Group Blog
 
All blogs
 
[PB]Lead 10th Anniversary Book『Document』 part1

Lead Long Interview

เกือบจะ 10ปี ถึงจะ10ปีทั้งสี่คนที่จะพูดถึงสายสัมพันธ์ที่ได้มีและแข็งแกร่งกว่าเดิม ผ่านช่วงเวลาที่มีความรู้สึกมากมาย
ร่องรอยของเส้นทางและความสัมพันธ์ของทั้ง สี่คนในสิบปี การมีตัวตนอยู่ของ
Leaders และอนาตของLead…

การสัมภาษณ์ที่กินเวลายาวนานกว่าสามชั่วโมง ที่จะสื่อถึงความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา


ในปี2002ตั้งแต่ที่เดบิวแล้วก็อยู่กันเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้มาเผลอแป๊บเดียวก็สิบปีแล้ว

ฮิโรกิ ขอบคุณครับ! ก็คิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมามากมายเลยนะ จะยังไงแล้วก็แต่ แต่มันก็เร็วจริงๆนั่นล่ะครับ


พอมองย้อนกลับไปในสิบปีนี้แล้ว สิ่งที่นึกขึ้นมาได้เป็นอย่างแรกเลยคืออะไร?
ฮิโรกิ ยังไงก็ต้องเป็นเพลงเดบิวเพลง Manatsu No Magicนะครับ เพลงนี้ได้มาเปลี่ยนชีวิตของพวกเรา


แล้วทั้งสี่คนก่อนหน้าที่จะมีเพลงนั้นล่ะ?

ฮิโรกิ ก็เป็นเด็กฝึกหัด แล้วก็มีความฝันที่ว่าซักวันนึงจะได้เปิดการแสดงและร้องเพลงของตัวเองต่อหน้าทุกๆคน ครับ

อากิระ เพราะงั้นแล้ว พอตอนที่ได้ยินว่าจะได้เดบิวแล้วนั้น ก็ดีใจเอามากๆเลยครับ คนรอบๆตัวก็ค่อยๆเดบิวกันไปทั่งล่ะ ได้มีเพลงของตัวเองร้องแล้วก็ได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีที่โตเกียวมั่งล่ะ  พวกเราที่ก็ได้ให้โดนร้องและเล่นสตรีทไลฟ์ในเพลงของ DA PUMPไป การที่จะได้มีเพลงที่เป็นของตัวเองนั้นก็รอคอยมาตลอดครับ


ความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงManatsu No Magicเป็นครั้งแรกนั้นรู้สึกยังไง?

ฮิโรกิ เอ ตอนนั้นก็อยุ่ในสตูดิโอที่โอซาก้ามั้ง?

ชินยะ อื้ม ใช่

ฮิโรกิ ก็คิดว่าเป็นเพลงที่ทรงพลังจังเลยนะ

ชินยะ ตอนนั้นในแพวเพลงฮิพฮอพเอง ก็เป็นช่วงที่หลงใหลในแนวเพลงที่เรียกว่า Jack Swingอยู่  แล้วเพลงของตัวเองที่ได้มาเป็นในแนวนั้นแล้วก็ดีใจครับ แล้วการที่ได้เต้นในเพลงนี้เองก็ดีใจมากด้วยครับ


ตอนนั้นเพิ่งจะได้รับมาแค่เพลงเดียวเหรอ?

ฮิโรกิ ใช่แล้วครับ แบบอารมณ์ประมาณว่า 「ก็เพลงนี้ล่ะ

อากิระ ยิ่งไปกว่านั้นก็มาแบบกะทันหันด้วย ตอนที่ได้รับเพลงมานั้นก็เป็นเวลาแค่เดือนครึ่งก่อนที่จะมีการออกจำหน่ายแค่เดือนเดียว แล้วก็ไปอัดเสียง ถ่ายทำเอ็มวี ทั้งหมดนั้นก็ว่ากันว่าเป็นการดำเนินการที่รวดเร็วมาก


ตอนอัดเสียงนี่ไปอัดกันที่โตเกียวเหรอ?

ชินยะ ใช่แล้วครับ ก็แบบว่าจู่ๆก็ไปอัดเสียงกันที่โตเกียวเลย

อากิระ นี่ก็ทำให้คิดถึงตอนนั้นนะเนี่ย แบบว่า โตเกียวเชียวล่ะ! แบบนั้นเลย(หัวเราะ)


ตอนนั้นทั้งสี่คนก็อยู่กันที่โอซาก้าเหรอ?

เคตะ ตอนนั้นผมยังอาศัยอยู่ที่ฟุกุโอกะครับ ก็จะไปที่โอซาก้าแค่ตอนที่มีเล่นสตรีทไลฟ์ ไปพักที่บ้านของทุกๆคนแล้วก็เดินไปไลฟ์กัน ตอนที่อยู่ที่บ้านของทั้งสามคนก็ในดูวีดีโอกันไปแล้วก็ซ้อมเต้นกันไปครับ


พูดถึงสตรีทไลฟ์ของLeadแล้ว ก็จัดขึ้นที่ชิโรเทน(สวนสาธารณะปราสาทโอซาก้า)แต่ทว่า ครั้งแรกที่ได้ไปเล่นที่นั่นครั้งแรกเมื่อไหร่เหรอ?

ฮิโรกิ ก็ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี2002เราก็เล่นไลฟ์กันที่ใกล้ๆสถานีเคียวบาชิ แต่กลังจากนั้นก่อนที่จะเดบิวได้หน่อยราวๆหกเดือนได้มั้ง? ที่มีเคตะเข้ามาร่วมด้วยแล้ว ก็เริ่มย้ายไปเล่นไลฟ์ที่ชิโรเทงครับ

เคตะ ตอนนั้นก็ได้ยินมาว่าทั้งสามคนก็เล่นไลฟ์กันในชื่อวงFlowอยู่ครับ  ตอนที่อยู่ฟุกุโอกะก็ลองไปเสิร์ชในเน็ตดู ก็คิดว่าค่อนข้างจะเป็นที่ที่ได้ความนิยมอยู่เลยล่ะนะ แต่ว่าตอนที่พอได้มาเจอตัวจริงๆแล้ว ทุกๆคนก็เก่งกันจริงๆ นั่นก็ทำให้ตกใจอยู่เหมือนกัน

อากิระ ไม่ได้เก่งเลยซักนิด แต่ว่าพวกเราเองก็ทำหน้าทำท่าทางแบบว่า ฉันนี่แหละโปรแล้ว”  ช่วงนี้เพื่อที่จะนึกถึงความหลังได้แล้วก็ลองไปเอาพวกภาพตอนนั้นมาดูเหมือนกัน ก็แย่เกินจะเหลือทน(หัวเราะ)

ชินยะ เสื้อผ้าก็รุ่มร่ามสินะ

เคตะ ไม่มีเซนส์เรื่องนั้นเลยสินะ


แต่ว่าหลังจากที่ได้ไปเล่นไลฟ์ที่ชิโรเทงแล้วก็มีคนมาดูกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนที่ได้ข่าวมาว่ามีคนมาดูถึงเจ็ดพันด้วยด้วยสินะ?

ฮิโรกิ นั่นก็ทำเอาตกใจอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ว่ายังไงแล้วตอนนั้นเหล่ารุ่นพี่เองก็ได้สร้างผลงานที่สุดยอดเอาไว้ พวกเราเองก็คิดว่า ถ้าไม่สามารถทำให้ได้แบบนั้นแล้วล่ะก็คงจะไม่ไหวแน่ๆ


ที่ชิโรเทงในตอนนั้นก็มีแต่พวกวงดนตรีมาเล่นสินะ

อากิระ ใช่แล้วครับ ก็ได้ยินมาจากสต๊าฟเหมือนกันว่าพวกเราเป็นกลุ่มแรกเลยที่ไปแสดงการเต้นที่นั่นครับ


ด้วยสิ่งนั้นแล้วทำให้คิดได้มั้ยว่าสามารถวิ่งไล่ทันเหล่าพวกรุ่นพี่แล้ว?

ฮิโรกิ ไม่เลยครับ อย่าง DA PUMP แล้วก็w-inds. กับเรานั้นระดับมันต่างกันมากแต่ว่ายังไงแล้วที่ได้เดบิวนั้นก็ทำให้ได้รู้สึกขึ้นมาจริงๆว่า นี่แหละที่เป็นการเริ่มต้นของพวกเราแล้ว


แล้วก็ได้เดบิวในเดือนกรกฏาคมปี2002แถมยังได้รับรางวัล ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมด้วย ก็ถือว่าเป็นการเดินหน้าไปได้เป็นอย่างดีกับการใช้ชีวิตในวงการสินะ

อากิระ ตอนนั้นพวกเราก็ยังอยู่มัธยมต้นกันอยู่เลย แต่ว่าเพื่อพวกเราแล้วก็ยังมีเหล่าสต๊าฟ สื่อโทรทัศน์ นิตยสาร ที่คอยประสานงานจัดการเพื่อพวกเรา จัดการอีเวนท์จับมือ ที่เคยเป็นที่ใฝ่ฝันของพวกเราให้ แค่นั้นมันก็ทำให้รู้สึกคึกคักขึ้นมาได้แล้วเลยล่ะครับ

เคตะ มากๆเลยล่ะ(หัวเราะ)

ชินยะ จริงๆแล้วเบื้อหลังภาพที่เห็นแบบนั้นก็มีแต่เรื่องที่โดนโกรธเต็มไปหมด


ทำไมถึงเป็นงั้นเหรอ?

ชินยะ พวกเราก็เริ่มกันมาจากการเป็นเพื่อนกันในโรงเรียนเรียนเต้น แล้วที่ทั้งสี่คนที่มารวมตัวกันก็ได้แต่ด๊องแด๊งๆกันไป แล้วก็ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกันแบบนั้นแล้ว มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ต่อมาในภายหลังด้วย

เคตะ นั่นมัน เมื่อไหร่กันนะหลังจากเดบิว ที่นอนตื่นสาย แล้วก็ไปทำงานสายน่ะ

ฮิโรกิ อืม ก็ทั้งวง ทุกๆคนเลยล่ะนะ

เคตะ ตอนนั้น ผู้จัดการที่ปกติก็เป็นคนที่ใจดีมากๆ ก็กลับโกรธโมโหรุนแรงมากๆเหมือนกัน ตอนนั้นก็รู้สึกว่า ทำไมถึงได้โมโหพวกเราขนาดนั้นนะ? แต่ว่านั่นก็ทำให้จำได้ว่ามันเป็นการที่เรานั้นออกมาจากสังคม

ชินยะ ก็เข้าใจเลยล่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันก็เป็นความรับผิดชอบที่ต่างออกไปจากสมัยตอนที่เป็นนักเรียน แต่ว่าพวกเราในตอนนั้นเอง ก็พยายามกันเอาเป็นเอาตายที่จะเปลี่ยนแล้วก็ละล้าละลังกันอยู่

ฮิโรกิ จะให้พูดตรงๆ จากที่เดบิวไปได้ปีนึงแล้ว ไม่สิเผลอแป๊บๆก็สองปีนั้น ก็จำในเรื่องรายละเอียดอะไรไมได้เลย  เพราะงั้นแล้ว ด้วยการใช้ชีวิตแบบนั้นก็เลยทำให้คิดไปว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดา พูดถึงเรื่องของการงานแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเข้ามา พวกเรานั้นก็ที่พลางพูดไปว่าทำแบบนั้น ทำแบบนี้แล้วก็ทำต่อๆกันมา แต่ว่าพอเข้าสู่ปีที่สามแล้ว เพียงแค่ความสดใหม่นั้นมันมีแค่นั้นไม่ได้ ก็ไม่ได้รู้สึกถึงเลยว่าจะต้องทำให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงในการเป็นLeadเลย  แล้วก็พอตั้งแต่ปีที่สี่นั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องไม่ไหวแน่ๆ แต่ว่าจะให้ทำยังไงดีนั้นก็ไม่รู้เลย เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในช่วงเวลาเหล่านั้นเองระยะห่างระหว่างสมาชิกในวงของทุกๆคนก็ออกห่างกันไปด้วย

อากิระ แต่ว่าช่วงเวลานั้น ก็คิดว่าสมาชิกแต่ละคนๆก็มีทางเดินที่มองต่างกันออกไปด้วย


ก็เป็นช่วงของซิงเกิ้ล Summer Madnessพอดีเลยสินะ

ฮิโรกิ เป็นช่วงทั้งก่อนะและหลังซิงเกิ้ลนั้นครับ ตอนนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกแย่ไปหมด แม้แต่ตัวเองก็อยากจะหนีไปให้พ้นๆ


สิ่งที่รู้สึกขึ้นมาได้จากสถานการณ์นั้นแล้ว ก็ได้เอามาพูดคุยกันระหว่างสมาชิกในวงเหรอ?

ฮิโรกิ เปล่าครับ ไมได้คุยกันเลย

ชินยะ พวกเราเองก็ยังไม่ได้รู้สึกตัวอะไรกันเลยด้วยซ้ำครับ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าฮิโรกินั้นได้ทิ้งระยะห่างออกไปจากผมอยู่เหมือนกัน แต่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นเองนั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แล้วก็คิดว่าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องไปรับรู้อะไรด้วย


แล้วคนในวงคนอื่นๆล่ะ?

อากิระ ตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ผมอาศัยอยู่กับฮิโรกิอยู่พอดีครับ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่าฮิโรกิได้มีสภาพจิตใจแบบนั้นอยู่ แต่ว่า ก็พอแต่ละคนกลับเข้าบ้านแล้วต่างคนก็ต่างเก็บตัวอยู่ในห้องของตัวเอง แทบจะไมได้พูดคุยอะไรกันเลย


มีความรู้สึกแบบรำคาญฮิโรกิอะไรอย่างงั้นเหรอ?

ชินยะ อืม ก็รู้สึกว่าค่อยๆเริ่มมองหน้ากันไม่ติดกับฮิโรกิขึ้นมา ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มไม่คุยกันมากขึ้น เริ่มรู้สึกว่าไม่รู้จะติดต่อ ประสานสัมพันธ์กันยังไงขึ้นมา


ความรู้สึกที่โดนรักษาระยะห่างนี่มันรู้สึกยังไงเหรอ?

ฮิโรกิ ก็รู้สึกแย่ที่จะต้องมาคุยกันน่ะครับ หรือจะพูดได้ว่ามีเรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมๆหยิมๆที่ได้สะสมๆกันมาหรือไง เวลาไปสตูดิโอก็ไปคนเดียว จากที่เคยโทรคุยกันก็กลายเป็นเมล์คุยกัน พอได้ออกห่างกันไปแล้ว จะทำยังไงให้กลับมาใกล้ชิดกันอีกได้นั้น ก็ไม่รู้เลย


ที่ว่ามีเรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมๆหยิมๆนี่มันอะไรเหรอ?

เคตะ ฉันใช่มั้ยล่ะ?

ฮิโรกิ มันไม่ได้มีแต่เรื่องของเคตะหรอกนะ

เคตะ แต่ว่าตอนนั้นก็มีอาการแบบว่าเกลียดการที่ต้องแพ้ เหมือนแบบว่าเวลาเล่นเกมแพ้แล้วก็ปิดเครื่องไปเลยแบบนั้น แล้วตอนนั้นก็แสดงออกไปแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้ตอนที่โดนล้อ โดนแกล้งแล้วก็เอาไปเชื่อโยงกับอารมณ์ขันก็เลยเข้าใจขึ้นมา แต่ว่าถ้าเป็นในตอนนั้นก็จะโกรธขึ้นมาเลยสินะ

ชินยะ พอโดนพูดโดนติหน่อยก็จะโกรธขึ้นมา แล้วก็เลยเลิกที่จะพูด เลิกติไปเองใช่มั้ยล่ะ

อากิระ ผมกับเคตะน่ะ จากที่เล่นๆกันอยู่ดีๆก็จะกลายเป็นทะเลากะกันขึ้นมาได้จริงๆจังๆเลยไงล่ะ(หัวเราะ)

เคตะ เป็นแบบนักเรียนประถมเลย(หัวเราะ)


การที่เคตะพูดออกมาเองว่า ฉันใช่มั้ยล่ะ?” นั้นก็คิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุของการที่ฮิโรกิตีตัวออกห่างไปงั้นเหรอ?

เคตะ ในตอนนั้น ก็พอใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองแล้วก็ใช้ชีวิตแบบประมาทเลินเล่อ ซ้ำๆกันแบบนั้นไปวันแล้ววันเล่า ทั้งเรื่องการสัมภาษณ์ คอมเม้นต่างๆ งานทั้งหมด ก็ให้ฮิโระซังเป็นคนจัดการรับผิดชอบไป ก็เลยคิดว่าการทำตัวที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนั้นแล้วอาจจะเป็นสาเหตุของการตีตัวห่างออกไปของฮิโระซังก็เป็นได้

ฮิโรกิ อืมแต่ว่าฉันน่ะก่อนที่เคตะจะเป็นแบบนั้น ก็คอยที่จะหลีกเลี่ยงไม่ยุ่งกับเคตะมาตลอดอยู่แล้วล่ะ

แต่อากิระกับชินยะก็ยังคงสนิทกันดีสินะ?

ฮิโรกิ ครับ จริงๆแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มารวมกันได้สี่คนแล้วก็มองว่าเคตะเป็นคู่แข่งมาโดยตลอดเลย เรื่องเต้นเองก็เก่ง การพูดการจาเองก็เป็นที่น่าสนใจ สนุกสนาน แล้วก็พยายามที่จะคอยไล่ตามเขาให้ทันให้ได้ แต่ว่าก็กลับคิดไปเองว่าตัวเองด้อยกว่าไม่อาจจะสู้เอาชนะได้ แล้วก็หงุดหงิดตัวเองแล้วก็ค่อยๆเป็นแบบนั้นขึ้นมา

อากิระ ก็เป็นแบบนั้นอยู่ค่อนข้างนานเลยล่ะนะ


แล้วกับเรื่องนี้แล้วเคตะคิดว่ายังไงเหรอ?

เคตะ ที่ตัวเองนั้นโดนไม่ชอบ โดนรังเกียจแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ก็เหมือนที่ได้พูดไปว่าก็คิดเองเหมือนกันว่าคงโดนไม่ชอบเอาซะล่ะมั้ง

ชินยะ เพราะงั้นแล้วฉันเองก็เลยคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องประสานร้อยร้าวระหว่างของทั้งสองคน


ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแล้ว ทั้งสองคนก็ยังทิ้งห่างกันออกไป

ชินยะ ก็รู้เหตุผลของการที่เป็นแบบนั้นนะครับ ที่เคตะได้พูดมาว่า สำหรับผมแล้วก็เข้ากันได้กับอากิระดี


คิดมั้ยว่าคงจะแยกกันออกไปเป็นเสี่ยงๆแล้ว?

อากิระ ก็คิดเหมือนกันนะครับ ก็มีคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อๆไปจะต้องจบกันแน่ๆ


ทั้งที่คิดแบบนั้นแล้วก็ไม่คิดจะแก้ไขเลยเหรอ

 ชินยะ ก็เพราะไม่ได้คิดถึงเหตุผลของการที่ฮิโรกิกลายเป็นแบบนั้นเลย ไม่ได้รู้สึกตัว หรือเอะใจที่ว่ามีอะไรที่ควรจะต้องแก้อะไรเลยครับ ตอนนี้พอมานึกๆย้อนดูแล้ว ก็ตั้งแต่ที่ผมได้เริ่มมาอาศัยอยู่ห้องเดียวกับอากิระ สำนึกที่ว่า เพื่อนร่วมงานมันก็ค่อยๆจางหายไป บรรยากาศในการทำงานก็ค่อยๆเป็นบรรยากาศแบบที่ไม่เหมาะสมขึ้นมาเรื่อยๆ  ทั้งๆที่ต้นเหตุนั้นมันก็คือการทุกๆสิ่งที่ไม่ประสานกัน ไม่เข้ากัน แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงมันได้เลย ไม่คุ้นชินกับอาการของฮิโรกิ แล้วก็คิดไปซะมั่งละว่า ทำไมถึงมีท่าทางแบบนั้นนะ” “ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะไงก็ช่างเหอะ


แต่ในตอนนั้นเองชินยะก็เป็นคนที่คอยเรียกทุกๆคนเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?

ชินยะ แบบว่าก็คิดจริงๆว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็มันจบกันแน่  จะทำยังไงดีนั้นยังไงก็ต้องลองมาคุยกันดูซักครั้งนึง

ฮิโรกิ อยู่ๆก็มาพูดว่า นานๆทีก็มาคุยกันหน่อยดีมั้ย?”  แล้วก็เป้นการรวมตัวกันมั้งสี่คนที่ห้องชินยะในช่วงระยะเวลานานมากๆด้วย


ในตอนนั้นชินยะคุยเรื่องอะไรเหรอ?

ฮิโรกิ พวกเราในสมัยก่อนนั้น ก็คอยพูดคุยกันตลอด ทั้งๆที่ก็สนิทกันดีแท้ๆ แค่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? เพราะคิดว่าถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็คงจะไม่ไหวแน่ๆ สิ่งที่คิดในตอนนั้นก็เอามาคุยกันหมดเลยครับ

ชินยะ ในตอนนั้นในใจนั้นก็กลัวกับคำพูดของฮิโรกิที่จะพูดออกมา ก็พูดไปว่า ถ้าแยกกันไปเป็นเสี่ยงๆแล้วเราจะทำกันยังไง”  หรือถ้าอยู่เพียงแค่คนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้เลยตอนนั้นก็กลัวจริงๆครับ

ฮิโรกิ ผมที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวงมาโดยตลอด ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องของตัวเองคนเดียว เรื่องที่ทุกๆคนทำพลาดหรือผิดอะไรไป ตอนนั้นก็จะโดนคนจากที่สำนักงานหรือสต๊าฟพูดใส่ว่า นายน่ะมีหน้าที่ที่จะต้องคอยจัดการดูแลทุกๆคนนะซึ่งในตอนนั้นก็ได้พูดคุยเรื่องความรู้สึกของการที่ได้แบกภาระหน้าที่อันหนักนั้นนั้นไว้ พอมาดูแต่ละคนในตอนนี้แล้ว  ก็ได้พูดถึงเรื่องที่โดนกดดันแบบนั้นมา

อากิระ ผมที่ได้ฟังแบบนั้นแล้ว ก็เสียใจมากที่ตัวเองนั้นกลับไม่ได้รู้สึกตัวหรือรู้สึกถึงเรื่องนั้นเลย แล้วตอนนั้นผมก็ร้องไห้ออกมาแรงมากๆเลยด้วย

เคตะ อื้มตอนนั้นเองในที่สุดก็ได้คุยกันแบบเปิดอกกันจริงๆ

ชินยะ เพราะงั้นแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะตอนนั้นเลยที่สามารถแก้อะไรทุกๆอย่างได้ขึ้นมาทันที

ฮิโรกิ กว่าจะทำงั้นได้ก็สองปีสินะ? ตัวเองที่เป็นคนที่คอยเอาแต่หลบตามาตลอด ถึงจะโดนพูดว่า มาคุยกันแบบจริงๆจังๆกันเถอะนั้น ก็ใช่ว่าจะให้พูดออกมาได้ทันที


ตอนนั้นเองที่มาคุยเรื่องแก้ปัญหานั้นกันก็ดีอยู่ใช่มั้ยล่ะ แต่นั่นเองมันก็มีแนวโน้มที่ว่าจะทำให้เกิดการแยกวงด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

ชินยะ มันก็อยู่ในสภาพแบบนั้นอยู่แต่ว่า ทางเลือกที่ว่าแยกวงนั้น ผมไม่เคยที่จะไปนึกถึงเลยครับ

ฮิโรกิ เรื่องนั้นเองผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ต่อให้จะมองกันไปคนละทางก็ตามที แต่ว่าก็ความรู้สึกที่ว่ายังอยากที่จะทำการแสดงต่อหน้าทุกๆคนนั้นมันไม่เคยได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะงั้นแล้วตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาราวๆ ปีนึงได้ก็รู้สึกขึ้นได้มาได้ว่าระยะห่างที่ห่างกันไปได้หดสั้นลง

อากิระ ใช่ๆ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนนั้นอยู่ๆมันก็ใช่ว่าจะหายไปได้ทันทีแต่ว่า มีอยู่ตอนนึงจำได้ว่าตอนที่ซ้อมกันแล้ว ความเห็นไม่เข้ากัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้วในตอนนั้นก็ไม่มีใครทำอะไรกัน ตอนนั้นเองก็ยังคิดว่า อา ไม่เป็นไรหรอก

ฮิโรกิ เป็นแบบนี้นี่เอง ยังไงแล้วตอนนั้นถึงจะคุยกันเรื่องฟอร์เมชั่น หรือเรื่องเพลงเองแล้ว ก็อาจจะรู้สึกได้ว่า ช่างเถอะ คุยไปก็ไม่ไรสินะ

อากิระ อื้ม! ในที่สุดก็คิดได้ว่า เรื่องที่กระทบกระทั่งกันนั้นก็สำเร็จขึ้นมาได้แล้ว

ชินยะ ถ้าโดนพูดมางั้นก็อาจจะทำให้มีเรื่องที่ไม่พอใจกันมากขึ้นไปอีก แต่ว่าแทนที่จะพูดอะไรแล้ว ไม่พูดอะไรกันเลยนั้นกลับดีกว่าหลายเท่าเลยนะ


ในตอนนั้นทั้งเคตะแล้วก็ฮิโรกิอยู่ในสภาพแบบไหนกัน?

ฮิโรกิ จริงๆแล้วในช่วงที่เริ่มไม่สนิทกัน ความสัมพันธ์ระหว่างกันแย่มากๆ ก็ได้เริ่มมาอยู่ด้วยกันแล้ว


นั่นมันยิ่งทำให้ยิ่งแย่กันเข้าไปอีก

ฮิโรกิ เอ่อ นั่นมันก็ทำให้เข้าไปอยู่ในโหมดของการที่ไม่สนใจ ไม่ไปใส่ใจแบบสมบูรณ์แบบเลย นั่นมันก็ไม่เป็นไรอยู่แต่ว่า หลังจากที่ได้ไปคุยกันมาแล้ว ก็เป็นช่วงหลังจากนั้นราวๆครึ่งปีได้มั้ง อยู่ๆวันนึง ก็ไปทักเขาว่า เรื่องเอาขยะออกไปทิ้งน่ะจะเอาไงดี?”

เคตะ ในตอนแรก แม้แต่ตอบไปแบบเฉยว่า เออ หรืออะไรแบบนั้น ก็ไม่ได้ตอบกลับไปเลย ตอนนั้นก็คิดว่ามันก็ช่วยไม่ได้แล้วก็ได้ทำให้ได้คุยกันขึ้นมา ตรงนั้นล่ะครับที่เป็นจุดที่ทำให้เริ่มกลับมาแก้ไขเรื่องความสัมพันธ์กันได้

อากิระ ด้วยเรื่องขยะเนี่ยนะ! (หัวเราะ)

เคตะ ถ้าเป็นเรื่องแบบเรื่องของการเต้นได้ก็คงจะดีกว่าล่ะนะ (หัวเราะ)


ที่ทำแบบนั้นแล้วก็เลยสามารถข้ามผ่านจุดอันตรายมาได้แล้วแต่ทว่า บททดสอบที่แท้จริงมันหลังจากนั้นสินะ?

ฮิโรกิ ในช่วงที่หยุดอยู่กับที่ไปนั้น ก็มีศิลปิน นักแสดงใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา พอรู้สึกตัวได้นั้นตัวเองก็กลับกลายเป็นแค่ บุคคลในอดีตไปซะแล้ว บทสัมภาษณ์ที่ได้ให้ไปลง ได้ให้สัมภาษณ์อยู่นั้นก็ลดลงแบบกะทันหัน โอกาสที่จะได้ไปออกรายการต่างๆก็ลดลง

เคตะ พวกคนที่เดบิวหลังพวกเรานั้นก็ได้ไปลงในนิตยสารแทนเรามั่ง ได้ไปเล่นในละครมากมายมั่งล่ะ ตารางเวลางานของLeadนั้น กลายเป็นมีช่องว่างเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่อาจที่จะสามารถยอมรับความจริงได้เลย

ฮิโรกิ ก็เป็นเพราะพวกเราที่ได้หยุดยืนนิ่งกันไป ทั้งที่พวกเราเองก็ควรที่จะต้องกู้กลับมาให้ได้กันเองแท้ๆ แต่พวกเราที่ตอนยังเด็กนั้นกลับไม่คิดกันแล้วก็ได้แต่ยืนนิ่งเฉยกันเป็นเวลานาน

ชินยะ จากที่ได้ประสบมากับตัวเองแบบนั้นแล้วก็พยายามกันอย่างเอาเป็นเอาตายเอาแบบให้คนรอบๆตัวนั้นรู้สึกไม่ได้เลย ได้แต่ทำให้เห็นว่า พวกเราน่ะไม่เป็นอะไรเลย สบายดี! กำลังสนุกในทุกๆวัน

อากิระ ในตอนนั้นเอง

(ทุกๆคนนิ่งเงียบไป)


ตอนนั้นเอง?

อากิระ ผมนั้นได้หักหลังแฟนๆ สมาชิกในวง แล้วก็สต๊าฟ ไปซะแล้ว ทั้งๆที่Leadก็กลับมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้วก็คิดกันว่า เอาล่ะ มาพยายามกันเถอะ!”นั้น ก็ทำลายความไว้วางใจจากแฟนๆ แล้วก็ดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก


ถ้าจะให้พูดแบบเป็นรูปธรรมล่ะก็?

อากิระ ครับ  ผมก็ได้กระทำอะไรที่โง่ๆลงไปแล้วก็โดนตีพิมพ์ลงนิตยสาร


งั้นเหรอ ก็พูดเฉพาะแค่ในส่วนที่สามารถจะพูดได้ก็พอแล้วล่ะ งั้นจะถามต่อล่ะนะ แล้วหลังจากที่คิดจะกลับมารวมตัวกันใหม่ กลังจากที่ได้ทำการพูดคุยปรับความเข้าใจกันแล้ว ก็ได้ดำเนินการกระทำอะไรต่อเหรอ?

อากิระ เกี่ยวกับเรื่องของทางด้านชีวิตส่วนตัวเองก็ได้รับการพูดตักเตือนอย่างเข้มงวดจากทางสังกัดมาครับ  ที่ว่านอกเหนือไปจากเรื่องส่วนตัวแล้ว เรื่องส่วนตัวเองก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรื่องงานด้วย  แต่ว่าเรื่องส่วนตัวมันก็เป็นอิสระของตัวใช่มั้ยล่ะ?  ก็ได้มีความคิดที่ต้านแบบนั้นไงครับ  สำหรับผมแล้ว เดิมทีเรื่องการกลับมารวมตัวกับสมาชิกในวงเองในตอนนั้น ผมก็ไม่ได้ทำตัวอะไรที่นอกเหนือไปจากการอดทนเลย  ด้วยผลของสิ่งนั้นเอง ก็ได้กระทำการกระทำที่เกินกว่าเหตุไป


...ต่อพาร์ท2...


Translated by Kagimoto Y.y 8-28/7/2012




Create Date : 28 กรกฎาคม 2555
Last Update : 28 กรกฎาคม 2555 21:43:27 น. 7 comments
Counter : 846 Pageviews.

 
โอ้วววว นั่งอ่านไปเครียดไป สถานการณ์ระหว่างเคตะกับฮีซังในตอนนั้นเครียดน่าดูเลย ตรงที่เคตะถามว่า "ฉันใช่มั้ยล่ะ" รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้
แต่ฮีซังเกลียดการพ่ายแพ้จริงๆน่ะแหละนะ
ขอบคุณพี่ย้งมากค่ะ


โดย: ขิม IP: 161.246.254.165 วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:18:28 น.  

 
อ่านคร่าวๆแล้วแบบว่า..ลีดผ่านอะไรมาเยอะมากกกทั้งความกดดันทั้งความไม่เข้าใจกันต่างๆๆอ่านแล้วคิดว่ากว่าจะมาถึงสิบปีนี้ได้ลีด...สุดยอดดดดด


โดย: jula jpy IP: 202.12.118.61 วันที่: 30 กรกฎาคม 2555 เวลา:18:48:54 น.  

 
อ่านแล้วก็เครียดและกดดันแทน ช่วงนั้นคงเป็นอะไรที่น่าอึดอัดน่าดู แต่การที่พวกเค้าพยายามจนมาถึง 10 ปีได้นี่สุดยอดจริงๆ เวลาผ่านไปไวอย่างไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับคำแปล ขอไปตามอ่านพาร์ท2ต่อนะ :]


โดย: thunnn IP: 124.122.43.75 วันที่: 31 กรกฎาคม 2555 เวลา:0:53:56 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกอยากจะขอบคุณอะไรสักอย่างที่ทำให้หนุ่มๆก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้
อ่านแล้วรู้สึกเครียดแล้วก็กดดันจริงๆ
ต้องขอบคุณคุณย้งที่แปลให้ได้อ่านอย่างเข้าถึงแบบนี้มากๆค่ะ

ขอตามไปอ่านพาร์ท2ด้วยคนค่ะ


โดย: Flebile13 IP: 118.172.75.88 วันที่: 31 กรกฎาคม 2555 เวลา:15:35:24 น.  

 
อ่านแล้วเครียดดดดดดดดดด
ไม่เคยรู้ว่า lead ผ่านช่วงเวลาแบบนี้มา
ทั้งๆ ที่ก็ดูสนิทกันดีนะ
น่าสงสารจัง

ขอบคุณย้งมากกกกกกกกกกกก
การได้อ่านบทความนี้มันมีประโยชน์มากจริงๆที่จะทำให้รักลีด


โดย: Hare IP: 115.87.109.114 วันที่: 4 ตุลาคม 2555 เวลา:21:29:53 น.  

 
มาขออ่านอีกคนครับ
อ่านแล้วเครียดจริงๆนั่นแหละ ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง
พอมาอ่านแบบนี้ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสี่คนเจออะไรมาเยอะแยะกว่าที่เราคิด
กว่าที่จะกลับมาทำงานด้วยกันได้ก็เกิดปัญหามากมายเหมือนกัน
ตามไปอ่านต่อนะครับ:)


โดย: miharu_mimi IP: 203.146.12.196 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:10:32 น.  

 
อ่านไปน้ำตาคลอไปด้วยเลยค่ะ
ดีใจมากๆเลยที่ยังเห็นพวกเค้าอยุ่ตอนนี้
ขอบคุณที่แปลมาให้อ่านนะคะ ขอติดตามไปตอนที่สองด้วยนะคะ


โดย: Ray IP: 171.98.36.13 วันที่: 28 มกราคม 2556 เวลา:2:13:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kagimoto Y.y
Location :
Tokyo-->Ibaraki Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




follow me @KagimotoYy
facebook: Thai Leaders
メラメラสงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539メラメラ
ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจะถูกดำเนินคดีตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด

☆*゚ ゜゚*☆*゚ ゜゚*☆*゚ ゜゚*☆*゚ ゜゚*
New Comments
Friends' blogs
[Add Kagimoto Y.y's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.