The power of an authentic movement lies in the fact that
it originates in naming and claiming one's identity and integrity
-- rather than accusing one's "enemies" of lacking the same.
- Parker J. Palmer, The Courage to Teach
Group Blog
 
All blogs
 

defragment สมอง

ยังคงเปื่อย ( และเลื่อนลอย )

ช่วงที่ป่วยจะนอนเยอะมาก ๆ ( แต่ทำให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน ) พอนอนเยอะมาก ๆ แล้วก็ฝันเยอะมาก ๆ ด้วย

ที่จริงก่อนหน้านี้อ่านรีดเดอร์ไดเจสต์เรื่องความฝัน ก็เกิดแรงบันดาลใจว่าจะลองบันทึกฝันของตัวเองดู เห็นเขาบอกว่าถ้าบันทึกฝันแล้วดูสถิติไปเรื่อย ๆ ก็จะอ่านออกว่าตอนนั้นสภาพจิตใจ ร่างกาย และอื่น ๆ ของตัวเองเป็นยังไง ( ฟังดูละม้ายแม้นจะเป็น mystic power นิด ๆ )

แต่ไป ๆ มา ๆ เอาสมุดวางไว้หัวเตียงก็ไม่ได้จดไว้

ที่เกิดขึ้นจริง ๆ คือช่วงที่ตื่นใหม่ ๆ ยังนอนแหงแก๋อยู่บนเตียง จะทบทวนความฝันเท่าที่จำได้ ไป ๆ มา ๆ ก็พบว่าเรื่องที่ตูฝันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องก่อนนอน ประมาณว่าก่อนนอนเล่นเกมฮาร์เวส มูน ( ไปขุดมาเล่นเพื่อสะกดจิตตัวเองให้ง่วง ) พอนอนก็ฝันว่าทำฟาร์ม คุยกะสาว คุยกะคนในเมือง แถมคนในเมืองยังสั่งสอนว่ามีความลับที่คนทำเกมไม่รู้ซุกซ่อนอยู่อีกต่างหาก ( เริ่มน่ากลัว ) ถ้าก่อนนอนอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่จะฝันเกี่ยวกับเรื่องในหนังสือ

บางทีก็ฝันร้าย ปรกติพอฝันร้ายแล้ว อีเวนท์เดิมมันจะเกิดซ้ำ ๆ และตัวเราในฝันจะพยายามแก้อยู่ตลอดเวลาให้มันกลายเป็นอีกแบบ จะเป็นอย่างนี้เวลาที่มีเรื่องซีเรียสเกิดขึ้นในไม่ช้า ( เช่นต้องส่งงาน ) เราจะรีพีทอีเวนท์นั้นและพยายามแก้ แล้วก็จะฝันเรื่องเดิม แล้วรีพีทอีเวนท์เดิมอีก ประหนึ่งว่าความฝันเป็นดัมมี่ให้ลองว่าถ้าเจอจริง ๆ จะเป็นยังไง ( แต่ส่วนใหญ่พอเจอจริง ๆ มักจะไม่เลวร้ายเท่าที่ฝัน )

เคยไปสัมมนาเรื่องความฝันที่คณะ เป็นโครงการจากศูนย์ทิเบตศึกษา ( จำไม่ได้ว่าสังกัดที่ไหนและชื่อนี้แน่หรือเปล่า ขอโทษนะคะ ^^' ) ได้เอกสารเกี่ยวกับความฝันและ "บาโด" ( ภาวะระหว่างฝันและตื่น ) มาปึกนึง แต่ยังไม่ได้อ่านเลย

ในสัมมนาคราวนั้น มีคุณคนนึงแกเสนอความเห็น ( แบบครึ้ม ๆ ไม่ได้เอาจริง ) ว่าความฝันอาจจะเหมือนกับการ defragment สมอง คือวันหนึ่ง ๆ สมองรับข้อมูลไว้มาก พอตกกลางคืน สมองอาจจะจัดประเภทและจัดการกับข้อมูลพวกนั้น ด้วยเหตุนี้ ถ้าวันไหนมีอะไรเทโครมมาใส่มาก ก็อาจจะฝันมากเป็นพิเศษ คนที่บอกว่าไม่ได้ฝันที่จริงก็อาจจะฝัน แต่ลืมไปแล้ว เพราะถ้าทฤษฏีนี้เป็นจริงการไม่ฝันเลยจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตมาก

ก็ว่ากันแบบสนุก ๆ แหละนะ

แต่สิ่งที่เราแปลกใจเกี่ยวกับความฝันที่สุดก็คือ

๑.ทำไมอีเวนท์ในฝันจะดูให้อารมณ์เอกซตรีมกว่าจริงเสมอ ( สนุกเว่อร์ เศร้าเว่อร์ ) พอตื่นขึ้นมาทบทวนอีกครั้งมักจะรู้สึกว่ามันสนุกหรือเศร้า "ขนาดนั้น" ตรงไหน ( วะ )

๒.ทำไมเราต้องตื่นตอนฝันถึงไคลแมกซ์ทุกครั้ง และไม่เคยได้รอดูจนถึงตอนเรื่องโทนดาวน์เลย ( ฝันของฉันเต็มไปด้วยพล็อตที่ไม่จบ )

บางที เวลาฝันร้ายที่เหมือนจริงมาก ๆ แล้วตื่นขึ้นมาพบว่ามันเป็นแค่ความฝัน จะรู้สึกดีมาก ๆ เหมือนเออดีจังนะที่มันเป็นแค่ฝัน ดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ โลกยังมีความหวัง คนที่รักยังไม่เป็นอะไร บลา ๆ

บางทีจิตมันอาจจะให้ฝันร้ายเพื่อตบหัวให้รู้สึกว่าที่จริงโลกนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะ




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:52:48 น.
Counter : 542 Pageviews.  

คุณเคียวกับข้าวแฝ่

( ข้าวแฝ่หมายถึงกาแฟ เป็นภาษาเก่า ๆ )

คุณเคียวชอบข้าวแฝ่ ( อย่างยิ่ง )
คุณเคียวเขียนเรื่องแล้วไม่มีข้าวแฝ่
คุณเคียวจะลงแดงชักดิ้นชักงอ

คุณเคียวกินข้าวแฝ่ไม่ยาก
ถ้ามีตังค์ก็กินข้าวแฝ่หรู
ถ้าไม่มีตังค์ก็กินข้าวแฝ่แป๊ะ
ถ้าอนาถากระยาจกก็กินข้าวแฝ่สำเร็จรูป

คุณเคียวชอบนมเยอะ ๆ
แต่ไม่ชอบหวาน
ยิ่งหวานเท่าไหร่จะยิ่งเกลียดเท่านั้น
คุณเคียวไม่ชอบเปรี้ยวด้วย
ข้าวแฝ่ที่ดีควรจะขมและ..อืม รสกลม ๆ ( แปลว่าอะไรหว่า )

คุณเคียวลิ้นแมว
คุณเคียวจึงไม่ชอบข้าวแฝ่ร้อน
และจะกินเฉพาะบางโอกาส

ดังนั้นสุนทรียศาสตร์ฉบับข้าวแฝ่
ที่ว่าร้อนเหมือนนรก
จึงใช้กับคุณเคียวไม่ได้
เพราะคุณเคียวจะเห็นแต่นรกจริง ๆ
และไม่เห็นนางฟ้านางสวรรค์อะไรเลย

ข้าวแฝ่ที่ดีควรกินกับเค้กแข็ง ๆ
เช่นสโคน
แต่ที่จริง
คุณเคียวกินข้าวแฝ่แกล้มกับอะไรได้หลายอย่าง

และถ้ามีคนเลี้ยง

จะไม่จุกจิกมากนัก...




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:50:44 น.
Counter : 543 Pageviews.  

I wanna live in Paradise

หัวข้างบนมาจากเรื่อง Emperor's Journey เป็นส่วนหนึ่งของเพลงธีมของเรื่อง imply เหมือนว่าเป็นลูกนกเพนกวินร้อง เนื้อเพลงถ้าบวกกับเรื่องแล้ว ก็มีความหมายรวม ๆ เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่รอด

ที่จริงที่ที่เพนกวินอยู่มันเป็น "สวรรค์" หรือเปล่าก็ว่าไม่ถูก เพราะชีวิตมันทรหดอดทนพอสมควร จะว่าไปแค่การมีชีวิตอยู่ในรอดก็เป็น "สวรรค์" แล้ว

ถ้าคนเราคิดแบบนั้นได้ก็ดีสิเนอะ ถ้าชีวิตเรามันยากลำบากบัดซบ กว่าจะรอดจนโตมาได้ก็กระเสือกกระสนเกือบตาย การมีชีวิตอยู่มันอาจจะมีค่ากว่านั้น การกระทำแต่ละการกระทำอาจจะเต็มไปด้วยเจตน์จำนงกว่านั้น นาทีแต่ละนาทีอาจจะมีความหมายเท่ากับชั่วนิรันดร์ และ "ความสุข" อาจจะเรียบง่ายกว่าที่เป็นอยู่นี้

แต่ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ ก็ควรจะไปดูความยากลำบากของสัตว์อื่นบ้าง

บางทีอาจจะทำให้รู้สึกเลือน ๆ ขึ้นมาว่าชีวิตมันมีค่ากว่าที่คิดก็ได้




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:50:15 น.
Counter : 420 Pageviews.  

ความจ๊าดง่าวของการคิดไปเอง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เราเคยเห็นอาจารย์ธีรยุทธ บุญมีอยู่ในร้านสตาร์บัค ( กำลังอ่านหนังสือฝรั่งหน้าตาว่ายากแหง ๆ )

ตอนที่เห็นตอนแรกเราโจ๊กกับเพื่อนกึ่งเล่นกึ่งแปลกใจจริง ๆ ว่า เออ อาจารย์มาอยู่ในร้านสตาร์บัคได้ยังไง เราคิดว่าแบบอาจารย์ไม่น่าจะมาอยู่ในร้านแบบนี้ ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นมันเป็นร้านของบรรษัทข้ามชาติ และคนแบบอาจารย์ย่อมจะไม่ชอบ

เพื่อนเราก็ขำ แต่มาคิดอีกที เราคิดว่าตัวเรานี่จ๊าดง่าว

คือว่าเราตัดสินคนจากอะไรเหรอ แล้วทำไมเราถึงจะคิดว่าอ.ธีรยุทธจะกินกาแฟสตาร์บัคไม่ได้ ( กินเอสเปรสโซ่ด้วยแหละ ที่รู้เพราะเห็นแก้วเล็ก ) พอคิดด้านกลับเราก็รู้สึกตัวว่าตัวเราถูกขังอยู่ในมายาคติของตัวเอง เหมือนกับที่คนบางคนชอบกะเกณฑ์เอาว่าดารานักร้องต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คนดัง ๆ ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เราคิดว่าการที่คนเราไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้อย่างแท้จริง มันทำให้เกิดความจำเป็นที่จะสร้าง "ประเภท" ขึ้น จากนั้นก็ถีบคนที่เจอลงไปในประเภทต่าง ๆ แล้วก็เพียรใช้มายาคติที่ตัวเองมีในการประกอบสร้างความสัมพันธ์ บางคนเก่งหน่อยใช้ศิลปะมัดใจคนได้ดี ก็รู้จักพูดให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนคนที่ไม่เก่งหรือจัดประเภทผิดไปหน่อย ก็อาจจะเกิดความซวยแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ ( เช่นนึกว่าล้อคนประเภทนี้แล้วมันไม่เอาเรื่องแน่ ๆ ที่ไหนได้วันรุ่งขึ้นถูกดักตีหัวแตก )

เราคิดคนที่เป็นคนสาธารณะมักจะต้องรับเคราะห์จากมายาคติพวกนี้มากเป็นพิเศษ แต่อีกทีหนึ่ง ก็คิดว่าการยอมตัวเป็นคนสาธารณะเท่ากับตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะต้องเจออะไรอย่างนี้ ถ้าคิดจะเอาแต่ดีไม่เอาเสียก็ออกจะเกินไปหน่อย

เราคิดว่าการคิดไปเองเป็นความสะดวก เพราะทำให้สามารถจัดการกับเรื่องบางเรื่องได้รวดเร็วขึ้น แต่อีกทีหนึ่ง เราก็คิดเหมือนกันว่าการคิดไปเองคือความจ๊าดง่าว เพราะมันทำให้มองคนนั้น ๆ เหมือนลังกระดาษแบน ๆ ที่ไม่มีด้านลึก ( แต่ว่าบางทีเราก็ไม่ต้องการด้านลึกนักหรอกนะ )

มีคนบอกเราว่าไปแก้อะไรที่คนอื่นไม่ได้หรอก ต้องแก้ที่ตัวเอง คนอื่นเขามีแต่สะท้อนตัวเรา แต่คิดอีกทีเราคิดว่าคนอื่นสะท้อนตัวเราจากทัศนคติที่เขามีต่างหาก อย่างเช่นถ้าช่วงนั้นเราไม่ได้บ้ากลืนกินเรื่องของสวนเงินมีมา เราก็จะไม่คิดว่าสตาร์บัคเป็น "บรรษัท" และเราจะไม่คิดเอาเองว่าคนอย่าง อ.ธีรยุธ ( ซึ่งจริง ๆ เราก็เคยได้ยินแค่ชื่อ ) จะไม่มานั่งร้านแบบนี้

ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ไหน ทัศนคติก็ยังเป็นตัวตัดสินอะไรหลายสิ่งหลายอย่างอยู่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่ไปถึงจุดหมายก็มีหลายสาย เพราะอย่างนั้นต้องเตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่าคนที่เขาไม่เหมือนเรา จริง ๆ แล้วเขาก็มีหัวใจ




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:49:44 น.
Counter : 427 Pageviews.  

ดื้อเงียบ

มีน้องบอกว่าเราดื้อเงียบ

รู้สึกหลายปีก่อนแม่ก็เคยบอกเหมือนกัน ทำนองว่าถึงจะไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยนี่นะ ที่ไม่พูดเป็นเพราะขี้เกียจยุ่งต่างหาก สรุปว่าไม่ได้เห็นด้วยกะใครง่าย ๆ แต่ทะเลาะกับเขาไม่ทัน เลยทำให้ประเด็นตกไปอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการ "ยอม"

นึก ๆ ดูสงสัยจะจริงเหมือนกัน ก่อนนี้เคยมีเรื่องหลายเรื่องที่ตกไปด้วยการยอมโดยแท้ เช่นหลายปีก่อนเคยมีคนยืนยันว่าเรื่องของเรามีเท่านี้ ๆ บท เราบอกว่าไม่ใช่ มีเท่านี้ ๆ บทต่างหาก เพราะเราแก้ของเก่าแล้วปรับลดบทลงแล้ว แต่หลังจากเถียงกันสักพัก ในที่สุดเราก็แก้ปัญหาด้วยการไปตัดบทให้กลับเป็นเท่านั้นบทแล้วส่งไปให้ ความรู้สึกตอนนั้นกึ่ง ๆ อยู่ระหว่างอารมณ์ขันแปลก ๆ กับความงง ทำนองว่าก็ฉันเป็นคนเขียนไม่ใช่เหรอ

บางทีก็ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจตัวเอง บางทีก็โกรธที่ตัวเองยอมอยู่เรื่อย แต่บางทีก็รู้สึกลอยแปลก ๆ เหมือนกับว่าเอาอะไรมาก ที่จริงแล้วทุกอย่างมันก็สมมุติขึ้นมา ( ไอ้ความคิดว่าสมมุติขึ้นมานี่รู้สึกได้ตลอดเวลาคงดีนะ แต่ก็อาจจะทำให้ทำอะไรไม่ได้เลยก็ได้ )

บางทีก็คิดว่าสิทธิของคนแต่ละคนคืออะไรนะ แล้วการต่อสู้เพื่อสิทธิคืออะไรกันแน่

สิทธิพื้นฐานของคนแต่ละคนเริ่มต้นที่ตรงไหน แล้วจนถึงตรงไหนถึงจะเรียกว่า "ประนีประนอม" ถึงแค่ไหนถึงจะเรียกว่า "ล่วงล้ำ" เราคิดว่าบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ และเข้าใจได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นการเหยียดผิว ในที่สุดแล้วก็มีเวลาที่กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากจนน่าสงสัยเหมือนกัน เช่นในเมืองอเมริกันเดี๋ยวนี้ ถ้าเขียนให้คนผิวดำเป็นตัวร้าย ความรู้สึก "เหยียด" จะกระฉูดขึ้นมาทันที แต่ถ้าเขียนคนผิวขาวเป็นตัวร้ายก็กระนั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันก็คือ "มนุษย์" เหมือนกัน เรื่องระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายก็เหมือนกัน ความรู้สึกถึงเรื่องสิทธิอย่างรุนแรง บางครั้งก็ทำให้พวกเฟมินิสต์ขาดการประนีประนอม ในที่สุดคนก็เลยนึกว่าพวกเฟมินิสต์เป็นพวกติงต๊อง ยัยอัปลักษณ์ขึ้นคาน ผู้ชายทิ้งเลยมาเย้ว ๆ งี่เง่า ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป และมันมีนัยที่ลึกกว่านั้นหลายเท่า

ยิ่งเซนซิทีฟมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้ายิ่งไม่เซนซิทีฟมากเท่าไร ก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้นเหมือนกัน

เราเป็นคนเซนซิทีฟ ( ในบางเรื่อง ) และถูกสอนให้เซนซิทีฟ แต่ในขณะเดียวกัน ก็หนาแน่นไปด้วยอัตตาทั้งปวงที่มนุษย์เขามีกันเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นปฏิกิริยาของเราเวลาที่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จึงมักจะเป็นการถอยออก แต่เพราะว่าอัตตาที่มีอยู่ ทำให้ตัวเราถอย แต่ใจเราไม่ได้ถอยเสมอไป มันเป็นแบบนี้

ที่จริงมันไม่ควรเป็นอย่างนั้น มันน่าจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการเรียกร้องเพื่อตัวเอง กับการตั้งอยู่ในความสงบ และละอัตตาบ้า ๆ ที่เอามายัดไว้ในใจของตัวเองทิ้ง ๆ ไปเสียบ้าง แต่มันก็เป็นอย่างนี้ประจำ และเราก็เป็นคนที่อยู่ตรงกลางประจำ

มีเวลาที่อยากจะ stoic แล้วก็มีเวลาที่อยากจะแก้แค้น ทำให้เจ็บให้ปวดให้ถึงใจ

แต่เราคิดว่าคนเราทุกคนมีระบบนิรภัยบางอย่างในตัวเอง เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมนั้น ๆ ที่ตัวเองอยู่ได้ ระบบนิรภัยมักจะเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูหล่อหลอมในสังคม คนนอกบางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีระบบนิรภัยนี้ มีไปทำไม บางทีคนในก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เลยพยายามกระทืบระบบนิรภัยเสียพินาศ จากนั้นพอเห็น monster ข้างในที่ถูกปล่อยออกมา ก็พากันหวาดกลัวฮือฮาว่ามนุษย์นี้ชั่วร้ายกระไรเลย

สรุปว่าจากเรื่องดื้อเงียบก็มาถึงเรื่องมอนสเตอร์อย่างเงียบ ๆ ( และงง ๆ )




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2549    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2551 23:48:47 น.
Counter : 387 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

ลวิตร์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ลวิตร์ = พัณณิดา ภูมิวัฒน์ = เคียว

รูปในบล็อค
เป็นมัสกอตงาน Expo ของญี่ปุ่น
เมื่อปี 2005
น่ารักดีเนอะ

>>>My Twitter<<<



คุณเคียวชอบเรียกตัวเองว่า คุณเคียว
แต่ที่จริง
คุณเคียวมีชื่อเยอะแยะมากมาย

คุณเคียวมีชื่อเล่น มีชื่อจริง
มีนามปากกา
มีสมญาที่ได้มาตามวาระ
และโอกาส

แต่ถึงอย่างนั้น
ไส้ในก็ยังเป็นคนเดียวกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินข้าวแฝ่ (กาแฟ ) เหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
ไส้ในก็ยังชอบสัตว์ (ส่วนใหญ่)
ไส้ในก็ยังชอบอ่านหนังสือ ชอบวาดรูป
ชอบฝันเฟื่องบ้าพลัง
และชอบเรื่องแฟนตาซีกับไซไฟ
(โดยเฉพาะที่มียิงแสง )

ไส้ในก็ยังรู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ
และใช้ถ้อยคำเดียวกันมาอธิบายโลกภายนอก

ไส้ในก็ยังคิดเสมอว่า
ไม่ว่าเรียกฉัน
ด้วยชื่ออะไร

ก็ขอให้เป็นเพื่อนกันด้วย




Friends' blogs
[Add ลวิตร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.