Welcome to My World :) You're Welcome.

ให้เรารู้สึกถึงลม...

ให้เรารู้สึกถึงลม...

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 25/10/09
ยอห์น. 3:1-36

สิ่งที่สำคัญที่สุดในยอห์นบทนี้ มีหลายข้อพระคัมภีร์และหลายตอนด้วยกัน
แต่เรื่องที่เราเห็นจะไม่กล่าวถึงไม่ได้ น่าจะเป็นเรื่อง "พระเยซูกับนิโคเดมัส"

ในตอนนี้สิ่งที่พระเจ้ากำลังจะบอกเราคือ
เรื่องของการบังเกิดใหม่ (ยน. 3:3-7)

3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้"
4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่ได้หรือ"
5 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้
6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่ในที่นี้ เราขอเข้าใจว่า คือ การบังเกิดใหม่ในองค์พระเยซูคริสต์
การมีชีวิตใหม่ การเป็นคนใหม่ โดยการรับเชื่อ และรับบัพติศมา จากน้ำ และพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทำไมเราถึงเชื่อเรื่องนี้... พระเยซูทรงเปรียบเทียบไว้ว่า

"ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น
แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"

มันเหมือนกับว่า พระิวิญญาณก็เหมือนลม... เราไม่รู้ที่มาที่ไป แต่เราก็สัมผัสมันได้...
เราเป็นคนหนึ่งที่ก็อึ้งไปเหมือนกันเมื่อได้เจอข้อพระคัมภีร์นี้...

เชื่ออะไรยากเหมือนกัน แต่นั่นแหละ บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องรู้ว่ามันมาจากไหน
แต่อย่างน้อยเราก็รู้สึกถึงมันได้ ใช่มั้ย?

ให้เราหลับตาแล้วอธิษฐาน ถึงแม้มันจะบางเบา
แต่เราก็รู้สึก จริงมั้ย?

คุณล่ะ รู้สึกถึงลมนั้นหรือยัง?




Free TextEditor




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 0:24:10 น.
Counter : 263 Pageviews.  

กว่าจะวางใจ ไม่กลัวจะสายเกินไปหรือ?

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 24/10/09
ยอห์น. 2:1-25

สำหรับการเฝ้าเดี่ยวในพระกิตติคุณยอห์นนั้น...
มีข้อดีคือ เราได้รู้จักพระเยซูมากขึ้น และมันทำให้เราอยากเรียนรู้
สำหรับหยีแล้ว นี่เป็นอีกก้าวที่เราค่อยๆทำความเข้าใจ และรู้จักกับพระเยซู
เอาจริงๆ เหมือนเริ่มต้นใหม่เลยนะ
แต่ว่ายิ่งรู้จักพระองค์มากขึ้นเท่าไหร่ หยีกลับยิ่งรู้สึกกระหายที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นอีกร้อยทวี...
นอกจากที่เราจะรู้จักกับพระองค์แล้ว เรายังต้องพยายามเดินตามพระองค์อีก

เราอ่านเพื่อจะได้รู้จักพระเยซู ทำให้เราคิดได้ว่า...
หากเป็นพระเยซู... พระองค์จะทำอย่างไร...
เป็นเหมือนกรอบอะไรซักอย่างที่ทำให้เราคิดตลอดเวลา
เป็นการตีกรอบในความคิด ในการกระทำเราว่า
สิ่งที่เราทำไปพระองค์จะทำมั้ย??

แต่เท่าที่หยีอ่านในยอห์นบทที่ 2 ในหัวข้อ "พระเยซูทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน"
เอาเข้าจริง... มองในทางกลับกัน เรานี่แหละไม่เห็นรู้จักพระองค์เลย
ไม่เข้าใจถึง Inside เลยนะ แต่พระองค์เยี่ยมมาก ที่รู้จักมนุษย์ทุกคน

สำหรับเรื่องนี้ หยีเข้าใจจริงๆว่า พระเยซูรู้ว่า หยีเป็นคนยังไง
พระองค์จะดัด"สันดาน" หยียังไง ให้หยีเข้าใจ และเรียนรู้จักพระองค์
พระองค์รู้วิธีที่จะกระตุ้น รู้วิธีที่จะนำเสนอชีวิต เรื่องราวของพระองค์
ทำยังไงให้หยีอยากรู้จักพระองค์มากขึ้นๆ :)~

และหยีก็เืชื่อเช่นกันว่า สำหรับมนุษย์แต่ละคน
พระเจ้ามีแผนการที่ไม่เหมือนกัน เป็น Tailored Made :):) 555
เพื่อให้แต่ละคนได้เรียนรู้จักพระองค์ ด้วยบทเรียน และประสบการณ์ชีวิตต่างๆกันไป
แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็จะได้รับความรอด หากเชื่อและวางใจในพระองค์ :D

(ยน. 2:11)
นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระเยซู ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ และสาวกของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์


(ยน. 2:23)
เมื่อพระองค์ประทับ ณ กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา มีคนเป็นอันมากได้วางใจในพระนามของพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นหมายสำคัญที่พระองค์ได้ทรงกระทำ

พระเจ้าทรงมีแผนการในการวางตัวหมากของพระองค์ และทำหน้าที่แตกต่างกันไป
ติดอยู่ตรงที่ว่า มนุษย์เรานี่แหละ
ที่จะ"ต้องเห็น" หมายสำคัญของพระองค์ก่อน แล้วจึงจะวางใจ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น
ไม่ว่าใครหรือแม้แต่สาวกของพระเยซูเองก็ตาม
ต้องเห็นก่อน แล้วจึงจะเชื่อ....
เราไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไม? เพราะหยียอมรับว่า หยีก็เป็นเหมือนกัน ต้องเห็นก่อนถึงจะเชื่อ
....
แล้วพอเห็นแล้ว ก็เชื่อจริงๆ ได้วางใจจริงๆ และก็อยากเป็นพยานให้กับคนอื่น :)
สำหรับคนอื่นๆ หยีว่าก็คงเป็นเหมือนหยี ที่ดื้อ ประมาณว่าต้องรู้เองก่อน ถึงจะเชื่อ

แต่สำหรับพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงทราบถึงข้อนี้ดี

(ยน. 2:24-25)
แต่พระเยซูมิได้ทรงวางพระทัยในคนเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ และสำหรับพระองค์ไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์

เอาล่ะสิ แสบมั้ยล่ะ? เรียกได้ว่า กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว
กว่าเราจะเชื่อพระองค์ พระองค์ก็ไม่เชื่อแล้ว
อย่าให้เป็นแบบนั้นเลย... ตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว เชื่อเถอะ
อยากให้เชื่อในคำพยานที่หลายๆคนเป็นพยานให้ถึงเรื่องนี้
พระเจ้าทรงส่งตัวอย่างให้ทุกๆคนดูแล้ว :) รวมถึงตัวหยีเองด้วยที่พระองค์ใช้หยีเป็นพยานใกล้ๆตัวคุณ

เรื่องอย่างนี้หยีโกหกไม่ได้จริงๆ อยากให้ทุกคนได้รู้จักพระเจ้า... และรอดไปด้วยกัน
มาเถอะค่ะ มารู้จักพระเจ้าไปพร้อมๆกัน :):)

ทูลขอการอภัยโทษที่เราได้ล่วงเกินพระองค์ ขอพระองค์ยกโทษให้มนุษย์บาปๆผู้นี้ด้วย
ฝากไว้ในพระนามพระเยซูคริสต์




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2552    
Last Update : 24 ตุลาคม 2552 21:00:02 น.
Counter : 294 Pageviews.  

ความสว่างแท้

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 22/10/09
ยอห์น. 1:1-42

พี่เขาบอกว่าไม่ควรเฝ้าเดี่ยวแบบสุ่มอ่ะ - -'
โอเค จะเฝ้าเรียนไปเป็นบทๆละกัน ขอบคุณพระเจ้า!!

สำหรับยอห์นบทที่ 1 ได้มาหลายข้อเลยทีเดียวกับพระคัมภีร์แค่บทเดียว
ไม่สิ ตั้งบทนึง!!!

(ยน. 1:1-3)
พระเยซูเป็นพระวาทะของพระเจ้าในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า พระ เยซู ผู้เนรมิตสร้างสิ่งสารพัดพระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์

สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเป็นอัลฟา และโอเมกา (วว. 1:8)
พระองค์ทรงเป็นนิรันดร์

(ยน. 1:4-5)
ในพระองค์มีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่

"ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด ความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่?"
ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า...
แต่พระเจ้าต้องการบอกว่า... พระองค์ให้พระเยซูเข้ามาในชีวิตของเราทุกคนแล้ว
แต่ว่าเรา... จะรู้สึกไหม? เราจะเข้าใจไหม?...
ดังที่ได้กล่าวในยอห์นต่อไป...

(ยน. 1:4-5)
ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงนั้นได้ แม้ขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก พระองค์ทรงอยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่"

เรา... ได้รู้จักพระองค์ไม่...
ตัวเราเองเป็นดั่งความมืด ที่หลงมัวเมาอยู่ในความบาป ตามกระแสของโลก...
ดังที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ใน โรม12:2 ดังนี้ว่า

(รม.12:2)
อย่า ประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้เข้าใจมากขึ้น...
ขอบคุณที่พระองค์เป็นดั่งแสงสว่างที่จะส่องเข้ามาในความมืดเช่นเราๆ :):)
ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราเชื่อและมอบความรอดให้กับเรา...

(ยน. 1:12)
แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า

โอ้โอ ของขวัญที่ล้ำค่า และยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตหยีเลยนะเนี่ย...
ได้เป็นลูกของพระเจ้าเนี่ย ลูกสาวคนโปรด ลูกสาวสุดรัก...
ซึ่งบางครั้งก็ทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย แสบใส่พ่อซะมากมาย 555 =P
แต่พระเจ้าก็ยังรักเรา... พระองค์ไม่เคยปฎิเสธหยีเลยนะว่า... หยีไม่ใช่ลูกของพระองค์
พระองค์มอบความรักที่เอ่อล้น (มีให้มากจริงๆ) ให้หยีตลอดเวลาเลย
พระองค์แค่รอว่า เมื่อไหร่ไอ้ลูกสาวตัวแสบนี่จะรู้สึกตัวซะที
หลงไปนานไปมั้ย? 555 ขอบคุณพระเจ้าที่เริ่มงัดไม้นวมออกมาใช้กะเรา
(จะว่าไม้แข็งก็ไม่ใช่ ไม้นิ่มก็ไม่ใหญ่ เลยเอาเป็นไม้นวมละกัน
แข็งๆแหละ แต่ก็มีบุบ้างอะไรบ้าง ไม่เจ็บมากนัก
พระเจ้าเป็นห่วง กลัวเจ็บแล้วตาย ไอ้เด็กคนนี้มันใจเสาะ...)

ขอบคุณพระเจ้าที่ยังให้เราเป็นบุตรของพระองค์ และทรงเตรียมแผนการไว้อย่างดีเสมอ
ขอบคุณที่พระองค์เป็นแสงสว่างที่ส่องเข้าไล่ความมืดในตัวเรา :)







 

Create Date : 23 ตุลาคม 2552    
Last Update : 23 ตุลาคม 2552 10:55:58 น.
Counter : 242 Pageviews.  

กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) ของลูกหยี

รู้สึกว่า จู่ๆ ก็อยากพูดถึงคำนี้ขึ้นมากระทันหัน ทำไมก็ไม่รู้
เดี๋ยวขอวิชาการก่อนนะ แล้วจะบอกให้ว่าทำไมถึงต้องพูดเรื่องนี้

การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดชีวิต
คำจำกัดความที่เราจะได้ยินเสมอ นั่นก็คือ
ปลงศักยภาพแห่งพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกหรือการปฏิบัติที่ได้รับการเสริมแรง”
(เค้าบอกของคิมเบิล (ไหนไม่รู้) และไม่เอาภาษาอังกฤษเพราะเราไม่เข้าใจ)

จากคำจำกัดความนี้ทำให้เราสรุปได้เป็นภาษามนุษย์ง่ายๆ ให้เข้าใจได้นั่นคือ
1. การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
2. ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ไม่ใช่ชั่วครู่
3. ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยฉับพลันทันที
4. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องมาจากประสบการณ์ และการฝึก
5. การฝึกต้องได้รับการเสริมแรง ใในที่นี้หมายถึง "รางวัล"

เรารู้สึกว่า ชีวิตเราเนี่ยมันต้องมีการเรียนรู้เนอะ
ไม่ว่าจะเรื่องรัก หรือว่า เรื่องการใช้ชีวิต (เราหมายถึงหลังจากการรับเชื่อนะ)

สำหรับเรื่องความรัก... อย่าอ้วกนะ คือ เราต้องเรียนรู้การรัก และการถูกรัก
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติก รรมนะ แล้วก็ค่อนข้างถาวร
ความรักทำให้คนเราค่อยๆเปลี่ยนไป ต้องป่านประสบการณ์ และมีการเสริมแรง
เออ มันตรงทุกอย่างเลยจริงๆนะ เพราะฉะนั้น รัก จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องเรียนรู้
พักไว้ก่อนเรื่องนี้

อีกเรื่องคือ... การใช้ชีวิตในความเชื่อ เป็นสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งที่ จำเป็นต้องเรียนรู้
การรับเชื่อเป็นเหมือนจุดเริ่มที่เราจะใช้ชีวิตใหม่ เป็นสิ่งที่เราจะเริ่มพฤติกรรมใหม่ๆ
นอกจากนี้ การรับเชื่อ เป็นการรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต แล้วเราก็เตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงชีวิตไปแบบถาวร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่การเปลี่ยนไปแบบปุบปับ
พระเจ้าจะค่อยๆเข้ามาในชีวิตเรา แล้วค่อยๆเปลี่ยนเราไปเพื่อเป็นคนใหม่
โดยผ่านบทเรียนต่างๆ บททดสอบจากพระเจ้า และหากเราทำได้ดี
พระเจ้าจะมีรางวัลเตรียมไว้ให้เสมอ นีเ่ป็นการเสริมแรงในทางบวก
In the other hand, การเสริมแรงทางลบ สำหรับพระเจ้าก็มีไว้ตีสอนเราเหมือนกัน
เวลาที่เราทำอะไรผิด หรือ ไม่ได้ดั่งใจพระเจ้า ---- :)

แล้วเราพูดมาหมดนี่เพื่ออะไร? เออ นั่นน่ะสิ เพื่ออะไร???

ก็คือ เอาจริงๆคือ จะบอกว่า (มาโหมด Holy เยอะจังช่วงนี้ เอาน่า กำลังขึ้นๆ)
พระเจ้าทรงเป็น Teacher เป็นคนสอนเราใช้ชีวิตใหม่ ผ่านกระบวนการเรียนรู้
แล้วถ้ามองจริงๆ สำหรับชีวิตเราแล้ว เออ มันเป็นขั้นจริงๆ ตามที่เค้าสอนไว้เลย
พระเจ้าทำให้เราเกิดกระบวนก ารเรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอนจริงๆ พระเจ้าเยี่ยมสุดๆ!!!
ที่จะยกเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นจริง 5555
เป็นกระบวนการเรียนรู้ชีวิตใหม่ ที่พระเจ้าสอนเรานะ :):)



ขั้นแรก คือ เกิดแรงจูงใจ (Motivation)
เมื่อใดก็ตามที่กิดความต้องการหรืออยู่ในภาวะที่ขาดสมดุลย์ก็จะมีแรงขับ (Drive) หรือแรงจูงใจ (Motive) เกิดขึ้น
ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมเพื่อหาสิ่งที่ขาดไปนั้นมาให้ร่างกายที่อยู่ในภาวะที่พอดี
แรงจูงใจมีผลให้แต่ละคนไวต่อการสัมผัสสิ่งเร้าแตกต่างกัน
เป็นสิ่งที่จะกำหนดทิศทางและความเข้มของพฤติกรรมและเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นสำหรับการเรียนรู้

สำหรับเรา แรงจูงใจเริ่มแรกกกก เลยที่ไปโบสถ์ คือ การเรียนรู้พระเจ้าผ่าน"การแสดง"
ซึ่งถ้าท้าวความไปอีกที ก็ไม่ใช่ตัวเราเองแหละ พระเจ้าให้ทั้งสุรพัด และดรีมมาเรียกให้เราไป
เอาจริงๆ ตอนนั้นไปเพราะดรีมชวนนะ 5555 สำหรับเรา นั้นเป็นแรงจูงใจครั้งแรก
แต่ไม่ได้สนใจเรื่องรับเชื่ออะไรเลยนะ นั่นแหละ ก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า :):)



ขั้นสอง คือ กำหนดเป้าประสงค์ (Goal)
เมื่อมีแรงจูงใจเกิดขึ้นแต่ละบุคคลก็จะกำหนดเป้าประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความพึงพอใจ
เมื่อได้เรียนรู้ซักพัก สิ่งที่เราอยากทำตอนแรก

เป้าหมายของเรา คือ การได้เรียนการแสดง แสดงเป็น
แต่มีเป้าหมายต่อมาคือ อยากจะรู้อะไรกับคำว่า "คริสต์" มากขึ้น อยากรู้จัก"พระเจ้า" อยากรู้จัก "พระเยซู"
นั่นคือ เป้าหมาย ที่พระเจ้ากำหนดให้เรา (เอาจริงๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นตัวเอง แต่ไม่นิ 555)
เป้าหมายแรก ดูจับต้องได้เนอะ ดูแบบชัดเจนไม่เลื่อนลอย
แต่เป้าหมายที่สองนี่ ค่อนข้าง จับต้องไม่ได้เนอะ ว่ามั้ย??



ขั้นสาม คือ เกิดความพร้อม (Readiness)
อ่าค่ะ สำหรับเราแล้ว เราเกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น หลังการรับเชื่อนะ
พอรับเชื่อเสร็จปุ๊บ รู้สึกเลยว่า อยากเรียนรู้ มันพร้อมอ่ะ เข้าใจป่ะ?
พร้อมที่จะรู้จักกับพระเจ้า รู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น
พร้อมในหลายๆด้าน

เอ้า มาค่ะ พระเจ้า น้องหยีพร้อมมมม!!!!!



ขั้นสี่ คือ มีอุปสรรค (Obstacle)
แน่ะ ไม่ต้องคิดมากค่ะ 5555 หลังจากรับบัพติศมาแล้ว
อุปสรรคการทดสอบก็มาในบัดดล... ไอ้ปัสกาที่เจอระหว่างรับเชื่อนี่ จิ๊บจ๊อยไปเลยค่ะ
หลังจากนี้สสิ ที่เค้าเรียกว่า "ของจริง" หลายๆคนคงทราบอยู่
อุปสรรคที่ว่านี้ มันก็มีหลากหลายประการ และที่สำคัญ ทำให้หยีหลงหายไปได้ค่าาาา
ดีใจด้วย... นี่เป็นกระบวนการเรียนรู้อีกบทหนึ่งที่หยีได้รับ

อุปสรรคจะเป็นสิ่งขวางกั้นระหว่างพฤติกรรมที่เกิดจากแรงจูงใจกับเป้าประสงค์
ถ้าหากไม่มีอุปสรรค์หรือสิ่งกีดขวางเราก็จะไปถึงเป้าประสงค์ได้โดยง่าย....
ซึ่งเราก็ถือว่าสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เกิดความต้องการที่จะแก้ปัญหาและเรียนรู้
ตรงกันข้ามการที่เราไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้จะก่อให้เกิดความเครียด
และจะเกิดความพยายามที่จะหาวิธีการแก้ปัญหาซึ่งจะทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น

แน๊ะ... เริ่มเข้าใจอะไรกันมั้ยค่ะ?

พระเจ้าให้บททดสอบเรา เพื่อจะบอกว่า การรู้จักพระองค์ไม่ใช้่ง่า ยๆนะเคอะ :):)
และก็ทำให้หลายๆคน ติดแหง่กอยู่กับขั้นนี้

น้องหยีคาดว่า ขั้นนี้คงกินเวลานานที่สุด สำหรับใครหลายๆคน
ไอ้ช่วงเตรียมพร้อม รับเชื่อ รับบัพติศมาเนี่ย...
ไม่นานเท่าช่วงนี้เลยนะ ขอบอก!!!!



ขั้นห้า คือ การตอบสนอง (Response)
เมื่อบุคคลมีแรงจูงใจ มีเป้าประสงค์ เกิดความพร้อม และเผชิญกับอุปสรรคก็จะมีพฤติกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น
พฤติกรรมนั้นอาจเริ่มด้วยการตัดสินใจ เกิดอาการตอบสนองที่เหมาะสม
ทดลองทำ แล้วปรับปรุงแก้ไขการตอบสนองนั้นให้แก้ปัญหาได้ดีที่สุด
ซึ่งแนวทางของการตอบสนองอาจมุ่งสู่เป้าประสงค์โดยตรงหรือโดยทางอ้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งก็แล้วแต่ว่า ช่วงนี้ ใครจะแก้ได้ หรือแก้ไม่ได้ พระเจ้าใช้ไอ้อุปสรรคนี้แหละที่สอนเรา
ให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา ผ่านอุปสรรค บททดสอบต่างๆ
และเป็นการทดสอบด้วยว่า เราจะเลือกพระเจ้าหรือไม่ 555

สำหรับหยี... ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่มีการตอบสนองที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
และได้เลือกทางที่ถูกแล้วตอนนี้ พระเจ้ากระตุกเชือกหยีที่คอหลังจากปล่อยให้ไปเรียนรู้ชีวิต
ให้ไปตามใจชอบมานาน พระเจ้าคงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะพร้อม และมีอะไรที่จะมาแบ่งปัน
ให้เราโตขึ้น ให้เรากลับมาเตรียมที่จะรับใช้พระเจ้า...

ถ้าเป็นเตเลตับบี้ พระเจ้าก็คงพูดเหมือนพระอาทิตย์หน้าเด็ก...
"หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ"

ใช่จ๊ะหยี หมดเวลาสนุกทางโลกแล้วล่ะ :):)~



ขั้นหก คือ การเสริมแรง (Reinforcement)
การเสริมแรงก็หมายถึงการได้รางวัลหรือให้สิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดความพอใจ
ซึ่งปกติผู้เรียนจะได้รับหลังจากที่ตอบสนองแล้ว

อ่า... ตอนนี้พระเจ้าก็เสริมแรงหยี อยู่นะ เสริมอยู่ๆ.... เพราะว่าพระเจ้าพอใจไง เลยรู้สึกจริงๆ ว่าได้ Fulfill :):)
สำหรับหยีแล้ว การที่ข้างในเรา filled อ่ะ มันเป็นการเสริมแรงจากพระเจ้านะ
เอาจริงๆ ได้รางวัลเป็ฯการเสริมแรงจากพระเจ้าเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จริงๆ
หลายอย่างๆ ไม่รู้จะพูดยังไง (แม้แต่ช่วงที่มีอุปสรรค แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกหรอก
คิดได้ก็ตอนนี้แหละ ว่าเอ้อ ตอนนั้นพระเจ้าช่วยนี่หว่า ตอนนั้น ด้วย ตอนนี้ โน้น นั่น เยอะไปหมด)

เอาจริงๆนะ ทุกอย่างเป็นเหมือนสิ่งที่พระเจ้าบอกกับหยีนะ ว่า
"เออ แกมาทางนี้แหละถูกแล้ว ไอ้ลูกสาวตัวแสบ 555+
กลับมาซะที มานี่มา ป๊ะป๋าจะบอกให้ว่าทางไหนดี ทางไหนถูก"

รู้สีกอย่างนี้ จริงๆนะ -*-



ขั้นที่เจ็ด หรือ ขั้นสุดท้าย คือ การสรุปความเหมือน (Generalization)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถตอบสนองหรือหาวิธีการที่จะมุ่งสู่เป้าประสงค์ได้แล้ว
เขาก็อาจจะประสงค์ใช้กับปัญหาหรือสถานการณ์ที่จะพบในอนาคตได้
แสดงว่าผู้เรียนเกิดความสามารถที่จะสรุปความเหมือนระหว่างสถานการณ์การเรียนรู้ที่มีมาก่อนกับปัญหาหรือสถานการณ์ที่เพิ่งจะพบใหม่
ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของพฤติกรรม การเรียนรู้ให้กว้างขวางออกไป

ตอนนี้ก็ถึงขั้นนี้แล้วแหละ เป็นขั้นที่เหมือนพระเจ้าจะให้เราเป็นพยาน
เอาชีวิตของเรา ไปสอนคนอื่น... ไหนๆก็ผ่านกระบวนการเรียนรู้มาแล้ว
อย่าทำให้เสียประโยชน์ สิ่งที่พระเจ้าลำบาก ดัดสันดานเรามา (ขอใช้คำนี้)
มันไม่ใช่แค่ให้เราเปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้นเท่านั้นหรอกนะ

มันต้องเอาไปขยายผล ให้คนอื่นได้รู้บ้าง... แต่ละคนก็มีกระบวนการเรียนรู้ที่ต่างกันไป....
นั่นแหละ เปนการขยายผล :):) เราว่าหลายๆคน ไม่ได้ขยายผล


สุดท้าย....
(ขอยืมคำพูดพี่อาร์ทมาพูดนะ )

"ในความเจ็บปวด... เราจึงยอมรับว่าเราอ่อนแอ
ในความอ่อนแอ... เราจึงยอมรับพระคุณและการช่ วยเหลือ
ในพระคุณ... เราจึงยอมรับว่าเราแข็งแรงขึ้น
เมื่อเราแข็งแรงขึ้น... เป็นทางเลือกของเราแล้วล่ะ
ว่าจะอยู่เฉยๆ หรือช่วยให้คนอื่นแข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน"

นั่นสิคะ ถึงเวลาทีเ่ราต้องเลือกแล้วล่ะค่ะ :):)


ปล.
พระเจ้าเป็น Teacher ของเราจริงๆ ส่วนเราก็เป็น Student
ซึ่งบางครั้ง Student คนนี้ อาจจะเป็น Toxic Stupid Student ไปบ้าง (เป็นนักเรียนโง่ๆ ที่ชอบพ่นพิษใส่ครูอาจารย์)
แต่พระเจ้าก็ยังเป็น Good Teacher ที่ใส่ใจเรา ค่อยๆสอนเราไป แล้วก็รีดพิษออกจาก Toxic Stupid Student คนนนี้
จนเมื่อหมดพิษ ไร้พิษสง... และจาก Stupid ก็ Be Cleverer ...
พระเจ้าก็เตรียมพร้อมให้เรากลับมารับใช้พระเจ้าแล้วล่ะ :):)


Free TextEditor




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2552    
Last Update : 23 ตุลาคม 2552 10:58:44 น.
Counter : 344 Pageviews.  

ขอทรงสอนทางกฎเกณฑ์ และข้าฯจะรักษาไว้จนสุดปลาย

เฝ้าเดี่ยวประจำวันที่ 22/10/09
สดด. 119:33-40

มีคนบอกว่าการเฝ้าเดี่ยวแบบสุ่มมันไม่ดี
ก็เลยต้องเปลี่ยนมาเฝ้าเดี่ยวโดยใฃ้มานาประจำวันบ้าง
แต่ไม่เป็นไร พระเจ้ายังพูดกับหยีผ่านพระคัมภีร์อยู่เนืองๆ ยังได้อยู่ๆ โออยู่ๆ :):)~
ใช้ชีวิตอย่างมีกฎเกณฑ์ซะบ้าง เข้าเรื่องพอเหมาะพอเจาะกับการเฝ้าเดี่ยววันี้พอดี

(Psalms 119:33-40)
33 Teach me, O LORD, the way of thy statutes; and I shall keep it unto the end.
34 Give me understanding, and I shall keep thy law; yea, I shall observe it with my whole heart.
35 Make me to go in the path of thy commandments; for therein do I delight.
36 Incline my heart unto thy testimonies, and not to covetousness.
37 Turn away mine eyes from beholding vanity; and quicken thou me in thy way.
38 Stablish thy word unto thy servant, who is devoted to thy fear.
39 Turn away my reproach which I fear: for thy judgments are good.
40 Behold, I have longed after thy precepts: quicken me in thy righteousness.

(สดุดี 119:33-40)
33 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงสอนทางกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะรักษาทางนั้นไว้จนสุดปลาย
34 ขอ ประทานความเข้าใจแก่ข้า พระองค์ และข้าพระองค์จะรักษาพระราชบัญญัติของพระองค์ไว้ ข้าพระองค์จะปฏิบัติพระราชบัญญัตินั้นด้วยสุดใจของข้าพระองค์
35 ขอโปรดให้ข้าพระองค์ไปในมรรคาแห่งพระบัญญัติของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ยินดีในมรรคานั้น
36 ขอทรงโน้มใจข้าพระองค์ในบรรดาพระโอวาทของพระองค์และมิใช่ในทางโลภกำไร
37 ขอทรงหันนัยน์ตาของข้าพระองค์ไปจากการมองดูสิ่งอนิจจัง และขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์ในพระมรรคาของพระองค์
38 ขอทรงยืนยันพระวจนะของพระองค์กับผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้เกรงกลัวพระองค์
39 ขอทรงหันการเยาะเย้ยซึ่งข้าพระองค์ครั่นคร้ามนั้นไปเสีย เพราะคำตัดสินของพระองค์นั้นดี
40 ดูเถิด ข้าพระองค์ปรารถนาข้อบังคับของพระองค์ โดยความชอบธรรมของพระองค์ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์

การดำเนินชีวิตตามรอยพระคริสต์นั้น มีอิสระก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะทุกเรื่อง
อิสระในที่นี้ของเราหมายถึง ไม่รู้นะ สำหรับเรา เราว่าพระเจ้าปล่อยให้เราตัดสินใจเองหลายๆอย่าง
จนบางครั้ง เราก็หลงลืมไปว่า พระเจ้าให้เราดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ของพระองค์เหมือนกัน
สำหรับกฎเกณฑ์ของพระองค์ คืออะไรหรือ?
กฎเกณฑ์ที่พระองค์วางไว้นั่นก็คือ พระคัมภีร์ ไงล่ะ

ซึ่งหลายๆครั้ง หลายๆคน รวมถึงเราด้วยลืมสิ่งนี้ไป
และแสดงออกมาด้วยการ ไม่ท่องจำพระคัมภีร์
ประเด็นคือ หากเราไม่รู้ แต่ไม่จำ... เราจะนำไปใช้ได้อย่างไร
เช่นเดียวกัน หากเราจำ แต่ไม่เข้าใจ... มันจะมีประโยชน์อะไร... (ข้อ 34)

ในมานาประจำวันใช้คำว่า “ผลผลิตของวัฒนธรรมที่ไม่ส่งเสริมให้พัฒนาทักษะความจำ”
อืม เรารู้สึกว่าจริงนะ เพราะยิ่งเราใช้ชีวิตนานขึ้น เทคนิคการจำของเราก็ลดน้อยลง
เพราะว่ามีเครื่องมือต่างๆที่มาช่วยเสริม
ขนาด Bible ยังมีในมือถือเลย ใช่มะล่ะ?

ให้เราใช้ชีวิตโดยยึดหลักพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะนำเราไปสู่พระเจ้า

มานาบอกว่า "ให้เริ่มท่องพระคัมภีร์กันเถอะ และ อย่าลืมที่จะจดจำและปฏิบัติตามสติปัญญาซึ่งให้ชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้า"

พระเจ้าอวยพรค่ะ

ปล. อ่านจากมานา แล้วรู้สึกโดนตีกรอบความคิด แต่ดีแล้วล่ะ ให้มันอยู่ในกรอบซะบ้าง
จะได้ไม่ผิดทาง ออกนอกลู่นอกทาง หลงหายไปไหนอีก :):)




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2552    
Last Update : 23 ตุลาคม 2552 10:54:22 น.
Counter : 252 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

My Lullaby
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to My Blog ^^
Nice To meet You all na ka :):)

This is my URL: http://lady-lullaby.bloggang.com
This is my Christian Blog :http://loukyie.blogspot.com/
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add My Lullaby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.