The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

huh

It's kind of interesting to live in this period. I don't like violence. However, it's still interesting to see how people act and react and then re-react. It's like a chain of actions, or a stone that was thrown into a well. The stone hid the water surface and then it ripple and ripple.

It is also interesting to see how events effect people. I mean, it's not just the events, but everything also depend on what are inside the people, too. It also depend on how they interpret everything or what party is their loved one belong to. Or even to whom they normally believe and listen. People tend to connect something with the other thing without the exact logic, or you might call it Self's logic.

It show what inside people, too. It show what the people we use to think as 'normal' can hide inside their skin. It's time to see how hideous and ugly or how beautiful and noble one's soul can be. I wonder whether people will look back to these days and recognize it as the time their goodness and badness laid bare. I am not sure, it might be a landmark in somebody's spiritual quest.

The other aspect that I find interesting is how people change, how things actually are nothing. They change so naturally to the point of being eerie. I think how true the Buddha is: ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ are something we cannot control. Even if we try our best, reputation can be ruined by just words of mouth and people's heart are unstable.

I remember reading long time ago that the easiest way to change without pain is to accept it. However, I think doing that might be the hardest thing also. You need to reduce a huge loads of your ego to be able to change without resisting anything.

We are nothing, anyway. Come from nothing, live in nothing, and die to be nothing. And that's all that is to it.




 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 14:01:01 น.
Counter : 383 Pageviews.  

เจตจำนงเสรี

พวกเด็กอักษรพอเรียนถึงประมาณนึง ถ้าลงวิชาที่ถูกต้องจะต้องถูกให้เขียนเรียงความว่า "มนุษย์มีเจตจำนงเสรี หรือ free will หรือเปล่า" จากนั้นพอส่งเรียงความไป ก็มักจะพบโศกนาฎกรรมถูกอาจารย์ตบตายทุกประเด็น ว่ากันจริง ๆ คือมันเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมานานแสนนานเป็นพันปี อะไรที่เด็ก ป.ตรีคิดมันย่อมไม่มีทางเป็นของใหม่ไปได้ และย่อมมีการคัดง้างถกเถียงกันมานานแล้วทั้งนั้นด้วย

ว่าจริง ๆ คือพอคิดไปจนถึงที่สุด เราก็เป็น "ร่างทรง" ก็ไอ้นั่นไอ้นี่ เช่นสังคม ระบบ ค่านิยม บลา ๆ แต่จขบ.มักคิดว่าน่าอัศจรรย์ที่ระบบความคิดของปัจเจกคนหนึ่งนั้นมักจะมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง (ทั้งที่เราได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อม) และจขบ.มีความเชื่อว่าระบบความคิดของเรานั้นไม่มีใครเหมือนกันเลย คล้าย ๆ กับลายนิ้วมือของเรา หรือดีเอนเอของเรา

คนเราชอบเป็นอิสระ จขบ.เชื่อมาก ๆ ว่าแม้จะรู้สึกงุงิที่ถูกตบตายทุกประเด็นเกี่ยวกับเจตจำนงเสรี แต่เราก็ยังอดฝันไม่ได้ว่าแท้จริงเรามีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง ที่จะเลือก และอื่น ๆ จขบ.คิดว่ามันเป็นสัญชาตญาณที่ฝังแน่นในกมลสันดาน และมันน่าสนใจที่เป็นอย่างนั้น เหมือนกับเรามีสัญชาตญาณบางอย่าง ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ปรกติสัญชาตญาณของเรามักจะมีบางอย่างที่ถูกต้อง แม้จะไม่เสมอไปก็ตาม

เมื่อวานนี้ได้อ่านหนังสือ เรื่องการศึกษาเพื่อความเป็นไท Education for Liberation ของอดัม เคิร์ล (ลุงคนนั้นที่พูดถึงปมปืนเด็กเล่นและปมเสือดาว) ทำให้ได้ไอเดียขึ้นมา คุณเคิร์ลแกบอกว่า คนทั่วไปมักจะมีความรู้ตัวในระดับต่ำ จึงอ่อนไหวไปตามสิ่งที่มากระทบได้ง่าย เรียกว่ามีสติน้อย จึงหวั่นไหวไปตามอะไรต่าง ๆ รวมทั้งไม่มีสาเหตุก็สามารถเป็นไป เช่นตื่นเช้ามาจิตตกไม่มีสาเหตุ พอกินข้าวเข้าไปแล้วอารมณ์ดี ที่จิตตกเมื่อกี้ก็เหมือนโกหก (แต่มันจะมีอะไรที่เรียกว่าอนุสัย คือเสือกจิตตกบ่อย ๆ เลยจิตตกง่าย แบบนี้ด้วย)

คุณเคิร์ลแกว่า ถ้าหากฝึกตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ จนกระทั่งสามารถมีสติต่อสิ่งที่มากระทบมากขึ้น จะเรียกว่า "ควบคุมตัวเอง" ได้ไหม เมื่อควบคุมตัวเองได้แล้ว การตัดสินใจจะมาจากภววิสัย (คือการใคร่ครวญจากสภาพแวดล้อมและความเป็นจริง) มากกว่ามาจากอัตวิสัย (คือกรูรู้สึกเงี้ยก็จะทำเงี้ย จากนั้นพออารมณ์หายก็อ้าว ตูทำไรลงไป อ้าก)

แน่นอนว่าแม้เราจะคิดจากภววิสัย ก็จะต้องมีแว่นของค่านิยม และสังคมอยู่ด้วย แต่ในแง่หนึ่งก็ถือว่าเราควบคุมตัวเองได้ ซึ่งทำให้เรามีพลังในการกระทำและการตัดสินใจ ไม่ใช่ลมเพลมพัดไปตามอารมณ์

แบบนี้เรียกว่าเจตจำนงเสรีหรือเปล่า แล้วถ้าหากฝึกได้มากกว่านั้น ถึงขั้นที่ไม่ได้มองโลกผ่านกระจกสีอีกต่อไป จะเรียกว่ามีเจตจำนงเสรีได้ไหม




 

Create Date : 26 เมษายน 2553    
Last Update : 26 เมษายน 2553 16:04:48 น.
Counter : 1520 Pageviews.  

กระจกกับปม

ช่วงนี้ไปเจอหนังสือเรื่อง กฎแห่งกระจก ในร้านแถวบ้าน ในชั้นเดียวกันก็มีเรื่องของคนเขียนคนเดียวกันที่เกี่ยวกับ "ปม" อยู่ด้วย

อนึ่งคำว่าปมนี้ ตูเขียนเอง ส่วนคนเขียนเขาอธิบายไว้ด้วยอีกคำหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าเรียกว่ายังไงแน่ ๆ เพราะรีบอ่าน เนื่องจากไปนั่งอืดทืดอ่านอยู่นานก็ไม่ใคร่งามกระไร สรุปความรวมก็คือ ตอนที่เราโตขึ้นมา มันมีคอนดิชั่นบางอย่างที่เราถูกใส่โปรแกรมไว้ ว่าถ้าไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ และ/หรือ คนเลี้ยง และการไม่ได้รับความรักนั้นสำหรับเด็กหมายถึง "ตายชัวร์" ดังนั้นเราจึงปรับตัวเพื่อให้ไม่ตาย

พลังการเอาชีวิตรอดของมนุษย์นี่น่าสนใจมาก ๆ

ปมพวกนี้อย่างเช่นว่า ต้องเป็นคนเก่ง ต้องไม่ผิดใจใคร ต้องทำให้ทุกคนรักเรา และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งในที่สุดแล้วจะเป็นทั้ง "อาวุธ" และ "กรอบ" ที่เราใช้ในชีวิตเมื่อโต ที่ว่าเป็นอาวุธเพราะเราใช้ไอ้นี่แหละต่อสู้กับปัญหารอบตัว และที่เป็นกรอบเพราะสิ่งที่เราเชื่อเหล่านี้ มันจำกัดความยืดหยุ่นของเรา

เช่นเชื่อว่า ต้องเป็นคนเก่ง ก็อาจจะทำให้สูญเสียความสามารถในการคบหาเพื่อนฝูง การปล่อยวาง การ "เป็นเช่นนั้นเอง" และอะไร ๆ อื่นที่มากับความต้องการจะเก่ง (แต่ถ่ายเดียว) ไป

คนเขียนหนังสือคนนี้แกพยายามจะหาวิธีให้คน "ถอดรหัส" ปมเหล่านี้ เพื่อที่เราจะได้ไม่ทำอะไรโดยระบบสั่งการอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เราต้องประสบปัญหาเดิม ๆ ตลอดกาล ไม่มีทางทำอะไรใหม่ได้ เช่น กลัวคนไม่รัก ก็ปฏิเสธคนไม่เป็น ปฏิเสธคนไม่เป็นก็ทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำ ทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำก็โมโหตัวเองว่าโง่ อ่อนแอ ใจเสาะ บลา ๆ

คนเราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ปมพวกนี้ และใช้ชีวิตกับการแก้ปม ที่ว่าเป็นอย่างนั้นเพราะตราบใดที่ตัวเรายังเป็นอย่างนี้ ปัญหาเดิม ๆ ก็จะเกิดซ้ำตลอดเวลา เราซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดจึงมักจะหาทางแก้ปัญหา คนที่แหยก็จะกล้าขึ้น คนที่แข็งกระด้างก็จะอ่อนลง แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องต้องใช้เวลา และก็มีเหมือนกันที่บางคนแทนที่จะปรับตัว กลับโทษนั่นโทษนี่และเป็นอย่างเดิมต่อไป หรือไม่ก็ไพล่ไปแก้ไขผิดจุด อันนี้มันก็ไม่ได้แก้ไขอะไร

จขบ.เคยมีปัญหาอย่างหนึ่ง ตอนนี้ไม่รู้ว่าข้ามพ้นหรือยัง แต่มีช่วงที่รู้สึกแย่อิบอ๋าย ตอนนั้นใครแนะนำยังไงก็ช่วยไม่ได้ ปรากฏว่าสิ่งที่ช่วยได้คือมีคนคนหนึ่งบอกว่า "เป็นผู้ใหญ่ขึ้น" ซึ่งทำให้ดีใจ (ข้าชอบให้คนชม)

พอบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ตอนนั้นก็เลยไม่เห็นปัญหาเป็น "ปัญหา" อีกต่อไป และไม่เห็นคนและสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเป็นความผิดด้วย แต่เห็นเป็นบอสในเกม ซึ่งเมื่อไรที่ตูชนะได้ ตูจะได้เป็นผู้ใหญ่ อนึ่งจขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใหญ่คืออะไร เพราะจริง ๆ จขบ.ก็ไม่ใช่เด็กมานานแสนนานมากแล้ว แต่ในกบาลของจขบ.มีความเห็นว่า เป็นผู้ใหญ่หมายถึงได้ขึ้นเลเวล และจขบ.เป็นพวกบ้าเลเวล เป็นคนที่อยากเชื่อว่า ชีวิตจะมีขั้นกว่าต่อไป

จขบ.เป็นพวกอยากเชื่อว่าเราจะยกระดับจิตใจของเราได้ และเมื่อยกระดับขึ้นไปจากจุดนี้แล้ว โลกที่เห็นก็จะเปลี่ยนไป (ที่เชื่ออย่างนี้เพราะเจอมาหลายที) แต่เผอิญเกมชีวิตเกมนี้มันไม่มีสูตร แถมแต่ละด่านยังไม่ปรากฏมาเป็นด่านให้เห็นชัด ๆ เป็นเกมแสนวุ่นวายที่ตราบใดที่ไม่ผ่านไปแล้วก็ไม่รู้เลยว่าควรจะไปต่อตรงไหน ตลอดจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ตูทำตอนนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของการผ่านด่านหรือเปล่า สรุปว่ามันเป็นเกมที่เดินดึ่งดึ๋ยไปเรื่อย ๆ บางทีก็เจออะไรยากสิ้นดี คล้าย ๆ จะเจอบอสกินตาย แต่ตอนเจอมันไม่รู้ว่ามันเป็นบอส และไม่มีทางรู้เลยจนกระทั่งมันผ่านไปแล้วด้วย อะไรแบบ พอผ่านมาแล้ว หันกลับไป ถึงตระหนักแกใจว่าอ๋อเมิงเป็นบอส ขอบคุณนะที่ทำให้ตูได้เลเวลอัพขึ้นมา

...

ต่อเรื่องกระจก

กฎแห่งกระจกนี่เป็นเล่มบางมาก มีเรื่องเดียว กับสรุปจบอีกหน่อย เนื้อหาหลัก ๆ คือสิ่งที่เกิดรอบตัวเรา มักจะมาจากการกระทำของเราเอง ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลหรอก (แต่จขบ.คิดว่ามีนะ) ในเรื่องที่เขาเล่าก็คือ คุณแม่ที่ลูกถูกรังแก แกเป็นห่วงเลยวุ่นวายกะลูก ทำให้ลูกไม่พอใจ แล้วทีหลังก็มีคนทำให้แกคิดได้ว่าแกก็เคยโมโหพ่อที่วุ่นวายกะแก พอแกไปขอโทษพ่อ อะไร ๆ ก็ดีขึ้น

อนึ่ง จขบ.ไม่คิดว่า ขอโทษพ่อ = ลูกไม่ถูกรังแก เพราะจขบ.คิดว่ามัน far-fetch เกิดไป แต่จขบ.คิดว่า ขอโทษพ่อ = เข้าใจลูกมากขึ้น ทำให้ลูกพบความสงบทางใจ และตัวเองก็พบความสงบทางใจด้วย พอลูกไม่ต้องกังวลกับสองทาง (เพื่อนก็แกล้ง แม่ก็ยุ่งแถมยังไม่ไว้ใจ) อะไร ๆ ก็เลยดีขึ้น แต่จขบ.ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโลจิคนี้ถูกหรือเปล่า เป็นแต่การอนุมานจากเรื่องที่เขาให้มา

ที่จริงเรื่องกระจกนี้ จขบ.คิดว่ามันก็พันกับเรื่องปมข้างบนเหมือนกัน คือเอาเข้าจริง คนที่สร้าง "ปม" ให้เรา มักจะเป็นพ่อแม่ (ถ้าไม่ทำอย่างนี้ พ่อแม่จะไม่รักและตูจะตาย) ดังนั้นคนเราจึงมักมีเรื่องโกรธพ่อแม่ถ้าไม่ลึกก็ตื้น ถ้าไม่ใช่แผลใหญ่ก็แผลเล็กเสมอ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะดีกับเรามาก แต่พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์นั่นเอง ว่าอีกทีคือไม่มีใครสามารถทำอะไรเพอร์เฟคได้ แต่ความไม่เพอร์เฟคของพ่อแม่ย่อมมากระทบเราที่ตอนเด็กไม่มีอำนาจจะไปทำอะไร

ที่เราไม่ยอมยกโทษให้พ่อแม่ บางทีก็เพราะเรายังมองอย่างเด็ก ๆ ว่าพ่อแม่คือพระเจ้า ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ทำไมทั้งที่ได้อำนาจของพระเจ้าไปแล้ว ยังใช้ไม่เป็น ยังทำร้ายเรา แต่ที่จริงการมองอย่างนั้นมันเป็นการมองที่ทำให้เหนื่อย เพราะยังไงไม่ว่าพ่อแม่หรือเราก็เพอร์เฟคไม่ได้ พวกเราก็เป็นมนุษย์อ่อนแอเหมือนกัน เคยอ่านที่บล็อคคนอื่น เขาบอกว่าตอนที่ตระหนักว่าพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา ถึงเป็นตอนที่รู้สึกว่าพ่อแม่ก็เท่เป็นบ้า เลี้ยงเราขึ้นมาได้ ทำอะไรต่าง ๆ ได้มากมาย

จขบ.คิดว่าการแก้ปมนั้น นอกจากจะตระหนักถึงปมในตัวและพยายามถอดรหัสมันแล้ว ยังต้องสามารถให้อภัยคนที่สร้างปมขึ้นมาได้ด้วย อนึ่งการให้อภัยไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่เป็นกระบวนการสลายปม หมายถึงว่าแทนที่จะมองว่ามันเป็น "ปัญหา" ก็มองว่า "บอสมา" อะไรแบบนี้ ว่ากันจริง ๆ บอสในชีวิตของเรา ส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นแค่กระจกสะท้อนสิ่งที่เราเจอตอนเด็กก็ได้

จขบ.ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเรา ๆ ท่าน ๆ จึงเกิดมาแบบนี้ แบบเกิดมาเพื่อมีปม และใช้ชีวิตเพื่อสลายปม แต่มีพี่ที่นับถือคนนึงบอกจขบ.ว่า ปมอะไรที่สลายในชาตินี้ได้ ชาติหน้าก็ไม่ต้องสลายอีกต่อไป อันนี้จขบ.ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะจำไม่ได้ว่าชาติก่อนเป็นอะไร และไม่รู้ด้วยว่าชาติหน้าจะเป็นไง (ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชาติก่อนและชาติหน้าหรือเปล่า)

แต่ถึงไม่มีชาติไหน ๆ เลย การสลายปมก็ช่วยตัวเราเองอยู่ดี จขบ.คิดว่าที่ "อะไร ๆ มันดีขึ้น" ในเรื่องกฎแห่งกระจก เป็นเพราะวิธีการมองโลกไม่เหมือนเดิม จขบ.คิดว่าเราทุกคนใส่แว่นสีโดยไม่รู้ตัว และไม่มีวันรู้ตัวเลยจนกระทั่งมีคนบอก หรือจนกระทั่งถอดแว่นสีนั่นออกมาได้แล้ว (แว่นสีมักจะมีหลายชั้นเสียด้วย) เมื่อไรที่ถอดแว่นสีออกมา โลกก็ไม่เหมือนเดิม ถ้าถอดแว่นสีแสนเศร้าออก (อะไรรอบตัวตูมันแม่งเศร้าไปหมด เลวไปหมด) โลกก็ไม่เลวหรือเศร้าอีกต่อไป

แม่ในเรื่องนี้ก็ถอดแว่นสีออกได้ อะไร ๆ ของแกก็เลยดูเปลี่ยนไปขึ้นมา

คิดว่างั้นนะ





 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 25 เมษายน 2553 11:21:51 น.
Counter : 423 Pageviews.  

ศัลลาปังคพิสัย

Many people, no matter from which groups or which parties, say they do not want violence, but then they also say 'those who do not agree with me are all wrong.'

How come this logic work?

I do not know. Perhaps it's me also who want people to think the same as I do. That's because I have too many loads of ego.

But I think it's too much and our life too short to waste it like this. How small my hand is. How little I can do. I know, if we come together, perhaps we can do a lot. But then, I don't know.

I think there must be something we should do. I don't know what it is. People are destined to do different works and live different lives. But I believe that even if you can save just one person, you also might save the world.

There are too many pains and sorrows in this world. Too many that it then cause huge, huge loads of greed and anger and illusion and desire. I do not know who to believe in, but only my little hope that deep, deep down inside, all people are illuminated with light. That even the darkest soul actually has some tiny, tiny flame hidden in its core.

Why should I believe so, I guess because in my mind, it's the only way that will not make me despair.




 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 13:51:37 น.
Counter : 454 Pageviews.  

คิดคิด

เวลาที่มีอะไรที่กระทบใจเข้ามา จะชอบคิดคิด คิดไปจนกว่าจะรู้สึกโอเคกับมันได้ ซึ่งหมายความว่าเกิดความเข้าใจ ความหมายของมัน และเรื่องอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะ make peace กับทุกสิ่งทุกอย่างไปได้หมด แต่ก็ยังอมเอาไว้ อมไปนาน ๆ อาจจะเข้าทีกลายเป็นไข่มุกก็ได้ เอาน้ำลายตูเคลือบ ๆ เข้าไป

ช่วงนี้มีหลายเรื่องที่คิดคิดไปก็ไม่เข้าใจมากเกินไป บางเรื่องถึงเข้าใจก็ไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้

มีนิยาย ของคุณญาณิน เรื่องที่ออกตอนวาเลนไทน์ มีประโยคนึงฝังใจ เขาบอกว่าการแต่งงานไม่โรแมนติก มันคือความกลัวการอยู่คนเดียว (หรืออะไรทำนองนั้น)

การแต่งงานเกิดจากความกลัว

พอได้ยินอะไรแบบนี้ จขบ.จะมีสัญชาตญาณพิลึกพิลั่นว่า "ตูต้องทำให้ถูก" ทันที สัญชาตญาณพิลึกพิลั่นแบบนี้เกิดจากอัตตาโดยแท้ไม่มีอะไรเจือปน เช่น ถ้าการแต่งงานเกิดจากความกลัว หากชาตินี้ตูจะต้องแต่งงาน ตูจะต้องไม่กลัว ไม่งั้นก็ไม่แต่งงานเลย เพราะมันเป็นแค่การกระทำอันอ่อนแอที่เกิดจากความกลัว

ว่าอีกทีคือข้าเป็นเพอร์เฟคชันนิสม์

วันก่อนคิดขึ้นมาว่า กลัวก็ไม่เป็นไรนี่หว่า

ว่าไงดี ความกลัวก็คือความเปราะบาง อ่อนแอ บางที คนอ่อนแอสองคนก็พยายามแสวงหากัน เพราะหวังว่าจะได้พึ่งพาอาศัย แบบนั้นมันผิดหรือ ที่จริงอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความสงบทางใจ เราก็ไม่ได้สมบูรณ์ เราเลยต้องอยู่ด้วยกัน

ตูว่ามันเป็นบางอย่างที่งดงาม อะไรแบบว่า เพราะมันไม่งาม (ในแง่เพอร์เฟค) มันจึงงาม พูดเหมือนเรื่องคิโนะ

เพราะว่าอ่อนแอ ถึงต้องอยู่ด้วยกัน ถึงต้องค้ำจุนกันและกัน ถึงต้องเรียนรู้ เข้าใจ กระทบกระแทกเสียดสีไปจนกว่าจะทนไม่ได้ หรือต่างคนจะเป็นคนดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ไปพ้นจากแรงบงการของฮอร์โมนและความกลัวอย่างเดียว แต่คือกระบวนการที่จะเข้าใจตัวเอง และกระบวนการที่จะเรียนรู้เพื่อจะได้สามารถ appreciate ความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย

จขบ.รู้ว่าเราไปหาชิ้นส่วนที่หายไปของเราเอากะคนอื่นไม่ได้ เหมือนเรื่องสามเหลี่ยมผจญภัย เพราะว่าการไปหาที่คนอื่นมันหาไม่เจอ คนอื่นก็เป็นจักรวาลในตัวเขาเอง ชิ้นส่วนที่หายไปของแต่ละคน จริง ๆ ก็ซ่อนอยู่ในตัวเอง

แต่จักรวาลสองจักรวาลหรือหลาย ๆ จักรวาลอยู่ด้วยกัน มันก็อบอุ่นดี และที่จริงคนเราส่วนใหญ่ก็ใฝ่ฝันถึงการสานสายใย ไม่กับคนนั้นก็กับคนนี้อยู่ดี




 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 11:29:31 น.
Counter : 409 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.