Group Blog
 
All blogs
 
[PB]Lead 10th Anniversary Book『Document』 part2

...ต่อจากพาร์ท1...

แล้วสมาชิกในวงทำยังไงกับเรื่องนี้?

ฮิโรกิ ตอนที่ได้ยินว่าเรื่องที่โดนลงตีพิมพ์ไปนั้นเป็นเรื่องจริงเคตะก็ร้องไห้ออกมา

เคตะ  ตอนที่พอคิดว่าถ้าแฟนๆได้เห็นนิตยสารแล้วล่ะก็รู้สึกกลัวขึ้นมามากๆ แล้วก็เลยทำให้น้ำตาไหลออกมาเลย  เป็นอีกพริบตานึงที่รู้สึกถึงความสำคัญมากของเรื่องงาน  ในตอนนั้นเองอัคคุงก็นั่งคุกเข่าลงขอโทษด้วย แล้วที่เห็นสภาพแบบนั้นก็คิดอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากที่อยากจะต่อยเขา ยังไงแล้วก็ไม่อาจจะให้อภัยได้ หลังจากนั้นก็ไม่พูดกับเขาเลยไปอาทิตย์นึง ก็เป็นแบบความรู้สึกที่ว่าคอยเฝ้าจับตาดู

ฮิโรกิ ของผมก็มีแต่ความรู้สึกผิดและขอโทษแต่แฟนๆเต็มไปหมด  พูดกันแบบตรงๆว่างานอีเวนท์ก็น้อยลงไปจริงๆ แต่ว่าการที่จะขึ้นไปยืนบนเวทีนั้นก็กลัวซะเหลือเกิน  จะให้พูดตรงๆเลยก็คิดว่ามันได้จบลงไปแล้วล่ะครับ


แล้วได้พูดอะไรกับอากิระมั้ย?

ฮิโรกิ ก็ไม่ได้พูดอะไรครับ ถึงมันจะเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งการตรึกตรองอย่างรุนแรง ในใจนั้นก็โกรธจนทำให้ตัวสั่นเลย แต่เพราะว่าเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงก็ถูกลงตีพิมพ์ไปเยอะเหมือนกัน มันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นความรับผิดชอบขออากิระ ที่เหนือไปกว่านั้นแล้วมันก็คิดว่าเป็น ความรับผิดชอบที่มีร่วมกัน  ที่ว่ากันว่าสาเหตุของการทำให้เกิดเหตุต่างๆนั้นคือการทำตัวที่เฉยๆของสมาชิกในวง


แล้วชินยะล่ะ?

ชินยะ ก็เป็นอะไรที่รู้สึกถึงความรู้สึกที่ว่าอันตรายเอามากๆ  คนที่อยู่เคียงข้างอากิระอย่างผมนั้นแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ในจุดยืนที่จะสามารถชี้แนะอะไรได้เลย  ก็จำได้ว่าพูดปลอบกับอากิระที่กำลังเศร้าเป็นทุกข์ใจไปว่า ไม่เป็นไรหรอก

อากิระ แล้วที่เรื่องนั้นมันออกมานั้นก็เป็นช่วงเวลาพอดีกับก่อนที่จะเริ่มออกฉายภาพยนตร์ที่ได้รับบทให้แสดงนำ ก็เป็นช่วงที่ได้ไปให้สัมภาษณ์เดี่ยวบ้าง ช่วงเวลาที่สำคัญแบบนั้นแล้วก็ได้กระทำการที่ผลีผลามออกไป กลับไปทำลายโอกาสที่ตัวเองอุตส่าห์ได้รับมาจนพังทลายไปซะหมด แล้วก็เพราะเรื่องนั้นก็เป็นเหตุที่นำไปสู่ความหมดหวังแห่งความเป็นจริง  หลังจากนั้นแล้วจำนวนของการแสดงไลฟ์มันก็ลดลงไปจริงๆ รูปร่างโครงสร้างอะไรต่างๆมันก็ค่อย เล็กลง

ชินยะ แล้วที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือถึงจะโดนสต๊าฟพูดอะไรมาก็ตามในตรงนั้นแล้วก็ใช่ว่าจะมีความรู้สึกผิดแล้วก็จะมองตัวเอง แต่กลับเป็นการแค่แสร้งทำว่าเป็นแบบนั้น แล้วก็ไม่ได้มีความคิดความรู้สึกที่จะแก้ไขปรับปรุงอะไรเลย ตอนนั้นเองผมก็ไม่ได้คิดอะไรซะนอกจากดวงไม่ดีแค่นั้น การที่จะมาคิดทบทวนถึงการกระทำของพวกเราเองนั้นมันไม่มีเลย  ก็มีความรู้สึกแบบที่ว่า ถ้ามันจะจบลงด้วยสิ่งนี้แล้วมันก็ช่วยไม่ได้

เคตะ หลังจากที่มาขอโทษกับพวกเราแล้ว  อัคคุงที่ก็ทำตัวเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในระหว่างที่พวกเราก็คอยมองเขาที่ถอยออกห่างไปก้าวนึงนั้น ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงการที่เป็นตัวใครตัวมันของLeadขึ้นมาอย่างจริงๆ ผมเองก็ทำตัวไม่ดีตามกระแสนั้น แล้วก็ใช้ชีวิตแบบไร้ซึ่งการตรึกตรองให้ดี ทุกเรื่องนั้นจะเลือกเพียงแค่ว่า มัน สนุกหรือไม่สนุกไม่เอาใจใส่เรื่องงาน ทำไปแบบลวกๆ แล้วก็ใช้ชีวิตแบบอิสระเสรี

ฮิโรกิ  ช่วงที่ลำบากสุดๆของLeadนั้นก็คือ สมาชิกในวงต่างเอาแต่กระทำตัว ประพฤติตัวในแบบที่ผิดๆ แล้วก็ไม่ว่ากล่าวตักเตือนกัน ถึงจะเห็นแต่ก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เห็น นอกเหนือไปจากความคิดที่เป็นคู่หูกันทางเรื่องงานแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นเลย ความสัมพันธ์ที่เริ่มกันมาจากเพื่อนกันนั้นมันก็ได้จางหายลงไป

ชินยะ  ที่คิดแบบนั้นได้แล้วยังไงฮิโรกินี่ก็เป็นผู้ใหญ่จังเลยนะ ช่วงเวลาที่ฮิโรกิมีปัญหาเองก็เหมือนกัน ในตอนนั้นเองฮิโรกิที่อยู่ในฐานะหัวหน้าวงนั้นไม่ว่าจะมีความคิดแบบไหนแล้วก็ที่ระรู้สึกถึงได้นั้น หรือไม่ได้นั้น การที่แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นของพวกเรานั้นต่างหากที่เป็นปัญหา

ฮิโรกิ ไม่หรอกๆ ก็เป็นอย่างที่ทุกๆคนรู้อยู่ว่าตัวฉันในตอนนั้นน่ะ ก็สามารถที่จะมีสมาธิกับเรื่องงานได้  ด้วยความรู้สึกที่ว่า ก็จะทำในเรื่องที่ทุกๆคนชอบไปซะ!”  ก็อาจจะเป็นกฎใหม่ที่ไม่ได้คิดใส่ใจลงไปเลย

อากิระ เพราะด้วยเรื่องนั้นเองก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ต้องกระจัดกระจายกันไปอีก ในครั้งนี้เองก็ไปถึงแฟนๆเองด้วยที่กระจัดกระจายกันไป

ฮิโรกิ แต่ว่า มันก็ไม่ได้จบลงไปนะ นี่Leadเองก็จะสิบปีแล้ว


เรื่องอื่นๆแล้วก็มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?

อากิระ ผมก็ได้ไปร่วมแสดงในละครของFuji Tv เรื่อง Taiyo To Umi No Kyoushitsu

ฮิโรกิ การที่สมาชิกในวงได้ร่วมเล่นละครในเดือนกันยานั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าดีใจด้วยครับ ก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมายแต่ว่า  ก็เป็นอีกครั้งนึงที่รู้สึกได้ว่าพวกเราจะชนะหรือแพ้ในโลกนี้ได้หรือไม่ ก็จำได้เลยว่าได้คอยดูไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม  ในตอนนั้นเองก็เป็น ฮิโรกิที่ชั่วร้ายมากครับ(หัวเราะ)

เคตะ การเปลี่ยนโหมดของฮิโระซังในตอนนั้นก็เร็วมากเลยล่ะนะ

ฮิโรกิพราะว่าละครก็เป็นช่วงฤดูร้อน ก็เป็นช่วงที่ทับซ้อนกับทัวร์ด้วย อากิระที่หลังจากไปถ่ายทำเสร็จแล้ว ก็จะไปขึ้นชินคังเซนต่อ แล้วก็มาเล่นไลฟ์ พอไลฟ์เสร็จก็กลับไปถ่ายทำต่อ เพื่อเป็นการที่จะช่วยลดภาระให้เขาแล้วก็ต้องคอยจัดการช่วยเหลือให้ดีเตรียมไว้ให้ ก็คิดว่าพลังความความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนก็สูงมากทีเดียว

อากิระ ผมที่ฟกช้ำดำเขียวมาจากละครแล้วพอกลับมาก็ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากสมาชิกในวง ก็ทำให้รู้สึกขึ้นมาจริงๆว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้าน

เคตะ แต่ว่าอากิระในตอนนั้นน่ะ ดูไม่มีอัธยาศัยเอาซะเลย

อากิระ ตรงนั้นตัวเองก็รู้ยู่เหมือนกันนั่นล่ะ พอได้ไปดูรูปในช่วงนั้นแล้ว ก็รู้สึกว่าได้แต่แสดงออกถึงหน้าตาท่าทางที่ดูนิสัยไม่ดีออกไป เป็นแบบหน้าบึ้งตีงๆน่ะ

เคตะ ทำตัวเป็นดาราเหรอไง? (หัวเราะ)

อากิร เป็นแบบนั้นรึเปล่านะ ด้วยความอ่อนโยนของทั้งสามคนแล้ว ตัวฉันที่ก็จะดูโดดเด่นขึ้นมาได้ก็คิดว่าดีแล้ว ในช่วงเวลาที่คิดว่าอยากจะทำอะไรที่นอกเหนือไปจากเรื่องของดนตรีแล้ว  ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่ได้ให้ไปเล่นละครพอดี ทั้งเรื่องที่ทางต้นสังกัดเองก็ได้โยนโอกาสลงมาให้อีกครั้งก็ด้วย ก็ได้ถือว่าตัวเองเป็นตัวแทนของLead ก็ต้องแสดงออกไปให้ได้ดีๆ นั้นก็โดนพูดใส่อยู่ จนที่ทำให้คิดว่าแค่ตัวฉันเองก็ทำได้เหมือนกันนี่

เคตะ อัคคุงในตอนนั้น ด้วยสายตาปกติที่เหมือนแมวนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสายตาที่ดูหยิ่งขึ้นมา ตรงนั้นเองถ้าจะให้พูดแบบตรงไปตรงมา ก็คิดว่า เปลี่ยนไปนะทำให้คุยด้วยได้ยากมาก

อากิระ  ก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมาย แล้วก็เรื่องที่เห็นในทางที่ต่างออกไปทำให้เห็นความหวังขึ้นมา แล้วก็แบบว่ามีเรื่องที่ได้รับการชมมาเยอะอยู่  จากการเจริญเติบโตตรงนั้นเองก็ไม่ได้คิดถึงทุกๆคน แล้วก็ไม่รู้สึกตัวด้วย  กลายเป็นคนหยิ่งยโสตามแบบแผน

ชินยะ แต่ว่านั่นน่ะค่อนข้างที่จะเข้าใจอยู่นะ ก็เพราะว่ามีช่วงที่กลัวที่จะเห็นผลของงานที่จะออกมาด้วยใช่มั้ยล่ะ  ที่ไม่อาจจะอยู่รับความจริงได้  ที่ไม่อาจจะรับความจริงได้ก็อาจจะเป็นต้นเหตุของสิ่งนั้นก็ได้นะ  ตัวผมเองในราวๆปี2007 การที่จะดูรูปหรือผลงานที่ออกมาไม่ใช่ว่าก็ไม่มีความกล้าแต่เป็นแบบว่าอยากจะข้ามๆไปเลย  เหมือนกับว่า ถ้ากลัวกับการที่จะโดนพูดอะไรแล้วล่ะก็ แทนสิ่งนั้นแล้วจะปรับปรุงตัวเองแท้ๆ  แต่ก็กลับไม่ทำแบบนั้น ได้แต่รู้สึกว่าทำตัวเหมือนข่มขวัญตัวเอง

อากิระ มันได้เกิดความมั่นใจแบบแปลกๆขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้  ตัวเองนั้น ก็เป็นที่ชื่นชอบแบบเต็มที่ ไม่ส่าจะทำอะไรก็ทำได้  ไม่ว่าจะอะไรก็สามารถเป็นได้ แน่นอนว่า ในสถานที่ถ่ายทำละครเอง ก็ไม่สามารถจะสบายใจได้ทั้งหมด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ


ที่ได้ไปเล่นละครแล้วฮิโรกิที่ดีใจยินดีด้วยล่ะเป็นยังไง?

ฮิโรกิ จากที่ผมคิด ก็คิดว่าไม่ได้มีคนดูในเรื่องของพวกเราเลยนะ อากิระจะยังจำได้มั้ยนะ?

อากิระ อะไรเหรอ?

ฮิโรกิ ตอนที่ไปทัวร์ที่ไหนซักที่ตอนช่วง MC  ก็มีคนตะโกนเรียกชื่อบทของอากิระในละครขึ้นมา โมจิกิ!แล้วพอหลังไฟล์จบในห้องแต่งตัว อากิระก็พูดขึ้นมาว่า ฉันน่ะไปยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ความเป็น Akira,Lead การมาเรียกกันแบบนั้นจะเลิกกันได้มั้ยเนี่ย?

อากิระ แล้วก็ทะเลาะกันเลยเหรอ?

ฮิโรกิ เปล่า ฉันก็แอบคิดในใจ

อากิระ จำไม่ได้เลยนะ ・・・แต่ว่าที่คนรอบๆตัวไมได้เห็นน่ะมันก็เป็นเรื่องจริงนั่นล่ะ  แต่ทั้งๆที่ก็อยุ่ในช่วงของการที่เกิดความผิดพลาดติดต่อกันหลายๆเดือนแท้ๆ  แล้วก็ไม่ได้ทำการแก้ไขอะไรแต่ก็ได้รับโอกาสมา เป็นการที่มีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป


ชินยะล่ะรู้สึกยังไงกับอากิระในตอนนั้น?

ชินยะ ในตอนนั้นเองผมก็เกิดความเข้าใจผิดเหมือนกัน ก็มีช่วงที่คิดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะไมได้  แต่ก็มีที่คิดเหมือนกับอากิระว่า จะยังไงซะ มันก็ยังคงพอไปไหวล่ะน่า แล้วก็เป็นช่วงที่อายุนั้นอยู่ในช่วงที่เริ่มดื่มเหล้าได้แล้ว ชีวิตก็สนุกสนานเหลือเกิน  ไปทำงานทั้งๆที่ก็เมาค้างได้แบบหน้าตาเฉยก็มี  แทนที่จะเป็นเรื่องงาน กลับเห็นเรื่องส่วนตัวมาก่อน   แล้วก็เพราะว่ามีแต่การทำตัวแบบที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนั้นแล้วก็เลยไมได้อยู่ในจุดยืนที่สามารถจะพูดอะไรกับอากิระได้เลย


แล้วเคตะล่ะ?

เคตะ จริงๆแล้วการที่อากิระได้ไปเล่นในละครนั้น เป็นอะไรที่ผมไม่อาจจะเข้าใจยอมรับได้เลย ใครๆเองก็มีเรื่องที่ผิดพลาดกันมาทั้งนั้น แต่ก็กลับไปคิดว่า ทั้งๆที่กลับมีเรื่องนั้นเกิดขึ้นมาแท้ๆ แล้วอากิระยังได้งานอีกเหรอ?」 ทิ้งระยะห่างกับสมาชิกในวง แล้วก็ไม่มีแรงที่อยากจะทำงาน จากที่เป็นแบบนั้นเองก็ทำให้โดนสต๊าฟดุมากขึ้น・・・ ในระหว่างที่พลางคิดว่า ทำไมถึงมีแต่ฉันเท่านั้นที่โดน?” การใช้ชีวิตเองก็เริ่มแย่ลงๆไป

ฮิโรกิ คตะในช่วงนั้นก็ไม่ค่อยที่จะไปซ้อมด้วย

เคตะ อารมณ์อยากที่จะทำงานมันหายไปแล้วก็กลายเป็นตื่นเช้าไม่ได้  การที่ยิ่งโดนดุก็ยิ่งทำให้เป็นงั้นมากขึ้น  เรื่องกฎหรืออะไรนั้นก็ไม่สนใจเลย  คนที่คอยอยู่เคียงข้างอย่างฮิโรกิ หรือสต๊าฟ หรือความรู้สึกของตัวเอง ก็คิดว่ามีแค่ตัวเองนั่นล่ะ สะดวกดีแล้ว แล้วก็ใช้ชีวิตไปแบบนั้น


เป็นอะไรที่เกินกว่าที่คิดไว้เลย แบบว่า เคตะไม่ได้ดูเป็นคนที่จะดูเป็นแบบนั้นเลย

เคตะ ยกตัวอย่างเช่น  ทุกๆวันก็จะเพิกเฉยต่องานแล้วก็เที่ยวจนถึงเช้ามั่งล่ะ  แทนที่จะมุเรื่องงาน และการทำตามกฎเอง ก็พยายามทำเต็มที่ แต่เพราะแบบนั้นเองก็ทำให้โมโหขึ้นมา แล้วก็การติดต่อประสานงานกับคนอื่นๆนั้นกลายเป็นเรื่องที่รู้สึกแย่ขึ้นมา  แล้วก็ยังรู้สึกต่อต้านถึงคนมาคอยดุด้วย・・・ เป้าหมายเองก็พลันหายไปหมดด้วย

ฮิโรกิ เคตะน่ะสมัยตั้งแต่ยังเด็ก ก็ไม่ใช่แค่เรื่องร้องเพลงกับเต้น ทางด้านการแสดงเองก็ทำได้ดีเหมือนกัน  ยังไงซะ ก็เพราะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์  บางทีอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดหวังท้อแท้มาก่อนเลยก็ได้  ผมเองก็คิดว่านั่นมันก็สุดยอดอยู่เหมือนกัน  แต่สำหรับเคตะเองแล้ว ก็เป็นอะไรที่ดูทรมานเกินกว่าที่ได้คิดไว้ซะอีกนะ

เคตะ ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ  ทุกๆครั้งที่เห็นอากิระ โดนชม มีความสุขสนุกสนานไปกับการได้รับสัมภาษณ์เรื่องกองถ่าย ก็เหมือนกับว่าตัวเองโดนทิ้งเอาไว้อยู่ข้างหลัง แล้วเรื่องนั้นก็ไม่อาจจะให้อภัยได้  เพราะงั้นแล้วผมเองก็ไม่ได้ดูละครเรื่องนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียวครับ ทำให้คิดว่าก็ต้องฮึกขึ้นมาให้ได้ แต่ว่าทำยังไงก็ทำไม่ได้

ฮิโรกิ ทุกๆคนที่โดนผู้ใหญ่รายล้อมมาตั้งแต่มัธยมต้น ก็อาจจะมีความรู้สึกที่ว่าโดนกดดันเลี้ยงดูให้โตมาแบบนั้นกันก็เป็นได้  แต่ว่านั่นมันก็เป็นเคราะห์กรรมของโลกของการทำงานนี้  แต่ว่าผมที่จากโลกของการเป็นคนธรรมดาเข้ามาสู่โลกนี้ตอนม.5แล้วก็อาจจะไม่เข้าใจถึงความรู้สึกแบบนั้นก็เป็นได้ แต่ยังไงแล้วทั้งสามคนก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นสินะครับ


นั่นก็เป็นช่วงก่อนอายุ20ปี ถือว่าเป็นการแสดงของวัยต่อต้านที่ออกจะมาช้าไปหน่อยเหรอ?

ชินยะ อืม ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ว่าจะต่อต้านหรืออะไรแม้แต่น้อยเลยนะครับ แต่ว่าเพียงเพราะเหตุผลที่ว่า เพื่องานแล้ว มันก็อาจจะจริงว่าที่ไม่อาจจะทนไหวต่อไปได้เพื่อเรื่องที่สนุกสนาน  แล้วก็คิดจริงๆว่าถ้ายังจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆแล้วล่ะก็ไม่ไหวแน่ๆ  แต่ว่าพอมีเรื่องที่สนุกสนานมาอยู่ต่อหน้าตัวเองแล้ว เรื่องนั้นเองก็พรากจากต่อหน้าสายตาไปได้อย่างง่ายๆเช่นกัน

เคตะ ตัวผมเองก็ไม่ได้รู้สึกที่ว่าจะต้องมาต่อต้านหรืออะไรนะครับ แต่เพียงแค่ว่า รู้สึกแย่กับการที่จะต้องมาแข่งขันอะไรกัน ยังไงซะก็อยากที่จะมีอิสระ  แล้วความอิสระนั้นก็ไม่อาจจะที่จะชดใช้ได้ด้วยเรื่องงาน  แล้วก็เพราะเรื่องนั้นแล้ว เอามันมาทำเป็นว่า มันเป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีในการทำงาน แล้วก็หลีกหนีไปจากโลกของความเป็นจริง

อากิระ ในระหว่างนั้นเอง ในกองถ่ายทำละครของผมเองก็เกิดปัญหาขึ้นต่างๆมากมาย  ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนนักแสดง แล้วก็สต๊าฟ  กลับไปสร้างความเดือดร้อนรบกวนให้กับสต๊าฟที่คิดว่าจะคอยช่วยผลักดันให้กลับมาได้อีกครั้งนึง  แล้วก็เป็นอีกครั้งนึงที่ไปเหยียบทำลายความรู้สึกเชียร์คอยเอาใจช่วยของแฟนๆอีกครั้งนึง  ทั้งๆที่ก็อุตส่าห์ได้รับโอกาสมาอีกครั้งแล้วแต่ก็ไปทำให้มันพลังทลายลงไปอีก

ฮิโรกิ ยังไงแล้วเรื่องนั้นก็รู้สึกได้อยู่เหมือนกัน แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นนะ・・・

ชินยะ ถึงจะอยู่ด้วยกันทุกๆวันก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้รู้เลย

อากิระ อื้ม ก็อุตส่าห์ได้รับโอกาสให้ไปเป็นตัวแทนของLeadแล้วแท้ๆ  ก็กลัวที่จะโดนสมาชิกในวงจะรับรู้ได้ถึงกันเหลือเกิน・・・ เพราะงั้นแล้วก็เลยรักษาระยะห่างไว้ แล้วก็เลยทำตัวเป็นว่าไม่มีความรู้สึกอะไรไงล่ะ

ทุกๆคน อ้อ

อากิระ อย่าร้องว่า อ้อ สิ ดูเป็นอะไรที่ซับซ้อน(ยิ้มแหย)

เคตะ ก็มันไม่มีคำอื่นที่จะพูดออกไปได้นอกจาก อ้อน่ะสิ


พูดตรงๆก็คือไม่คิดยอมรับผิด แล้วก็จะขอโทษเหรอ?

อากิระ ตัวเองก็รับรู้ดีอยู่ว่า ตัวเองได้ทำเรื่องแบบไหนไปแล้วก็จะทำให้คนอื่นๆต้องผิดหวังซักแค่ไหน  นั่นก็ยิ่งทำให้ต้องปิดตาหนีไปจากความเป็นจริงมากขึ้นอีก เพราะคิดจริงๆว่า เวลาจะเป็นตัวช่วยเยียวยา แล้วก็ไม่คิดที่จะมองย้อนดูตัวเอง แล้วด้วยสิ่งนี้เองก็ยิ่งทำให้ทั้งแฟนๆแล้วก็สต๊าฟผิดหวัง สุญเสียความน่าเชื่อถือไปจากสมาชิกในวง เรื่องทั้งหมดไม่อยู่ในร่องในรอยไปหมด

ชินยะ ฤดูร้อนปีนั้นพอจบลงแล้ว ก็รู้สึกได้จริงๆสินะว่าอยู่ๆก็ดูห่างไกลออกไปจากคนรอบๆตัว ตอนที่ได้มารวมตัวกันครบอีกครั้งนึงฮิโรกิก็พูดว่า ขอโทษสต๊าฟทุกๆคนเสีย แล้วก็ตั้งใจฟังเรื่องที่เค้าจะพูด แล้วก็จัดการรีเซ็ตสถานการณ์ที่เป็นในตอนนี้ทั้งหมดซะเถอะ แต่ว่าเราทั้งสามคนก็ทำหัวแข็งแล้วก็ไม่ยอมรับด้วย

อากิระ อะไรที่ถูกผิดก็ตัดสินไม่ได้เลย  ความคิดที่ตรงกันข้ามกับตัวเองก็มองว่าเป็นศัตรูไปหมด เพราะงั้นแล้วเรื่องคำพูดเองก็ พูดแบบลวกๆ

เคตะ ก็เป็นแบบนั้นล่ะนะ  รู้สึกได้ว่า แรงจูงใจของตัวเองนั้นมันหายไปทั้งหมด พูดตรงๆ เรื่องเต้นหรือร้องเพลงเองก็ทิ้งไปทั้งหมดเหมือนกัน・・・

ฮิโรกิ เคตะหลังจากทัวร์จบลงก็กลับบ้านที่ฟุกโอกะไปราวๆเดือนนึงนะ

เคตะ สภาพจิตใจนั้นมันก็แย่มากๆจนรู้สึกไม่อยากที่จะอยู่โตเกียวเลย  พอมานั่งนึกย้อนดูตอนนั้นแล้วก็ถือว่าเป็นการเสียมารยาทต่อแฟนๆที่คอยส่งแรงเชียร์มาให้ตลอดมาก ถึงจะเป็นการกระทำที่เอาแต่ใจตัวเองมากๆ แต่มันก็ถึงขีดจำกัดอยู่เหมือนกัน ที่ได้กลับบ้านไปแล้วก็ใจเย็นลงไปได้ แล้วก็กลับไปยืนบนเวทีที่ไต้หวันได้อีกครั้ง แล้วแรงจูงใจมันก็กลับมาได้อีกครั้งนึง

ฮิโรกิ ในช่วงเวลานั้นเองก็เป็นช่วงที่Leadเองก็ต้องทุกข์ทรมานที่สุดนะ

อากิระ ถึงในตอนนั้นจะไม่รู้สึกตัวก็เถอะ  ในตอนนั้นที่ได้ออกซิงเกิ้ล 「STAND UP!」「Sunny Dayไป ก็ไม่ได้รับการวิพากวิจารณ์ที่ดี สภาพของพวกเราเองก็ส่งผลถึงลำดับของยอดขายด้วย

ฮิโรกิ ตอนที่ขึ้นชาร์ตก็ตั้งใจว่าอยากจะทำให้มันจริงๆจังๆ แต่ทุกๆคนก็รู้กันอยู่แล้วสินะ  เพลงSunny Dayนั่นน่ะ เมื่อทัวร์ปีที่แล้ว(2011) ก็เป็นครั้งที่ได้ร้องออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ  Leadersเองก็ดูกันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พวกเราเองก็ดีใจกันสุดๆเลย

ชินยะ ตอนไลฟ์ปีใหม่เองที่ร้อง STAND UP!เองก็เป็นงั้นเหมือนกันเนอะ ในที่สุดทั้งสองเพลงนี้ก็ได้รับกรฉายแสงเต็มที่

เคตะ ขอโทษกับทั้งสองเพลงนั้นด้วยนะ (หัวเราะ)

ต้นเหตุของการหนีออกมาจากความทุกข์ในตอนนั้นได้คืออะไร?

ฮิโรกิ ของผมก็ตอนช่วงปี2009 ตรงกับช่วงเพลง Giragira Romanticพอดี ก็โดนแฟนๆพูดว่า การแสดงออกดูดีขึ้นนะครับ


มีอะไรในใจที่ได้เปลี่ยนไปเหรอ?

ฮิโรกิ ช่วงต้นปีของปีนั้นผมได้เริ่มทำบล็อกโซโล่ของตัวเองครับ ณ ที่ตรงนั้นแล้วก็ ได้เริ่มติดต่อกับแฟนๆได้อย่างโดยตรงขึ้นมา  จากที่ได้คุยและได้รับมาแล้วนั้น ก็ทำให้ค่อยๆเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้งนึง

ชินยะ แล้วอัตราการอัพบล็อกของฮิโรกิก็ค่อนข้างสูงด้วยสินะ

ฮิโรกิ ก็ตั้งแต่ที่เริ่ม จนทำได้ถึงราวๆ สองปีก็อัพเกือบจะทุกวันเลย

เคตะ แล้วก็ยังคงทำบล๊อกในมือถือต่อควบคู่กันไปด้วยสินะ?

ฮิโรกิ อื้ม จริงๆแล้วการจะเขียนอะไรนั้นก็ไม่เก่งเลย ที่จะเขียนนั้นก็ลำบากอยู่ในหลายๆวันเหมือนกัน  แต่ว่า เพื่อที่จะให้หลังจากนี้แล้วไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง ก็คิดว่าก็จะทำในสิ่งที่ตัวเองจะสามารถทำได้  ตัวผมในตอนนั้นเองก็คิดแล้วว่าแฟนๆได้ล้มเลิก ตัดใจไปจากLeadแล้ว  ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในวงก็ไม่ดี การแสดงเองก็แย่  ไม่ว่าจะอะไรก็ทำให้ผิดหวังทั้งนั้น  ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแล้วมาทำบล็อกแล้วได้อ่านคอมเม้น แล้ว ก็คิดว่า แฟนๆเองก็กำลังรอการแก้ไขระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเรา แล้วก็การกลับมาอยู่นะ”  “รอการกลับขึ้นไปยืนบนเวทีของพวกเราอยู่


ก็คอยปกป้องดูเลอยู่สินะ

ฮิโรกิ ครับนั่นก็ทำให้ดีใจมากๆเลยครับ  ถึงจะรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ก็ยังรอคอยผมที่เป็นแบบนั้นอยู่ การที่ได้รู้ว่ามีคนเข้าข้างนั้นมันก็เป็นกำลังใจ ในตอนนั้นแล้วตั้งแต่ที่เดบิวมาก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่ใหญ่ที่สุดเลย


ความสัมพันธ์ของทั้งสี่คนที่แข็งแกร่งขึ้น แล้วสถานการณ์ก็ค่อยๆดีขึ้นทีละน้อยๆ แล้วก็ได้ตัดใจได้ถึงเป้าหมายต่อไปงั้นเหรอ?

ชินยะ เอ่อ ก็ยังนะครับ ในตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างในสมาขิกในวงก็คงยัง・・・

ฮิโรกิ ยังไงซะ ในตอนไลฟ์ ก็ตั้งใจวาจะให้ได้เห็นถึงสถานการณ์ของLeadในตอนนั้น  ก็ได้เริ่มมีเป้าหมายที่เหมือนกันขึ้นมาแล้ว

เคตะ ความคาดหวังของตัวผมนั้นเป็นคนที่มีได้แย่ที่สุดเลยครับ เอาแต่ไปสายมั่งล่ะ หยุดการซ้อมไปโดยขาดการติดต่อมั่งล่ะ  การติดต่อตอบสนองเรื่องงานนั้นก็ไม่มีเลย  ที่มานั่งย้อนดูในตอนนี้แล้ว ในรูปนั้น ก็ไม่ได้มีเหมือนวิญญาณอยู่เลย

ฮิโรกิ ผมเองก็ค่อยๆยาวขึ้นด้วย(หัวเราะ)

ชินยะ แล้วก็โดนแม่ดุด้วยสิ(หัวเราะ)

เคตะ เรื่องผมยาวน่ะ คุยกันไว้ถึงแค่นั้นพอจะได้มั้ย? ทั้งๆที่ก็พูดเรื่องจริงจังขึ้นมาแล้ว(หัวเราะ)


แล้วอากิระในตอนนั้นล่ะเป็นยังไง?

อากิระ ฮิโรกิที่รู้สึกได้ถึงเรื่องแบบนั้นมันก็สำคัญจริงๆนะ ผมเองในตอนนั้นก็ยังคงปิดตาปากความเป็นจริง ยัคงเอาแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบซ้ำไปซ้ำมา





ถึงจะได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอยู่หลายครั้งหลายคราแล้วแต่ที่เหตุผลที่ยังไม่เปลี่ยนนั้นคืออะไรเหรอ?

อากิระ จะพูดว่าไม่เปลี่ยนไปเลย หรือกระไร ก็ไมได้คิดที่จะเปลี่ยนซะมากกว่า  ก็คิดว่าใครๆก็ตามที่จะมาพูดอะไรนั้นก็คิดว่ามันมาจุ้นจ้านวุ่นวายไปหมด แล้วที่ใกล้ๆตัวในตอนนั้นคนที่เห็นพ้องด้วยก็มีเหมือนกัน เพราะงั้นแล้วด้วยเสียงของการเป็นผ้ใหญ่ที่เริ่มที่จะเอาเป็นเอาตายขึ้นมา  สิ่งที่อยู่ในใจตอนนั้นทั้งหมดในตอนนั้นมันก็ปฏิเสธไปซะหมด ตัวเองในตอนนั้นก็ไม่อาจที่จะเอากลับมาได้เลย

ฮิโรกิ แต่ว่า ในตอนนั้นเองอากิระก็เริ่มที่จะคาดหวังและเริ่มออกเดินไปข้างหน้าแล้วใช่มั้ยล่ะ?

อากิระ นั่นมันก็เป็นอะไรที่ก็ดูเป็นแค่ผิวเผิน ตอนนี้พอมาคิดๆดูแล้ว ในใจนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย  ช่วงเวลาที่ตัวเองจะปรับเปลี่ยนอะไรก็ไม่มี  เพราะว่ายังไงก็ยังคงอยากจะให้ความสำคัญต่อสิ่งที่สนุกๆมาก่อน

ทุกๆคน อ้อ

อากิระ เพราะงั้นถึงได้บอกไปไงว่าอย่าร้อง อ้อกัน (ยิ้มแหย)

เคตะ  ก็มันไม่มีคำอื่นที่จะพูดออกไปได้นอกจาก อ้อน่ะสิ

อากิระ ออกไปอยู่นอกกฎ ออกไปอยู่นอกวงโคจร  แหกมันไปซะทั้งหมด สำหรับLeadแล้วก็ได้เป็นอิทธิพลที่ร้ายแรงต่อๆไป

เคตะ แบบว่าเป็นบทสรุปที่สรุปออกมาได้ดีนะ

ชินยะ สมแล้วที่เป็นราชาของการหัวเราะก๊าก

อากิระ ก็สรุปแบบจริงจังออกไปเท่านั้นล่ะนะ

ฮิโรกิ พอเถอะ มันดูอึมครึมเกินไปแล้ว! พูดกันแบบนั้นพอได้แล้ว โตๆกันได้แล้ว!(หัวเราะ)


(หัวเราะ) อากิระที่มีแต่เรื่องที่ต้องคิดทบทวนตัวเองแบบนั้น ที่เริ่มทำเพลงขึ้นมานั้นมันเริ่มมาจากตรงไหนเหรอ?

อากิระ อ๊ะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นแล้วล่ะก็จะสามารถพูดเรื่องที่ดูเดินไปข้างหน้าได้บ้าง! พวกผมเองก็ไม่เคยพูดหรอกว่าเพลงแบบนี้ๆ แล้วไม่ชอบไม่เอาแล้ว แต่ก็มีที่คิดว่า ยังไงๆก็ชอบเพลงแบบนี้นะ เพราะงั้นแล้วก็เลยมีความคิดบวกที่ว่า อยากจะทำเพลงแบบนี้ แล้วผมที่ก็เป็นคนที่การจะสื่อหรือพูดอะไรออกไปนั้นไม่เก่งเลย  สิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดก็ไม่สามารถสรุปแล้วพูดออกไปได้  ก็คิดว่าถ้าเป็นเพลงหรือเนื้อเพลงแล้วก็อาจจะสื่อได้ก็ได้นะ



...ต่อพาร์ท3...

Translated by Kagimoto Y.y 8-28/7/2012



Create Date : 28 กรกฎาคม 2555
Last Update : 28 กรกฎาคม 2555 21:43:59 น. 5 comments
Counter : 918 Pageviews.

 
หือออ เคตะคงเครียดมากๆแน่ๆช่วงนั้น ถึงขนาดทำขนาดนี้เลย ไม่ไปซ้อม ไม่รับฟังใครๆทั้งนั้น
ดูเหมือนชินยะจะดูเฉยๆที่สุด แบบไม่มีเรื่องอะไรกับใคร
โอยย อึมครึมมากกก เป็นหนังสือที่เปิดอกกันของจริง

ขอบคุณพี่ย้งค่าาา


โดย: ขิม IP: 161.246.254.165 วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:34:52 น.  

 
อึมครึมจริงๆ อ่านไปก็ลุ้นตามไป
เป็นเรื่องราวอีกมุมจริงๆนะเนี่ย

ขอบคุณค่ะ^^


โดย: thunnn IP: 124.122.43.75 วันที่: 31 กรกฎาคม 2555 เวลา:1:11:30 น.  

 
โอ๊ววว ลุ้นค่ะ เกร็งมาก
ไม่เคยอ่านบทสัมภาษณ์ที่เปิดอกแบบนี้มาก่อน T_T
และมีหลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ขอบคุณที่แปลมาแชร์มากๆค่ะ


โดย: Flebile13 IP: 118.172.75.88 วันที่: 31 กรกฎาคม 2555 เวลา:15:53:48 น.  

 
ขอบคุณมากกกกกก
อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอากิระผิดเต็มๆ
แต่ละคนเริ่มเละเทะยังไงไม่รู้
ดีนะที่ช่วงนั้นไม่ระแคะระคาย
แต่ว่าช่วงนั้นรู้สึก lead จะไม่ร่าเริงอยู่เหมือนกันแต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเพราะกระแสเกาหลีทำให้ลีดซาๆ ไป ที่ไหนได้... เฮ้ออ
โชคดีจังที่ปรับความเข้าใจกันได้ในท้ายที่สุด


โดย: Hare IP: 124.122.76.64 วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:21:59:19 น.  

 
รับรู้ได้ถึงคำว่าเปิดอกคุยจริงๆ เรื่องที่ไม่น่าจะพูดได้ ทั้งสี่คก็พูดออกมาได้อย่างสง่าผาเผยแล้ว แปลว่าบทเรียนครั้งนี้ทำให้ทั้งสี่คนโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก
ดีจังที่ผ่านมาได้ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแต่ละคนคิดอะไรอย่างไง เพราะดูจากหน้าจอแล้วทุกคนก็ยังดูร่าเริง ไม่รู้เลยว่าด้านหลังเป็นอย่างไงบ้าน
ถ้ารู้แต่ตอนแรกคงจะให้กำลังใจทั้งสี่ให้สู้ๆต่อไปในเวลาแบบนั้นได้
แต่ดีใจที่ทั้งสี่คนผ่านเวลานี้มาได้ รักลีดขึ้นอีกเท่าตัว ที่ยอมรับขอเสียของตัวเองในอดี แล้วพร้อมที่จะเริ่มปรับปรุง

ขอบคุณบทความมากครับ ไปอ่านต่อละนะ


โดย: miharu_mimi IP: 203.146.12.196 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:08:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kagimoto Y.y
Location :
Tokyo-->Ibaraki Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




follow me @KagimotoYy
facebook: Thai Leaders
メラメラสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539メラメラ
ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด

☆*゚ ゜゚*☆*゚ ゜゚*☆*゚ ゜゚*☆*゚ ゜゚*
New Comments
Friends' blogs
[Add Kagimoto Y.y's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.