Authentic
Group Blog
 
All Blogs
 

เมื่อหนูไปโรงเรียนไม่ได้ (Sick by Shel Silverstein)




สารภาพตามตรงว่าชอบบทกวีของ Shel Silverstein มาก
นอกจากจะอ่านง่ายแล้ว สัมผัสก็ยังสวยงามอีกด้วย
อย่างที่เคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่า
Shel Silverstein ชอบเขียนนิทานของเด็ก
ซึ่งออกจะเป็นแนวตลกขำขันอย่างร้ายกาจ
ทุกครั้งที่ได้อ่านและนั่งแปลบทกวีของ Shel Silverstein
จะรู้สึกมีความสุขมาก
อย่างบทกวี “sick” นี้ก็เหมือนกัน
อ่านไปก็อมยิ้มไป
เรียกความทรงจำตะพึดตะพือไปไกล
พาย้อนกลับไปสมัยยังเป็นเด็กไม่ประสา
บทกวีของ Shel Silverstein บทนี้
อ่านแล้วชวนให้นึกจินตนาการระหว่างแม่กับลูกที่กำลังสนทนากัน
ลูกกระจองอแงไม่ยอมไปโรงเรียนเพราะอ้างว่าตัวเองไม่สบายหนัก
ส่วนจะหนักขนาดไหนนั้น...
ลองมาอ่านกลอนน่ารักๆบทนี้กันค่ะ

SICK
-Shel Silverstein-

"I cannot go to school today,"
Said little Peggy Ann McKay.
เป๊กกี้ แอนน์ แม็คเคย์บอกว่า “วันนี้หนูไปโรงเรียนไม่ได้”

"I have the measles and the mumps,
หนูเป็นโรคหัด และเป็นคางทูม

A gash, a rash and purple bumps.
มีรอยแผลลึกที่เกิดจากผื่นและถูกชนจนมันกลายเป็นสีม่วง

My mouth is wet, my throat is dry,
ปากหนูเปียกเยิ้ม คอหนูแห้งผาก

I'm going blind in my right eye.
ตาข้างขวาของหนูกำลังจะบอด

My tonsils are as big as rocks,
ต่อมทอนซิลของหนูใหญ่ยังกะก้อนหิน

I've counted sixteen chicken pox
And there's one more--that's seventeen,
หนูนับเนื้อไก่ได้สิบหกชิ้น
และเหมือนจะมีมากกว่านั้นใช่ไหมนะ-สิบเจ็ดชิ้นต่างหากล่ะ

And don't you think my face looks green?
แม่ไม่คิดว่าหน้าของหนูดูคล้ำไปเหรอ?

My leg is cut--my eyes are blue—
ขาของหนูขาด ตาของหนูกลายเป็นสีฟ้า

It might be instamatic flu.
บางทีหนูอาจเป็นไข้

I cough and sneeze and gasp and choke,
หนูไอ หนูจาม หนูหอบ และหายใจไม่ออก

I'm sure that my left leg is broke—
หนูมั่นใจว่าขาซ้ายหนูหักแน่ๆ

My hip hurts when I move my chin,
หนูเจ็บสะโพกจังเลยตอนหนูขยับคาง

My belly button's caving in,
ช่องท้องด้านในของหนูกลายเป็นโพรงโบ๋กลวง

My back is wrenched, my ankle's sprained,
หลังของหนูตึงและบิดแรงมาก หัวเข่าของหนูก็เคล็ดอีกด้วย

My 'pendix pains each time it rains.
แต่ละครั้งที่ฝนตกหนูจะปวดไส้ติ่ง

My nose is cold, my toes are numb.
หนูแสบจมูก นิ้วมือ นิ้วเท้าเย็นจังเลย

I have a sliver in my thumb.
นิ้วโป้งของหนูมีเสี้ยนตำ

My neck is stiff, my voice is weak,
I hardly whisper when I speak.
คอหนูแข็งเกร็ง เสียงหนูเบาหวิวราวกับสายลมเวลาพูด

My tongue is filling up my mouth,
ลิ้นของหนูกำลังโตคับปาก

I think my hair is falling out.
หนูคิดว่าผมหนูกำลังร่วง

My elbow's bent, my spine ain't straight,
ข้อศอกหนูโค้ง กระดูกสันหลังหนูก็ไม่ตรง

My temperature is one-o-eight.
อุณหภูมิในร่างกายของหนูสูงตั้ง 108 แน่ะ

My brain is shrunk, I cannot hear,
สมองของหนูจู่ๆก็เล็กลงจนหนูไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

There is a hole inside my ear.
ข้างในหูของหนูกลายเป็นรูโหว่

I have a hangnail, and my heart is--what?
เล็บหนูฉีก แล้วหัวใจของหนูก็..เอ๊ะ?

What's that? What's that you say?
อะไรนะ? แม่พูดว่าอะไรนะ?

You say today is. . .Saturday?
แม่บอกว่าวันนี้เป็นวันเสาร์เหรอ?

G'bye, I'm going out to play!"
งั้นลาก่อน หนูจะออกไปเล่นนอกบ้าน!

'ladywrite แปล


อ่านแล้วทำให้นึกถึงสมัยตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ
ไม่ประสีประสา
พ่อกับแม่ปลุกให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน
ก็จะเริ่มอ้างโน้นอ้างนี่
อิดออดว่าไม่สบายเข้าไว้เป็นดีจะได้เล่นซนอยู่บ้าน
วันทั้งวันไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากเล่นทะโมนลูกเดียว
แขนถลอกปอกเถลิกก็ไม่สนใจ
แดดจะร้อนตับแลบขนาดไหนก็จะออกไปเล่นนอกบ้าน
จนพ่อแม่จับตัวไว้แทบไม่ทัน

โลกของเด็ก
โลกของเราตอนนั้นช่างสดใส
น่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด
เวลาเดินผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ...

เมื่อเวลาเดินผ่านไป บางทีเราเองก็เผลอลืมไป
ว่าตอนเป็นเด็กนั้น
โลกใบนี้มันน่าวิ่งเล่นมากมายขนาดไหน




 

Create Date : 09 มกราคม 2553    
Last Update : 20 มกราคม 2553 14:43:55 น.
Counter : 1491 Pageviews.  

ฉันชอบความรัก แต่เกลียดชังความเป็นมนุษย์





ความรัก
เส้นทาง
ราบเรียบ
งดงาม
ตราบเท่าผู้เป็นมนุษย์
ไม่ยึดมั่น-ถือครอง





อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันเขียนกลอนเปล่าบทนี้เอาไว้เนื่องจาก
มีคนถามฉันว่า “ฉันชอบความรักไหม”
ฉันหยุดนิ่ง ตรึกตรอง
แล้วตอบไปว่า
ฉันชอบความรักแต่เกลียดชังความเป็นมนุษย์
สำหรับฉันแล้ว ความรัก-งดงามมาก
แต่-มนุษย์ผู้คาดหวัง
มนุษย์ผู้มีกรอบกำหนด
มนุษย์ผู้มีความปรารถนา
นี่ไม่ใช่หรือทำให้รักเปรอะ
.
..
มนุษย์ที่ว่าก็ไม่ใช่ใคร
มันหมายรวมถึงตัวฉันเองด้วยเหมือนกัน!




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2552    
Last Update : 14 ธันวาคม 2552 17:37:23 น.
Counter : 990 Pageviews.  

หรือความเหงาจะติดกันได้จริงๆ?





สองสามวันก่อน ขณะที่ฉันกำลังกด save งานลงเครื่อง
เวลา 00.50 น. มีเมลล์ฉบับใหม่ส่งเข้ามา
ฉันคลิกเข้าไปดูและลิงค์ต่อไปยัง facebook
ซึ่งร้อยวันพันปีมากๆที่ฉันจะเข้าไป
เหตุผลที่สมัคร facebook เอาไว้ เพราะช่วงนั้นเพิ่งไปเที่ยวมา
และเพื่อนฉันบังคับว่าให้เอารูปลงที่เวบนี้จะได้เข้าไปเม้นได้
เพราะเธอไม่ได้สมัคร multiply เอาไว้ เดือดร้อนฉันต้องขยันอัพรูปลงทั้ง 2 ที่
และตั้งแต่อัพรูปลง facebook ฉันก็ไม่ค่อยจะได้แวะเวียนเข้าไปอีกเลย

หน้าจอคอมพิวเตอร์โหลดอยู่สักพัก
ก่อนจะโชว์หราให้เห็นข้อความจากเพื่อน

“เจ้ ขี้เกียจทำงานว่ะ เมื่อไหร่ถึงจะมีแฟนแบบพี่เคนมั้งน้อ 5555”

คำพูดชวนปรอทแตก โพล่งขึ้นมากลางดึก

หลังจากนั้น ผู้คนจากไหนก็ไม่รู้
หลั่งไหลมารวมตัวกันบนกระดานข้อความของฉันโดยไม่ได้นัดหมาย
ประหนึ่งว่าเป็นพื้นที่รวบรวมพลเมืองคนเหงา
มีทั้งปลอบกันเอง
ระบายความเหงาของตัวเอง
หรือแม้กระทั้งแดกดันคนตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาคนแรก
รวบรวมจำนวนความคิดเห็นเสร็จสรรพได้ 32 ความคิดเห็น !

สาม-สิบ-สอง ความคิดเห็นนะ ไม่ใช่ธรรมดา

ประวัติศาสตร์หน้า facebook ของฉันไม่เคยทำสถิติได้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
อย่างมากที่สุดก็ 10 ไม่เกิน 15

อะไรจะเหงากันขนาดนั้น
หรือความเหงามันติดกันได้
เพราะขนาด นักร้องที่กำลังครวญเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย
จากร้านเหล้าซึ่งเปิดใหม่ข้างที่พักฉัน
ก็แหกปากฝ่าลมหนาว ร้องเพลงเสียงดังสนั่นลั่นทุ่งในยามวิกาล

“...โปรดส่งใครมารักฉันที อยู่อย่างนี้มันเหงาเกินไป...” เหมือนกัน

ถ้าความเหงามันติดกันได้เหมือนหวัด
แล้วความเหงาจะแพร่ระบาดไปไกลไหม

ความเหงา จะส่งผ่านไปถึงคนที่เราคิดถึงได้ไหมนะ
...เขาจะเหงาเหมือนกันไหม

ฉันได้แต่ตั้งคำถามนี้กับตัวเองเท่านั้น


หลายวันที่ผ่านมา
ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ทำประโยชน์แก่เพื่อนฝูงโดยแท้
เพราะมักจะมีใครหลายคนมาระบายความเหงาให้ฟังอยู่เรื่อยๆ

เหงาเพราะไม่มีใคร
เหงาเพราะทุกข์ใจ...ทำไมเขาไม่โทรมาล่ะ...ทำไม...ทำไม..และทำไม
แต่ละคน ล้วนมีเหตุผลของความเหงาอยู่ในตัวทั้งนั้น
ล้านแปดเหตุผลที่พร่ำจนน้ำลายแตกฟอง
เราก็สรุปเป็นคำสั้นๆ เรียกตรงกันว่า “เหงา”

อย่างรายล่าสุด มาแปลก
เกิดความเหงา โผล่มาเยือนเมื่อวานนี้เอง ขณะเวลาเที่ยงคืนเป๊ะ

เสียงโทรศัพท์ห้องของฉันดังขึ้น
แข่งกับเสียงเพลงจากร้านเหล้าเปิดใหม่ (อีกแล้ว)

“นอนยัง” ปลายสายเจือจางด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
ยัง...ทำงานอยู่เลย มีอะไรหรือเปล่า
“เราเหงาว่ะ เหงามากเลย”

ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ถ้าเอาตัวเองเป็นมาตรฐานเวลาฉันเหงา
ฉันแค่ต้องการหาเพื่อนคุยหรือรับฟังฉันก็พอแล้ว
แต่สำหรับใครหลายๆคน ฉันก็ไม่มั่นใจนัก
ว่าพวกเขาต้องการให้ฉันรับฟังความเหงาของเขาอย่างเดียวหรือเปล่า
หรือเธออาจต้องการให้ฉันชวนออกไปหาอะไรทาน
ตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ...ไม่หรอกมั้ง

“ได้ยินเสียงเพลงจากร้านเหล้าไหม”
เพื่อนของฉันคนนี้ เธอพักที่เดียวกันกับฉัน
ดังนั้นจึงได้ยินเสียงเพลงอันดังสนั่นชวนเสียสุขภาพจิตเช่นเดียวกัน

ได้ยินสิ ดังขนาดนั้น คนไปนั่งที่ร้านเขาไม่หูแตกกันบ้างหรือไง

ฉันเงี่ยหูฟังเพลงเพื่อจับความหมาย

...นี่คือเหงา นี่แหละเหงา นี่คือความจริงที่พบเจอ เจ็บปวดทรมาน ลึกลงข้างในใจ โอ้ความเหงา มันช่างหนาว มันช่างยาวนาน และทุกข์ทน รอคอยใครบางคนมาหยุดมัน...

ฉันว่า ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่า จู่ๆทำไมเธอถึงรู้สึกเหงา
ก้เพลงออกจะ บิวท์อารมณ์ขนาดนี้

“เรากำลังจะนอน เราง่วงนอนแล้ว แต่เรานอนไม่หลับ
เราเหงาแค่นี้ยังไม่พอใช่ไหม ยังมีคนพยายามทำให้เราเหงาเพิ่มด้วย
มาเหงาข้างๆหูกูนี่
แม-ร่ง!!!”

สรรพนามแทนตัวของเธอเปลี่ยนตามอารมณ์ของเธอทันที
ฉันบอกให้เธอใจเย็นๆ อย่าคิดมากไปตามเนื้อเพลง
หรือไม่ก็เปิดทีวีกล่อมเป็นเพื่อนซะจะได้ดีขึ้น
เธอเออออห่อหมกเห็นด้วย แล้วตบท้ายก่อนวางหูว่า

“จริงๆก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากโทรมาบอกว่า เหงาเฉยๆ”


ถ้าความเหงามันติดกันได้จริงๆ ฉันคิดว่า
ความเหงาที่หลายๆคนส่งมาหาฉันตอนนี้มันคงกำลังเพาะบ่มเชื้อให้โตเต็มวัยก่อนจะกระจายทั่วร่างกาย
เพราะฉันยังไม่มีอาการเหงาขั้นรุนแรงแต่ประการใด

หากแต่ถ้าเกิดมันแสดงอาการกำเริบออกมาคงจะรุนแรงน่าดู
เพราะรับเชื้อ “เหงา” มาจากหลายที่เหลือเกิน
ถึงเวลานั้นคงต้องใช้คำว่า “เหงาโคตรๆ”
หรืออาจต้องลองหาเพลง “ความเหงาตัวเท่าควาย” มาฟังดูบ้าง
ฉันไม่เคยฟังเพลงนี้หรอก แต่เคยอ่านเจอว่ามีเพลงนี้เกิดขึ้นมาบนโลกด้วย
อาจจะมีสักวันที่เลือกเปิดเพลงนี้ขึ้นมาฟัง

มนุษย์เราต่างก็มีความเหงาอยู่ในตัวกันทั้งนั้น
จะมีสักกี่คน...ที่จะทนให้ชินกับความเหงาได้นานนัก!

ปิดท้ายด้วยบทกวี lonelyness ของ Stephen Dunn
แด่ คนขี้เหงาบนดาวเคราะห์ เดียวกัน


LONELINESS
So many different kinds,
yet only one vague word.
And the Eskimos
with twenty-six words for snow,
such a fine alertness
to what variously presses down.
Yesterday I saw lovers
hugging in the street,
making everyone around them
feel lonely, and the lovers themselves--
wasn't deferred loneliness
waiting for them?
There must be words
for what our aged mothers, removed
in those unchosen homes, keep inside,
and a separate word for us
who've sent them there, a word
for the street loneliness of salesman,
for how I feel touching you
when I'm out of touch.
The contorted, pocked, terribly ugly man
shopping in the 24-hour supermarket
at 3 A.M.--a word for him--
and something, please,
for this nameless ache here
in this nameless spot.
If we paid half as much attention
to our lives as Eskimos to snow . . .
Still, the little lies,
the never enough.
No doubt there must be Eskimos
in their white sanctums, thinking
just let it fall, accumulate.

Stephen Dunn -- BETWEEN ANGELS (1989)


" ความเหงาบนโลก
มีหลายแบบ
ผู้คนบนโลก
ต่างเรียกความรู้สึกเหล่านี้
ด้วยคำๆเดียวว่า-เหงา

เช่นเดียวกับชาวเอสกิโม
มียี่สิบหกชื่อใช้เรียกหิมะ
เพื่อกล่าวถึงความแตกต่างของหิมะยามร่วงกราวลงสู่พื้น

เมื่อวานนี้ฉันเห็นคู่รัก
สวมกอดกันบนท้องถนน
คู่รักคู่นั้นทำให้คนรอบกายรู้สึกเหงา
และคู่รักคู่นี้ต่างก็มีช่วงเวลา
แห่งความเหงารอคอยอยู่ใช่ไหม

หรือความเหงาอาจถูกใช้
เวลาที่ลูกส่งแม่อายุเยอะ ไปสถานคนชรา
ใจคนทั้งสอง
ต่างมีความเหงาเกิดขึ้นมา
เพียงแต่ว่า-คนละชนิด

ความเหงาของนักขายของ
ความเหงาของความคิดถึง
ที่เดินทางไปไม่ถึง
ด้วยระยะทางที่อาจไกลเกินไป

ความเหงาของชายอัปลักษณ์
ขณะเดินจับจ่ายของ
ในร้านค้าเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ขณะเวลาตีสาม

ความเหงาสำหรับความเจ็บปวด
เกินจำนรรจา

หากเราพินิจให้ถี่ถ้วน
ชีวิตคนเราก็เหมือน
คำเรียกหิมะของชาวเอสกิโม

ความเหงายังคงมีอยู่ มีเล็กน้อย
และอาจนิยามความเหงาได้มากกว่านี้

แต่ชาวเอสกิโมบางคน
อาจคิดเพียงว่า
ให้หิมะมันตกทับถมลงมาเถิด
อย่างไรเสียก็เป็น 'หิมะ'
ไม่ว่าจะเรียกชื่อหิมะเหล่านั้นว่าอะไร

บางคนก็อาจคิดเช่นนี้กับ 'ความเหงา' เช่นกัน! "

- แปล :: ladywrite –










 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 22:25:44 น.
Counter : 509 Pageviews.  

มหัศจรรย์แท้ ฉันนี่แลผู้หญิงมหัศจรรย์



ผู้หญิง...
อะไรที่บอกถึงความเป็น "ผู้หญิง"

...เพราะฉันคือผู้หญิง
มหัศจรรย์แท้
ผู้หญิงมหัศจรรย์
คือฉันนั่นแล...


หนึ่งในบทกวีที่เขียนถึงผู้หญิง
และทำเอาฉันประทับอกประทับใจถึงขั้นต้องคัดลอกกวีบทนั้น
ลงในสมุดทำมือของตัวเอง
เป็นบทกวีของ Maya Angelou นักกวีชาวอเมริกัน

บทกวีของเธอมีชื่อว่า " Phenomenal woman"
จำได้ว่า ประทับใจมาก
ภาษาสวย
สำนวนไพเราะมาก
และเป็นกลอนที่มีเสน่ห์
อาจเพราะฉนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน
อ่านแล้วเลยเกิดอารมณ์เออออห่อหมกตามไปด้วย

อย่าดูถูกไปเชียว
กลอนของ Maya Angelou บทนี้ ติดอันดับ Top 10 ของหลายๆเวบ
ที่มีคนค้นหามากที่สุดเชียวนะ
จะว่าไป Maya Angelou ก็มักจะชอบเขียนอะไรที่เกี่ยวกับผู้หญิง
แต่วันนี้ ฉันจะลงมือแปลกวีบทนี้
บทที่มีชื่อว่า "Phenomenal woman"


Pretty women wonder where my secret lies.
I'm not cute or built to suit a fashion model's size
But when I start to tell them,
They think I'm telling lies.
I say,
It's in the reach of my arms
The span of my hips,
The stride of my step,
The curl of my lips.
I'm a woman
Phenomenally.
Phenomenal woman,
That's me.

I walk into a room
Just as cool as you please,
And to a man,
The fellows stand or
Fall down on their knees.
Then they swarm around me,
A hive of honey bees.
I say,
It's the fire in my eyes,
And the flash of my teeth,
The swing in my waist,
And the joy in my feet.
I'm a woman
Phenomenally.
Phenomenal woman,
That's me.

Men themselves have wondered
What they see in me.
They try so much
But they can't touch
My inner mystery.
When I try to show them
They say they still can't see.
I say,
It's in the arch of my back,
The sun of my smile,
The ride of my breasts,
The grace of my style.
I'm a woman
Phenomenally.
Phenomenal woman,
That's me.

Now you understand
Just why my head's not bowed.
I don't shout or jump about
Or have to talk real loud.
When you see me passing
It ought to make you proud.
I say,
It's in the click of my heels,
The bend of my hair,
the palm of my hand,
The need of my care,
'Cause I'm a woman
Phenomenally.
Phenomenal woman,
That's me.





หญิงสาวทั้งหลายต่างสงสัยว่าเคล็ดลับของฉันอยู่ที่ไหน
ฉันไม่ได้น่ารักหรือถูกสร้างมาให้มีรูปร่างอย่างนางแบบ
แต่พอฉันเริ่มบอกเคล็ดลับให้เขาฟัง
พวกเขาก็คิดว่าฉันโกหก

เคล็ดลับของฉัน
มันก็คืออ้อมแขนของฉัน
คือขนาดของสะโพกฉัน
คือย่างก้าวของฝีเท้าฉัน
คือส่วนโค้งของริมฝีปาก
เพราะฉันคือผู้หญิง
มหัศจรรย์แท้
ผู้หญิงมหัศจรรย์
คือฉันนั่นแล



ฉันย่างก้าวเข้าไปในห้อง
ผ่อนคลายแต่มั่นใจ
ชายทั้งหลายต่างพากันยืนขึ้น
บ้างก็ล้มลงไปคุกเข่า.ให้ฉัน
ชายทั้งหลายรายล้อมรอบตัวฉัน
ราวกับฝูงผึ้งปกป้องรัง

ฉันว่า
มันคงเป็นประกายระยับในดวงตาของฉัน
และประกายบนฟันของฉัน
จังหวะแกว่งไกวจากเอวฉัน
ฝีเท้าของฉันที่เริงร่า
เพราะฉันคือผู้หญิง.
มหัศจรรย์แท้
ผู้หญิงมหัศจรรย์...
คือฉันนั่นแล

ผู้ชายเองต่างก็ประหลาดใจ
ว่ามี-อะไร-อยู่ในตัวฉัน
พวกเขาพยายามมากมายอยากได้มัน
แต่ไม่สามารถสัมผัส-สิ่งมหัศจรรย์ของฉัน
ห้วงปริศนาสิ่งนั้นคืออะไร

ฉันพยายามเปิดเผยให้เขาเห็น
แต่พวกเขาไม่อาจเห็นมันได้
ฉันว่า
มันอยู่ตรงส่วนของโค้งของแผ่นหลังฉัน
อยู่ตรงรอยยิ้มเจิดจ้า
อยู่ตรงช่วงเนินอกของฉัน
ความสง่างามตามแบบที่ฉันเป็น
เพราะฉันคือผู้หญิง
มหัศจรรย์แท้
ผู้หญิงมหัศจรรย์
คือฉันนั่นแล



ตอนนี้คุณคงเข้าใจ...
ว่าทำไมฉันจึงไม่เคยทำคอตก
ไม่ตะโกนลั่น ตัวสั่นวิ่งพล่าน
หรือเอ็ดตะโรใส่ใคร

เมื่อคุณเห็นฉันเดินผ่านไป
ก็น่าจะเข้าใจ
ความทระนง ความมั่นใจ –อยู่ในสิ่งที่คุณเป็น

ฉันว่า
มันอยู่ที่เสียงกระทบจากริมฝีเท้าฉัน
ลอนผมหยักเสยายคล้ายคลื่นเสลาสลวยนั่น
อยู่ตรงฝ่ามือที่เฝ้าทนุถนอม
มันอยู่ที่การเฝ้าพินิจคิดดูแลเอาใจใส่
เพราะฉันคือผู้หญิง
มหัศจรรย์แท้
ผู้หญิงมหัศจรรย์...
นั่นคือฉันแล

แปล:: ladywrite


maya คงอยากจะบอกกับเราว่า
หญิงสาวนั้นสวยงามตรงไหน
สวยงามอย่างไร
สิ่งที่สวยงามนั้น แทรกอยู่ทุกๆที่ที่ผู้หญิงเป็น
และอย่าลืมว่า
ตัวเรานั้น สวยงามและมีคุณค่ามากแค่ไหน

แด่ผู้หญิงทุกคน!!!





 

Create Date : 26 กันยายน 2552    
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 22:22:22 น.
Counter : 2002 Pageviews.  

จุ๊ๆ...อย่าล้อเล่นน่า

วันนี้มีนิทานมาเล่าให้ฟังค่ะ
นิทานเรื่องนี้เป็นบทกวีของนักกวีที่ชื่อ shel silverstein อย่างที่เคยเอาบทกวีบางบทนำมาลงในบล็อกบ้างแล้วในคราวก่อน

เคยล้อเล่นกับชีวิตของคนอื่นบ้างไหมคะ
ล้อเล่นเป็นเรื่องที่เราไม่จริงจัง...
ไม่เป็นไร ขำๆน่า
แต่สำหรับคนที่ถูกเราล้อเล่นด้วยนั้น...เราแทบจะไม่รู้เลยว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องที่เราล้อเล่น

บางทีเขาอาจจะไม่ได้ติดใจเอาความ
แต่บางครั้ง
กว่าเราจะรู้ตัวว่าทำเกินไป
ความรู้สึกเหล่านั้นก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้เสียแล้ว

เราได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเองอยู่ในใจ
ไม่น่าเลย...ไม่น่าเลย

เช่นเดียวกับกวีบทนี้ที่ชื่อ "The Crocodile's Toothache"
หรือเรียกกันตามภาษาของเราว่า "จรเข้ปวดฟัน"
ซึ่งเป็นนิทานที่สื่ออกมาในรูปบทกวี
ที่ให้แง่คิด คารม-คมคาย

ขอเรียกว่านิทานแล้วกันนะคะ
นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวระหว่างจรเข้กับหมอฟัน
ดูเหมือนเป็นนิทานหลอกเด็ก เรื่องแต่งเอาไว้อ่านสำหรับเด็กเท่านั้น
ชื่อมันก็ออกจะชัดสุดโต้งขนาดนั้นนี่น่า

แต่ลองมาอ่านนิทานหลอกเด็กเรื่องนี้กันก่อนดีกว่าไหมคะ
แล้วค่อยตัดสินว่านิทานสำหรับเด็กจริงๆหรือ

จรเข้ปวดฟัน*

จรเข้
ไปหาหมอฟัน
และนั่งลงบนเก้าอี้
หมอฟันบอกว่า "บอกผมซิครับ ทำไมถึงเจ็บ และเจ็บซี่ไหน"

จรเข้บอกว่า "ฉันจะบอกตามตรงนะหมอ
ฉันเจ็บฟันในปากจนจะตายอยู่แล้ว"
จากนั้นจรเข้จึงอ้าปากกว้าง แสนกว้าง

หมอฟันคลานเข้าไปในปากที่เปิดง้าง
แล้วหัวเราะร่า "โอ้...สนุกไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย"
และเริ่มถอนฟันจรเข้ออก ทีละซี่

จรเข้ร้องไห้ "หมอทำฉันเจ็บนะ!
ช่วยวางคีมลงและปล่อยฉันไปซะดีกว่า"

แต่หมอฟันกลับหัวเราะ โฮ่ โฮ่ โฮ่
และบอกว่า "ยังเหลือฟันอีกตั้ง 12 ซี่ให้ถอนต่อ-
อุ๊ย ถอนผิดไปอีกหนึ่งซี่แล้ว หมอสารภาพก็ได้
" แต่แค่ฟันหายไปซี่เดียว จะเป็นไรไปเล่า"

ทันใดนั้น จรเข้ก็ปิดงับขากรรไกรลง
แล้วหมอฟันก็จากไป แผนที่ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าเขาจากไปไหน
เราคงต้องเดากันเอง
ว่าหมอฟันไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก...
เพราะคุณหมอไม่ได้ทิ้งที่อยู่ใหม่เอาไว้ให้
ก็แค่หมอฟันขาดหายไปคนหนึ่ง จะเป็นไรไปล่ะ..

แปลโดย :: ladywrite

โอ้ อนิจจาจริงๆ
ไม่รู้ว่าหมอฟันได้หายไปไหนเสียแล้ว
โอ้ อนิจจา...ฟันจรเข้ก็ขาดหายไปเหมือนกัน
เชื่อเหลือเกินว่า คนที่ได้อ่านกวีบทนี้คงได้อะไรตอบกลับมาหลายอย่าง
ไม่ใช่แค่นิทานตลกร้าย ไม่ใช่แค่การล้อเล่น แต่เป็นเรื่องของจิตใจ
ดังนั้น เจ้าของบล็อกจึงไม่ขอบรรยายความรู้สึกตนเองลงไป
แต่อยากให้กวีบทนี้
เป็นนิทานที่น่าอ่านเล่นก่อนที่เราจะเล่นๆกับใคร
เท่านั้นเอง

*(ต้นฉบับ)
"The Crocodile's Toothache"*

The Crocodile
Went to the dentist
And sat down in the chair,
And the dentist said, "Now tell me, sir,
Why does it hurt and where?"
And the Crocodile said, "I'll tell you the truth,
I have a terrible ache in my tooth,"
And he opened his jaws so wide, so wide,
The the dentist, he climbed right inside,
And the dentist laughed, "Oh isn't this fun?"
As he pulled the teeth out, one by one.
And the Crocodile cried, "You're hurting me so!
Please put down your pliers and let me go."
But the dentist laughed with a Ho Ho Ho,
And he said, "I still have twelve to go-
Oops, that's the wrong one, I confess,
But what's one crocodile's tooth more or less?"
Then suddenly, the jaws went SNAP,
And the dentist was gone, right off the map,
And where he went one could only guess...
To North or South or East or West...
He left no forwarding address.
But what's one dentist, more or less?

by เชล วิลเวอร์สทีน


มีเวอร์ชั่นเป็น แอนิเมชั่นด้วยค่ะ
เข้าไป seart หาดูใน youtube
น่ารักทีเดียว..ลองดูกันนะคะ




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552    
Last Update : 26 กันยายน 2552 20:40:59 น.
Counter : 605 Pageviews.  

1  2  

ladywrite
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




living | learning |
[Add ladywrite's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.