พลัดถิ่น กิน เที่ยว ช้อปฯ ไปกับรักครั้งสุดท้าย
Group Blog
 
All blogs
 

♥ ♥ ♥ อาหารเจ ทำเองก็ได้ ง่าย สะอาด แต่อร่อยรึเปล่า...ต้องลองค่ะ ^^"

บอกกันก่อนอ่านนะคะว่า อิชั้นเป็นคนไม่ชอบทานผัก จัดเป็น นักพฤกษวิรัติ ขนานแท้และดั้งเดิม ฉะนั้นกรุณาอย่าคาดหวังเมนูผักต่างๆ นะค้า...

ด้วยว่าหัดทำกับข้าวมายังไม่ถึง 4 ปี อาศัยที่ต้องทำเยอะหน่อยในช่วงที่ร่อนเร่ในต่างแดนค่ะ เลยเท่ากับเป็นการฝึกปรืออย่างหนัก (ถ้าไม่ออกไปทานข้างนอกบ้าน ก็ทำทุกมื้อเองหมดค่ะ แม้แต่อาหารเที่ยงก็ใส่กล่องให้สามีไปทานที่ทำงาน) ถึงอย่างนั้นก็ยังทำได้ไม่ถึงไหนเลยค่ะ...โดยเฉพาะเมนูที่ต้องใช้ผัก - -"

อาหารเจหลักๆ ที่เป็นของโปรดของอิชั้นและสามี อย่างแรกเลย คือ โปรตีนเกษตรผัดพริกแกงค่ะ (บางร้านเค้าก็เรียกผัดพริกขิงนะคะ งงๆ เหมือนกัน)

สูตรแบบง่ายๆ สไตล์แม่บ้านสมองลิงอย่างอิชั้น ก็จะมีส่วนผสมดังนี้ค่ะ

พริกแกงเจ น้ำมันสำหรับทอด (ที่บ้านใช้น้ำมันปาล์มค่ะ) และน้ำมันสำหรับผัดพริกแกง (ใช้น้ำมันดอกทานตะวันค่ะ) น้ำตาลปึก เกลือ และโปรตีนเกษตร (ทางเลือกเพิ่มเติม คุณอาจจะใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด งาขาวคั่ว หรือ ใบมะกรูดหั่นฝอยๆ เพื่อเพิ่มกลิ่น และรส ตามความชอบได้ค่ะ)

เริ่มต้นก็ต้องตั้งน้ำมันทอดให้เยอะๆ เพื่อทอดโปรตีนเกษตรโดยใช้ไฟกลาง (ใช้หม้อเล็กๆ ทอดจะประหยัดน้ำมันได้มากกว่าทอดในกระทะนะคะ เราไม่ได้ทำกันเป็นธุรกิจ ถ้าน้ำมันเหลือทิ้งจำนวนมากๆ น่าเสียดายค่ะ) ทอดให้โปรตีนเกษตรสีเปลี่ยนไป คือ เข้มกว่าเดิมนิดหน่อยค่ะ

จากนั้นก็ตักขึ้นซับน้ำมัน ถ้าคุณต้องการจะทอดอะไรต่อ น้ำมันตรงนี้ก็สามารถใช้ได้เลยค่ะ (เวลาจะทำเมนูนี้ อิชั้นจะทอดเม็ดมะม่วงฯ หรือ ถั่วต่างๆ ที่อยากเก็บไว้ทานช่วงทานเจก่อนค่ะ พอทอดถั่วเสร็จจะต่อด้วยทอดโปรตีนฯ เสร็จแล้วจะเอาพวกบะหมี่ หรือ เส้นหมี่ที่จะใช้ทำราดหน้าเจ มาทอดต่อ แล้วก็ค่อยเทน้ำมันทิ้งไปค่ะ)

ระหว่างที่กำลังทอดอะไรต่อก็ตาม คุณสามารถตั้งกระทะเพื่อผัดพริกแกงไปพร้อมๆ กันได้เลยค่ะ เริ่มที่ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย (ขึ้นกับปริมาณพริกแกงและโปรตีนฯ นะคะ) กะให้พอผัดพริกแกงให้กระจายและหอมฟุ้งได้ จากนั้นก็ปรุงรสด้วยน้ำตาลปึก และเกลือ (แนะนำให้ชิมก่อนที่จะเติมเกลือนะคะ เพราะพริกแกงบางเจ้าเค้าเค็มมากอยู่แล้วค่ะ) พอได้รสที่ต้องการก็เอาโปรตีนฯ ที่ทอดแล้วลงไปคลุกๆ ให้ทั่วทุกเม็ดเลยค่ะ ถ้าชอบถั่ว ชอบเม็ดมะม่วงฯ งาขาว ใบมะกรูด ฯลฯ ก็ใส่ไปช่วงนี้ล่ะค่ะ

เสร็จแล้วก็ออกมาหน้าตาแบบนี้เลยค่า...



สำหรับคนที่ไม่ชอบทานผักด้วยกัน อิชั้นมีเมนูฮิตประจำบ้านที่ทำจากโปรตีนเกษตรซึ่งง่ายกว่าเมนูข้างบนอีกนะคะ หมูทอดเจค่ะ เอาไว้ทานกับข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ น้ำตก ฯลฯ

ส่วนผสมก็มี โปรตีนเกษตรที่เป็นแผ่นใหญ่ๆ หรือ เป็นแผ่นแบนๆ น้ำมันงา ซ้อสเห็ดหอม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย น้ำมันผัด (แม้จะชื่อทอด แต่ที่ทำจริงๆ เป็นการจี่ในกระทะค่ะ ใช้น้ำมันไม่เยอะ และความร้อนไม่สูงจัดเหมือนทอด)

เริ่มกันที่การเอาโปรตีนฯ แช่น้ำให้พองและนิ่มดี ระหว่างรอให้โปรตีนฯ พอง ก็มาเตรียมน้ำหมักกันค่ะ ผสมซ้อสเห็ดหอม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย น้ำมันงาเข้าด้วยกัน ชิมให้รสออกเค็มนำ หวานตามนิดนึง กะให้พอแช่โปรตีนฯ ที่พองแล้วนะคะ

จากนั้นเอาโปรตีนฯ มาบีบน้ำออกให้แห้ง แล้วแช่ลงไปในเครื่องปรุงที่จะใช้หมักค่ะ ใครชอบกลิ่นพริกไทยก็บดพริกไทยดำลงไปได้เลยค่ะ จากนั้นก็กดๆ ให้โปรตีนฯ จมลงไปเครื่องปรุงจะได้ซึมเข้าไปทั่วๆ กันค่ะ

ปกติก็แช่เก็บไว้ในตู้เย็น อยากทานขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็หยิบออกมาใช้ได้เลยค่ะ แค่ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย (แนะนำว่าควรเป็นน้ำมันสำหรับผัด เพราะน้ำมันพวกนี้จะซึมเข้าไปอยู่ในเนื้อโปรตีนฯ ส่วนหนึ่งค่ะ) พอกระทะร้อนแล้วก็เอาโปรตีนฯ ออกมาจี่กับกระทะเลยค่ะ กดๆ ให้แนบกระทะมากที่สุด เอาให้สุกเหลืองเลยค่ะ (ถ้าชิ้นหนา อาจจะต้องใช้น้ำมันเยอะหน่อยนะคะ)

หน้าตาเจ้าหมูทอดเจที่ว่าก็จะเป็นเช่นนี้ค่า



สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบโปรตีนฯ จะใช้เต้าหู้มาหมักแทนก็ได้เหมือนกันนะคะ แต่ควรจะฝานเต้าหู้ให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วบั้ง เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อด้วยค่ะ (ในรูปข้างบน จะมีเต้าหู้อยู่ด้านหลังนะคะ)

เมนูต่อไปเป็นแกงเผ็ดค่ะ จะใช้หมี่กึงรุ่นไหน หรือ ใช้เต้าหู้แข็ง ผลที่ได้ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ค่ะ ถ้าหมักก่อนที่จะเอาไปปรุงในแกง

เริ่มกันที่เอาพริกแกงมาผัดกับน้ำมัน แล้วใส่หัวกะทิ เคี่ยวให้แตกมัน แล้วเติมเต้าหู้หรือหมี่กึงลงไป ผัดไปซักพัก เติมกะทิ แล้วใส่มะเขือเปาะลงไปค่ะ ปรุงให้ได้รสที่ต้องการ พอเดือดอีกครั้งก็ใส่โหระพา พริกชี้ฟ้า ปิดไฟ แล้วปิดฝาไว้ได้เลยค่ะ

หน้าตาก็จะออกมาเป็นเช่นนี้แล...



ต่อด้วยเมนูง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ผักนะคะ ใช้แค่ เต้าหู้แข็ง น้ำมันผัด ซ้อสมะเขือเทศ ซ้อสพริก (เจ) ซ้อสเห็ดหอม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย

ทอดเต้าหู้แข็ง ให้ข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มก่อนนะคะ แล้วก็ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ผัดเครื่องปรุงที่เหลือทั้งหมดลงไป ชิมรสให้ออกเปรี้ยวหวานนำ เค็มตามค่ะ จากนั้นก็เอาเต้าหู้ที่ทอดเสร็จแล้วลงไปเคี่ยวด้วย รอให้น้ำงวดไปก่อน ตัวซ้อสที่เคี่ยวจะข้นขึ้นมากค่ะ ไม่ต้องใส่แป้งหรืออะไรอีกทั้งนั้น

ในรูปนี้ ไม่ทันได้เคี่ยวค่ะ ตะกละจัดเลยตักมาถ่ายรูปซะก่อน



ต่อด้วยเมนูที่ทานคู่กับหมูทอดข้าวเหนียวดีกว่านะคะ ลาบค่ะ

ใช้โปรตีนฯ แบบที่เล็กๆ ค่ะ (พอดีอิชั้นหาไม่ได้เลยเอาแบบเส้นมาทำ หน้าตาน่าเกลียดพิลึกเชียว แต่รสชาติโอเคค่ะ) เอามาแช่น้ำให้พอง จากนั้นคั่วข้าวสารให้หอม เอามาปั่นหรือบดให้เป็นผงข้าวคั่วค่ะ เตรียมน้ำมะนาว พริกป่น ซีอิ๊วขาวหรือเกลือตามชอบ ปรุงให้ได้รสที่ต้องการ แล้วเอาโปรตีนฯ ที่พองแล้วมารวนในน้ำให้สุกค่ะ จากนั้นก็เทน้ำปรุงรสลงไป และตามด้วยข้าวคั่ว ใครชอบใบสะระแหน่ก็ใส่ตามลงไปค่ะ

แต่อิชั้นขอทานเปล่าๆ แบบนี้ล่ะค่า...



มีลาบแล้วก็ควรจะมียำซะหน่อยนะคะ ขอนำเสนอยำ (สารพัด) เห็ดค่ะ

ส่วนผสมหลักก็มีแค่ น้ำยำ ที่เอาพริก ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย(ปลายช้อน) มะนาว มาผสมกัน แล้วก็เห็ดค่ะ มีอะไรก็เอาที่มีนั่นล่ะค่ะ (ในจานนี้ใส่ เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดหูหนูขาว และเห็ดฟางค่ะ) ไปลวกๆ ซะ แล้วตักขึ้นมาคลุกกับน้ำปรุงรส

ได้ออกมาแล้วค่ะ ยำเห็ด



เดี๋ยวจะว่าไม่มีผักเอาซะเลย ขอต่อด้วยผัดผักบุ้งก็แล้วกันนะคะ จานนี้คุณสามีเป็นคนทำค่ะ เพราะอิชั้นไม่ถูกกับผักเท่าไหร่ แค่ผัดยังทำให้อร่อยไม่ได้เลยค่ะ ขายขี้หน้าจริงจริ๊งงงง



จานต่อไปนี่จะมีผักด้วยนิดหน่อยค่ะ เป็น โปรตีนฯ ผัดพริกไทยดำ

ส่วนผสมก็จะมี โปรตีนเกษตรที่ปรุงรส (ที่ใช้ทำหมูทอดนั่นล่ะค่ะ) พริกหวานสารพัดสี พริกไทยดำบดหยาบ น้ำมันผัด ซ้อสเห็ดหอม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายค่ะ (เดาะแค่ปลายช้อน) เอาโปรตีนฯ มันผัดน้ำมันให้พอสุกแล้วใส่พริกไทยดำ เครื่องปรุงรสต่างๆ จากนั้นก็เอาพริกทุกสีโยนตู้มลงไปเลยค่ะ ผัดๆ ไปซักพัก ชิมและปรุงจนได้รสตามชอบ ตักขึ้นมาเป็นแบบนี้เลยค่า...



มีเมนูที่ลืมถ่ายรูปไว้ในวันแรก ก็คือ บะหมี่แห้ง และ หมี่กรอบกับบะหมี่ราดหน้าเจ ค่ะ คุณสามีชอบทานเจ้าลูกบอลที่ทอดพองๆ มาก เวลาทำราดหน้าแล้วใส่เจ้านี่ เค้าจะควานหามาทานจนหมดทุกทีไปค่ะ เร็วๆ นี้คงจะได้ทำใหม่ แล้วจะเอามาให้ชมกันในบล็อกหน้านะคะ

ขอให้คุณผู้อ่านมีความสุขกับการทานเจนะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2550    
Last Update : 22 ตุลาคม 2550 11:46:40 น.
Counter : 4057 Pageviews.  

@^^@ พะแนงกุ้งครั้งแรกในชีวิต ♥ ♥ ♥ ไม่รักไม่ทำหรอกนะจ๊ะ @^^@

พอดีอยากจะหาเมนูมาเซอร์ไพรส์คุณสามีซะหน่อยค่ะ เพราะทำแต่อาหารฝรั่งกับญี่ปุ่นเป็นหลักบ่อยแล้ว (แอบละอายใจ) ค้นไปค้นมาไปเจอสูตรพะแนงกุ้งแม่น้ำที่เว็บนี้ค่ะ //www.hewhew.com/pda/view_recipe4.php?recipe_id=321

ดูวิธีแล้วไม่น่าจะยากแฮะ (อวดดีจริงๆ เรา ) ว่าแล้วก็ไปหาซื้อกุ้งกันดีกว่า ตอนนี้อยู่ริมทะเล จะทะเล้นไปหากุ้งแม่น้ำก็ดูจะไม่สมควรเท่าไหร่ เอาเป็นหากุ้งลายเสือมาดีกว่าค่ะ

ส่วนเครื่องเคราอื่นๆ ก็มี กะทิ โหระพา พริกชี้ฟ้า ใบมะกรูด น้ำตาล (ตามสูตรมีน้ำปลาด้วยค่ะ แต่บ้านเราไม่ทานกัน) แล้วก็พริกแกงพะแนง....(ตามสูตรเค้าก็ให้เครื่องปรุงพริกแกงมาค่ะ แต่ไม่ไหว ขืนมาตำเองคงได้ทานเอาชาติหน้าแน่ๆ)

ได้กุ้งมาแล้ว แกะเปลือก เอาหางออก ผ่ากลางเอาเส้นดำออก แต่เหลือหัวไว้ เพราะมันเยอะเหลือเกิน เสียดายๆ

มาเริ่มกันที่การผัดพริกแกงกับน้ำมันก่อนเลยค่ะ ผัดให้หอมแล้วเติมกะทิลงไป ผัดจนแตกมัน ระหว่างที่ผัดไปก็วิ่งกลับมาดูสูตรที่หน้าจอ อ้าว...ตกลงเค้าต้องใส่น้ำพริกกับกะทิกันเท่าไหร่ล่ะ ก็น้ำพริกมันรสชาติเป็นยังไงมาก็ไม่รู้ คนขายบอกมาแค่ว่า ไม่ต้องเติมอะไรอีก เพราะปรุงรสมาแล้ว แต่มันเผ็ดมั้ยล่ะเนี่ย

ผัดไปบ่นไปจนสามีที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นวิ่งไปวิ่งมาระหว่างเตากับจอคอมฯ เค้าเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเสี่ยงชิมดีมั้ยนี่เมนูนี้

แต่มาขนาดนี้แล้ว ขืนเลิกกลางคันเสียฟอร์มแย่เลย (ให้สามีเสี่ยงตายไม่เป็นไรฮ่ะ ) ตั้งหน้าตั้งตาผัดน้ำพริกที่โบ๊ะลงไปประมาณครึ่งถุง พร้อมกะทิ 1 ถ้วย ผัดซักพักพอแตกมันแล้ว แหม.....สามีเหมือนจะดีใจมากกว่าค่ะ

ทีนี้ก็เริ่มเอากุ้งลงไปผัดให้เกือบสุก แล้วเติมกะทิไปอีก 1 ถ้วย พอเดือดอีกทีก็เอาใบมะกรูด พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย ใบโหระพา โยนตู้มมมม ลงไป ปิดฝาค่ะ

ออกมาก็มีหน้าตาแบบนี้เลยค่า....



จากการชิมแล้วพบว่า รสชาติเผ็ดมากค่ะ กลัวว่าจะทานไม่ได้ ก็เลยต้องเอาไข่เจียวมาแนมซะ เพื่อบรรเทาความเผ็ดลงบ้าง แต่คุณสามีเค้าทานเปล่าได้ค่ะ วิดน้ำแกงจนเกลี้ยงหม้อเลย บอกว่าอร่อยมาก (ไม่แน่ใจว่าอร่อยจริง รึกะจะหลอกให้ทำบ่อยๆ น้า... )

จานเดิม แต่มุมนี้เห็นไข่เจียวชัดหน่อยค่ะ (แบบว่า อยากอวดจานนี้ทุกมุมเลยค่ะ )



ต่อไปเป็นห่อหมกรุ่นแก้มือจากครั้งที่แล้วค่ะ แต่คราวนี้เป็นห่อหมกปลาแซลมอน



ช่วงมื้อเย็น คาดว่าคุณสามีคงเห็นใจที่อิชั้นต้องออกแรงลุ้นสุดตัวกับเมนูพะแนง เค้าเลยอาสาทอดเกี๊ยวหมู และเกี๊ยวห่อชีสให้ทานค่ะ

ทอดได้ฟู กรอบได้ใจจริงๆ เลยค่ะ



ดูท่าพ่อครัวใหญ่บ้างมั้ยคะ



เพิ่งได้ความรู้จากคนขายเกี๊ยวค่ะ (ปกติซื้อแต่ในซุปเปอร์ เพราะเก็บได้นานดี) เค้าบอกว่า เกี๊ยวที่ห่อเพื่อทอด กับ ทำเกี๊ยวน้ำ หรือ ขนมจีบ นี่จะต่างกันค่ะ เกี๊ยวที่จะเอาไปทอด ควรจะหนากว่า เวลาทอดจะได้พองๆ นี่เป็นข้อดีอีกข้อของการซื้อของจากตลาดสดค่ะ เวลาเราถามอะไรเค้าจะตอบแบบละเอียดมากๆ บางทีบอกแม้แต่วิธีทำกับข้าวกันเชียวค่ะ

ลองดูอีกทีนะคะ พองจริงๆ นะเนี่ย



ตบท้ายด้วยเมนูง่ายๆ สำหรับคนขี้เกียจอย่างอิชั้น สเต็คไก่กับมันอบ และผักต้มค่ะ


ขอบคุณที่แวะมานะคะ




 

Create Date : 25 กันยายน 2550    
Last Update : 25 กันยายน 2550 13:47:49 น.
Counter : 1741 Pageviews.  

♥ ♥ ♥ ตั้งใจทำแทบตาย ออกมาได้แค่นี้เอง ♥ ♥ ♥

หลังจากที่ตบะแตกไปตั้งแต่วันอาทิตย์ ก็ถือซะว่าเลยตามเลยก็แล้วกันค่ะ อาหารของสัปดาห์นี้จึงเป็นอาหารแบบที่อยากลองทำซะ 2 อย่าง คือ Seared Tuna steak with black & white sesame และห่อหมกกุ้ง (ไปอ่านบล็อกที่สอนทำห่อหมกกุ้งมาค่ะ เลยได้แรงบันดาลใจอยากลองทำบ้าง )

พอดีสั่งทูน่ากับทาโคะที่บูธของ Nippon Tei ไว้ เลือกทูน่ามาได้ 2 แพ็คใหญ่ เลยเอาแพ็คนึงออกมาแบ่งทำซาชิมิ และทำทูน่าสเต็คค่ะ ส่วนอีกแพ็คก็แช่แข็งต่อไป

เริ่มจัดการกับทูน่าแพ็คแรกด้วยการแบ่งออกเป็นสองส่วนค่ะ ส่วนแรกเอาไปทำสิ่งที่ง่ายที่สุด คือ ซาชิมิ ค่ะ

ขณะที่ส่วนที่สองเอามาปรุงรสด้วยโชยุและทาวาซาบิที่ผิวรอบนอกทั้งหมด แล้วนำไปคลุกงาดำและงาขาวที่คั่วจนหอมแล้ว จากนั้นนำไปหย่อนลงกระทะที่ร้อนจัด แต่ละด้านจะใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ค่ะ

จากนั้นตักขึ้นแล้วก็หั่นเป็นชิ้น วางบนผักสลัดค่ะ จานนี้คุณสามีเค้าบอกว่าไม่อยากได้น้ำสลัดอะไรอีกแล้ว ทานปลากับผักสดๆ เลยดีกว่า แหม...ถือเป็นอาหารสุขภาพได้เลยนะคะนี่ (ที่สำคัญน้ำมันมะกอกแบบ Extra virgin ก็จะหมดแล้วด้วยค่ะ.....)



จากนั้นก็เป็นจานเบสิคค่ะ ซาชิมิรวม (โปรดสังเกตว่าไข่หวานหน้าตาดีขึ้นกว่าที่เคย และไม่เป็น Toblerone ไข่ อีกแล้วนะคะ เพียงแต่ยังไม่แน่นพอ ) ทานกับซุปซึ่งไม่ได้ถ่ายมาค่ะ อาหารสุขภาพอีกแล้วค่า แบบนี้คุณแม่สามีต้องปลื้มสะใภ้เลิศๆ อย่างอิชั้นแน่ๆ เลยค่ะ



ถ้าไม่ดันมาตกม้าตายตอนจบของมื้อซะก่อน แบบนี้ค่ะ

เพิ่งมาอ่านหลังกล่องของเจ้า Stikko หลังจานทานหมดไปแล้วว่า แค่ 3 1/2 แท่งนั้นให้พลังงานถึง 130 KJ ค่ะ ยังไม่ได้นับเจ้าไอศครีม macadamia nut และ Butterscotch toppings ที่อยู่ในถ้วยเลยนะคะนั่น


ทีนี้มาถึงความภูมิใจที่สุดของบล็อกนี้ค่ะ ห่อหมกกุ้ง สูตรจากบล็อกคุณ Sushiboy69 รูปที่เค้าถ่ายในบล็อกนั้นงามมากมาย แต่ของอิชั้นมันเยินมากมาย เพราะดั๊นไปทำเกินสูตรที่เค้าให้ด้วยความงก เสียดายกะทิที่เหลืออยู่ประมาณครึ่งถ้วยค่ะ ตอนที่ตักส่วนผสมที่ปรุงเสร็จแล้วไปลองเข้าไมโครเวฟเพื่อชิม ทั้งรสชาติและเนื้อห่อหมกกำลังดีเลยค่ะ เนื้อฟูสวยงาม น่าทาน ขนาดยังไม่แต่งอะไรเลยนะคะ (ไม่มีใครชม ชมตัวเองก็ล่ายฮ่า ) สูตรเค้าดีอยู่แล้วค่ะ

แต่พอเอากะทิอีกครึ่งถ้วยที่เหลือเติมลงไปเท่านั้น ห่อหมกฟูๆ ก็แปลงร่างกลายเป็นห่อหมกเนื้อแหยะๆ ที่แม้จะอร่อย แต่ก็อร่อยแบบอัปลักษณ์ค่ะ ได้แต่บอกคุณสามีไปว่า รับรองว่าคราวหน้าจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้วค่ะ (ชาติหน้าค่อยทำดีกว่ามั้งเรา )

มาดูหน้าตากันค่ะ ตอนอยู่บนเตาก็ยังฟูๆ ดี สังเกตด้านหลังนะคะ เริ่มฟูมากแล้ว เพราะหยอดก่อนด้านหน้าค่ะ



แต่พอตักใส่จานปั๊บ ห่อหมกฟีบบบบบบ ลงไปทันตาเห็นเลยค่ะ...



อุตส่าห์เล็งแล้วเล็งอีกว่าเมนูห่อหมกนี่ ไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดได้ แต่จนแล้วจนรอด ก็หนีไม่พ้นจริงๆ แต่คุณสามียังไม่เข็ดค่ะ บอกว่า น่าจะเอาแซลมอนที่เหลือจากทำซาชิมิมาลองทำดูบ้างนะ น่าจะอร่อย เฮอะๆ สงสัยจะไม่เข็ดค่ะ




 

Create Date : 14 กันยายน 2550    
Last Update : 14 กันยายน 2550 14:39:24 น.
Counter : 596 Pageviews.  

^ ^" ว่าจะลดความอ้วน แต่ก็อดไม่ได้ตามเคย ^ ^"

แม้ว่าจะตั้งใจไว้ว่าจะลดความอ้วน โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาอิชั้นพยายามทำอาหารที่อ้วนน้อยที่สุด (เท่าที่ปัญญาน้อยๆ ของอิชั้นจะพอทำได้) นับว่าประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่พอช่วงสุดสัปดาห์ที่คุณสามีอยู่บ้าน กิจกรรมหลักของเราสองคนกลับกลายเป็นการทำอาหารไปซะนี่

เริ่มจากอาหารลดความอ้วนอย่างแรกในมื้อเช้า ไก่เทริยากิ ค่ะ อันนี้ต้องโทษคนแถวๆ ฟินแลนด์นะคะ ที่ทำปีกไก่ทอดออกมาน่าทานมาก ความที่ไม่อยากทานของทอด เลยต้องเอามาย่างแทนซะเลย



จากนั้นช่วงสาย เหลือบไปเห็นเจ้า Foie gras มันนอนแอ้งแม้งอยู่กระป๋องนึง (กระป๋องสุดท้ายแล้วด้วยค่ะ....) ก็นึกครึ้มๆ อยากลองทำราวิโอลี่ หรือ เกี๊ยวอิตาเลี่ยนไส้ตับทานดูบ้าง เพราะแถวศรีราชานี่จะหาอะไรแบบนี้ทานลำบากซักหน่อยค่ะ

ว่าแต่เราอยู่โรงแรมกันเนาะ อุปกรณ์จะทำแป้งเองก็ไม่มี หรือ ถึงมี อิชั้นก็คงไม่สามารถทำได้ค่ะ เพราะเป็นโรคไม่ถูกกับการทำแป้งเองทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเพสทรีใดๆ สโคน แป้งพิซซ่า แป้งเกี๊ยวซ่า แป้งเสี่ยวหลงเปา ขนมปัง หรือ แป้งนานาชนิดที่ต้องผ่านการนวด บด คลึง บีบเคล้น ฯลฯ ทำทีไรต้องทิ้งซะเป็นส่วนใหญ่ค่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกันค่ะ ทีนี้จะเอายังไงดีล่ะ....

แต่ขึ้นชื่อว่าเกี๊ยวแล้ว จะชาติไหนๆ คุณลักษณะมันก็ย่อมต้องคล้ายคลึงกัน พาสต้าหลายอย่างของชาวอิตาเลี่ยนก็ใส่ไข่เป็นปกติกันอยู่แล้ว คิดได้ดังนั้นก็คว้าเอาแผ่นเกี๊ยวสำเร็จรูปมาลองทำดูดีกว่า ย่นเวลาและความพยายามในการทำแป้งไปตั้งเยอะ....

นี่ค่ะ....ของที่ใช้ในการทำเกี๊ยว



เริ่มต้นกันง่ายๆ เลย แค่เปิดกระป๋องเจ้า Foie gras ตัวนี้ก่อนค่ะ ไม่ต้องทำอะไรกับมันอีกแล้ว เพราะกระป๋องนี้ได้รับการปรุงมาพร้อมรับประทานค่ะ (แต่ไขสีเหลืองๆ ต้องเอาออกนะคะ)



วิธีทำ ก็ไม่ยากค่ะ แค่แกะถุงแผ่นเกี๊ยวออก แล้วก็วางลง ตักตับวางลงไปตรงกลางแล้วก็พับครึ่งเลยค่ะ จากนั้นก็เอาพิมพ์ทำสโคนนี่ล่ะ กดชั้บ... ... ออกมาเลย (แหะๆ ลืมถ่ายรูปซะนี่) เห็ดฝรั่งอะไรก็หาไม่ได้ เอาเห็ดฟางไทยนี่ล่ะค่ะ ง่ายดี ช่วยกันอุดหนุนของไทย (แต่มันแอบใช้ Foie gras ฝาหรั่งซะนี่ จริงๆ ถ้ามีทำแบบนี้ในไทย อิชั้นก็จะไปซื้อนะคะ) หั่นเห็ดขวางๆ แล้วก็เอาไปผัดกับเนย โรยแป้งสาลีไปหน่อยนึง แล้วเติมครีมลงไปเลยค่ะ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ตามชอบ แต่อย่าให้เค็มมากนะคะเพราะในไส้เกี๊ยวมันก็ออกเค็มนิดหน่อยอยู่แล้ว

จากนั้นก็สับๆ พาสลีย์โยนลงกระทะไป พอซ้อสได้ที่แล้วก็เอาเกี๊ยวที่เพิ่งลวกเสร็จลงไปคลุกซ้อสให้ทั่วๆ ปล่อยไว้แบบนึงให้ซับซ้อสเข้าไป แล้วก็ตักใส่จานได้เลยค่ะ ใครชอบชีส ก็เติมพาร์เมซานขูดลงไป ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเติมก็ได้ แต่ในรูปนี่ เอาเบคอนบิทส์ใส่ลงไปค่ะ ไม่รู้ว่าสูตรใครใส่รึเปล่า แต่ของมันเหลืออยู่ในตู้เย็นค่ะ ใช้ซะ (เพราะชีสยังอยู่ในช่องแข็ง เก็บต่อได้อีกหลายเพลากว่าเจ้าเบคอนนี่)

ออกมาหน้าตาแบบนี้ล่ะค่ะ



มื้อเย็นทำต้มข่าไก่ทานกันค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ซะด้วย เพราะเป็นเมนูที่ถูกใจคุณสามีเอามากๆ ขนาดที่วิ่งหากล้องมาถ่ายไม่ทันเลยค่ะ มาถึงคุณพี่จ้วงไปครึ่งชามแล้วเห็นจะได้ เอาเป็นว่าดูรูปตอนที่ทำของหวานเตรียมไว้ทานกันวันพรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ

เครื่องเคราทั้งหมดที่ใช้.... ลองเดาดูมั้ยคะ ว่าจะออกมาเป็นอะไร

ไปเฉลยหลังมื้อเที่ยงวันอาทิตย์ก็แล้วกันนะคะ


ตื่นขึ้นมาอาหารเช้าของวันอาทิตย์นั้น ทำง่ายมากๆ Egg benedict ค่ะ สิ่งที่ต้องใช้มีดังนี้

English muffin

แฮม หรือ อะไรก็ได้ที่อยากจะใส่ค่ะ วันนี้ใช้ Crusty pork belly แบบมีพริกของฟู้ดแลนด์ค่ะ

ไข่ดาวน้ำ (มั้งคะ ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า Poached egg ไม่แน่ใจศัพท์แสงทางการครัวจะเรียกกันว่าอะไรดี)

ซ้อส Hollandaise (เจ้าซ้อสนี่ทำไม่ยากค่ะ แค่เอาไข่แดงมาตีกับมะนาว ใส่เนยละลาย แล้วปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย จะยุ่งก็ตรงที่ต้องไปทำในหม้อ 2 ชั้น คล้ายๆ การตุ๋นช็อคโกแล็ต ซ้อสจะออกมาข้นๆ แต่เมื่อเป็นคนขี้เกียจมากเลยเอาครีมสลัดกระปุกนี่ล่ะค่ะ มาบีบมะนาว ใส่มัสตาร์ดเพิ่มรสให้จัดอีกหน่อย (Dijon ก็ไม่มี เอา Whole grain แทนก็ได้เหมือนกัน แต่หน้าตาจะอัปลักษณ์ไปหน่อยนึงค่ะ) ซ้อสเลยเหลวเละเทะไม่เป็นท่า แต่รสชาติพอกล้อมแกล้มไปได้ค่ะ

ระหว่างทำซ้อสนี่ก็แค่ต้มน้ำ ดาวไข่ เอามัฟฟินไปนาบกระทะให้เกรียมๆ ด้านนอก เอาแฮมไปจี่บนกระทะส่วนที่เหลือ

พอทำซ้อสเสร็จก็เอามัฟฟินมาวางไว้เป็นฐาน วางแฮม วางไข่ ตักซ้อสราด เท่านี้ก็เสร็จแล้วค่ะ

เลยได้ Egg benedict ฉบับขี้เกียจออกมาแบบนี้ค่ะ (ซ้อสมันมีจุดๆ ของ Whole grain mustard และ เหลวไปหน่อยเพราะความขี้เกียจของแม่บ้านสมองลิงอย่างอิชั้นเองค่ะ)



ทานไปจนถึงจุดสำคัญแล้ว จะต้องเจ๊าะไข่แดงค่ะ (บางคนเก็เจาะก่อนเลย แล้วแต่ความชอบนะคะ) โปรดสังเกตว่าลาวาไข่แดงมันทะลักออกมาทันทีเลยค่ะ บางคนก็ชอบให้สุกกว่านี้ แต่อิชั้นอยากตายเร็วค่ะ เผื่อจะได้ไข้หวัดนกมาเป็นของแถม



พอเข้าช่วงเที่ยงก็ทำขนมจีบกุ้งกับปูทานกันค่ะ ความที่แป้งเกี๊ยวเหลือ เสียดายเพราะซื้อมาสองแพ็ค เลยให้คุณสามีออกไปซื้อกุ้งกับปูมาให้ (อ่า....จริงๆ ทิ้งเกี๊ยวห่อละ 12 บาทจะง่ายกว่านะคะนี่)

เอาหมูสับมาคลุกกับซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ไข่ แป้งข้าวโพด ก่อนเลยค่ะ สัดส่วนเหรอคะ...มั่วเอาทั้งน้าน... ผสมเสร็จแล้ว ก็แค่ตักมาช้อนนึงเอาเข้าไมโครเวฟ ชิมดูว่ารสชาติเป็นที่พอใจแล้วรึยัง ถ้าได้ก็เข้าสู่ขั้นตอนการจีบ (บีบ) ขนมจีบกันเลยค่ะ

ก่อนจะเอาหมูมาใส่แป้งเกี๊ยว เราก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกผสมกุ้ง อีกส่วนผสมปูลงไปค่ะ คลุกๆ ให้เข้ากัน แล้วตักไส้มาวางบนแป้ง จากนั้นก็บีบเลยค่ะ (แม่บ้านที่ทำขนมจีบเก่งๆ โปรดเห็นใจนะคะ ที่อุตริลุกขึ้นมาทำ ก็เพราะความเสียดายแป้งเกี๊ยวแท้ๆ เลยค่ะ ) เอาให้พอตั้งเป็นรูปได้ ทำไปจนหมดทั้งไส้ ทั้งแป้ง

เรียงแถวได้ออกมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ



ดูใกล้ๆ ว่า คุ้มค่ากับที่ทำเองมั้ย (ปูกับหมูนี่ปริมาณเท่ากันเลยค่ะ ...)



เรียงแถวเตรียมลงนึ่งค่ะ



ลังถึงไม่มี ใช้หม้อนี่ล่ะค้าบ (น้ำข้างล่าง เป็นซุปอย่างดีเลยค่ะ คุณสามีเอาช้อนมาตักซดซะเรี่ยมเลย )



ระหว่างรอนึ่ง ก็เจียวกระเทียมไว้ค่ะ พอนึ่งเสร็จก็โรยหน้าได้ พร้อมทานแล้วค่ะ



อ้อๆ ลืมไป เดี๋ยวไม่ครบเครื่อง ให้คุณสามีวิ่งไปซื้อซาลาเปามาก่อนค่ะ ไม่มีปัญญาทำ และไม่อาจหาญทำแน่นอนค่ะรายการนี้ (ให้วิ่งไปขโมยซาละเปาหน้าแตกจากบ้านเจ๊หลีมา ยังจะง่ายซะกว่า )



จานนี้แบ่งให้คุณผู้อ่านค่ะ



มาเฉลยของหวานและวิธีทำกันเลยดีกว่านะคะ มันคือ Trifle ค่ะ (หน้าตาอาจจะไม่ใกล้เคียงเท่าไหร่เพราะปรับตามความพอใจของอิชั้น และสิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นหลักค่ะ )

ด้วยว่าคัสตาร์ดครีมก็ไม่มี เลยใช้ไอศกรีม Macadamia nut แทน ไม่ข้นเท่าไหร่ แต่พอแก้ขัดได้อยู่ค่ะ ส่วนเค้กนั้นก็เอาเค้กเนยสำเร็จรูปจากฟู้ดแลนด์นี่ล่ะค่ะ ก็ทานกันแค่สองคน จะมานั่งซื้อเป็นก้อน หรือ อบเองทำไมล่ะคะ (ที่สำคัญ ถึงอยากอบก็ไม่มีเตาตอนนี้)

เริ่มต้นด้วยการบุเค้กลงไปก้นแก้วก่อน แล้วตามด้วยไอศกรีมช็อคโกแล็ต เป็นชั้นแรก จากนั้นก็วางสตรอเบอรี่หั่นลงไปเป็นชั้นที่สองค่ะ แล้วก็วางเค้กเป็นชั้นสาม ราดไอศกรีมแมคคาเดเมียลงไปเป็นชั้นสี่ค่ะ แล้วก็ใส่สตรอเบอรี่อีกชั้น จากนั้นก็วางเค้กต่อ ความที่กลัวว่าไอศกรีมจะไหลเลอะลงไปรวมกัน เลยเอา Butterscotch มากั้นซะอีกชั้นนึงค่ะ แล้วราดไอศกรีมลงไปอีก แล้วก็วางสตรอเบอรี่ เป็นอันจบค่ะ จากนั้นก็เอา Wrap มาปิดแล้วเข้าตู้เย็นซะหนึ่งคืน

ได้แล้วค่ะ ออกมาหน้าตาแบบนี้



ส่วนมื้อเย็นนั้น ลดความอ้วนค่ะ ทานกันแค่สะโพกไก่ยัดใส่ผัก ทานกับผักผัดเนยค่ะ (จะผอมมั้ยนี่)


ปรากฏว่า ตกดึก คุณชายเธอชี้ชวนให้อุ่นต้มข่าไก่ที่แช่แข็งแล้วมาทานอีกรอบค่ะ พร้อมกับหัวแซลมอนต้มซีอิ๊วที่ทำไว้กะว่าจะทานระหว่างอาทิตย์หน้า (บ้านอิชั้นวางแผนทำอาหารหลักกันทีละ 2 สัปดาห์...จะมีอาหารอื่นแซมบ้างตามโอกาสค่ะ) สำหรับคนติดข้าวคงเข้าใจความรู้สึกของสามีอิชั้นได้เป็นอย่างดีนะคะ มื้อเย็นที่เพิ่งหมดไปนั้น เค้าไม่รู้สึกว่าได้ทานอะไรไปเลยค่ะ

ตกลงกลายเป็นว่า เรา 2 คนพยายามลดอาหารมาตลอดอาทิตย์ เพื่อมาตบะแตกเอาช่วงสุดสัปดาห์ซะอย่างนั้นเอง ไม่แน่ใจว่าคุณแม่สามีอิชั้นจะเข้าใจมั้ยว่าทำไมลูกๆ ถึงลดน้ำหนักกันไม่ลงซักที

แต่คุณแม่ขา...อย่างน้อยเราก็ได้พยายามแล้วนะค้า และเช่นเคย ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ




 

Create Date : 10 กันยายน 2550    
Last Update : 12 กันยายน 2550 9:00:11 น.
Counter : 1375 Pageviews.  

T T คุณแม่สามีสั่งให้ลดอาหาร ของอ้วนๆ คงต้องลาขาดนับแต่วันนี้ไป T T

แต่ก่อนที่จะลาขาดกันไป ขอทำบล็อกของอ้วนๆ (ที่หวังว่าจะ) เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนก็แล้วกัน ไม่ได้ขัดคำสั่งคุณแม่นะคะ แต่พอดีมันทำเสร็จก่อนคุณแม่จะโทรมาอีก (ไม่เชื่อดูวันที่ถ่ายกับวันที่คุณแม่โทรได้เลยค่ะ )

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เรามี Crusty pork belly แบบมีพริกเหลืออยู่ เลยกะจะทำวัฟเฟิลทานกัน แต่ปรากฏว่า วัฟเฟิลเจ้ากรรมมันไม่ได้ดังใจ ด้วยเหตุที่ลืมทาเนยลงบนพิมพ์ เพราะเราจำไม่ได้ว่า เจ้าเครื่องทำของฟิลิปส์เนี่ย ต้องทาไขมันก่อนมั้ย เถียงกันไปเถียงกันมา

สรุปกันได้ว่า ไม่ต้องทาหรอก มันเป็นเทฟล่อนอยู่แล้วนี่นา ว่าแล้วก็เทส่วนผสมพรวดลงในพิมพ์ จากนั้นก็ปล่อยให้คุณพี่เธอเฝ้าเครื่องไป ใส่แป้งไปไม่ทันครึ่งนาที คุณพี่ก็ใจร้อน แอบเปิดเครื่องซะ วัฟเฟิลก็เลยแยกติดพิมพ์ออกไปเป็น 2 ส่วน (ตาคนนี้ทำให้อิชั้นเข้าใจคำว่า ทำอาหารต้องใจเย็นๆ ได้มากขึ้นเยอะเลยค่ะ เพราะเวลาพี่แกทำกับข้าว ใส่เครื่องลงกระทะ ก็ปิดฝาไปได้แป๊บเดียว ก็เปิดฝาดูแล้ว และก็ขยันเปิดมันทุกๆ 15 วินาที)

เลยได้วัฟเฟิลหน้าตาอัปลักษณ์ กรอบจัดเพราะเกรียมติดพิมพ์ แต่อร่อยนะเอ้า... เพราะใช้แป้งสำเร็จรูปค่ะ

แบบนี้เลยค่ะ



เห็นวัฟเฟิลเป็นแบบนี้ อิชั้นเลยเปลี่ยนใจไปทำแพนเค้กทานดีกว่าค่ะ (น่าจะนึกได้ตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องไปขุดเครื่องออกมาทำ) ทานกับไข่คน เบคอน สับปะรด และสตรอเบอร์รี่ค่ะ (ไม่ได้ใส่น้ำผึ้งนะคะ กลัวอ้วน....ไปกว่านี้ค่ะ)



แต่คุณซะมีเค้าชื่นชมฝีมือวัฟเฟิลของตัวเองมากกกกก เลยไม่ยอมทานแพนเค้ก แถมไม่ชอบไข่คน ก็เลยต้องทำออมเล็ตแฮม ชีส และเห็ดให้ทาน (ใส่ไข่แค่ฟองเดียว เหี่ยวๆ พิลึก)



ส่วนอาหารอ้วนอย่างสุดท้ายของเรา ก็คือ ปีกไก่ยัดไส้ทอด และข้อไก่ทอด (อันนี้คุณสามีเป็นคนเรียกร้องนะคะ ไม่ใช่อิช้านนนนน)

ปีกไก่ยัดไส้พริกหวาน งาดำ และงาขาวค่ะ


ปีกไก่ทอดแห้งๆ นี่คุณชายเค้าไปซื้อของเค้าเองจากไหนมาก็ไม่ทราบค่ะ พร้อมกับข้อไก่ทอดฝีมืออิชั้นเอง (ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่ )



สุดท้ายของวันอาทิตย์เริ่มเป็นอาหารเพื่อสุขภาพขึ้นมาแล้วค่ะ ข้าวหน้ารวมมิตร ใส่ทุกอย่างที่เหลือจากทำซาชิมิทานในตอนเย็น แซลมอน ซาบะดอง Hotate และปูอัด ซึ่งเอาไปลวกน้ำมัน เพื่อทำให้รสสัมผัสมันเปลี่ยนไปจากปลาดิบที่เพิ่งทานค่ะ


พอวันจันทร์เราก็ทานอาหารย่างๆ กันค่ะ มีหมูสไลซ์ กุ้ง ปลาหมึก เบคอน เห็ดออรินจิ หัวหอม และพริกหวานค่ะ ทานกับซุปกระดูกหมูอ่อน ไม่อ้วนเท่าไหร่นะคะเมนูนี้ ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะควันมันอวลอยู่ในห้องค่ะ (ที่สำคัญคุณพี่เค้าหิวมาก ทานแบบไม่ยั้งมือรอกันเลยอะ ขอแอบฟ้อง)

มาวันนี้เราทานมังสวิรัติกันตามปกติ อาหารที่ทานตอนเช้าก็เป็น Bruschetta แบบที่เคยทำในบล็อกก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่เพิ่มหน้าเห็ดเข้าไปค่ะ ก็สลับรสชาติให้เค้าไม่เอียนมะเขือเทศมาก (เพราะเค้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่อยู่แล้ว) ส่วนอาหารเที่ยงก็เป็นข้าวผัดสารพัดเห็ด ใส่ทั้งอินโนกิ ออรินจิ เห็ดฟาง เห็ดหูหนูค่ะ (พยายามจะให้ดูคล้ายๆ Risotto แต่มันแห้งไปเยอะเลย ) ทานกับสลัดเผื่อจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นมั่ง



อีกมุมค่ะ จากรูปนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่า การมีสลัดก็ไม่ได้ทำให้จัดจานออกมาสวยเสมอไป ในกรณีนี้ ทำให้จานดูเลอะอีกต่างหากค่ะ



จะเห็นได้ว่า หลังจากที่คุณแม่สามีโทรมาเล่าเรื่องคนข้างบ้านที่ตายเพราะไขมันในเลือดสูง แล้วก็กังวลว่าคุณสามีที่มีน้ำหนัก 101 กิโลของอิชั้นจะต้องเป็นแบบเดียวกัน อิชั้นก็ได้พัฒนาการปรุงอาหารจาก Hell food ไปสู่ Healthy food มากขึ้นแล้วนะคะ นี่ก็กะว่าพรุ่งนี้จะทำหมูผัดพริกไทยดำ แบบที่ใส่พริกหวานกับหอมใหญ่เยอะๆ ให้คุณพี่เค้าค่ะ ส่วนหมูอิชั้นจะรับประทานเองเพื่อรักษาสุขภาพสามี

สัญญาว่า พบกันคราวหน้า ลูกคุณแม่จะมีน้ำหนักไม่เกินร้อยโลแน่นอนค่า...




 

Create Date : 04 กันยายน 2550    
Last Update : 17 กันยายน 2550 10:06:09 น.
Counter : 1090 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

L@st love
Location :
Shenyang China

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ที่ว่า พลัดถิ่น กิน เที่ยว ช้อปฯ ไปกับรักครั้งสุดท้าย เพราะรักครั้งนี้พาระหกระเหินไปโน่นมานี่ อยู่ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อยไปเรื่อยเปื่อยค่ะ

จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องพลัดจากบ้านไปอยู่ถิ่นที่ไม่คุ้นเคย อาหารที่ชอบก็หาไม่ค่อยได้ ของที่เคยใช้ก็ไม่ค่อยอยากจะมีให้ซื้อ ฯลฯ

บล็อกนี้เลยถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2549 เพราะคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทางจีนๆ ก็แหม...ทางตะวันตกน่ะ หาอะไรก็ง่ายอยู่แล้วนี่คะ รู้ภาษาอังกฤษซะอย่างไปไหนก็เอาตัวรอดได้

หลังจากแว่บไปเก็บความรู้ตามบล็อกตกแต่งต่างๆ แล้ว ปริมาณเทคโนโลยีในสายเลือดก็ค่อยเพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง ตอนนี้จึงมีบล็อกที่ทำสำเร็จหลายบล็อกเลยค่ะ (ขอบคุณป้ามดและอีกหลายท่านค่ะ)

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามา เชิญไปเที่ยว ชม ช้อปฯ และชิมด้วยกันเลยค่ะ มีคำแนะนำ ติ ชมอย่างไร ฝากข้อความมาได้เลยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักและรับทุกความเห็นค่ะ





สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ภาพและบทความบนเวบไซต์แห่งนี้ จัดทำเพื่อเผยแพร่บนเวบ bloggang.com และ pantip.com เท่านั้น

"ห้ามนำภาพ ข้อความ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพ และ/หรือ ข้อความในเวบไซต์แห่งนี้ไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด"
Friends' blogs
[Add L@st love's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.