The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

เผื่อใครอยากได้ผู้เสกทรายฟรี

มีแลกพอยต์จ้า

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=webmaster&month=01-10-2009&group=6&gblog=199


PantipMember Point
หนังสือ ผู้เสกทราย ภาค1 น้ำตาลร้อยสี
จำนวนรางวัล 5 เล่ม
จำนวนคะแนนใช้แลก 400 คะแนน
จำนวนรางวัล/สมาชิก 1 เล่ม
ระยะเวลาแลกรางวัล 1 ต.ค. 2552 - 14 ต.ค. 2552
วิธีการให้รางวัล สุ่มมอบรางวัล
ผู้ โชคดีจากการสุ่มรางวัล ต้องเข้ามายืนยันรับรางวัล ผ่านระบบคะแนนสมาชิก ภายในวันที่ 21 ตุลาคม 52 มิฉะนั้นระบบจะนำรางวัลไปให้ผู้ที่ได้สำรองแทน
วิธีการรับรางวัล ทาง เอ็นเธอร์บุ๊คส์ จะจัดส่งหนังสือให้ทางไปรษณีย์ (ภายในประเทศไทยเท่านั้น)

ป.ล.จขบ.เพิ่งกลับจากสิงคโปร์ รู้สึกโทรมมาก ๆ กำลังฟื้นฟูอยู่ หงิหงิ




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2552    
Last Update : 3 ตุลาคม 2552 22:07:40 น.
Counter : 444 Pageviews.  

ฉันจะเข้าใจ

จขบ.ชอบป๋าอัจฉริยะยานางิซาว่าเอามาก ๆ มีหลายต่อหลายตอนที่เอากลับมาทบทวนในความทรงจำ และยิ่งรู้สึกว่าคนเขียนเข้าใจโลก ตลอดจนมีมุมมองที่อ่อนโยนต่อความเป็นไปในโลกอย่างยิ่ง พออ่านแล้วก็เข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิม และนับถือคนเขียนที่ทำให้เราสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้

มีอยู่ตอนหนึ่ง จำได้ว่าเปรียบเทียบ อ.ของป๋า ซึ่งเขียนนิยายแนวโรแมนติก กับลูกศิษย์ของป๋า ซึ่งเป็นชอบพ่นสีเป็นรูปอาร์ตบนกำแพง (รูปก็สไตล์ดิบ ๆ แบบอาร์ตบนกำแพง) สำหรับป๋ายานางิซาว่า ไม่สามารถเข้าใจคนทั้งสองนี้ได้ เพราะป๋าเป็นอีกสไตล์นึง (ป๋ามีโรแมนติซิซึ่มในตัวน้อย) ตอนแรกที่เจอ อาจารย์คนนั้น (ซึ่งเป็นคนแรง ๆ ไม่แคร์กฎเกณฑ์) ป๋าในวัยหนุ่มถึงกับรู้สึกเกลียด เพราะไม่สามารถเก็ตได้

แต่ผ่านไปหลายปี จนป๋าแก่แล้ว เอาเรื่องแกมาอ่าน กลับเข้าใจในที่สุด และ appreciate งานศิลปะที่แกสร้างขึ้นมา ป๋าก็ไปดูลูกศิษย์คนนั้นวาดรูปบนกำแพง แต่ยังไงแกก็ไม่เข้าใจ แกบอกว่า สักวันจะเข้าใจนะ แล้วเรื่องก็จบแถว ๆ นั้น

...นี่ สักวันจะเข้าใจนะ

จขบ.มีของที่ชอบกับไม่ชอบ เช่น จขบ.ฟังเพลงสมัยใหม่ไม่ค่อยได้ แม้เป็นเพลงดีมาก ก็ไม่เข้าใจ จขบ.ไม่ชอบละครสมัยใหม่ ไม่ชอบเรื่องตลกร้าย

แต่ว่าก็พยายามคิดว่า ไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่าไม่ดี

ข้าไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล

ที่จริงแล้ว ข้าช่างเป็นเครื่องกลอันจำกัดอย่างยิ่ง มิอาจมีประสาทสัมผัสจะรับรู้ความงามทั้งหมดในโลกนี้ได้ ข้ารู้ได้เพียงเท่าที่ข้ารู้เท่านั้น แต่สักวัน...สักวันข้าอาจจะได้เข้าใจ เหมือนที่วันหนึ่งสามารถเข้าใจเฮสเส หรือวันหนึ่งสามารถเข้าใจสิ่งที่เคยมีคนบอกตอนยังเด็กกว่านี้

วันนี้มีคนพูดเรื่องแฟนตาซี ไทย ฝรั่ง ต่างชาติ ในชาติ

ไม่อยากบอกเลยว่าเพราะผ่านการคิดอะไรกับเรื่องพวกนี้มาสิบกว่าปี ในตัวถึงเกิดปฏิกิริยา

ให้ตระหนักชัดว่า this world is illusion (โคตร ๆ) และให้ชอบ multiculture ให้สนใจโพสต์โมเดิร์น และโพสต์โคโลเนียล ให้ตั้งคำถามถึงกรอบใหญ่ และความไม่จริงของกรอบนั้น ให้ถามว่ามีสิ่งใดเหนือจากดีและชั่วอีกไหม มีอะไรมากกว่าสิ่งแข็งกระด้างที่มนุษย์พยายามยึดไว้ พยายามคิดว่าจริง ทั้งที่เพียงในเวลาสิบปี มันก็จะไม่จริง

จขบ.ก็ยึดสิ่งชอบ และพยายามถีบสิ่งที่ไม่ชอบทิ้ง เหมือนกับมนุษย์มนาคนอื่น ๆ แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าที่ชอบหรือไม่ชอบ ก็จะไปอยู่ดี

ก็เลย...สักวันหนึ่งจะเข้าใจนะ

เชื่อว่าในที่สุด ทุกอย่างจะไปถึง "ทางสายหลัก" เหมือนกันหมด เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน ป๋ายานางิซาว่าเองก็เพราะมีอายุขึ้น จึงเริ่มเข้าใจตัวตนด้านที่ตัวเองละเลยไป ด้านที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่สามารถบังคับด้วยกฎระเบียบได้

มันจะไม่มีอะไรเหลือหรอก ไม่มีเลย นอกจาก "ความเป็นมนุษย์" ของพวกเรา

เพราะอย่างนั้น ถ้าพยายาม สักวันหนึ่งก็จะเข้าใจ




 

Create Date : 27 กันยายน 2552    
Last Update : 27 กันยายน 2552 16:29:44 น.
Counter : 483 Pageviews.  

ข้ารู้แล้ว

เมื่อกี้คุยกับอนิธิน เป็นเหตุให้ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ชอบมิตโตของกรีก

คือก็รู้มาตลอดแหละว่าไม่ชอบ แต่ก็อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงไม่ชอบ เคยคิดว่าเป็นเพราะมันมีมากเกินไป ใคร ๆ ก็พูดถึง ทำให้เราเกิดแรงต่อต้าน เหมือนกับที่ใคร ๆ ต่างพูดถึงเรื่องตำนานเกิดโลกอาดัมกับอีฟ ซึ่งทำให้เราคิดว่า ตำนานเกิดโลกมีตั้งเยอะแยะ มันไม่มีอะไรให้มายึดถือหรอก

ว่าอีกอย่างคือตอนนั้นคิดว่า เพราะต่อต้านกระแสหลัก ถึงได้ไม่ชอบเรื่องกรีก

แต่การคุยกับอนิธิน ทำให้ตระหนักขึ้นมาว่า ไม่ใช่อย่างนั้น (เสียทีเดียว) เหตุแท้ ๆ ที่ไม่ชอบตำนานกรีกเป็นเพราะ "ความกลัว" และ "ความอึดอัด" ต่างหาก

ในโลกของเทพนิยายกรีก เทพเจ้าเป็น absolute มีอำนาจมากโคตร ๆ และไม่มีใครลบล้าง แต่ให้พูดตามจริงตามจริง เทพเจ้ากรีกนั้น "ชั่ว" อย่างยิ่ง ไร้แก่นสารยิ่งกว่ามนุษย์ และไม่มีความปรารถนาหรือความคิดอะไรที่จะไปให้ไกลกว่าความอยากได้ใครมีเลย

ถึงอย่างนั้น เทพเจ้าพรรค์นั้นเองที่มากำกับควบคุมมนุษย์

ตอนที่คุยกับอนิธิน ก็บอกว่าตัวเอง "ฟีล" (ซึ่งแปลว่าอาจจะไม่ใช่ความจริง แต่เป็นการตีความตามระบบคิด และข้อมูลที่มีในตัวเอง) ว่า โลกในเทพนิยายกรีกนั้นแอบเสิร์ดอย่างยิ่ง และยัง "ฟีล" อีกว่า คนกรีกนั้นหยิ่งในความเป็นมนุษย์ หยิ่งในอำนาจและสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงมีความอึดอัดใจเวลาที่ชะตากรรมเล่นตลก หรือมีหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้และไปไม่พ้น ด้วยเหตุนี้ (อีกรอบ) จึงได้สร้างเทพเจ้าจึงจากกลไกทางจิตใจที่อึดอัดนั้น บอกเล่าความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยเทพเจ้าที่โง่เขลาเบาปัญญา สักแต่ว่ามีอำนาจมากกว่า ว่าไปแล้ว รู้สึกเลยว่าเป็นโลกที่อึดอัดอยู่ในกล่องแคบ ไปไหนไม่ได้ สิ้นหวัง หายใจไม่ออก

อาจจะเพราะอย่างนั้น ถึงหายใจออกกว่ากับตำนานนอร์ส หรือเคลติก ซึ่งเทพเจ้าแม้จะมีอำนาจมหาศาล แต่ก็ตกอยู่ในกฎเกณฑ์ของโลก อยู่ในความเสื่อมถอย ความรุ่งโรจน์ เทพเจ้ามิได้มีอะไรที่แอบโซลูดไปเลย คงมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีสิ่งที่ต้องพยายามเหมือนกัน ที่เห็นชัดที่สุดคงเป็นนิทานเรื่องที่ธอร์ไปพักบ้านไหนสักบ้าน แล้วมีให้สู้กับยายแก่ หรืออุ้มแมว อะไรนี่แหละ (ลืมไปแล้ว) แต่จำได้แม่นว่า แม้แต่เทพเจ้าก็เอาชนะความชรา (หรือความตาย) ไม่ได้ ไม่อาจรั้งเยาว์วัยให้หวนคืนมาตลอดกาล

น่าแปลกที่ความรู้สึกนอบน้อมต่อชะตากรรม คือเห็นว่ามีบางสิ่งที่อาจจะข้ามไม่ได้ และไม่อาจบอกชื่อได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ความรู้สึกว่าทุกสิ่งจะต้องสูญ เทพเจ้าเคลติกต้องหลีกลี้หนีไปยังทีร์นานอค หรือเทพเจ้านอร์สจะต้องพบว่าแรกนารอค กลับให้ความรู้สึกดีกว่าเทพเจ้ากรีกที่จะคงอยู่ในกิเลสตัณหาเหนือกบาลกรูชั่วกาลนาน เป็นสิ่งที่กำจัดไปไม่ได้ ว่าอีกที คิดว่าตัวเองคงจะรู้สึกว่า "ชะตากรรม" ที่ควรนอบน้อมให้นั้น ไม่ใช่ชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาโดยสิ่งมีชีวิตที่บางทียังเสื่อมกว่าตู (เทพกรีก) แต่เป็นชะตากรรมแห่งธรรมชาติ และธรรมชาติไม่มีทั้งความดีหรือความชั่ว ไม่มีกิเลสตัณหา เป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น (และเป็นถึงธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ด้วย) การเป็นหมากรุกบนกระดานของเทพเจ้าที่เสื่อมกว่าตู และคงอยู่เช่นนั้นชั่วกาลนาน ไม่ว่าจริงหรือไม่จริง ล้วนชวนให้รู้สึกว่า ไม่มีความหวัง ทำให้เปลี้ย หมดกำลังจะกระทำการ

ว่าไปแล้ว มันก็แปลกดี อธิบายให้เคลียร์กว่านี้ไม่ได้ แต่เราคิดว่าเรารู้สึกอย่างนั้น




 

Create Date : 24 กันยายน 2552    
Last Update : 24 กันยายน 2552 15:14:25 น.
Counter : 429 Pageviews.  

เวลาที่ถูกวิจารณ์

จขบ.ชอบคำชม

ที่จริงแล้ว คิดว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกก็คงชอบคำชม และไม่อยากฟังคำตำหนิติเตียน แม้คนที่พูดว่าติมาเลย ติมาเลย ยินดีรับฟังการติเพื่อก่ออยู่แล้ว โดยแท้ที่จริงส่วนใหญ่ก็ยังชอบให้ชมมากกว่าอยู่นั่นเอง

ส่วนตัว จขบ.แล้ว คิดว่าตัวเองมีอยู่สองโหมด คือโหมดเป็นปรกติ กับโหมดยังไม่ทันตั้งตัว ถ้าอยู่ในโหมดเป็นปรกติดี ได้ทำใจร่ม ๆ ไว้แล้ว แม้มีคนติเตียนมาก็จะรับฟังได้โดยสงบ สามารถคิดตาม แยกแยะข้อมูลใส่ไปในช่อง "แก้ไขได้" "แก้ไขไม่ได้" และ "ติแบบนี้เป็นปัญหาของคนอ่านไม่ใช่ปัญหาของข้า" ได้อย่างค่อนข้างถูกต้อง เรียกว่าคัดกรองอารมณ์ที่มาบดบังออกไป เหลือไว้แต่สิ่งที่ดี จขบ.คิดว่าคนติก็ให้สิ่งดีเราเหมือนกัน เพราะทำให้เราพัฒนา

อย่างไรก็ตาม ก็มีจังหวะประมาณนี้เหมือนกันที่ จขบ. ไม่ทันตั้งตัว และตระหนกตกใจเป็นอันมากยามมีชาวบ้านมาติเตียน ด้วยความที่ว่าจขบ.เป็นคนเซนซิทีฟ ซึ่งเข้าใจว่าเกิดขึ้นเพราะ จขบ.เอาอัตตาของตัวเองไปผูกไว้กับงานเขียนมาก (คนเรายิ่งชอบอะไรมาก ก็ยิ่งเห็นของนั้นเป็นตัวเอง) เมื่อมีคนมาติเตียนงานเขียน ในจังหวะที่ยังไม่ทันตั้งตัว จขบ.จะเจ็บปวดอย่างยิ่ง รู้สึก painful รุนแรงเหมือนมีคนมาทำร้ายตัวเองจริง ๆ และรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นอันตราย อนึ่งเพื่อป้องกันอันตรายจากความรู้สึกนี้ บางที จขบ.ก็ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำเป็นการป้องกันตัว เช่น ติเตียนตัวเองไว้ก่อนที่ชาวบ้านเขาจะมาติ คิดว่าการทำอย่างนี้เป็นการพยายามแยกตัวออกจากงานโดยอัตโนมัติ หรือเป็นจิตวิทยาที่จขบ.ยังอธิบายการเกิดขึ้นของมันให้ออกอย่างชัดเจนไม่ได้ หรืออีกอย่างหนึ่ง ที่จขบ.ก็รู้ตัวว่าตัวเองทำ แต่ยังแก้ไม่ได้สักที คือจขบ.จะกางบาร์เรียดึ๋ยบางอย่างไว้รอบตัว เพื่อเป็นสัญญาณว่า "สูอย่าได้มาวิจารณ์ข้า" อีบาร์เรียดึ๋ยนี้จขบ.เอามันลงไม่ได้สักที คิดว่าสักวันหนึ่งจะเอาลงให้ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น จขบ.ไม่ได้อยากให้ชาวบ้านเจ็บปวดเวลาที่มาวิจารณ์จขบ. แล้วจขบ.ก็พองขนเม่นกลับทันที (แน่นอนว่าตัวละครของข้าทุกตัวล้วนมีส่วนเหมือนข้าไม่มากก็น้อย รวมทั้งอีตาท่านชายเอลาซด้วย) แต่บางทีจขบ.ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ และจขบ.ก็เสียใจ แต่ในทางกลับกัน บางทีเวลาที่มีคนมาวิจารณ์ให้จขบ.เจ็บปวด จขบ.ก็จะฝังใจอย่างยิ่ง (ชีมีระบบทำลายตัวเองด้วยการรีพีทเหตุการณ์ที่เคยเจ็บปวดกลับมาคิดถึงซ้ำ ๆ ด้วย นี่เป็นของอีกอย่างที่อยากกำจัดออกไปจากตัว) โดยเฉพาะเวลาที่วิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรม และจขบ.ไม่สามารถโต้ตอบได้ เนื่องจากได้ถือฐานะนักเขียนไว้แล้ว และเมื่อเป็นนักเขียน งานออกไปสู่สาธารณะย่อมเป็นสมบัติสาธารณะ เป็นราคาที่เราได้จ่ายไปเองเพื่อการเป็นนักเขียน อนึ่งนี่ยังดีว่าข้ายังไม่มีชื่อเสียงมากนัก ยิ่งมีชื่อเสียงเท่าไร คำชมยิ่งมาก คำติฉินนินทาก็ยิ่งมากเท่ากัน

ว่าไปอย่างนั้น มิได้หมายความว่าจะบอกว่า จขบ.เป็นมนุษย์แก้วเปราะบาง กรุณาแตะต้องด้วยความระมัดระวัง เพียงแต่เป็นการแชร์ความอ่อนแอของมนุษย์ออกมา จขบ.รู้ว่าตัวเองเจ็บง่าย แต่แม้นมีคนมาทำให้เจ็บ จะให้ทำอย่างไรได้ เราไปควบคุมเขาไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่ง เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ และจขบ.เองก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บมากเท่า ๆ กันได้ง่าย ๆ ด้วย (และเคยทำมาแล้ว) ด้วยเหตุนี้จึงควรว่าเขียนบล็อคนี้ไว้เตือนตัวเองด้วย เตือนว่าคนที่ควบคุมได้ก็มีแต่ตัวเอง ถ้าหากจะดีขึ้นได้ ก็มีแต่ต้องพัฒนาที่ตัวเอง




 

Create Date : 16 กันยายน 2552    
Last Update : 16 กันยายน 2552 22:25:12 น.
Counter : 412 Pageviews.  

speak the truth

ตั้งแต่เด็ก ๆ มา พ่อของจขบ.มักอยากให้ลูกพูดเก่ง พูดเก่งนี้ไม่ได้หมายความว่าให้พูดจาเป็นต่อยหอยแต่ประการใด แต่หมายความว่าเมื่อไปอยู่ในที่ชุมนุมชน ก็ให้พูดสปีชให้ดี ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ดูเหมือนว่าการพูดสปีชได้ดีจะเป็นความดีอย่างหนึ่งในโลก ซึ่งบางทีก็ทำให้จขบ.เกิดนึกถึงสมัยโรมันโบราณ ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายจะต้องพูดสปีชให้ดี ไม่อย่างนั้นก็อาจจะไม่มีเกียรติไม่มีหน้าไม่มีตาในสังคม ถือว่าเป็นวิชาที่กุลบุตรจะต้องเรียน (ส่วนกุลธิดาในเมืองโรมันเป็นพลเมืองชั้นสอง ดังนั้นช่างมันเถอะ)

ที่จริงแล้ว ตั้งแต่แรกมา จขบ.ก็บอกไม่ได้ว่าตัวเองพูดเก่งหรือไม่เก่ง คือว่ากันจริง ๆ จขบ.เป็นคนเสียงดัง (โดยไม่รู้ตัว เป็นความบัดซบอย่างหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน) และตัวใหญ่ ดังนั้นเวลาที่อยากจะเด่นมันก็เด่นได้พอสมควร และที่จริงแล้ว จขบ.ก็เป็นมนุษย์จริงจัง (ในบางวาระ) ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมารวมกันแล้ว เอาเป็นว่าเคยมีคนเห็นว่า "พูดได้ดี" เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้พิศวาสการพูดในที่ชุมนุมชน คือบางทีเวลาตกใจแล้ว จะไม่ได้ยิน "เสียงของตัวเอง" และคุมไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง อีกประการหนึ่งคือ จขบ.เป็นมนุษย์ฝังใจอย่างยิ่ง คือถ้าใครคอมเมนต์อะไรที่มันกระทบแล้ว ชีจะจำอยู่นั่นแล้ว แม้ผ่านไปหลายปีก็ไม่ลืม และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเขาว่าที่พูด ไม่ได้ว่าชี รวมทั้งไม่ได้ว่าที่พูดทุกครั้ง แต่ว่าเฉพาะครั้งนั้นด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จขบ.เชื่อว่าคนที่ว่าด้วยใจจริง จขบ.มักจะไม่เดือดร้อน แต่คนประเภทที่ไม่ได้ว่าด้วยใจจริง แต่ว่าเพราะตัวเองนั่นแหละมีปม หรือเพราะพูดจาลักปิดลักเปิด บอกไม่หมด ชวนให้จขบ.จิ้นต่อ จขบ.จะฝังใจเอามาก ๆ คือว่า จขบ.ชอบคนที่เป็นตัวเขาเอง คิดอะไรก็พูด ด่าก็ไม่เป็นไร ส่วนคนที่เป็นบ้าอะไรของมรึงจะอมไว้ทำไมนั้น จขบ.ไม่เข้าใจ และเมื่อไม่เข้าใจก็เลยคิดไปเอง

แน่นอนว่ามีจังหวะอะไรประมาณนี้ ที่จขบ.เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง เลยขยายภูมิรู้เป็นการใหญ่ และในจังหวะอย่างนั้น บางทีก็มีคนรู้มากกว่าอยู่ในวง มีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้สองกรณีคือ ไอ้คนนั้นฉีกหน้าตูทันที (ย้าก) หรือไม่อย่างนั้น ไอ้คนนั้นก็ไม่ฉีกหน้า แต่ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้จขบ.รู้ว่าแกรู้ว่าฉันไม่รู้ แต่ฉันไม่ฉีกหน้าแกหรอก ฉันสุภาพ ซึ่งแบบนี้จขบ.ก็ไม่ชอบเหมือนกัน คือมันมีอะไรความซับซ้อนหลายอย่างระหว่างการฉีกหน้า กับการพูดความจริง และการอมไว้ไม่พูดหรอกแต่กรูรู้ หรือการนิ่งไว้จนจบการสนทนาอย่างสุภาพ แล้วค่อยบอกความจริงกับไอ้คนพูดผิดทีหลัง อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่ว่า คือมันมีจังหวะที่จขบ.แยกตัวเองออกจากบทสนทนาได้ และจังหวะที่จขบ.คิดเอาเองว่า ตัวกรูคือบทสนทนานั้น อีโก้กรูคือสิ่งนั้น

พูดถึงเรื่องแยกตัวเองจากการพูด (หรือการกระทำ หรืออะไรอื่น ๆ เหล่านี้) ก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ควรพูดถึงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ สิ่งที่ตั้งใจจะเขียนก็คือ จขบ.เริ่มรู้สึกแล้วว่าวิธีการพูดให้สบายหน่อย (สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง) คือการพูดความจริง คือถึงยังไงก็ไม่มีทริคอะไรมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และยิ่งกลัวเท่าไร ก็ยิ่งหลุดปากไปมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงควรปล่อยวางไปเลยเสียดีกว่า ว่าอะไรออกจากปากข้าไปแล้ว ข้าก็ไม่มีทางไปบิดไปอธิบายให้มนุษย์โลกทุกคนที่ฟังเข้าใจตรงกันกับข้าอยู่นั่นเอง เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว เมื่อพูดอะไรออกไปก็พูด ไม่ต้องคิดว่าอีกมันจะรักฉันไหม มันจะเข้าใจฉันผิดไหม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าการปล่อยพูดความจริงไปเลย อยู่ที่อารมณ์ในตอนนั้นด้วย ดีที่สุดคือทำอารมณ์ตอนนั้นให้มันนิ่งหน่อย ให้มันรู้สึกกับคนที่ฟังอยู่

จขบ.สงสัยว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น จะถูกหลอกให้พูดไหม คือหลอกว่าให้ตอบอะไรที่อีกฝ่ายอยากตอบ จขบ.มีประสบการณ์ว่ามีคนมาสัมภาษณ์ เขาชวนคุยสนุกมาก เราก็คุยไป แต่ถึงเวลามันเอาบทสัมภาษณ์ตูไปตัดเอาเฉพาะที่ตัวเองชอบ มาประกอบร่างใหม่เป็นอีบ้าที่ไหนไม่รู้ ไม่ใช่ตูสักนิด เป็นเหตุให้ตูช็อคอย่างยิ่ง อะไรวะตอบตั้งยาว ตัดเหลือหนึ่งบรรทัด เลือกเอาเฉพาะตรงที่พูดแรงที่สุดด้วย จขบ.อดคิดไม่ได้ว่านายคนนี้คงสร้างความด๋อยในชีวิตชาวบ้านอีกไม่น้อย แต่เอาเถอะ เราคงไม่โคจรกลับมาเจอกันอีกแล้ว

ในกรณีสัมภาษณ์ที่ควบคุมไม่ได้ อันนี้จขบ.ไม่ได้เป็นคนคุม มันเป็นคนคุม เพราะมันมีหน้าที่เซนเซอร์ให้จขบ. แต่ในที่ที่ไม่มีใครเซนเซอร์จขบ. เช่นเวลาสปีชหรือตอบคำถามต่อหน้ามนุษย์โลกเล่า จขบ.ก็สงสัยเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง มีคนเคยบอกว่า เขายิงมุกมาแล้ว จขบ.ไม่รับเลย (บอกแล้วว่าข้าเป็นมนุษย์ฝังใจ) อันนี้จขบ.ฝังใจโคตร ๆ เออ มุกคืออะไร มีมุกจริง ๆ หรือ แล้วตอนนั้นการไม่รับเป็นความผิดขนาดนั้นเลยหรือ และอื่น ๆ และอื่น ๆ เพราะจขบ.กลัวว่าเมื่อตัวเองไม่ทำอย่างนั้นแล้ว จะเกิดความน่ากลัวชั่วร้ายต่าง ๆ ในชีวิต และเพราะจขบ.ยังไม่เข้าใจมาถึงตอนนี้ว่า อะไรคือมุกที่มันยิงมาโว้ย ดังนั้นบอกแล้วว่าอย่าอม ถ้าอมไว้จขบ.จะจิ้นเอาเอง ตรงไหนที่คิดก็บอกออกมา จะได้ไม่ต้องจิ้นเอาเอง และจะได้ไม่นอนไม่หลับด้วย

อืมม แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ก็เริ่มคิดว่า การวิจารณ์ก็ต้องวิแบบนิ่ง ๆ เหมือนกัน ไอ้แบบวิจารณ์ว่าเกลียดตัวละครนี้จัง เคี๊ยะมันออกไปที นี่จขบ.ทำอะไรให้ไม่ได้ และมีคำวิจารณ์หลายอย่างซึ่งเป็นปมของคนวิจารณ์เอง คนพูดหรือคนเขียนก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน นอกจากฟังตาปริบ ๆ (ว่าไปแล้ว จขบ.ก็เลยเอาปมตัวเองไปวิจารณ์ชาวบ้านเหมือนกัน) สรุปแล้วก็ดูเหมือนจะยากเหมือนกัน

(ขี้เกียจเขียนต่อแล้วอะ ไว้สักวันคงได้พูดถึงทอปปิคนี้อีกนะ ว่าแล้วก็เลิกดื้อ ๆ...)




 

Create Date : 02 กันยายน 2552    
Last Update : 9 กันยายน 2552 7:32:15 น.
Counter : 401 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.