พลัดถิ่น กิน เที่ยว ช้อปฯ ไปกับรักครั้งสุดท้าย
Group Blog
 
All blogs
 

ชิมอาหารจากถนน Huaihai ถึง Yu Yuan

บล็อกก่อนโน้นเล่าถึงร้านที่อยู่บนถนนหวยไห่แถวๆ ตะวันตกไปแล้ว มาบล็อกนี้จะเป็นส่วนที่เหลือไล่ไปจนถึงอวี้หยวนเลยค่ะ อาจจะมีแวะออกถนนข้างๆ บ้างนะคะ

เริ่มที่ร้าน Yong he da wang ซึ่งอยู่ที่หน้าตลาดเซี่ยงหยาง (ตรงนี้ก็มีโยชิโนยาอยู่ใกล้ๆ กัน) ตัวอย่างอาหารอยู่ในบล็อกชวนชิมแถว Xujiahui แล้วค่ะ

เดินต่อมาที่ร้าน Lei garden seafood ร้านนี้ไม่มีชั้นล่างค่ะ (ล่าสุดเค้าย้ายไปไหนก็ไม่ทราบ เพราะตึกแถวโซนตลาดเซี่ยงหยางถูกทุบทั้งแถบ) จะเห็นเป็นห้องกระจกคูหาเดียว มี Stand ตั้งเมนูให้ดูก่อนที่หน้าประตุแล้วก็มีลิฟท์ ถ้าอ่านเมนูแล้วถูกใจค่อยขึ้นไปค่ะ

ร้านนี้เน้นอาหารสไตล์ฮ่องกง พวกติ่มซำ เป็ดย่าง หมูกรอบ ฯลฯ และอาหารทะเล เผือกทอดและสเต็คเป๋าฮื้ออร่อยมากกกกกก แต่ไม่แนะนำพวกซุปค่ะ ลืมถ่ายรูปในร้านมาทั้งที่ทานประจำ เอารูปหน้าร้านไปก็แล้วกันค่ะ


เดินไปถึงสี่แยกระหว่างถนน Huaihai และ Shanxi Nan (= south) lu ตรงที่มีสถานีรถไฟใต้ดินชื่อ Shanxi nan lu
ถ้าเดินเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Shanxi มุ่งหน้าไปทางเหนือ จะเจอร้านอาหารเซี่ยงไฮ้ชื่อ Shanghai renjia ซึ่งมีอยู่หลายสาขาทั่วเซี่ยงไฮ้


ช่วงเข้าหน้าหนาวประมาณปลายต.ค.ถึงธ.ค. จะเป็นช่วงทานปูขน (Da4 zha2 xie4 = ต้าจ๋าเชี่ย) ค่ะ


ของทานเล่นค่ะ ปากเป็ดทอด (เหมือนบ้านเราแต่ไม่มีน้ำจิ้ม) แล้วก็ขาหมูเย็นค่ะ


ปูขนที่ทำเสร็จแล้ว พนักงานแนะนำให้ทานกับบะหมี่ค่ะ (ก็ต้องเชื่อเค้าแหละนะคะ) ถ้วยใสๆ นั้นไม่ใช่ซุปหรือน้ำจิ้มนะคะ เป็นน้ำล้างมือค่ะ ส่วนที่เห็นถ้วยขาวๆ นั่น เป็นน้ำจิ้มแค่ถ้วยเดียวคือที่มีขิงสับลอยอยู่ นอกนั้นเป็นน้ำชาค่ะ ชาธรรมดา กับ เก๊กฮวย


ไหน....แกะดูข้างในกันหน่อยซิ (มันอาจจะไม่ค่อยน่าทานเท่าไหร่นะคะ เพราะสั่งเค้าว่าเอาที่ตายแล้วเท่านั้น อยากกินแต่ใจเสาะค่ะ)


พวกไส้หมูพะโล้ก็อร่อย ไม่กลัวอ้วนก็ลุยได้เลยค่า

ร้านนี้มีของอร่อยหลายอย่างที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา หากใครได้ไปลองสั่ง หมูในกระบอกไม้ไผ่กับ Mapo tofu ทานด้วยนะคะ ไม่ผิดหวังค่ะ รับรอง


ถ้าไปได้เดินออกนอกถนนไปที่ร้าน Shanghai Renjia แต่เดินต่อไปบนถนนหวยไห่ มุ่งหน้าถนน Ruijin ก็จะเจอกับร้านดัง (สำหรับทัวร์และนักท่องเที่ยว) คือ ฉวนจู้เต๋อ (Quanjude) ซึ่งมีสาขามาจากปักกิ่งค่ะ


เป็ดปักกิ่งค่ะ มาแล่กันตรงหน้าเลย ที่นี่หั่นหนังติดเนื้อมาค่ะ แป้งมีกลิ่นแป้งนิดหน่อย อาหารอร่อยกลับเป็นหอยทากอบกับเครื่องเทศมากกว่า (แต่อย่ากัดโดนเม็ดที่เรียกว่า หมาล่านะคะ ลิ้นชาหมดแน่ๆ)
ถ้าคุณแม่บ้านจะเอากระดูกกลับไปทำซุปที่บ้านก็ได้นะคะ



ถ้าเกิดอยู่นานๆ แล้วเบื่ออาหารจีน อยากทานอาหารญี่ปุ่นแบบคุ้มๆ ล่ะก็ ไปที่นี่เลยค่ะ ร้าน Tairyo (Da4 yu2) ซึ่งมีสาขาทั่วเซี่ยงไฮ้อีกเช่นกัน เป็นบุฟเฟ่ท์ หัวละ 150 หยวน มีทั้งเทปปังยากิและพวกซูชิและซาชิมิ รวมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดและของหวาน ทานได้ทุกอย่างยกเว้นของทอด พวกเทมปุระ ทงคัสซึ ค่ะ
แต่ทานพวกอาหารทะเลบางอย่างได้ด้วย เช่น หอยตลับ กุ้ง (เฉพาะกุ้งเล็กนะคะ พวกกุ้งลายเสือคิดเป็นตัวค่ะ รู้สึกจะโดนไป 29 หยวน ถ้าจำไม่ผิด )
ไข่ปลาทุกชนิดรวมถึงไข่หอยเม่น (แค่ตัวนี้ก็แสนจะคุ้มแล้วน่อ)
ที่สาขาตรงถนน Ruijin No. 1 คุณ BFR บอกไว้ว่า วัตถุดิบจะดีสุด เพราะเค้าใช้ Supplier คนละเจ้ากับที่อื่นค่ะ


หนุ่มเทปปังฯ ค่ะ ตั้งใจทำมากๆ ทุกครั้งที่ไป ตั้งแต่คุยกันไม่รู้เรื่องจนคุ้นเคยกันดี


ไข่ตุ๋นค่า น่าทานมั้ยคะ


ถ้าไม่เลี้ยวไปชิมบุฟเฟ่ท์ญี่ปุ่น (ขยันพาเลี้ยวจัง จะได้ไปถึงอวี้หยวนมั้ยน้อ) ก็ไปต่อตาม Huaihai ได้เลยค่ะ ละแวกนี้จะมีห้างอิเซตันซึ่งฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นร้านอาจิเซ็น (คงไม่ต้องอธิบายกันเยอะสำหรับร้านนี้นะคะ)

เดินตรงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณๆ ที่อยู่นานๆ อยากทานอาหารอิตาเลี่ยนขึ้นมาล่ะก็ แนะนำให้เลี้ยวขวาแว้บเข้าไปที่ถนน Yandang ค่ะ ชื่อ Da marco ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาอีกแล้วอะ (ตอนไปไม่ได้เอากล้องติดไปด้วย..)

เอาป้ายหน้าร้านไปก่อนนะคะ



จากถนนคนเดินตรง Yandang เดินข้ามสี่แยกใหญ่ๆ มาทางถนน Huangpi ระหว่างทางจะมีร้านอาหารที่น่าสนใจอีกร้านตรงถนนใหญ่ ชื่อ Tony restaurant


ร้านนี้ขายอาหารสไตล์เสฉวน ราคาถูกกว่าร้าน South beauty ที่เคยพาไปในบล็อกหวยไห่ตะวันตกนะคะ รูปแบบการนำเสนอก็ไม่สวยเท่า เมนูก็เป็นแบบพื้นบ้าน แต่อร่อยค่ะ

ออร์เดิร์ฟค่ะ เป็นหูหมูกับแตงกวา กับน้ำจิ้มพริกผัด


มะเขือยาวราดพริก


ข้างๆ นั่นเป็นเมนูที่ชอบที่สุดค่ะ แต่ลืมถ่ายเดี่ยวๆ มาให้ดู กุ้งทอดบนหินร้อน ที่ป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไรซะที เจ้ากุ้งนี่มีแค่บางสาขาอีกต่างหากนะคะ แต่สาขาเมื่อพ.ย. 2006 ไม่มีเมนูนี้แล้วค่ะ



ซุปปลากับเม็ดหมาล่า (หน้าตาเหมือนเมล็ดพริกไทย แต่เผ็ดร้อนกว่ามาก ปากชาทุกครั้งที่กัดโดนเลยค่ะ) ร้านนี้จะเอาปลามาให้เลือก ต้องบอกเค้านะคะ ว่าเอาปลาตายแล้ว ถ้าไม่อยากเห็นปลาดิ้นแด่วๆ ในถุงดำถูกหิ้วมาถึงโต๊ะ)


ถัดมาฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กัน จะเป็นห้างชื่อ Shanghai central plaza ซึ่งมีร้าน Delifrance และ Starbucks เปิดอยู่ ถนนหวยไห่นี้น่าจะเป็นถนนที่มีร้านสตาร์บัคส์ตั้งอยู่มากที่สุดในเซี่ยงไฮ้นะคะ เดินไปเดินมาเดี๋ยวก็เจอแล้ว เฉพาะแค่ตรงรอบๆ สถานีรถไฟใต้ดิน Huangpi Nan lu นี้ ก็ 4 สาขาแล้ว อยู่ตึกติดๆ กันเลยค่ะ


ห้างหนึ่งที่เป็นทางออกก็คือ Pacific department store ค่ะ


ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกชื่อ Hong Kong New World plaza มีหลายร้าน แล้วก็มีร้านอาหารอิตาเลี่ยนด้วยเหมือนกันค่ะ ชื่อ Ruzzi (ราคาถูกกว่าที่อื่นๆ พอควร แต่อย่าคาดหวังรสชาติอิตาเลี่ยนแท้ๆ มากนะคะ ก็เค้าเอาสลัดครีมมาใส่ใน Caesar salad น่ะค่ะ นี่แค่ตัวอย่าง)



ส่วนตึกถัดไปที่ต้องข้ามแยกถนน Huangpi Nan lu นั้น ชื่อ ตึก Hong Kong Plaza เป็น 2 ตึกเชื่อมกัน ฝั่งนึงขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อีกฝั่งนึงก็จะมีร้านรวงที่ขายทั้งอาหารและของใช้ค่ะ ฝั่งที่ขายอาหารนั้นมีร้านอาหารให้เลือกหลากหลาย พวกฟาสต์ฟู้ดก็เป็นเคนตักกี้ หรือ จะทานในฟู้ดคอร์ทชั้นใต้ดินก็ได้ค่ะ ชื่อเดียวกับสาขาที่ตึกเหม่ยหลัวเฉิงตรง Xujiahui ค่ะ Megabite


หน้าตาอาหารใน Megabite ค่ะ ใช้บัตรเติมเงินเหมือนบางห้างบ้านเราค่ะ ซื้อไปก็ตัดเงินออก




บรรยากาศในฟู้ดคอร์ทค่ะ



ถ้าเป็นติ่มซำหรืออาหารสไตล์ฮ่องกงก็เป็นร้าน Zen ค่ะ มีทั้งที่ตึก Hong Kong plaza นี้ และที่ซินเทียนตี้ค่ะ



ถ้าอยากลอง Hotpot ก็ที่ร้าน Tai ค่ะ มีหม้อ Hotpot และเตาย่างให้ จะเลือกทานหรือทานทั้งสองก็ได้ค่ะ (จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย) เมื่อสิ้นพ.ย. 2006 ร้านปิดซะเรี้ยวค่า



หน้าตาน้ำซุป อันนี้เป็นต้มยำกับแกงกะหรี่ค่ะ (อารามคิดถึงอาหารไทยจัด)


และบางทีจะมีขนม (พยายามจะเป็น) ไทย อย่างสาคู (แคนตาลูป) แถมให้เป็นของหวานเพื่อคลายความเผ็ดด้วยค่ะ


ตึกนี้ก็มีบุฟเฟ่ท์ญี่ปุ่น Tairyo ที่แนะนำไปแล้วด้วยนะคะ


ออกเดินต่อไปจะผ่านสวนสาธารณะที่ชื่อว่า Huaihai park ที่นี่จะมีส่วนด้านนอกที่ไม่มีเวลาปิดเปิด และด้านในที่จะเปิดและปิด เวลาหกโมงเช้าและเย็นค่ะ ด้านในจะมีที่ออกกำลัง มีชาวจีนไปนั่งเล่นไพ่ รำมวยจีนมากพอสมควร (แก่การปวดหัวของเรา)

ในรูปเป็นด้านหน้าสวน ช่วงโพล้เพล้ในฤดูหนาว ดูเหงามั้ยคะ



ถัดจากสวนนี้ก็จะเป็นตึก Times square ที่มีห้าง Lane Crawford อยู่ด้วย (แต่ที่นี่ไม่ได้ขายของ Mark & Spencer แบบสิงคโปร์หรือฮ่องกงนะคะ) ในนี้มีร้าน South beauty อยู่ด้วย และ City supermarket ซึ่งสาขานี้อยู่ชั้นล่าง น่าจะเป็นสาขาที่มีของนำเข้าเยอะที่สุดสาขานึงของเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ



ฝั่งตรงข้ามจะเป็นตึกชื่อ Lippo plaza ตึกนี้จะมีสาขาของร้านอาหารหลายร้าน เช่น Yonghe ที่เขียนไว้ในบล็อก Nanjing แล้วนะคะ (แต่ร้านนี้นั่งสบายและบรรยากาศแปลกตากว่าร้านอื่นค่ะ) และมี Hot pot king



มาดูกันดีกว่า ว่ามีอะไรน่าทานบ้าง



ซุปเริ่มเดือดแล้วค่า....



เลือกน้ำจิ้มอะไรทานดีล่ะค้า....



ถ้าเดินเลียบถนน Huaihai ไปเรื่อยๆ ก็จะไปเจอกับแยกเข้าถนนอาหารอีกถนนหนึ่ง (ขอแวะหน่อยเถอะค่ะ) ชื่อ ถนน Yunnan Nan (= south) lu ค่ะ ถนนนี้จะมีอาหารมุสลิมเยอะ



และมีอาหารที่คนไม่ใช่มุสลิมทั่วเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะคนไทย (นักเรียนล่ะเยอะเชียว) ชอบกันมาก คือ อาหารที่เรียกว่า เข่าหยังโร่ว (Kao3 yang2 rou4) เป็นเนื้อแกะ วัว ไก่ เสียบไม้ย่าง (อย่าเผลอไปสั่งหมูเข้านะคะ อาจโดนเขวี้ยงได้)


หน้าร้านค่ะ


ในซอยนี้มีร้านดังที่ชื่อว่า Xiaoshaoxing ด้วยค่ะ


ถ้าไม่แวะถนนยูนนาน เราก็เดินตรงต่อไปเรื่อย (ถ้าเมื่อยก็นั่งแท็กซี่เพื่อไปอวี้หยวน (Yu Yuan = สวนอวี้) ได้ค่ะ ไม่เกิน 11 หยวนแน่)

ถึงที่สวนแล้ว สำหรับคนที่อยากลองเสี่ยวหลงเปาที่ร้านดัง ชื่อ Nan2 xiang2 man3 tou2 dian4 เลขที่ 85 จะแวะทานก่อนหรือทานหลังจากเดินชมสวนก่อนก็ได้ค่ะ



ดูคิวซะก่อนนะค้า....


กว่าจะมาเป็นเสี่ยวหลงเปาที่โด่งดัง


แต่ถ้าไม่อยากรอ ก็มีทางเลือกอีกเยอะค่ะ เพราะมีร้านนี้



หรือ ร้านนี้ พอดีช่วงเดือนปลายต.ค.ถึงต้นธ.ค. เป็นหน้าปูขนค่ะ ทุกร้านก็จะขึ้นป้ายไว้ว่า ชั้นก็มีปูขนขายนะจ๊ะ แบบนี้ล่ะค่ะ


ถ้าชอบเล่นเก้าอี้ดนตรี จะเข้าไปในฟู้ดคอร์ทแบบนี้ก็ได้ค่ะ


หรือถ้าชอบลองก็ชิมที่ร้านแบบนี้ (แต่ต้องยืนหรือหาที่ทานเองนะคะ)


ร้านนี้บ้างมั้ยคะ


รึว่าร้านนี้ดี


ที่ร้านนี้ต้องทานกันร้อนๆ


หรือชอบหวานๆ เปรี้ยวๆ ก็นี่เลยค่ะ



แล้วก็อีกทางเลือกหนึ่ง คือ ไปที่โรงแรมชื่อ Shanghai classic hotel ค่ะ มีเสี่ยวหลงเปาเหมือนกัน แป้งบางกว่านิด ราคาแพงกว่าหน่อย แต่นั่งสบายกว่าเยอะเลยค่ะ มีพนักงานพูดอังกฤษได้ด้วย ขึ้นไปที่ชั้น 2 ได้เลยค่ะ เมื่อสิ้นพ.ย. 2006 ปิดซ่อมอยู่ค่ะ


ทัวร์รับประทานถนนหวยไห่ฝั่งตะวันออกก็คงต้องจบลงเพียงแค่นี้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ ส่วนบล็อกหน้าจะไปกันที่ซินเทียนตี้นะคะ





 

Create Date : 19 ตุลาคม 2549    
Last Update : 2 มิถุนายน 2550 12:49:48 น.
Counter : 3137 Pageviews.  

ชวนชิมแถว Xujiahui ค่ะ

สำหรับคุณๆ ที่ไปช้อปฯ ของต่างๆ บริเวณนี้ จะมีร้านอาหารให้เลือกมากมายเลยค่ะ ตรงสถานีรถไฟใต้ดินสาย 1 เองก็มีอีกหลายร้านหลายสไตล์ เอาเป็นว่าขอพาไปร้านที่ไปบ่อยหน่อยละกันนะคะ

เริ่มจากที่ห้าง Pacific หรือ Tai4 Ping2 Yang2 (ไท่ผิงหยาง) เดี๋ยวจะงงว่าตึกไหนหนอ ตึกนี้ค่ะ ห้าง Pacific


ที่ชั้น 6 (เอ๊ะ รึว่า 5 นะ) ของห้างนี้จะมีร้านอาหารที่ชื่อว่า Orange house ต้องขอบคุณน้อง BFR และ Omaning ที่ได้พบกันผ่านห้องแม่บ้านต่างแดนที่พาไปทานด้วยค่ะ


ที่นี่จะมีอาหารไต้หวันเป็นชุดราคาประหยัดให้เลือกทานได้ เครื่องดื่มก็มีสารพัดค่ะ ดูตัวอย่างก่อนก็แล้วกัน

ชุดนี้มีเฉพาะช่วงหน้าหนาวค่ะ


ส่วนชุดนี้รู้สึกจะเป็นชุดยอดนิยมค่ะ


ข้ามฝั่งไปทาง Mei3 luo2 cheng2 (เหม่ยหลัวเฉิง) ที่ขายพวกอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์



ตรงนี้จะมีพวกร้านฟาสต์ฟู้ดเยอะเลยค่ะ แต่ถ้าอยากนั่งสบายๆ ไม่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน ก็แนะนำร้านนั่งสบายๆ ในฟู้ดคอร์ทที่ชื่อว่า Megabite ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินค่ะ


ถ้าคนพลุกพล่านตรงส่วนฟู้ดคอร์ท ตรงนั้นก็จะมีร้านที่ขายอาหารเป็นชุด ราคาประหยัด (มีแบบ A la carte ด้วยค่ะ) นั่งได้สบายๆ อาหารก็จะหน้าตาแบบนี้ค่ะ



บะหมี่แห้ง


บะหมี่น้ำของคุณครูภาษาจีนค่ะ


ถ้าเกิดอยากนั่งร้านเงียบๆ มีอาหารเซี่ยงไฮ้แท้ๆ แนะนำร้านนี้เลยค่ะ Morning Shanghai เข้าได้จากด้านหน้าตึก ลงบันไดไปชั้นใต้ดินเหมือนกันค่ะ


หน้าตาอาหารก็ประมาณนี้ค่ะ ออร์เดิร์ฟ


จานหลักขึ้นชื่อส่วนใหญ่ของคนจีนก็ต้องเป็นปลาค่ะ และมักจะเป็นปลาน้ำจืด อาจจะมีกลิ่นบ้างเล็กน้อยตามธรรมชาติค่ะ แต่ที่ต้องระวังสำหรับท่านที่ไม่นิยมการฆ่าต่อหน้าต่อตา แนะนำว่าอย่าสั่งค่ะ หากคุณยังบอกเค้าไม่ได้ว่า เอาแบบที่ตายแล้วเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เค้าจะเอามาให้เลือกแบบเป็นๆ อีกต่างหาก (อย่างที่เห็นนี่บอกเค้าแล้วนะคะว่าไม่ให้เอาแบบเป็นๆ มาทุบ) ราคาร้านนี้จะหนักหน่อยค่ะ


ถ้าชอบอาหารญี่ปุ่นก็จะมีชั้นบนสุด ร้านชื่อว่า Itoya มีหลายสาขาค่ะ สามารถสั่งอาหารชุดได้


ถ้าเดินไปทางด้านที่มีโบสถ์ จะมีร้านอาหารอิตาเลี่ยนซึ่งมีหลายสาขาทั่วเซี่ยงไฮ้ค่ะ (มาเซี่ยงไฮ้เพื่อกินอาหารอิตาเลี่ยนเนี่ยนะ.... ใจเย็นๆ ค่ะ อันนี้สำหรับคนพลัดถิ่นที่ต้องอยู่นานๆ อาหารจีนทุกวันมันก็ไม่ไหว จริงมั้ยคะ) ร้านนี้ชื่อ Gino ค่ะ รสชาติพอแก้คิดถึงอาหารอิตาเลี่ยนได้ แต่จะเอาอร่อยแบบของแท้ต้องไปร้าน Da marco ค่ะ


แต่ถ้าคุณเดินไปอีกทางนึง คือ ถนน Tianyaoqiao ถนนนี้มีร้านอาหารเยอะอีกล่ะค่ะ สุดแต่จะเลือก แต่ถ้าจะเอาประหยัด มีร้านที่ชื่อ Cang lang ting (ร้านนี้มีสาขาแถวๆ ตลาดเซี่ยงหยางด้วยค่ะ อยู่ชั้นบนของตึกกระจกฝั่งตรงข้าม แต่ใครจะไปล่ะเนาะ ตลาดมันปิดไปแล้วนี่นา)


จะมีพวกบะหมี่เป็นชามๆ ให้เลือกทาน และมีอาหารตามสั่งอย่างแกะตุ๋นชามนี้ด้วยค่ะ


ใครอ่านจีนได้เชิญดูเมนูเลยค่ะ


และถนนนี้ก็มีร้านชื่อ Shanghai uncle เป็นร้านอาหารเซี่ยงไฮ้ค่ะ มีเมนูหลากหลายดี สังเกตได้ง่ายๆ จากรูปคุณลุงคนนี้


แล้วก็มีร้านอาหารที่ทำจากแกะค่ะ ร้านนี้ไม่เคยเข้าเองทั้งที่เป็นคนชอบทานเนื้อแกะ เพราะทนสงสารเจ้าแกะที่เป็นโลโก้ไม่ไหว มันน่ารักเกินไปค่ะ ลองดูหน้ามันสิคะ


พอแล้วเนอะโซนนี้ ขอบคุณที่เข้ามาชมค่ะ เดี๋ยวไปต่อกันที่ถนน Hengshan ก่อนจะเข้าถนน Huaihai เลยนะคะ




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2549    
Last Update : 28 มีนาคม 2550 17:38:52 น.
Counter : 1905 Pageviews.  

เดินเที่ยวง่าย สบายใจที่ Xujiahui

อย่างที่เล่าไปแล้วนะคะว่า ถนนเส้นหลักๆ ในเซี่ยงไฮ้ก็จะมี Huaihai lu และ Nanjing lu แต่การจะเที่ยว Huaihai นั้นก็ต้องขึ้นกับว่าคุณพักอยู่แถวไหน

ถ้าคุณอยู่ทางกลางๆ เมือง ก็สามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มทางไหนก่อน เพราะการคมนาคมในเซี่ยงไฮ้นั้นสะดวกสะบายค่อนข้างมาก (ยกเว้นเวลาเร่งด่วน ฝนตก เทศกาล ฯลฯ )

ส่วนอวี้หยวนก็แยกไปต่างหากแล้ว เอาเป็นว่าเริ่มจาก Xujiahui แทนก็แล้วกันนะคะ

ที่นี่มีแหล่งขายสินค้าพวกอิเล็คโทรนิคส์ในตึกที่ชื่อว่า Mei3 Luo2 Cheng2 เหม่ยหลัวเฉิง


มีแหล่งแฟชั่นที่ตึกชื่อ Grand gateway ชั้นล่างของตึกนี้มีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่และมีความหลากหลายค่ะ


มีห้างสรรพสินค้าที่ชื่อว่า Pacific department store (Tai4 Ping2 Yang2) ซึ่งมีหลายสาขาในเซี่ยงไฮ้


ส่วนใหญ่แล้วมุมที่ห้างต่างๆ มามะรุมมะตุ้มอยู่ จะเป็นบริเวณทางออกของรถไฟใต้ดินสาย 1 (เป็นสายที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้ความรู้สึกของปลากระป๋องได้ดีที่สุด) ตั้งแต่ทางออกที่ 9-14 (สถานีนี้มีแค่ 14 ทางออก เท่านั้นเอ๊งงงง) ในสถานีที่อยู่ใต้ดินนั้นก็มีแหล่งช้อปฯ ที่ขายสารพัดสิ่ง และรวมถึงร้านอาหารด้วยค่ะ ถ้าจะเดินสำรวจแถวๆ นี้ก็มี 3 ชั่วโมงได้ค่ะ เวลาจะนัดอะไรกับใคร อย่าได้พูดห้วนๆ ว่าเจอกันที่สถานี Xujiahui เด็ดขาด ทั้งวันไม่มีทางหากันเจอแน่ ดูแผนผังทางออกของรถไฟใต้ดินตามรูปได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะหาว่าคุย (โดนมาแล้ว ขอบอก ถ้าไม่มีมือถือก็เป็นอันไม่ได้เจอแน่ๆ )



แถวนี้จะมีโบสถ์สวยอยู่แห่งหนึ่ง ถือว่าใหญ่ในเซี่ยงไฮ้เลยค่ะ



ละแวกนี้มีอาหารหลายร้านที่อร่อยๆ มีทั้งแบบประหยัด และแบบแพง สุดแท้แต่เราจะเลือกชิมค่ะ เรื่องอาหารไปอ่านต่อในกลุ่มอาหารก็แล้วกันนะคะ




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2549    
Last Update : 2 มิถุนายน 2550 9:38:54 น.
Counter : 1979 Pageviews.  

ร้านอาหารถนนหนานจิง (เซี่ยงไฮ้) East to West

ไหนๆ ก็แบ่งโซนเที่ยวด้วยถนนอยู่แล้ว เพื่อให้ง่ายต่อการหาที่ให้อาหารพยาธิในท้องคุณๆ ก็จะแบ่งโซนร้านอาหารด้วยถนนเช่นกันค่ะ

แต่ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า บางร้านที่ไม่มีรูป หรือ มีแต่รูปหน้าร้านนั้นเป็นเพราะนึกจะมาถ่ายรูปเก็บไว้เขียนเล่าอะไรๆ ก็ตอนเกือบจะต้องกลับเมืองไทยแล้วค่ะ ทั้งๆ ที่บางร้านไปบ่อยมาก แต่พอถึงคราวใกล้เวลากลับก็อยากจะไปชิมร้านอื่นๆ ที่ยังไม่เคยไปแทน รูปก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ

เรามาเริ่มจากถนนหนานจิงด้านตะวันออกเลยนะคะ แถวนี้จะมีร้านอาหารเยอะมาก รวมถึงมีพวกฟู้ดคอร์ทด้วยค่ะ คุณๆ ที่อยากลองทานอาหารจีนแบบเซี่ยงไฮ้ในราคาประหยัด ตรงถนนคนเดินนี้จะมีร้านชื่อ ต้าเหนียงสุยเจียว (Da niang xui jiao) ขายพวกเกี๊ยว บะหมี่ และอาหารจีนที่เป็นจานเดียวอื่นๆ ค่ะ (เคยลงไปดูที่ร้านซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน แต่ไม่ได้ทานเพราะคนเยอะจนไม่มีที่นั่งค่ะ)


ถ้าชอบอาหารจีนสไตล์ฮ่องกงก็แนะนำร้านชื่อ Xin wang (Xin wang cha can ting) เป็นร้านที่ขายพวกหมูกรอบ หมูแดง เป็ดย่าง เกี๊ยวน้ำ (สไตล์ฮ่องกง) มะเขือยาวอบหมูสับ บะหมี่ต่างๆ รสชาติสู้ฮ่องกงไม่ได้ แต่พอกล้อมแกล้มแก้อยากได้ค่ะ


เป็ดย่างค่ะ


หน้าตาอาหารค่ะ หมูกรอบ เกี๊ยวน้ำ ไก่ย่าง (ขายเป็นชิ้นค่ะ)


อาหารที่อร่อยของเค้ากลับไม่ใช่ติ่มซำหรือหมูกรอบอย่างที่ควรจะเป็นค่ะ แต่เป็นจานนี้ มะเขือยาวอบกับหมูสับค่ะ (ไปกี่ทีคุณฝาละมีต้องสั่งทุกทีไป เพราะหาทานที่อื่นไม่ได้) ส่วนอีกจานก็เป็นปลาหมึกน้อยผัด รสชาติธรรมดาค่ะ ทานหนเดียวพอแล้ว (คอเลสเตอรอลมันสูงน่อ)



แล้วก็จะมีร้าน Yoshinoya, Ajisen สำหรับคนที่ชอบอาหารชุด และชอบอาหารเส้นๆ แต่ Ajisen ที่เซี่ยงไฮ้ไม่ได้มีแต่บะหมี่นะคะ มีอาหารอื่นให้เลือกรู้สึกว่าจะมากกว่าที่เมืองไทยอีกค่ะ แต่ราคาแพงกว่านิดหน่อย


ถ้าคุณเดินมาจนถึงห้างชื่อ Raffles city ในนั้นจะมีร้านสารพัดให้เลือกทานได้ ถ้าอยากทานอาหารไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล่ะก็ เชิญได้ที่ร้าน Banana leaf ค่ะ มีน้ำตกหมู เขียวหวานไก่ (หน้าตาไม่ค่อยเหมือนบ้านเราเท่าไหร่ แต่รสดีค่ะ) สะเต๊ะ (สไตล์สิงคโปร์มาเลย์มากกว่า) ที่นี่มีเพลงแสดงสดโดยชาวฟิลิปปินส์ด้วยค่ะ


แต่ก่อนในห้างนี้เคยมีโคคา เพราะในหนังสือแนะนำที่กินในเซี่ยงไฮ้ต่างก็มีที่อยู่ให้ แต่พอไปถึงหาจนทั่วห้างก็ไม่เจอ ถามเค้าก็ว่าเคยมี แต่ตอนนี้ไปแล้ว แหม..อุตส่าห์เช็คกับป้ายหน้าห้างแล้วนะ ก็เห็นยังติดอยู่เลย ไม่งั้นจะได้ไปช่วยอุดหนุนของไทยซะหน่อย


ถ้าดูจากป้ายจะเห็นว่ามีร้านหย่งเหอต้าหวังด้วย (Yong he da wang) ร้านนี้จะมีน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และอาหารชุด รวมถึงเสี่ยวหลงเปาขายด้วยค่ะ


ชุดน้ำเต้าหู้ในร้านค่ะ


อาหารในร้าน จริงๆ แล้วมีพวกข้าวด้วยนะคะ


ถ้าเดินต่อเรื่อยๆ มุ่งหน้าถนนหนานจิงด้านตะวันตก คุณก็จะพบกับห้างร้านสารพัด แต่ถ้าคุณไม่อยากเสียแรงเดินเยอะ ก็นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี People’s square ไปลงทีสถานี Shimen yi ออกทางออกที่ 1 ได้ค่ะ


พอออกมาแล้วแนะนำให้เดินย้อนกลับอีกนิดหน่อย เพื่อไปชิมซาละเปาทอดที่ร้านชื่อ Yang’s fry dumpling (xiao3 yang2 sheng1 jian1 guan3 เสี่ยวหยางเชิงเจียนก่วน)
อยู่ตรงถนน Wujiang ที่แยกออกมาจากถนนหนานจิง


นี่ป้ายหน้าร้านพร้อมราคาค่ะ 4 ลูกแค่ 2.5 หยวน คนนึงทานได้ 8 ลูกก็เก่งมากแล้วค่ะ (ยังไม่เคยเห็นใครทานได้ขนาดนั้นนะคะ) ต้องสั่งและจ่ายตังให้เสร็จที่หน้าร้านค่ะ จะได้รับใบเสร็จมาก็ยื่นให้พนักงานในร้านได้เลย ถ้าจะมาร้านนี้ควรเตรียมของ 2 สิ่งมาเอง คือ กระดาษทิชชู่ และน้ำดื่ม ถ้าไม่อยากเตรียมให้ลำบาก ร้านข้างๆ ก็มีน้ำผลไม้ ทั้งปั่นและไม่ปั่นขายค่ะ


หน้าตาซาละเปาทอดที่ว่า ข้างในมีซุปเหมือนเสี่ยงหลงเปา แต่ลูกใหญ่กว่าและเอาไปทอด


น่าทึ่งนะคะหมูตู้มขนาดนี้ แป้งบางเฉียบ แถมสุกทั้งลูกด้วย



ปรับปรุงข้อมูล ณ วันที่ 16/10/2011 ปัจจุบันร้านเสี่ยวหยังเชิงเจียนก่วน ได้ย้ายมาเปิดที่ชั้น 2 ของห้าง Huangpu Hui (หวงผู่ฮุ่ย 湟普汇) ถนน Wujiang เหมือนกัน แต่อยู่ทางทิศตะวันตกของถนน (ไม่มีระบุทิศไว้ที่ชื่อถนนนะคะ) เวลาเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินสาย 2 มาให้เดินมุ่งหน้าทิศตะวันตก ขณะที่ร้านเดิมนั้นจะขนานกับถนนหนานจิงมุ่งหน้าไปทางตะวันออก ส่วนราคาของเชิงเจียนเปาขึ้นเป็น 12 RMB/4 ลูกค่ะ

รูปถ่ายหน้าร้านค่ะ




ที่หน้าห้างหวงผู่ฮุ่ยนั้น มีจุดสังเกต คือ ร้านเบเกอรี่ที่มีเลข 85 ใหญ่ๆ และร้าน Costa coffee (ตามรูปข้างล่าง) แต่สาขานี้เปิดตามเวลาของห้างค่ะ
มุมที่ถ่ายห้างนี้มาเป็นสี่แยกเล็กๆ ตัวห้างอยู่ที่ 12 นาฬิกา ฝั่งขวามือ 15 นาฬิกาจะเป็นโรงแรม Ruitai
ส่วนซ้ายมือที่ 9 นาฬิกาเป็นห้างชื่อ In Point ค่ะ จุดสังเกต คือ ที่ In Point มีจุดสังเกต คือ ร้าน Krispy Kreme อยู่ตรงกลางเลย



จริงๆ ถ้าใครจะไปที่ People's Square อยู่แล้ว ก็มีอีกสาขาที่ถนน Huanghe นะคะ
(เดินจากสถานี People's Square ทางออก 8) สาขานี้เจ็ดโมงเช้าก็เปิดแล้วค่ะ


จากตรงร้านซาละเปาทอด เดินอีกนิดนึงก็จะถึงสามแยกถนน Nanjing กับถนน Jiangning ตรง3 แยกนี้ ฝั่งตรงข้ามจะมี 2 ห้างใหญ่อยู่ตรงมุมถนนเลย ชื่อว่า Citic square และ Westgate mall

ในทั้งสองห้างนี้ก็มีของอร่อยค่ะ เอาที่ Westgate mall ก่อน (เพราะถึงก่อนนี่นา)


ขึ้นไปชั้นบนๆ จะมีร้านอาหารชื่อ Yuan Yuan ขายอาหารเซี่ยงไฮ้


ร้าน Crystal jade (fei3 cui4 jiu3 jia1) ร้านเดียวกับสาขาที่ซินเทียนตี้ค่ะ (เอ่อ...จะโดนฟ้องมั้ยคะ ถ้าจะบอกว่าอร่อยกว่าที่สยามพารากอนด้วยแหละ แถมถูกกว่าให้ก็เยอะกว่า แต่บริการที่พารากอนดีกว่าหน่อยนึง)




เสี่ยวหลงเปาที่แป้งบางกว่าร้านหนานเสียงในอวี้หยวนค่ะ


ส่วนทาง Citic square จะมีร้านหลากหลายชาติให้เลือกมากกว่า เช่น ไก่คุณลุงเคน แต่เป็น Kenny Rogers นะคะ ไม่ใช่เคนตักกี้ เมืองไทยไม่มีน่อร้านนี้ ชิมซะก็ได้ค่ะ มีอาหารชุดด้วยเหมือนกัน แต่อุปทานรึเปล่าก็ไม่ทราบรู้สึกว่าที่อื่นมันอร่อยกว่าน้า....




ที่ชั้นสองจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Kissho ร้านนี้มีอาหารชุดเทปปังยากิช่วงเที่ยงให้ทานค่ะ ราคาไม่แพงด้วย


พอขึ้นมาอีกชั้นเดินไปทางด้านหลังห้างจะมีร้านอาหารจีนชื่อว่า China moon ร้านนี้ขายอาหารสไตล์กวางตุ้ง มีบุฟเฟ่ท์ติ่มซำช่วงบ่ายสองถึงสี่โมงเย็น อร่อยดีค่ะ เสียแต่เค้าดึงของไว้พอสมควร (เอ...คล้ายๆ ร้านไหนในเมืองไทยมั่งน้า)


ออกจาก Citic square ก็จะผ่านห้างใหญ่สไตล์พารากอนบ้านเรา (แต่เค้าสร้างมาก่อนนะคะ เลยดูกลายเป็นเล็กไปเลย) ชื่อ Plaza 66 ขายของพวกแบรนด์ดังๆ ทั้งหลาย ส่วนอาหารและเครื่องดื่มในนี้กรุณาอยู่ให้ห่างๆ เพราะเฉพาะน้ำส้มคั้นแก้วเดียว อิชั้นโดนไป 45 หยวนค่ะ ร้านตรง Hall ข้างล่างเลยด้วย วิธีจัดร้านของเค้าจะเป็นลักษณะ แบรนด์นำเข้าอยู่ชั้นล่างสุด แบรนด์ในประเทศแต่เน้น High-end อยู่ชั้นสอง แบรนด์ปานกลางอยู่ชั้นบนๆ ขึ้นไป ส่วนแบรนด์ล่างๆ เหรอคะ โน่นแน่ะค่ะ... นอกห้างสถานเดียว


เดินต่อไปก็จะถึงแหล่งช้อปปิ้งอีกแห่ง แต่มันไม่ได้เป็นห้างนะคะ มีโรงแรมอยู่ด้วย คือ Ritz-Carlton ตรงนี้จะเรียกว่า Shanghai center มีแบรนด์ดังๆ อย่าง Gucci Piaget Marc Jacobs เปิดอยู่ ในนั้นจะมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร (ใครชอบ Tony roma’s, Mrs. Fields, Starbucks ที่นี่ก็มีค่ะ แต่ขอบอกว่าแพงกว่าไทยพอควรนะคะ แล้วก็มีร้านอาหารสไตล์อเมริกัน แต่ดันมีอาหารชุดเอเชียที่อร่อยใช้ได้เลยชื่อร้าน Element fresh แนะนำชุดไก่ค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวัง) ซุปเปอร์มาร์เก็ต (City ที่มีของนำเข้าจากทวีปต่างๆ มารวมไว้) คลินิกชื่อ worldlink (เหมาะสำหรับผู้ที่มีประกันเบิกได้เท่านั้นค่ะ เพราะแพงมั่กๆ) รวมถึงมีโรงเรียนสอนภาษาอยู่ในตึกนี้ด้วย


ออกเดินต่อไปทางตะวันตกเรื่อยๆ ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับ Shanghai center จะมีร้านติ่มซำอยู่ร้านนึงทำเป็นเหมือนศาลา แต่จริงๆแล้วเป็นห้องกระจกตั้งอยู่ริมถนนจนเกือบสุดสี่แยกไฟแดง ร้านนี้ชื่อ Bi feng tang เป็นร้านที่มีสาขาอยู่ทั่วเซี่ยงไฮ้ ราคาถูก (ถ้าเทียบกับร้านอื่น) คุณภาพก็พอใช้ได้ค่ะ


ร้านตรงนี้น่าจะบรรยากาศดีที่สุดในกระบวนสาขาทั้งหมดทั่วเซี่ยงไฮ้ค่ะ


ที่ฝั่งเดียวกันกับร้าน Bi feng tang นั้นจะเป็นตึกชื่อ Shanghai Kerry centre ซึ่งมีสำนักงานของการบินไทยตั้งอยู่ที่ชั้นล่าง ติดๆ กันจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Itoya มีอาหารชุดราคาไม่แพงแต่อิ่มแทบตายอยู่ด้วย เหมาะสำหรับมื้อกลางวัน แต่ช่วงเที่ยงๆ คนจะแน่นมากค่ะ แนะนำให้ไปประมาณก่อนเที่ยงนิดๆ และร้านปิดช่วงบ่ายสอง

ถ้าเดินออกจาก Kerry centre แล้ว ฝั่งตรงข้ามจะมีถนนคนเดินเล็กๆ ที่ขายแต่อาหารอย่างเดียว ด้านหน้าจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Sakae sushi ที่จะมีอาหารชุดมื้อเที่ยงราคาถูกให้ทาน แต่ต้องเที่ยงเป็นต้นไปนะคะ ก่อนเที่ยงสองนาทีก็ไม่ได้เชียวล่ะ (ทั้งๆ ที่ป้ายบอกว่า 11 โมงแท้ๆ)


ถนนคนเดินเล็กๆ ที่ว่าค่ะ ร้านอาหารตรงนี้เปลี่ยนบ่อยมาก เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เหมือนกับความเปลี่ยนแปลงในเซี่ยงไฮ้ค่ะ รวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน


ถัดจากร้าน Sakae นี่ก็จะเป็นร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ที่เค้าว่ากันว่าดีที่สุดในเซี่ยงไฮ้ (เค้าว่าไว้ในป้ายโฆษณาค่ะ ไม่ใช่อิชั้นว่าเอง) มีชุดอาหารเช้าให้ในราคาถูกด้วย


เดินถัดมาตรงเยื้องๆ กับ Kerry centre จะมีร้านอาหาร ชื่อ Always ฝรั่งชอบไปทานกันเพราะมีอาหารชุดถูกๆ ขาย รสชาติก็งั้นๆ ค่ะ เหมาะสำหรับคนที่ทำงานแล้วต้องรีบไปมากกว่า


สิ่งที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามค่ะ มีร้านเสื้อผ้าอยู่ติดๆ กันหลายร้าน ในร้านพวกนี้มักจะมีเสื้อผ้าสวยๆ เนื้อดี การตัดเย็บประณีตอยู่ค่ะ ถ้าตาดีๆ ไปถูกช่วง อาจจะได้ของลดราคาสวยๆ ติดไม้ติดมือมาได้ค่ะ


พอข้ามถนนมาก็เดินต่อไปอีกหน่อยจะผ่านร้านอาหารอีกร้านนึง ชื่อ Shanghai renjia ซึ่งมีหลายสาขาทั่วเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน แล้วแต่ละร้านก็จะไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเมนูหรือการบริการ (ตาดีได้ ตาร้ายโดนคนจีนเม้งล่ะเอ้า) สาขานี้ไม่เคยทานค่ะ เดี๋ยวจะไปเล่าของสาขาบนถนนหวยไห่แทนนะคะ


เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะถึงห้างโซโก้ค่ะ คนจีนเค้าเรียกกันว่า จิ่วกวง


ที่นี่มีของอร่อยเยอะ ไม่ว่าจะเป็นร้าน Loong Kee (อย่าอ่านว่า ลุงขี้ นะคะ ได้โปรด)


ที่ขายอาหารสไตล์ฮ่องกง ทั้งหมูหัน หมูแดง หมูกรอบ เป็ดและห่านย่าง มีซุปให้ถ้าสั่งอาหารชุดค่ะ อย่าไปช่วงเที่ยงเพราะคนจะแน่นมาก ต้องรอคิวนานโขอยู่


หรือจะเป็นร้าน Beard papa ที่เพิ่งเปิดในสยามพารากอนบ้านเรา แต่ที่เซี่ยงไฮ้ถูกกว่าค่ะ ลูกละ 6 หยวนเท่านั้น ถ้าซื้อ 6 ลูกได้แสตมป์หนึ่งดวง สะสมครบ 5 ดวงได้ฟรีอีกหนึ่งลูก (อืม... ชักจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจาก 49 กิโล มาเป็น 70 กิโลกรัมเนี่ย มันมาได้ยังไง ขนาดเพิ่งเขียนไปได้ถนนเดียวนะนี่)


มาอัพเดทรสใหม่ของร้านนี้ค่ะ รสเกาลัด ราคาลูกละ 9 หยวนค่ะ แล้วก็มีรสคาปูชิโน่ทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบช็อคโกแล็ตเลยค่ะ


ซื้อมาทานซะให้สะจายยยย (ชาตินี้คงจะได้ผอมร้อกกก)


อีกฝั่งนึงนั้นจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งมีอาหารเป็นชุดๆ ราคาแค่ 30-35 หยวนเองค่ะ มื้อเที่ยงคนแน่นมาก ส่วนร้านชื่อ Red ข้างๆ นั้นคนแน่นช่วงเที่ยงเพราะมีอาหารชุดราคาประหยัดด้วยเหมือนกันค่ะ

แล้วอีกอย่างที่ขอแนะนำคือ ขนมปังร้าน Yamazaki ธรรมดาใช่มั้ยคะ หลายคนคงคิดงั้น ก็ในเมืองไทยก็มี แต่ที่เมืองไทยยังไม่มี ขนมปัง Double soft ค่ะ ตัวนี้อร่อยมากๆ ขนมปังเนื้อหนานุ่มสุดๆ เอากลับมาปิ้งข้างนอกให้เกรียมนิดๆ ทาเนยโรยน้ำตาล เชื่อเถอะค่ะว่าหมด 2 แผ่นยักษ์ได้สบายๆ มีคนโดนหลอกให้อ้วนวิธีนี้มาหลายรายแล้ว

สำหรับคุณแม่บ้าน ขอแนะนำว่าให้เดินเข้าไปในซุปเปอร์ที่นี่เสียแต่โดยดีค่ะ เพราะข้างในมีของดีๆ ให้เลือกซื้อเยอะมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบอาหารญี่ปุ่น มีทั้งก้ามปูอลาสก้า (แกะแล้ว) ไข่หอยเม่น ไข่กุ้ง ไข่แซลมอน ปลาไข่ ปลาดิบ ปลาซาบะดอง ปลาหมึกยักษ์หวาน รวมถึงอาหารปรุงสำเร็จอย่างไก่เทอริยากิ โคโรเกะ ฯลฯ บรรยายไม่หมดค่ะ แล้วราคาก็ไม่แพงเลย อย่างไข่หอยเม่น 48 หยวน ประมาณสองร้อยกว่าบาท แต่เยอะนะคะ ทานคนเดียวต้องเลี่ยนมากแน่ๆ พวกเครื่องปรุงเครื่องเทศทั้งญี่ปุ่นและไทยหาได้ที่นี่ค่ะ

เอาละ แค่นี้ก็คงพอแก้หิวสำหรับคุณๆ ที่หาร้านอาหารทานเวลาไปเซี่ยงไฮ้ได้แล้วนะคะ ขอไปพักนิ้วก่อน เพราะที่ถนนหวยไห่น่ะ มีมากกว่านี้เยอะเลยค่ะ




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2549    
Last Update : 16 ตุลาคม 2554 21:54:49 น.
Counter : 17672 Pageviews.  

มาเตรียมตัวกันก่อนเที่ยวเซี่ยงไฮ้เนาะ

ก่อนที่เราจะท่องเที่ยวหรือย้ายถิ่นฐาน การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับที่ที่เราจะไปถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะคงไม่มีใครอยากจะเดินกระเซอะกระเซิงกางแผนที่ในดินแดนที่หาคนพูดไทยได้น้อยมากแน่ๆ จริงมั้ยคะ

เรามาเริ่มกันที่ข้อมูลเบื้องต้นก่อน เห็นมีหลายท่านถามกันบ่อยๆ เรื่องอุณหภูมิของเมืองเซี่ยงไฮ้

จากที่อยู่มาก็ได้ข้อสรุปเรื่องอากาศของเซี่ยงไฮ้ (พอจะใช้อ้างอิงได้สำหรับคนที่ขี้ร้อนนะคะ แต่ถ้าเป็นคนขี้หนาวล่ะก็ ขอความกรุณาช่วยตัวเองด้วยการเช็คกับเว็บ Yahoo //weather.yahoo.com/forecast/CHXX0116.html ก่อนจะดีกว่าค่ะ)

ฤดูร้อนกับหนาวที่นี่จะยาวนานกว่าฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงนะคะ

ฤดูร้อน เริ่มประมาณช่วงเดือนมิถุนายนถึงกลางๆ กันยายน เวลาร้อนนี่บ้านเราชิดซ้ายไปเลย ทั้งเหนียว เหนอะหนะ และแสบผิวสุดๆ ใครไปช่วงนี้ล่ะก็ โบ๊ะครีมกันแดด SPF สูงสุดเท่าที่จะหาได้

ขณะเดียวกันก็ควรควงร่มไปด้วย เพราะในบางวันฝนก็ตกหนักซะงั้น แถมวันดีคืนดี กลัวว่าคนจะร้อนไป มีชดเชยให้ด้วยการส่งพายุมาให้อีกต่างหาก ความแรงของพายุขนาดทำให้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สนามหน้าบ้านหักได้เลยค่ะ
ปีที่แล้ว (2005) โดนไปจำได้ว่าสยองมาก กลัวต้นไม้หักมาฟาดกระจกตรงบันไดเข้า

แต่ในช่วงหน้าร้อนปางตายของเซี่ยงไฮ้นั้นก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ จะเป็นช่วงที่มีผลไม้ ชื่อ หยังเหม่ย Yangmei (ฝรั่งเรียก Waxberry) ออกมาขายค่ะ ดูไกลๆ หน้าตาจะเหมือนลิ้นจี่ แต่ไม่มีเปลือกค่ะ ตุ่มน้ำที่เห็นด้านนอกนั่นคือตัวเนื้อมันเลย มีเม็ดตรงกลางเม็ดเดียว รสชาติจะออกหวาน ฉ่ำ แช่เย็นแล้วทานจะชื่นใจมากๆ ค่ะ มีเรื่องเล่ากันมาว่า เจ้าหยังเหม่ยนี่จะมีเฉพาะในจีนเท่านั้น ถือเป็นผลไม้ที่พระเจ้าประทานให้กับคนจีนในฤดูร้อนอันแสนทรมานและยาวนานค่ะ

รูปเจ้าหยังเหม่ย



ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มประมาณช่วงกลางกันยายนถึงปลายตุลาคม ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นๆ จะมีหนาวบ้างเวลาที่มีลมแรงหรือเป็นช่วงกลางคืน
อากาศช่วงนี้เดินสบายๆ ค่ะ ไม่หนาวไม่ร้อน แต่ควรมีเครื่องป้องกันลมกันหน่อย

ดังนั้นเสื้อผ้าที่ควรเตรียมมาจะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ในเมืองไทย พ่วงด้วยแจ็กเก็ตซักตัวเอาไว้กันลม กันหนาวยามย่ำราตรี

สำหรับคนที่ต้องมาอยู่นานๆ ประมาณว่าย้ายถิ่นแบบอิชั้น อย่าตกใจหากว่าถึงช่วงนี้แล้วผมคุณจะร่วงตามใบไม้ลงมา ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ อย่าไปเครียดเข้า ยิ่งเครียดยิ่งร่วงนะเอ้า (ไม่นับพวกชันนะตุ หรือ กลากเกลื้อนที่เป็นเหตุให้ผมร่วงนะคะ อันนั้นรีบไปหาหมอเถอะค่ะ ก่อนที่จะไม่มีผมให้ร่วง )

ฤดูหนาว เริ่มประมาณพฤศจิกายนถึงมีนาคม ความหนาวจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ หนาวแบบพอทนได้ (ไม่รู้ว่าทนได้แค่อิชั้นคนเดียวรึเปล่านะเนี่ย หนังมันค่อนข้างหนาน่ะค่ะ ^ ^" ) ได้แก่ ช่วงพฤศจิกายนและธันวาคม

เสื้อผ้าที่ต้องเตรียมไปก็ประมาณเสื้อแขนยาว สเว็ตเตอร์ แจ็กเก็ต ผ้าพันคอ และ ถุงมือในช่วงตั้งแต่กลางธ.ค. เป็นต้นไป

อ้อ...ช่วงเดือนพ.ย. ถ้าตาดีๆ อาจจะได้ของถูกๆ คุณภาพดีไปใช้นะคะ พวกเสื้อผ้าแฟชั่นฤดูใบไม้ร่วงจะลดราคา เสื้อผ้าพวกนี้พอจะเอามาใช้ในไทยได้ช่วงฤดูหนาวเรา คอยสังเกตพวกป้ายที่มีเลขตัวเดียวให้ดีๆ

ตัวอย่างเช่น ป้ายลด 80 เปอร์เซ็นต์ เค้าจะแทนด้วยเลข 2 (ทำไมต้องให้กลับไปมา ยุ่งยากเช่นนี้ด้วยน้อ ใครรู้ช่วยอธิบายทีเถอะค่ะ)


อีกตัวอย่างนึง อันนี้ลด 30-70% (จริงๆ เค้าเขียนว่า ลด 70-30%)


ส่วนอีกช่วงที่จัดว่า หนาวปางตาย ก็คือ ช่วงปีใหม่ไปจนถึงตรุษจีน มันจะหนาวแบบเจ็ดวันอาบน้ำหนเดียวได้เลย (ไฮ้... เปล่าน้า ไม่ได้ทำ แค่อุปมาเจ๋ยๆ ขืนทำจริง ป่านนี้กลิ่นคงโชยมาตามบล็อกแล้วล่ะค่ะ)

บางคนอาจจะคิดว่าไม่น่าจะหนาวขนาดนั้น ขอบอกเลยว่าแม้แต่คนฝรั่งเศส หรือ ญี่ปุ่นที่ว่าน่าจะชินกับอากาศหนาวยังบ่นเลยว่า มันหนาวเข้ากระดูกจริงๆ ต้องใส่ Thermal ข้างในแล้วสวมเสื้อ สเว็ตเตอร์ โค้ทหรือเสื้อกันหนาวอีกชั้น ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า และหมวกครบเครื่องค่ะ (ไม่ใส่หมวก อาจจะหนาวจนรู้สึกว่าหูหลุดไปแล้วก็ได้น้า)

จำได้ว่าตอนก่อนที่จะได้สัมผัสหนาวแรกในเซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2004 ถามไถ่ใครๆ (โดยเฉพาะเอเจนท์ที่ดูแลเรื่องหาบ้านและความเป็นอยู่) ก็ได้รับคำตอบว่า เซี่ยงไฮ้ไม่มีหิมะหรอก ไม่ต้องห่วง

เออ...นะ แล้วไอ้ที่ตกลงมาคลุมบ้านชั้นตอนปีใหม่จนขาวโพลนไปทั้งสนามหน้าบ้านหลังบ้านเนี่ย มันคงจะเป็นเกลือล่ะสิท่า



ไม่ตกเลยค่ะ หิมะหิเมอะ ไม่มี้ ไม่มี ในเซี่ยงไฮ้เนี่ย



ตอนตื่นมา โผล่หน้าได้ไกลสุด ก็แค่ห้อง Sunroom (ไม่รู้ใครตั้งแฮะชื่อนี้ ใครพอจะทราบรบกวนช่วยมาอธิบายด้วย เพราะตั้งได้ตรงเป๊ะเลยค่ะ คือ เวลาหน้าหนาวถ้าไม่มีแสงอาทิตย์ล่ะก็ อย่าริโผล่มาเด็ดขาด หนาวจับใจจริงๆ)



และช่วงนี้ถ้าใครรู้สึกหายใจไม่สะดวก มีอาการไอแห้งๆ (สำหรับคนที่ย้ายมา หรือ ต้องอยู่นานๆ) เวลาเปิดฮีทเตอร์ ปกติเครื่องปรับอากาศที่เซี่ยงไฮ้จะเป็นทั้งแอร์คอนดิชั่นและฮีทเตอร์ได้ในตัว และมีปุ่มปรับความชื้นเป็นรูปหยดน้ำอยู่ด้วย อันนี้กรณีที่ไม่มีเครื่องแบบที่ว่า หรือ หาปุ่มปรับไม่เจอค่ะ

ขอให้ลองต้มน้ำในหม้อ หรือ กา แล้วเปิดฝาให้ไอน้ำระเหยออกมาซัก 15 นาทีนะคะ จะช่วยได้บ้างค่ะ

แต่ถ้ามีกะตังเหลือเฟือ กอปรกับต้องอยู่นานมาก จะลงทุนซื้อเครื่อง Humidifier ซึ่งมีขายอยู่ตามห้างก็ได้นะคะ

ส่วนคุณๆ ที่นอนโรงแรมไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้ารู้สึกคันๆ คอแล้วไอแห้งๆ อย่างที่ว่า ให้เอาน้ำใส่แก้วใหญ่ๆ หรือ ชามปากบานๆ มาตั้งไว้ที่หัวนอนค่ะ คงพอจะแก้ขัดไปก่อนได้

ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มประมาณเมษายนถึงพฤษภาคม แหม...ช่วงนี้อะไรๆ ก็ดูสดใส น่าออกท่องเที่ยวทุกวัน ต้นไม้ก็เริ่มออกใบอ่อนๆ จะได้เห็นพัฒนาการของต้นไม้ที่น่าทึ่งมากค่ะ

ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ บ้าน จะโกร๋นหมดเวลาหน้าหนาว แต่พอใบไม้ผลิมันจะเริ่มมีตุ่มสีขาวๆ ตามกิ่งก้าน แล้วตุ่มที่ว่าก็จะเริ่มใหญ่ขึ้นกลายเป็นสีชมพู แต่พอเผลอไม่กี่วันมันกลายเป็นใบสีเขียวค่ะ (ไม่รู้เรียกต้นอะไร กะจะเอาไปออกงานวัดซะหน่อย)



พอ 2 วันผ่านไป กลายเป็นสีสวยเชียว



เรื่องการติดต่อกลับเมืองไทย หรือ ติดต่อไปประเทศอื่น มีหลายวิธีด้วยกัน

แต่วิธีพื้นฐานนอกเหนือจากอีเมล์ หรือ แชททางอินเตอร์เน็ทแล้ว ก็จะเป็นการคุยทางโทรศัพท์

ขอแนะนำให้คุณๆ หาซื้อบัตรโทรศัพท์ที่เรียกว่า IP Card คนจีนออกเสียงว่า ไอพีข่า ใช้ได้กับทั้งโทรศัพท์บ้าน และมือถือที่มีซิมจีนอยู่ค่ะ

ถ้าโทรกลับประเทศไทยราคาปกติจากโทรศัพท์บ้าน นาทีละ 8 หยวนค่ะ แต่ถ้าใช้บัตรนี้ 27 นาที 35-40 หยวน (มักจะลดได้อีก ถ้าซื้อหลายใบ เช่น 3 ใบ 100 หยวน) ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพเสียงสำหรับการโทรกลับประเทศไทยนะคะ ใช้ได้ทุกบริษัท เลือกเอาที่ถูกที่สุด

แต่ถ้าเป็นประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี อินเดีย พวกนี้ต้องเช็คกับคนขายให้ดีก่อน เพราะแต่ละบริษัทจะมีคุณภาพเสียงที่ต่างกันไป

สำหรับคุณๆ ที่ไปเที่ยวและพักตามโรงแรม บางแห่งเค้าจะบล็อคการใช้บัตรนี้ไว้ เชิญอ่านรายละเอียดได้ที่บล็อกของคุณ BFR เลยค่ะ IPcard บัตรโทรออกต่างประเทศจากจีน

ส่วนเรื่องเบอร์มือถือนั้น เวลาซื้อซิมคุณต้องเช็คกับคนขายด้วย เพราะบัตรเค้ามีหลายแบบ หลายราคา ขึ้นกับแต่ละบริษัทเช่นกันค่ะ เพราะปกติไม่ว่าจะโทรออกหรือรับสาย ก็เสียตังทั้งสิ้น คุณจึงจะเห็นคนจีนใช้ SMS กันมากกว่า

แต่จะมีบัตรอยู่ประเภทหนึ่งที่รับสายแล้วไม่เสียตัง เรียกว่า ทิ้งข่า ราคาถูก (เพิ่งซื้อซิมใหม่มาเมื่อวันที่ 5/12/09 ในราคา 80 RMB เป็นค่าเบอร์ 20 ค่าโทร 60 RMB อยู่ในซิมแล้ว ของบริษัท China Unicom แนะนำให้เลือกเบอร์ที่มีเลข 4 กับ 6 เยอะๆ จะถูกกว่าเลขอื่น) เพียงแต่โทรออกต่างประเทศและออกนอกพื้นที่บริการไม่ได้ค่ะ (ซึ่งคุณก็สามารถเอาบัตรไอพีมาใช้โทรออกต่างประเทศได้) เหมาะสำหรับคนที่อยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ได้ย้ายเมืองไปมาค่ะ

เรื่องซิมมือถือเซี่ยงไฮ้นี่ แนะนำให้ลองเข้าไปอ่านที่บล็อกของคุณ BFR เหมือนกันค่ะ น้องเค้าเป็นผู้ชำนาญการด้านโทรศัพท์มือถือและโทรทางไกล
โทรศัพท์มือถือเมืองจีน

และบล็อกที่เกี่ยวกับรถไฟใต้ดินหรือเมโทร (Di4 tie3 = ตี้เถี่ย) ของเซี่ยงไฮ้ น้อง BFR ก็เขียนได้ละเอียดละออ เข้าใจง่ายเช่นกันค่ะ รถไฟใต้ดินของเซี่ยงไฮ้

ต้องขอบคุณที่คุณ BFR ทำบล็อกรายละเอียดสิ่งจำเป็นดีๆ มีสาระเอาไว้ด้วยนะคะ เพราะบล็อกอิชั้นนั้น ทำไปทำมา มันจะกลายเป็นบล็อกชวนชิมริมทางเที่ยวไปซะแล้วค่ะ

น้ำประปาที่เซี่ยงไฮ้ดื่มไม่ได้นะคะ เว้นแต่คุณอยากจะเพิ่มโลหะหนักเข้าไปในร่างกาย

ส่วนไฟฟ้าใช้เหมือนบ้านเรา แต่ปลั๊กไฟจะหน้าตาแบบด้านล่างค่ะ




อ้อ... หมายเลขโทรศัพท์สำคัญที่แนะนำให้คุณติดตัวไว้ตลอดเวลา คือ หมายเลข 6323 4095 อันเป็นหมายเลขของสถานกงสุล ณ เซี่ยงไฮ้ค่ะ หากต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือใดๆ ก็โทรไปได้เลยค่ะ ส่วนคุณแม่บ้านที่พลัดถิ่นต้องไปอยู่ที่นั่นนานๆ อย่าลืมไปลงทะเบียนไว้ด้วยนะคะ เวลามีข่าวอะไรเจ้าหน้าที่กงสุลจะได้ติดต่อถึงคุณได้ค่ะ

***** อัพเดทข้อมูลสถานกงสุลไทย ปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่ที่ ชั้น 15 Crystal Century Mansion เลขที่ 567 Weihai Rd. แล้วนะคะ เบอร์โทร 6288 3030 *****

ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ค่ะ




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2549    
Last Update : 1 ตุลาคม 2553 20:06:45 น.
Counter : 45818 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

L@st love
Location :
Shenyang China

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ที่ว่า พลัดถิ่น กิน เที่ยว ช้อปฯ ไปกับรักครั้งสุดท้าย เพราะรักครั้งนี้พาระหกระเหินไปโน่นมานี่ อยู่ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อยไปเรื่อยเปื่อยค่ะ

จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องพลัดจากบ้านไปอยู่ถิ่นที่ไม่คุ้นเคย อาหารที่ชอบก็หาไม่ค่อยได้ ของที่เคยใช้ก็ไม่ค่อยอยากจะมีให้ซื้อ ฯลฯ

บล็อกนี้เลยถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2549 เพราะคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทางจีนๆ ก็แหม...ทางตะวันตกน่ะ หาอะไรก็ง่ายอยู่แล้วนี่คะ รู้ภาษาอังกฤษซะอย่างไปไหนก็เอาตัวรอดได้

หลังจากแว่บไปเก็บความรู้ตามบล็อกตกแต่งต่างๆ แล้ว ปริมาณเทคโนโลยีในสายเลือดก็ค่อยเพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง ตอนนี้จึงมีบล็อกที่ทำสำเร็จหลายบล็อกเลยค่ะ (ขอบคุณป้ามดและอีกหลายท่านค่ะ)

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามา เชิญไปเที่ยว ชม ช้อปฯ และชิมด้วยกันเลยค่ะ มีคำแนะนำ ติ ชมอย่างไร ฝากข้อความมาได้เลยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักและรับทุกความเห็นค่ะ





สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ภาพและบทความบนเวบไซต์แห่งนี้ จัดทำเพื่อเผยแพร่บนเวบ bloggang.com และ pantip.com เท่านั้น

"ห้ามนำภาพ ข้อความ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพ และ/หรือ ข้อความในเวบไซต์แห่งนี้ไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด"
Friends' blogs
[Add L@st love's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.