันทึกท่ามวยไทยไว้ มิใช่สอนการต่อยมวย ถ้าท่านเรียนรู้พื้นฐานอย่างถูกต้อง การฝึกตามเทปจะง่ายและทำได้ด้วยตัวเอง มวยไทยถือเป็นศิลปะป้องกันตัวที่ใช้ได้ทุกเพศและวัย ท่านอาจเลือกฝึกท่าที่เหมาะสมกับตัวเองในการป้องกันตัวก็ได้” ยอดพูดแนะนำตอนท้าย
เมื่อไม่มีคำถามเกี่ยวกับมวยไทยอีก ยอดเดินนำไปยังจุดแสดงการจัดทัพทหารเพื่อออกรบในสมัยโบราณพร้อมคำบรรยายที่สนุกตื่นเต้นแฝงความรู้ทำให้กลุ่มผู้ฟังเพิ่มจำนวนขึ้น สายตาของผู้อำนวยการบูธประเทศไทยมองทึ่งใจกับความสามารถดึงดูดคนของชายหนุ่ม
“เขาทำงานได้เยี่ยม ใครนะ ?” ผู้อำนายการบูธพึมพำ พลางพลิกแฟ้มในมือเพื่อหาชื่อของผู้บรรยายคนนี้

หลังจากส่งกลุ่มนักเรียนมัธยมฮ่องกงขึ้นรถทัวร์แล้ว มันเป็นช่วงหมดกะทำงานของยอดพอดีเขานั่งพักผ่อนและเก็บข้าวของเตรียมกลับที่พัก ระหว่างรอการส่งมอบงานให้ผู้อื่นตามตารางเวลา เพื่อนร่วมงานอีกคนซึ่งเดินดูงานแสดงส่วนอื่นเนื่องจากเป็นวันหยุดของหล่อนเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“งานนี้ใหญ่มากเลย ยอด” เกตุบอกเสียงสดใส ดวงตามองไปรอบกาย
“เขาจัดงานได้น่าสนใจมาก” ยอดตอบ ดวงตามองไปเห็นกลุ่มคนมุงดูบางอย่าง “ด้านโน้นมีคนมุงดูบางอย่าง เราไปดูกันไหม ?”
“ดีสิ” หล่อนตอบ แล้วลุกเดินตามเพื่อนหนุ่มไป แววตาอยากรู้

บูธแสดงวัฒนธรรมจีนมีมัคคุเทศน์หนุ่มจีนท่าทางคล่องแคล่วนามว่า “หม่าหยง” เดินนำลูกทัวร์คนไทยชมนิทรรศการต่างๆพร้อมคำอธิบายประกอบ หม่าหยงสามารถพูดภาษาไทยได้ดี แม้สำเนียงจะแปร่งไปบ้าง แต่ด้วยวาทศิลป์ของเขาทำให้ลูกทัวร์สนุกสนาน หลายคนสนใจสอบถามเหตุที่เขาพูดได้ดี อาหยงตอบคลายความข้องใจแก่ลูกทัวร์ว่าเคยติดตามครอบครัวไปอยู่เมืองไทยและศึกษาในโรงเรียนของไทยอยู่ 5 ปีดังนั้นการอธิบายวัฒนธรรมจีนด้วยภาษาไทยจึงเป็นเรื่องง่ายของเขา
เมื่อกลุ่มทัวร์ของหม่าหยงเดินมาถึงมุมแสดงมัมมี่จีนโบราณ ทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก มัมมี่หลายตัวอยู่ในสภาพดี ผิวคล้ำจัดเกือบดำ ผ้าที่หุ้มร่างดูเก่าคล้ำ หม่าหยงเริ่มอธิบายที่มาของมัมมี่ซึ่งมีห้าตัวแก่ลูกทัวร์ทันที
“ลองทายกันว่ามัมมี่กลุ่มนี้มีอะไรที่เหมือนกัน?” หม่าหยงถาม พลางผายมือไปที่กลุ่มมัมมี่ซึ่งนอนเหยียดยาวเรียงกัน มือขวากำอยู่ที่หน้าอก ส่วนมือซ้ายวางแนบกาย
“ทุกคนกำมือขวาวางที่หน้าอก” สาวไทยคนหนึ่งตอบ รอยยิ้มภูมิใจ
“ถูกต้องแล้วคร๊าบบ..... คุณทั้งสวยและฉลาดเลยครับ” หม่าหยงตอบเริงร่า ส่วนหญิงคนนั้นยิ้มด้วยความพอใจ
“มีอะไรอีกครับ” หม่าหยงถามอีก ใจคาดว่าต้องไม่มีคนตอบได้
“มันยังมีอีกหรือ ?” ชายสูงวัยคนหนึ่งถาม พลางมองค้นหาตามร่างมัมมี่
“มีแน่นอน มองหาดูสิครับ” หม่าหยงบอก
ลูกทัวร์ตั้งใจมองหาคำตอบจากร่างมัมมี่ โดยหม่าหยงยืนกอดอกมองด้วยรอยยิ้ม ยอดกับเกตุเดินผ่านมัมมี่กลุ่มนี้และสนใจหยุดฟังคำอธิบายของมัคคุเทศน์หนุ่มจีนด้วย หนุ่มไทยกวาดตามองกลุ่มมัมมี่รอบหนึ่ง พลางแย้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาพราววับ
“พวกเขามีรอยสักที่ข้อมือขวาเป็นรูปเดียวกัน” ยอดพูดกับเกตุซึ่งยืนเคียงข้างกัน แต่เสียงของเขาดังพอให้ลูกทัวร์หลายคนซึ่งยืนใกล้กันได้ยินถนัดหู ทุกคนมองไปที่ข้อมือขวาของมัมมี่จึงเห็นรอยสักรูปงู 3 หัวตามที่ยอดพูด
“รอยสักรูปงูสามหัว ! ทุกคนมีรอยสักนี้ด้วย” สาวไทยคนหนึ่งพูด ท่าทางตื่นเต้น
ลูกทัวร์เดินรวมตัวกันดูรอยสักที่ข้อมือขวาของมัมมี่ด้วยความสนใจ หม่าหยงกลอกตาไปมา มิคาดว่าจะมีใครตอบคำถามนี้ได้ เขาเดินไปหายอดกับเกตุด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองใจ
“นายไม่ใช่ลูกทัวร์ของฉัน ทำไม..............” หม่าหยงชะงักคำพูดไว้ พลางทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นประหลาดลอยมาจากหนุ่มไทย “.........นายมีกลิ่นแปลกๆนะ?”
“ผมอาบน้ำแล้ว!” ยอดพูดกระแทกเสียง ใบหน้าบึ้ง
“ฉันไม่เห็นได้กลิ่นอะไร” เกตุพูดเสียงขุ่น
“กลิ่นแบบนี้........” หม่าหยงพึมพำ คิ้วขมวดเข้าหากัน
“นายควรบอกได้แล้วว่ามัมมี่เหล่านี้มีอะไรน่าสนใจอีก” ยอดพูดเตือนในที
หม่าหยงทำตาโต แล้วกลับไปสนใจลูกทัวร์อีกครั้ง โดยคิดวิธีฉีกหน้าหนุ่มไทยได้
“นายรู้ไหมว่าคนเหล่านี้เป็นใคร” หนุ่มจีนถามเชิงท้าทาย
ยอดนิ่งใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนตอบว่า “พวกเขาน่าจะเป็นกลุ่มโจร!”

ลูกทัวร์ของหม่าหยงมีสีหน้างง มัคคุเทศน์จีนอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ยอดเอ่ยต่อไปว่า “การมีรอยสักแบบเดียวกันมันแสดงถึงความเป็นพวกเดียวกัน ถ้าไม่ใช่คนตระกูลเดียวกันก็ต้องเป็นการรวมตัวกันเหนียวแน่นเหมือนเป็นญาติกัน แต่เราจะเห็นว่าแต่ละคนใส่เสื้อผ้าที่แตกต่างกัน มันบอกว่ามาจากต่างถิ่นจึงไม่น่าจะเป็นญาติกัน หลายคนมีรอยบาดแผลตามใบหน้า แขนและลำตัวจากคมอาวุธ ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ก็ต้องเป็นพวกโจร เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ใส่ชุดเจ้าหน้าที่ จึงน่าจะเป็นกลุ่มโจรมากที่สุด”
“เขาตอบถูกต้องไหม คุณหม่า” ชายสูงวัยถามด้วยแววตาอยากรู้
หม่าหยงทึ่งใจ ก่อนตอบว่า “เขาตอบถูกแล้ว แต่มัมมี่ยังมีข้อมูลน่าสนใจอีก ผมจะเล่าให้ทุกท่านฟังต่อไป”
ลูกทัวร์ของหม่าหยงชื่นชมความฉลาดของยอด หม่าหยงหงุดหงิดมากเมื่อความสนใจไปรวมอยู่ที่หนุ่มไทยใบหน้าคมคาย รอยยิ้มเป็นมิตร
“ใครเป็นหัวหน้าโจร ?” หม่าหยงถาม พลางมองหนุ่มไทยอย่างท้าทาย
“คนที่นอนอยู่ตรงกลาง.......” ยอดชี้ไปที่มัมมี่ร่างใหญ่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำโดยมีมัมมี่เสื้อผ้ารุ่งริ่งนอนขนาบข้าง พลางพูดต่อไปว่า “.......ชายคนนี้มีเครื่องประดับมากกว่าคนอื่น สร้อยกะโหลกและเขี้ยวสัตว์แสดงถึงอำนาจเหนือผู้อื่น”
หม่าหยงทึ่งใจอีกครั้งกับคำตอบของยอด ทุกคนตบมือชื่นชมหลังจากมัคคุเทศน์จีนยืนยันคำตอบของหนุ่มไทย
“นายเก่งมาก” หม่าหยงเอ่ยชมตามมารยาท แล้วเก็บความหมั่นไส้ไว้
ยอดยิ้ม “ผมเป็นคนช่างสังเกตเท่านั้น”
“พูดเรียกคะแนนนิยมอีกแล้ว” หนุ่มจีนคิดในใจ
เพื่อนหญิงสะกิดให้เดินต่อไป ยอดพยักหน้าเห็นด้วย
“นายรู้ไหมว่าเขาชื่ออะไร” หม่าหยงถาม

ยอดส่ายหน้า แล้วย้อนถามว่า “เจ้าของประเทศอย่างคุณน่าจะรู้ดีกว่าผมมิใช่หรือ ?”
หม่าหยงยิ้มโอ่ พลางหันไปทางลูกทัวร์ของเขาซึ่งมองด้วยความอยากรู้เต็มที่
“เขาคือ “ฟางจง” จอมโจรผู้เลื่องชื่อแห่งมลฑลเหอหนานเมื่อหลายร้อยปีก่อน” หม่าหยงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนบรรยายภาพความโหดเหี้ยมของโจรกลุ่มนี้ว่า “คืนเดือนมืดท่ามกลางความโกลาหลในหมู่บ้านชนบทจีนแห่งหนึ่ง เปลวไฟบนหลังคาบ้านลุกโชนส่องสว่างท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดของชาวบ้านดังทำลายความเงียบคละเคล้าด้วยกลิ่นคาวเลือดจากศพซึ่งนอนกลาดเกลื่อนพื้น ชาวบ้านหลายคนหอบข้าวของวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากกลุ่มโจรใจเหี้ยมซึ่งขี่ม้าไล่ฆ่าทุกคนที่พบเห็น โจรบางคนถือไหเหล้าด้วยมือซ้าย อีกมือถือดาบใหญ่ฆ่าคน แล้วหัวเราะอย่างสุขใจ หัวหน้าโจรนามฟางจงซึ่งสวมสร้อยกะโหลกและเขี้ยวสัตว์ ใบหน้ามีหนวดเครา สายตาดุดันเยี่ยงสัตว์ป่า นั่งมองการทำงานของลูกน้องบนหลังม้า เสื้อผ้าเปื้อนเลือดของชาวบ้านที่ตายด้วยคมดาบรูปพยัคฆ์ในมือของเขา”
“ทำไมคุณรู้ว่าเขาเป็นโจรหรือทำอะไรมา ปกติแล้วการทำมัมมี่จะมีในชนชั้นสูงมิใช่หรือ ?” ลูกทัวร์คนหนึ่งถามข้องใจ หลายคนยืนรอฟังคำตอบอยู่
มัคคุเทศน์จีนยิ้มกว้าง “สิ่งที่เราเห็นเป็นเรื่องที่ธรรมชาติสร้างขึ้น มิใช่จงใจ ทำมัมมี่หรอก”
ลูกทัวร์ส่งเสียงฮือฮาออกมา แล้วให้ความสนใจกับมัมมี่โจรยิ่งขึ้น
“เรื่องราวของโจรกลุ่มนี้เล่าขานสืบต่อกันมาและพบบันทึกเอ่ยถึงพฤติกรรมของโจรกลุ่มนี้ไว้ ผมจึงถ่ายทอดให้ทุกคนรับทราบได้”
“เขาตายได้อย่างไร ?” ลูกทัวร์สาวคนหนึ่งถาม แววตาสงสัย
หม่าหยงทำท่าขึงขัง พลางเล่าว่า “ร่ำลือกันว่าดาบพยัคฆ์ของฟางจงดื่มเลือดมนุษย์มานับพันคนเป็นที่เกรงขามในกลุ่มโจรและทางการ มือปราบหลายคนพยายามกำราบพวกเขา แต่ก็ไม่มีชีวิตกลับไปได้แม้แต่คนเดียวจนกระทั่ง.....”
การบรรยายประกอบท่าทางของหม่าหยงเรียกความสนใจจากลูกทัวร์อย่างมาก เมื่อเขาพูดทิ้งระยะไว้ หลายคนคะยั้นคะยอให้เขาเล่าต่อทันที หนุ่มจีนจึงบอกเล่าวาระสุดท้ายของจอมโจรพันศพต่อไป ยอดกับเกตุตัดสินใจยืนฟังเบื้องหลังความตายของฟางจงด้วยความอยากรู้

วันหนึ่งเมื่อกว่าหนึ่งร้อยปีมาแล้วขณะที่ฟางจงกำลังดื่มเหล้าจากชามใบใหญ่เพื่อฉลองชัยชนะของตนในการปล้นครั้งล่าสุดด้วยความสนุกสนาน เสียงไชโยโห่ร้องของลูกน้องเงียบลงเมื่อชายหนุ่มวัยกลางคนซึ่งมือซ้ายกุมกระบี่ไว้ด้วยท่าทางมั่นใจปรากฏกายขึ้น หมอกบางๆลอยคลุ้งรอบบริเวณนั้นจึงมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด ชายคนนั้นเดินตรงมายังกลุ่มโจรใบหน้าเหี้ยม
“พวกเจ้าฆ่าชาวบ้านเมื่อคืนก่อนใช่ไหม ?” ชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ สีหน้าสงบนิ่ง
ฟางจงมองสำรวจ ท่าทางกราดเกรี้ยว ยามถามว่า “เจ้าเป็นใคร จึงได้บังอาจมาวางก้ามต่อหน้าข้าเช่นนี้”
ชายแปลกหน้ายืนเงียบ จอมโจรตวาดถามอีกว่า “เจ้าเป็นมือปราบหรือ ?”
“ข้าชื่อ ตงเฉิน” ชายแปลกหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ตงเฉิน ฉายากระบี่ทะลวงใจ นักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งหรือ ?” ลูกน้องคนหนึ่งพูดโพล่งออกมา
โจรหลายคนมีสีหน้าตระหนกใจยามได้ยินชื่อของชายแปลกหน้า ตงเฉินแสยะยิ้ม
“พวกเจ้ามีทางเลือกสองทาง.............. ” ตงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลางกวาดตามองกลุ่มโจร “..........ทางแรกต้องฆ่าตัวตายด้วยอาวุธของตัวเอง อีกทางคือ ตายด้วยกระบี่ของข้า”
“ข้าเลือกทางที่สาม....” ฟางจงตอบท้าทาย ไม่มีท่าทีหวั่นกลัวใดๆ พลางเหยียดยิ้ม “ทางที่สามคือ ฆ่าเจ้าแล้วเอากระดูกมาห้อยคอ”
กลุ่มโจรสะดุ้งวาบในใจ พลางหันมองหัวหน้าโจร ฟางจงนั่งขบกรามกรอดเมื่อผู้บุกรุกไม่มีทีท่าจะถอยห่างไป
ทันใดนั้นฟางจงตะโกนสั่งว่า “ฆ่ามัน !”
กลุ่มโจรทั้งหมดหยิบอาวุธข้างกายพุ่งเข้าหมายสังหารตงเฉินตามคำสั่งของหัวหน้าทันที ชั่วพริบตาเดียวที่ตงเฉินชักกระบี่ออกจากฝักสีขาวแล้วตวัดออกไปหนึ่งครั้ง โจรสี่คนล้มตายลงเบื้องหน้าอันสร้างความหวั่นเกรงแก่พวกที่เหลือจนต้องถอยห่างไป ฟางจงตะโกนกระตุ้นลูกน้องให้สังหารนักล่าค่าหัวผู้ลือนาม แต่ไม่ใครกล้าเข้าใกล้ ฟางจงจึงกระโจนเข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง
ดาบพยัคฆ์ของฟางจงและกระบี่ทะลวงใจของตงเฉินปะทะกันดุเดือดด้วยความคล่องแคล่วและเท่าทันของทั้งสองฝ่าย ดาบพยัคฆ์ฟาดฟันหนักหน่วงทุกกระบวนท่า หลายครั้งที่กระบี่ของตงเฉินต้องล่าถอยเพราะแรงปะทะที่อ่อนด้อยกว่า ตงเฉินสกัดการจู่โจมของฟางจงด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่พลังดาบพยัคฆ์ที่ตวัดออกไปทำลายก้อนหินใหญ่แตกกระจายเป็นเศษฝุ่น บัดนี้ตงเฉินรู้แล้วว่าฟางจงมีฝีมือสูงส่ง มิใช่กำราบง่ายเหมือนคนอื่นแน่
การต่อสู้ระหว่างตงเฉินกับจอมโจรฟางจงผ่านไประยะหนึ่ง ตงเฉินเชื่อว่ามิอาจเอาชนะได้ด้วยวิธีธรรมดา จึงตัดสินใจใช้กระบวนท่าสุดท้ายของกระบี่ทะลวงใจซึ่งร้ายกาจที่สุดและเชื่อว่าจะหยุดยั้งจอมโจรได้ ตงเฉินกวัดแกว่งอย่างเร็วทำให้เกิดกระบี่นับสิบพุ่งจู่โจมใส่จอมโจร กอรปกับการก้าวเท้าพลิ้วไหวดุจสายลม กระบี่บุกทะลวงจากทุกทิศทางอันสร้างความสับสนแก่อีกฝ่าย ฟางจงปัดป้องเป็นพัลวัน สถานการณ์ของจอมโจรเป็นรองอย่างชัดเจน ตงเฉินบุกต่อเนื่องด้วยกระบวนท่าดุดันยิ่งขึ้นด้วยการหมุนร่างคล้ายเกลียวพายุพุ่งทะยานสู่เป้าหมาย บังเกิดเป็นแรงลมพัดใบไม้ปลิวว่อนรอบบริเวณนั้นกลุ่มโจรต่างปิดตาเพื่อปัดป้องฝุ่นผงที่กระจายตัวจนกระทั่งมองไม่เห็นกัน
กระบี่ทะลวงใจของตงเฉินพุ่งเข้าหาดาบพยัคฆ์อย่างไม่เกรงขาม ฟางจงจำต้องถอยร่น เมื่อดาบกับกระบี่ปะทะกัน ฟางจงถอยครูดไปเมื่อต่อต้านพลังภายในของตงเฉินไม่ได้ เมื่อจอมโจรเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ตงเฉินกระแทกฝ่ามือที่ปลายด้ามกระบี่เพื่อส่งผ่านพลังภายในเข้าไปเต็มที่ ฟางจงใช้พลังภายในหยุดยั้งการโจมตีของตงเฉินได้ ร่างของทั้งสองหยุดนิ่งขณะที่ประลองพลังภายในกัน เท้าของพวกเขาจมลึกลงไปในดิน ครู่หนึ่งจึงกระแทกพลังใส่กันและผละถอยห่าง ฟางจงฉวยโอกาสสะบัดดาบพยัคฆ์ให้พุ่งไปทะลวงอกของตงเฉิน แต่นักล่าตงเฉินพลิกตัวหลบดาบใหญ่อย่างเฉียดฉิวแล้วกระโดดข้ามฟางจงไปยืนที่ด้านหลัง เมื่อดาบใหญ่ย้อนกลับมาอยู่ในมือของฟางจงอีกครั้ง เขาหมุนกายตวัดดาบใส่ร่างของตงเฉินอย่างเร็ว แต่หนุ่มนักล่าถอยห่างเกินวิถีของดาบเสียแล้ว ตงเฉินตอบโต้กลับด้วยกระบี่คมวับจนกระทั่งฟางจงต้องถอยกรูด จังหวะหนึ่งตงเฉินกระแทกมือใส่ปลายด้ามกระบี่ มันพุ่งเข้าไปหาหน้าอกของจอมโจรแล้วทะลุอกซ้ายของฟางจง มันเป็นตำแหน่งของหัวใจจอมโจรอย่างถนัดถนี่ ตงเฉินย่างเท้าพลิ้วกายไปรับกระบี่อีกด้านหนึ่งอย่างว่องไว ร่างจอมโจรฟางจงทรุดฮวบลงกับพื้น เลือดพุ่งออกจากปากของเขาท่ามกลางเสียงเรียกของลูกน้อง การต่อสู้สิ้นสุดลงพร้อมกับลมหายใจของจอมโจรแห่งเหอหนานผู้เหี้ยมโหด

เสียงถอนหายใจดังมาจากลูกทัวร์ของหม่าหยงบางคนหลังจากคำอธิบายและแสดงท่าทางประกอบของมัคคุเทศน์จีนจบลง อึดใจต่อมาพวกเขาตบมือแสดงความชื่นชอบคำบอกเล่าครั้งนี้
“เรื่องนี้สนุกไหม?” หม่าหยงถามด้วยรอยยิ้ม เมื่อลูกทัวร์ชื่นชอบเขา
“สนุกมากเลย” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง
ลูกทัวร์คนหนึ่งพูดว่า “ลูกน้องที่เหลือเป็นอย่างไร ?”
หม่าหยงชี้ไปที่มัมมี่สมุนโจร แล้วยิ้ม “พวกเขาถูกจับไปลงโทษ ศพพวกนี้บอกว่าบางคนได้รับการฝังใกล้กับหัวหน้าและกลายเป็นมัมมี่เคียงข้างกัน ป่านนี้คงไปผุดเกิดคู่กันแล้ว”
“พวกนี้จะเกิดเป็นโจรอีกไหม ?” ลูกทัวร์อีกคนถามหยอกเย้า
หนุ่มจีนยักไหล่ “ผมตอบไม่ได้ ถ้านรกมีจริง พวกเขาน่าจะยังใช้กรรมไม่หมด ฆ่าตั้งเป็นพันศพนี่นา”
ลูกทัวร์ต่างหัวเราะชอบใจ หม่าหยงผายมือไปที่ดาบใหญ่สีดำซึ่งแขวนในตู้โชว์ใกล้มัมมี่ของฟางจง ดาบเล่มนั้นเขียนรูปพยัคฆ์ไว้ที่คมดาบและด้ามด้วย
“นี่คือดาบพยัคฆ์ของจอมโจรฟางจงอันเลื่องชื่อครับ” อาหยงประกาศเสียงดัง “มันวางอยู่ข้างศพ ตอนที่เราขุดค้น จึงนำมาแสดงร่วมกัน”
ลูกทัวร์ต่างมองด้วยความสนใจและวิพากษ์วิจารณ์กัน บางคนมีท่าทางหวั่นหวาดหลังจากรับฟังภูมิหลังของดาบซึ่งเคยชุบเลือดมนุษย์นับพันคนก่อนเจ้าของจะถูกสังหารในเวลาต่อมา
ยอดสังเกตเห็นแท่งไม้แบนซึ่งดูเก่าและสั้นมากเสียบอยู่ในอกซ้ายของมัมมี่จอมโจรแห่งเหอ
หนาน แต่การคะยั้นคะยอของเกตุทำให้ยอดเก็บความสงสัยนี้ไว้แล้วเดินตามเพื่อนหญิงไป
ขณะที่ทุกคนให้ความสนใจกับดาบใหญ่ของจอมโจรฟางจง เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มทัวร์มองสนใจแท่งไม้แบนซึ่งปักบนร่างมัมมี่จอมโจร จึงเอื้อมมือไปดึงมันออกมาด้วยความอยากรู้ เขาพลิกดูแท่งไม้เพื่อดูอักษรสีแดงจางๆ ค่อนข้างเลือนราง มันเป็นอักษรจีนโบราณ
“อย่าซนสิ มาหาแม่ เล็ก” มารดาเรียกลูกชาย
เด็กชายตกใจจึงโยนแท่งไม้ไว้บนพื้นแล้ววิ่งไปหามารดาซึ่งรวมตัวกับกลุ่มทัวร์ที่ดาบพยัคฆ์ของจอมโจรฟางจง
หม่าหยงสัมผัสกลิ่นแปลกๆอีกครั้ง พลางมองหาที่มาของกลิ่น แต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ แม้แต่ยอดกับเพื่อนหญิงก็หายตัวไปแล้ว ทำให้เขาหงุดหงิดใจ เขาจึงนำลูกทัวร์ไปชมการจัดแสดงที่
บูธอื่นต่อไปโดยลืมเรื่องกลิ่นประหลาดไปเลย

หลังเสร็จสิ้นงานแสดงแล้วห้องโถงใหญ่เงียบสงัดพระจันทร์สาดแสงส่องผ่านเพดานกระจกด้านบนเข้าไปภายในห้องนั้นซึ่งมีเพียงแสงจากดวงไฟไม่มากส่องให้เห็นภายในอย่างลางเลือน พนักงานรักษาความปลอดภัยสองนายที่เดินตรวจตราตามปกติพร้อมไฟฉายในมือ แสงจันทร์ส่องไปที่ร่างโจรมัมมี่ทั้งกลุ่ม ผิวหนังของมัมมี่จอมโจรฟางจงเริ่มพองโตและชุ่มชื้นขึ้น ริมฝีปากของเขาขยับช้าๆราวกับกำลังกินแสงจันทร์เข้าไปในร่างกาย บัดนี้ สภาพหนังหุ้มกระดูกไม่มีอีกแล้ว ทันใดนั้นดวงตาของฟางจงเบิ่งกว้าง สีแดงเข้มของเส้นเลือดในดวงตาบอกยืนยันว่าฟางจงฟื้นชีพขึ้นมาแล้ว เขาลองขยับร่างกายอย่างช้าๆ แต่มันยังติดขัดตามข้อกระดูกในร่างกาย
พนักงานหนุ่มทั้งสองได้ยินเสียงผิดปกติดังมาจากห้องโถงจึงรีบรุดไปดู แสงไฟฉายส่องไปทั่วห้อง จึงตัดสินใจเดินตรวจตราอย่างละเอียดอีกครั้ง พักใหญ่พวกเขาได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากโซนมัมมี่จีน จึงวิ่งไปดูจุดนั้น ดวงตาเบิ่งกว้างเมื่อไม่เห็นมัมมี่จีนนอนบนเตียงแล้ว เสียงผิดปกติบางอย่างดังมาจากด้านหลังของพวกเขา เมื่อหันไปมองก็ต้องตกใจสุดขีดยามเห็นมัมมี่จีนซึ่งมีสร้อยกระดูกแขวนคอไว้ยืนจ้องเขม็งด้วยดวงตาสีแดงจัด
เสียงกรีดร้องโหยหวนของพนักงานทั้งสองดังทั่วห้อง อึดใจต่อมาความเงียบเข้าครอบงำเช่นเดิม จอมโจรฟางจงยืนมองร่างซีดปราศจากเลือดของพนักงานหนุ่มทั้งสองด้วยแววตาเหี้ยมโหดอย่างไม่สะทกสะท้าน บัดนี้ความชั่วร้ายในอดีตกลับฟื้นคืนมาเพื่อความต้องการบางอย่างซึ่งจอมโจรฟางจงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด และย่อมไม่มีผู้ใดกำราบเขาได้อย่างแน่นอนเนื่องเพราะฟางจงวันนี้มิใช่มนุษย์ แต่เป็นปิศาจร้ายซึ่งไม่มีวันตายซ้ำอีกแล้ว

************ โปรดติดตามตอนต่อไป *********



Create Date : 07 มิถุนายน 2554
Last Update : 7 มิถุนายน 2554 23:37:04 น. 0 comments
Counter : 441 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.