Welcome to My World :) You're Welcome.

ความรู้สึกในความทรงจำ

ได้มีโอกาส เดินกลับไปหาช่วงเวลาเก่าๆที่ผ่านมาอีกครั้ง...
มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ตัดสินใจจบมัน และเดินจากมันมาแล้ว
แต่ครั้งนี้ เหมือนได้มีโอกาสย้อนกลับไปช่วงเวลาที่เคยเดินจากมาแล้วอีกครั้ง...

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้สิ... ไม่ใช่ว่ารู้สึกดี แบบเก่า
แต่เหมือนได้กลับไปที่ๆคุ้นเคย เหมือนรู้สึกคุ้นชินซะมากกว่า
การได้กลับไปอยู่ตรงนั้น ชั่วคราว มันก็ดีเหมือนกันนะ

ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ช่วงเวลาที่เราตัดสินใจเป็นคนเดินจากมันมา
เพราะ ช่วงเวลานั้น ทำให้เรารู้ว่า แค่รัก มันไม่พอจริงๆ
ยังต้องมีอะไรอีกหลายๆอย่างในการประกอบสร้างชีวิตในส่วนนี้

และการที่บอกให้รักคนที่รักเรา มันก็ไม่พอด้วย
มันเป็นไปไม่ได้ กับการที่จะอยู่กับคนที่เราไม่ได้รัก
เพราะบางที ความรู้สึก รัก กับความรู้สึก ผูกพัน
มันก็ใกล้กันแค่นิดเดียว

ความผูกพันครั้งนั้น ทำให้เราได้กลับไปถึงช่วงเวลาที่เราเดินจากมันมา
เรารู้ทันทีว่า มันไม่มีโอกาสอันใดเลย ที่จะกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นเหมือนเดิืม
เพียงแต่ ช่วงเวลาเดิมๆนั้น ด้วยความผูกพัน มันก็ทำให้ยิ้มได้
แต่ถ้าถามว่า กลับไปเป็นอย่างช่วงเวลาเดิมนั้นได้ไหม?

แม้ว่าเราจะโตขึ้นมากกว่าตอนที่ตัดสินใจไปตอนนั้น
คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิม... มันไม่มีทาง และแค่รัก ไม่พอจริงๆ สำหรับชีวิตประกอบสร้างครั้งนี้
สุดท้ายแล้ว ช่วงเวลาดีๆนั้น ก็แค่เหมือนรูปถ่ายเก่าๆที่พอหยิบออกมาดู
ก็รู้สึกอิ่มและได้พักผ่อนจากเวลาช่วงนั้น

ไม่มีทางที่เราจะอยู่กับรูปถ่ายเก่าๆไปได้เรื่อยๆ
กล้องตัวใหม่ รูปใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ยังรอเราอยู่
เราไม่ได้ใจร้ายเกินไปใช่ไหม?

ความรักอย่างเดียว รั้งเราไว้ไม่ได้...
ถูก ที่ชีวิตนี้ เราโหยหาคนที่รักเราอย่างแท้จริง และอย่างจริงใจ
ถูก ที่อนาคตข้างหน้า เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่า ใครจะรักเราได้มากแค่ไหน
และมากกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาที่มีคนรักเราหรือเปล่า
ช่วงเวลาเดิมๆนั้น ทำให้เราได้รู้ว่า มีคนที่รักเรามาก มากจริงๆ
แม้กระทั่งบัดนี้ ความรักและความผูกพันในช่วงเวลาเดิมๆนั้น ยังมีใยบางๆเหลืออยู่ให้เรา
เพียงแต่ว่า เราไม่สามารถทอสานให้ใยบางๆนั้นให้เกิดเป็นผ้าเต็มผืนได้...

ขอบคุณสำหรับความรักที่ให้ แต่เราก็ไม่รู้ว่า ความรักนั้นจริงใจ หรือเปล่า?
เราไม่รู้ว่า ความรักที่มีให้จนถึงตอนนี้... มันคือความรักที่เกิดขึ้นมาจากความรักตัวเองของคุณหรือเปล่า?
เราไม่แน่ใจจริงๆ เรากลัว...

สิ่งประกอบสร้างของชีวิตในส่วนความรัก... โตมาจนถึงบัดนี้
ก็เข้าใจได้จริงๆว่า "ความรักอย่างเดียว มันไม่พอกับส่วนนี้"
ความรัก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้
แต่ความรัก แค่ทำให้เรายอมได้เท่านั้น
เมื่อเรารัก เราจะยอมได้สำหรับทุกๆอย่าง แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในคนๆหนึ่งได้ทุกสิ่ง

เราอาจจะอธิบายงงๆ และไม่เข้าใจ
แต่เราไม่รู้จะอธิบายจริงๆ

การแลกเปลี่ยนเรื่องราวในช่วงเวลาที่ห่างไป
สิ่งที่หวังใจ ก็คือ ให้อีกฝ่ายได้เจอคนดีๆ คนที่ดีกว่าเรา เพราะเราก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่
แต่ไม่ว่านานแค่ไหน เมื่อเรายังฝังตัวอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งลึกๆของอีกฝ่าย
ไม่มีหนทางอะไรเลย ที่เขาจะได้เจอคนที่ดีกว่าเรา (ไม่ได้หลงตัวเอง)
เมื่อเรายังอ้อยอิ่ง นอนนิ่งอยู่ในซอกมุมหัวใจนั้น...
ถามว่ารู้สึกผิดมั้ย ที่เหมือนดึงให้ชีวิตคนบางคนหยุดนิ่ง
ก็รู้สึก แต่เอาจริงๆคือ นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา อันนี้อาจดูใจร้าย แต่เป็นเรื่องจริง

สิ่งที่ตัวเราเอง ต้องดูแลตัวเอง คือ การรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง
ไม่ผิดที่ยังจะมีใครสักคนที่ไม่ว่านานเท่าไหร่ เราจะนึกถึงเป็นที่หนึ่งในหัวใจ
ไม่เป็นไร ถ้าความรู้สึกนั้นไม่ปิดกั้นตัวคุณให้ฝังลึกกับความรู้สึกนั้น
จนไม่มีใคร... แม้จะมีคนที่ดีแค่ไหนเข้ามา
การปิดความรู้สึกตัวเอง ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย แผลนั้นก็จะเรื้อรัง ไม่หายซักที

มันไม่ใช่แค่การลืมใครสักคน แล้วเริ่มต้นใหม่กับคนอีกคน
มันเป็นการจัดการความรู้สึกของตัวเองจริงๆนะ...

ถ้าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา มันจบแล้วสามารถเก็บเข้าไปในความทรงจำได้โดยไม่มีการนึกถึงอีก
มันก็คงดี ดีมากเลยแหละ
ถ้าเราสามารถลืมทิ้งไป แล้วเริ่มต้นใหม่ได้ก็ึคงจะดี

แต่นี่คือความจริง... เราไม่มีทางลืมคนที่เราเคยรู้สึกดีในชีวิตเราได้เลย ไม่ว่าจะกี่คน
ความทรงจำทุกตอนในช่วงนั้น มันก็ยังจะอยู่ในลิ้นชัก ที่เมื่อใดที่เราเปิดลิ้นชัก
มันก็จะเห็น และคิดถึงอะไรซักอย่างในช่วงเวลานั้น
เราไม่สามารถปาทิ้งมันไปได้เลย
เดือนนี้เมื่อปีนั้น... สถานที่นั้นเมื่อวันก่อน... กับใครคนหนึ่ง และเปลี่ยนเป็นใคร อีกคนหนึ่ง....

มันแย่มาก เมื่อถูกคนที่เรารัก ไล่ให้ไปรักคนอื่น?
คำถามที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นคือ อย่าทำแบบนี้ได้ไหม?
การที่เรารักคุณ แต่คุณกลับบอกให้เราไปรักคนอื่น มันทรมานมาก มันเจ็บ...
มันทำให้เรารู้ว่า ไม่มีหวัง และไม่มีทางเลย กับ 0.00001% อันนี้....

แต่เมื่อมองย้อนกลับมา... หนังรัก มีพล็อตไม่กี่แบบ
เมื่อมันกลับกลายบทบาทมาเป็นเรา... เรากลับอยากให้เค้าได้เจอคนดีๆ
อยากให้เค้าได้มีความสุข

มาตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่า ความสุขของคนไม่เหมือนกัน
สำหรับคนที่รักใครสักคน...
ความสุขของเค้าคือการได้รักคนๆนั้นต่อไป ต่อให้รู้ว่าไม่มีทาง แต่ความรักนั้นก็ยังจะคงรักได้ต่อไป
อย่าให้มีใครมาแตะต้องความรัก"ฝันๆ"ของเขานั้น
การทำลายความรัก"ฝันๆ"นั้น เป็นสิ่งเจ็บปวด และทำร้ายตัวเค้าได้มากที่สุด
"อาหารที่ชอบ แม้เราไม่ได้กิน มันก็ยังเป็นอาหารที่ชอบ" (ใช่มั้ยขิง อันนี้เพื่อนของขิงได้ Quote ไว้ 555 )

สำหรับคนที่ถูกรัก...
ความสุขของเค้า คือ การได้เห็นคนที่มารักเค้า ได้เจอคนที่ดีกว่าตัวเค้าเอง...
ไม่อยากให้เค้ามารักเรา เพราะสงสารเค้า ไม่มีทาง คือ ไม่มีทาง

เราในฐานะคนที่รัก... ไม่อยากให้เค้าออกปากไล่เราไปให้ไปรักคนอื่น...
เราในฐานะคนที่ถูกรัก... อยากให้เค้าไปรักคนอื่นที่ดีกว่านี้...

ส่วนเราในตอนนี้ เพิ่งได้เข้าใจความรู้สึกสองอันนี้....
เราตอนนี้ ในฐานะคนที่ถูกรัก... เราก็จะปล่อยเค้าต่อไป ไม่พูดอะไรคงดีกว่า
เพราะเอาจริงๆคือ คนที่รักเรา เค้าก็คงรู้อยู่แล้วว่าไม่มีหวัง
อย่าไปทำให้เค้าเสียใจอีกเลย แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ง

ในฐานะคนที่รัก... เราจะพยายามจะปล่อยไป เอาหูไปนา เอาหน้าไปไกลๆ
เพราะสำหรับคนที่ถูกรักแล้ว... การที่เราหายไป มันคงมีความสุขมากกว่า...
ถ้ามันทำให้เขามีความสุขได้ เพื่อคนที่เรารัก เรายอม ไม่ว่าอะไรเราจะทำ...
ถ้ามันจะทำให้เค้ามีความสุข

สำหรับการรักใครสักคน ถ้าเค้ามีความสุข เราก็ยินดีด้วย
แม้เราจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสุขในครั้งนั้น
แต่ถ้าเราจะเป็นคนที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ความสุขนั้นเกิด
เราก็ยินดี :) แม้จะเป็นการยินดี ด้วยน้ำตาที่อยู่ข้างใน
(ห้ามไม่ให้ไหล เพราะเดี๋ยวเค้าเห็นแล้วเค้าจะไม่มีความสุข 555)

ชีวิตไม่ได้ "ได้" ทุกอย่างหรอก ลูกหยีเอ๋ยยยย
จุดสมดุลของชีวิตและความรัก มันก็หายากนักแล...

ขอบคุณทุกความรู้สึกดี ที่เข้ามาฝังอยู่ในลิ้นชักแห่งความรู้สึก ในอาณาจักรแห่งความทรงจำ
ไม่มีทางที่จะลืมไปได้เลย... แม้ว่ามันจะผ่านมานานแค่ไหน...
ความรู้สึกดีนั้นยังคงนอนนิ่งๆอยู่ในมุมของมัน
ลมหนาว ดวงดาว ท้องฟ้ากลางคืน ทะเลสีดำ อาจจะเรียกมันออกมาอยู่เป็นเพื่อนบ้าง...
คิดถึงบ้าง...อะไรบ้าง... แต่การตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจจะเรียกย้อนอะไรมาได้
ผลของการตัดสินใจครั้งนั้น อาจดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่นั่นคือสิ่งที่เราต้องรับมัน
จากการตัดสินใจอย่างรู้เท่าถึง หรือ บางครั้ง อาจไม่ถึงการ ได้....

ขอโทษสำหรับการทำลายความรู้สึกดีของใครบางคน
และ การที่เรารับความรู้สึกของใครบางคนไม่ได้จริงๆ
และ การที่ใครบางคนไม่ได้รับความรู้สึกของเราเช่นกัน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า... ความทรงจำดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาของเรา
มันจะหายไป... มันยังคงอยู่ และจะคงอยู่ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่
อาจจะไม่ได้นึกถึงตลอดเวลา แต่ก็จะมีบางเวลาที่เราได้นึกถึง

ความทรงจำจะไม่ีมีวัีนหาย จะไม่มีวันลืมได้จริงๆ....

บางทีเมื่อถึงเวลาอันควรของมัน
เราเองก็อาจจะยิ้มและได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวดีๆที่เคยเกิดขึ้น
เมื่อนั้น อาจจะมีตายายที่พาหลานๆมาเจอกัน แล้วคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของตาคนนั้น และยายคนนี้...
มันคงไม่มีทางหายไปได้จริงๆ กับ ความรู้สึกในความทรงจำครั้งนั้น

"ของเรา"




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2552 0:06:50 น.
Counter : 396 Pageviews.  

เศษความคิดน้องลูกหยี issue 1

ตอนที่ 1 ว่าด้วยเรื่องงานแต่ง

เมื่อวันเสาร์ได้ไปเดินช่วย
เพื่อนของเพื่อนเลือกซื้อชุดไปงานแต่งมา...
เพื่อนของเพื่อนพยายามเลือกชุดที่ดูเรียบร้อย และสีเป็นทางการ
อารมณ์เรียบ หรู ดูดี...
ซึ่งให้คนอย่าสงลูกหยีไปช่วยเลือก...
แม่นางคนนี้ เลือกชุดเรียบๆเป็นที่ไหนล่ะ? ไม่สีจัด ก็ต้องเว้านู่น ผ่านี่
กว่าจะเลือกให้ถูกใจคนจต่าย ถูกตาคนซื้อได้เรียกว่า เหนื่อยไปตามๆกัน

แล้วก็เลยพาลคิดไปเพลินๆว่า งานแต่งเราเอง (คิดทั้งๆที่ไม่มีคนจะแต่งด้วยตอนนี้)
จะให้มีแต่คนแต่งสีแบบนี้ก็กระไรอยู่... เนื้อ ครีม ชมพู ฟ้า ทอง เทา.. สีอ่อนๆ หวานๆ
มันเป็นวันแห่งความสุข น่าจะแต่งตัวสีสดๆ Colorful มากๆ
ดังนั้นเลยบอกเพื่อนว่า "ถ้าเดี๊ยนได้แต่งงาน จะให้มี Theme ขอร้องเพื่อนๆ อย่าแต่งสีแบบนี้มา
ไม่ปรี๊ดดดดด ไม่ให้เข้างานแต่ง... แล้วเดี๋ยวดิฉันจะใส่ชุดขาวคนเดียว 55555
เด่นค่ะ ...."

ไม่รู้ดิ ไม่เข้าใจว่าทำไมสีบานเย็น น้ำเงินปรี๊ด ม่วงมังคุด ม่วงสด ลายๆ ดอกๆ ยังงี้ ทำไมไม่ใส่กัน
โอเค เข้าใจว่างานมีผู้ใหญ่ แต่งานหยี จะขอร้องเลย ชอบๆ
อยากให้เพื่อนๆได้สวยกันสุด ฤทธิ์ ใครยังไม่ได้แต่งก็เผื่อจะได้เจอคนที่จะแต่งด้วยในงานแต่งงานอะไรอย่างนี้
เก๋จะตาย... งานแต่งงานเริ่มต้นชีวิตคู่เรา จะได้เป็นจุดเริ่มต้นให้ใครต่อใครเค้ารักกัน

อ๊ะ อ๊าวววว ไม่แน่นะ งานฉันอาจจะได้จัดในโบสถ์ก็ ได้ โรแมนติกจะตาย ว่ามั้ยล่ะ :):)

ไร้สาระไหมล่ะ นั่นเป็นหนึ่งเรื่อง....


ตอนที่ 2 ว่าด้วยวันเกิด

วันนี้เป็นวันเกิด ที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นวันพ ิเศษอะไรเลย...
คิดได้อย่างเดียว... นี่ฉันบริบูรณ์แล้วหรอ... บริบูรณ์ไปด้วยเลข 2

แต่ขอบคุณพระเจ้าที่มี Facebook มันทำให้การอวยพรวันเกิดหยี ง่ายดายมากขึ้นสำหรับหลายๆคน
หยีไม่ได้เป็นคนที่ชอบบอกคนอื่นว่า พรุ่งนี้วันเกิดนะ หรือ ป่าวประกาศอะไรมากมาย
เพราะคิดว่าคนที่ใ้ห้ความสำคัญ และความสนใจกับเรานั่นแหละ จะจำได้
แต่เดี๋ยวนี้ก้ไม่รู้จะใช้อะไรวัดแล้ว :):) เพราะมี Facebook เนี่ยแหละ

แต่ปีนี้ก็มีเรื่องสนุกๆ ที่มันเกิดจากเทคโนโลยีเหมื อนกัน
บางคนก็มาอวยพรตามหน้า Facebook MSN SMS โทรมา
และก็มีบางคนที่ไม่กล้าโทรมา ไม่กล้า SMS มา แต่ฝากของขวัญมาให้

บางคนก็เพิ่งรู้ว่าวันเกิด ไม่รู้จะอวยพรอะไรให้
ก็บอกให้พนมมือ (ผ่านคอม) ตั้งจิต (ผ่านคอม) แล้วจู่ๆ แกก็พิมพ์
"ยะถา ปุริมะหา ปุราปุริตุเรกะสัง" อะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ Save ไว้ ยาวมากจริงๆ
จนถึง "สีเรนะสัง" อะไรไม่รู้น่ะ แต่ล่อซะจบเลย
ด้วยความที่เราก็ช็อค... ทำอะไรม่ถูก ได้แต่นั่งขำหน้าคอม
พอเค้าสวดเสร็จปุ๊บ เราก็บอกเค้าว่า "เอเมนพี่ หนูเป็นคริสต์"
ไม่เชื่ออีก หาว่าล้อเล่น แล้วก็ให้พร อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอ ีกเพียบ
นั่งหัวเราะอยู่หน้าคอมจริงๆ ปวดท้องไปหมด ก็มีอะไรแปลกๆ

บางคนก็วางแผนเรียกให้ออกไป ข้างนออกเพื่อจะฉลองวันเกิดให้
แต่ฟ้าเจ้ากรรมก็ดันรั่ว ฝนตก.... แผนเลยล่มไป
มีทั้งโทรมา และส่ง Sms และก็อวยผ่านหน้า FB
แต่เรื่องตลกคือ แต่ละปีก็อาจมีคนที่ลืมๆไปบ้าง ซึ่งไม่ได้ซีเรียสอะไรเท่าไหร่
ปีนี้ก็มีคนโทรมาอวยพร แต่อวยๆ บอก Happy Birthday แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เพราะพูดได้แต่คำว่า "ไม่เคยอ่ะ เขิน จนวางโทรศัพท์ไป"
มันก็เป็นความรู้สึกหนึ่งที่น่าๆรักที่เกิดขึ้นในวันเกิดปีนี้
ที่ยิ่งโตขึ้น มุมมองโลกก็เปลี่ยนไป ไม่ได้เห็นว่าต้องฉลองอะไรเป็นพิเศษ
แต่ที่สำคัญคือ รู้สึกว่าอยากอยู่กับครอบครัว

บางคนอาจยังไม่รู้ บา่งคนอาจลืม แต่ก็ไม่เป็นไร
เท่าที่ได้รับแค่นี้ก็ดีมาก พอแล้ว

เป็นปีแรกที่นอนๆ กลิ้งๆอยู่บ้าน ใช้วันเกิดเป็นวันธรรมดาๆ
ตื่นมา แม่พาไปใส่บาตรเพื่อความสบา ยใจของบุพการีก็ไป
กลับมาเฝ้าเดี่ยวแล้วก็นอนต่ออีกชั่วโมงสองชั่วโมง
ตื่นมาออกไปว่ายน้ำเกือบๆชั่วโมง (จริงๆประมาณครึ่งชั่วโมง รวมเวลาเดินทาง)
กลับมาอาบน้ำ ทำกับข้าวกิน เล่นเน็ต ดูหนัง ดูทีวี อ่านหนังสือสลับพระคัมภีร์

ใช้ชีวิตเรียบๆ ปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่ที่รู้สึกพิเศษคือ เป็นปีแรกที่รู้สึกว่า ได้ก้าวโตขึ้นอีกขั้น โดยมีพระเจ้าอยู่ข้างๆ
แม้จะอยู่บ้านคนเดียว แต่จิตใจก็ไม่ได้เหงา มันอื่มเอมจริงๆ

ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ทำให้รู้สึกเหงาอีกต่อไป
ถึงแม้เราจะโตขึ้น เรียนรู้เกี่ยวกับความจริงมากขึ้น
เรียนรู้ถึงความโหดร้าย และความเจ็บปวด
แต่อย่างหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการโตขึ้น นั่นก็คือ "พระเจ้าเป็นสัจจะ"

ถึงแม้เราจะไม่ได้ในสิ่งที่ เราอยากได้ แต่พระเจ้าก็ยังคงหาอย่างอื่นมาให้เรา
สิ่งที่เราอยากได้ ที่พระเจ้าไม่ให้ ก็เพราะว่าพระเจ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือ หากเราเชื่อพระเจ้า เราจะได้มากกว่าที่เราอยากไ ด้
หากเราเรียนรู้ที่จะถ่อมลง พระเจ้าจะยกเราให้สูงขึ้น
หากเราเรียนรู้ที่จะพอ พระองค์จะประทานสิ่งต่างๆมาอย่างมากมาย
หากเรารักพระองค์มากขึ้นในทุกๆขณะที่เราดำเนินชีวิต พระเจ้าก็จะรักเรามากกว่าเจ็ดสิบคูณเจ็ดสิบเท่า
หากเราเรียนรู้ความรักของพระเจ้า และรู้จักการดำเนินชีวิตไปโดยมีพระองค์ในแต่ละวันๆ
เราจะรู้สึกสงบสุขในจิตใจ อิ่มเอมในชีวิตมากขึ้น
หากเรายอมที่จะพังตัวเองออกไปในทีละวันๆ พระเจ้าจะเติมพระวิญญาณในเราให้ใหม่มากขึ้นในทุกๆวันเช่นกัน
เพื่อลดความเป็นเราให้น้อยลงในทุกวันๆ เพื่อให้พระเจ้าได้เข้ามาอยู่ในเรามากขึ้นในทุกๆวัน

ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานของขวัญที่พิเศษที่สุดสำหรับชีวิตหยี
พระองค์ให้มากกว่าที่หยีขอเสมอ

เพราะพระเจ้ารักลูกสาวคนนี้ เสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยลดลงมีแต่เพิ่มขึ้น
ถึงแม้พระองค์จะรู้สึกเบื่อแค่ไหน พระองค์ก็อดทน น้ำพระทัยพระองค์ยิ่งใหญ่ไม่มีวันหมดสิ้นจริงๆ :)

ขอให้ชีวิตทุกคนมีแต่พระพร ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนค่ะ
Happy Everyday :):)




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 23:13:04 น.
Counter : 345 Pageviews.  

คิืดจะคึก คิดเขียนเรื่องสั้น บทที่ (-1) :: เรื่องแรก ที่ยังไม่มีชื่อ

ยังคิดชื่อเรื่องไม่ออกเลย ใครจะติชมยังไง
เชิญเลยนะคะ เพิ่งเขียนเรื่องสั้นจริงจังเป็นเรื่องแรก
เขียนไม่เป็นจริงๆ >.< ขอคำแนะนำกันด้วยนะคะ

บ่ายกว่าๆ ปลายเดือนกรกฎาคม ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ใจกลางเมืองกรุงเทพ
แก้วสองแก้วบนโต๊ะเล็กๆ ทำหน้าที่กั้นระหว่างโซฟานุ่มๆสองตัวมีหญิงและชายต่างจับจองที่นั่งกันคนละตัว บทสนทนาเรียบๆง่ายๆก่อกำเนิดขึ้นในบริเวณนั้น

“ปกติไม่ดื่มกาแฟเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยปากถาม
“ไม่ครับ ผมไม่ชอบกาแฟเท่าไหร่มันเหม็น” ผู้ชายตอบ
“แล้วทำไมพาฉันมานั่งที่ร้านกาแฟล่ะคะ เกรงใจคุณจังเลย”
“ก็จำได้ว่าคุณเคยบอกว่าคุณชอบนั่งชิวๆ ผมว่าร้านนี้ก็สวยดี ก็เลยพาคุณมา อีกอย่างที่คุณออกมากับผมด้วยก็ดีมากแล้วครับ ”
“ไม่เป็นไรหรอกคะ ฉันก็เบื่อๆ ขอบคุณมากนะคะที่ชวนฉันมา”

ผู้ชายไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มแล้วมองหน้าหญิงสาว
“คุณชอบกินกาแฟเหรอครับ” ผู้ชายเป็นคนเอ่ยปากถามกลับ
“ก็ไม่เชิงค่ะ แค่ชอบบรรยากาศชอบกลิ่นในร้านกาแฟมากกว่า แต่ฉันกลับไม่ชอบกาแฟร้อนนะคะ ฉันว่ากาแฟเย็นมันอร่อยกว่า” หญิงสาวหัวเราะร่า
“ทำไมล่ะครับ”

“ฉันว่า กาแฟร้อนมันขมเกินไป กาแฟเย็นมันทำออกมาแล้วหวานกว่า ฉันไม่ชอบกินอะไรขมๆ แต่ก็ไม่ชอบอะไรหวานๆเหมือนกัน” หญิงสาวพูดยิ้มๆ
“ก็แปลกดีนะครับ” “แล้วปกติวันว่างๆอย่างนี้ คุณชอบไปที่ไหนครับ หรือว่าก็หาเวลามานั่งละเลียดกาแฟตามร้าน หรือว่าคุณเดินช้อปปิ้งตามห้าง”
“ก็แปลกหน่อยนะคะ เพราะปกติฉันไม่ค่อยชอบเดินห้างเท่าไหร่ ฉันชอบอากาศข้างนอกมากกว่าแอร์น่ะค่ะ ส่วนมากก็ชอบไปเดินเล่นตามสถานที่ที่เป็นเอ้าท์ดอร์มากกว่า ไม่ชอบอุดอู้ในห้องแอร์เท่าไหร่นัก”
“อ้าว แล้วผมชวนมานั่งที่นี่ คุณชอบไหมเนี่ย” ฝ่ายชายเริ่มเป็นกังวล

เพราะร้านกาแฟที่เขาทั้งสองนั่งอยู่เป็นร้านที่เปิดอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็มีบรรยากาศที่น่านั่ง โซฟานุ่มเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายตลอดการใช้บริการ เสียงเพลงแจ๊ซเบาๆเปิดเคลียเคล้ากับกลิ่นกาแฟที่ลูกค้าเดินเข้ามาสั่งเรื่อยๆ

“ชอบสิคะ บอกแล้วว่าได้มานั่งคุยกับคุณ มันก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว” หญิงสาวยิ้ม แล้วหยิบแก้วกาแฟของเธอขึ้นมาดื่ม “แล้วทำไมวันนี้ถึงชวนฉันออกมาได้คะ? เค้าไม่ว่าเหรอ”
“...” ฝ่ายชายถึงกับกระอักกระอ่วยไปเล็กน้อยเมื่อฝ่ายหญิงกล่าวเช่นนี้

“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องนี้แหละ... ผมลำบากใจ”
“ว่ามาซิคะ แต่เอาจริงๆนะ มันไม่ใช่เรื่องของฉันเลย เป็นเรื่องของคุณกับเค้ามากกว่า” ฝ่ายหญิงลดมือที่ถือแก้วกาแฟลง แต่ยังคงรอยยิ้มไว้บนหน้า

ฝ่ายชายรู้สึกว่า น้ำลายของเขาเริ่มเหนียวๆเกาะที่ลำคอ ริมฝีปากของเขาแห้งผาก เขากำลังกังวล!!
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงท่าทีของเขา
“ฉันอยากรู้จักคุณนะคะ ดีใจที่ได้รู้จักคุณมากๆด้วย แต่ฉันก็อยากรู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะบอกความจริงฉันสักที... ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมคุณไม่บอกฉันตั้งแต่แรก คุณคิดที่จะทำอะไรอยู่” ฝ่ายหญิงเปิดเกมถามรุกกลับ ก่อนที่ฝ่ายชายจะตั้งตัวได้

“ผม... ผมก็แค่อยากรู้จักคุณ ตั้งแต่ที่ผมเห็นคุณเมื่อต้นปีคราวนั้น ผมก็คิดว่าเดี๋ยวผมก็คงจะลืมๆไป ไม่ได้คิดอะไรมาก”
“แต่พอผมได้เจอคุณอีกครั้ง ผมก็รู้สึกว่า ผมต้องรู้จักคุณให้ได้ ผมไม่อยากเสียโอกาสนี้ไปอีก ผมไม่อยากไปนั่งเสียใจทีหลังว่า ทำไมปล่อยให้คุณเดินผ่านผมไปอีก”

“แล้วเค้าคนนั้นของคุณล่ะคะ” หญิงสาวยังควบคุมท่าทีสงบนิ่งไว้ได้
“ผม...กำลังจะ... เลิกกับเค้าแล้ว” ฝ่ายชายค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย

ฝ่ายหญิงตกใจกับคำพูดของฝ่ายชาย “คุณพูดอะไรออกมา คุณบ้าหรือเปล่า? นี่เป็นเพราะฉันด้วยใช่ไหม?”
“เปล่าๆ แต่ก็ไม่เชิงซะทีเดียว ผมกับเค้าก็ไม่ค่อยดีกันมาสักพักหนึ่งแล้วแหละ แล้วผมก็พยายามที่จะยื้อความสัมพันธ์ของผมกับเค้าเอาไว้ อย่างน้อยผมก็อยากรักษาความสัมพันธ์ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมไม่อยากทำให้เค้าร้องไห้ แต่ผมก็รู้สึกว่าผมไม่สามารถทนได้อีกแล้ว ผมเบื่อ คุณจะหาว่าผมเลวก็ได้นะ ผมอยากคุยกับคุณ ผมทำไม่ได้ที่จะหลอกใครสักคน” ฝ่ายชายพรั่งพรูความรู้สึกออกมา

“คุณไม่น่าทำอย่างนี้เลย ฉันก็อยากรู้จักคุณนะ แต่นี่กำลังทำให้คนอีกคนร้องไห้หรือเปล่า? เค้ารู้เรื่องของเรามั้ย” ฝ่ายหญิงถามอย่างเป็นห่วง ไม่มีใครรู้ได้ว่าในใจเธอนั้นคิดอะไร
“เค้าไม่รู้ เค้ารู้แค่เรารู้จักกัน”
“แล้วคุณคิดจะบอกเค้าเมื่อไหร่”
“ไว้รอสักพักหนึ่งก่อน ตอนนี้เค้ากำลังมีปัญหากับทางบ้านอยู่ ผมไม่อยากให้เค้าร้องไห้มากไปกว่านี้ คุณรอผมได้ไหม? รอให้เค้าเคลียร์เรื่องทางบ้านเค้าก่อน แล้วผมจะบอกเค้าแน่ๆ คุณไม่ต้องห่วง”

“ฉันว่าไว้คุณเคลียร์เรื่องของคุณให้จบก่อนดีกว่า แล้วคุณค่อยมาทำความรู้จักกับฉัน ฉันรอได้ ฉันไม่อยากทำให้ใครร้องไห้” หญิงสาวพูด ถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้เธอเสียใจไปบ้าง แต่เธอก็ยังได้รู้ว่า ถึงเธอจะไม่ร้องไห้ ก็คงต้องมีผู้หญิงคนอื่นร้องไห้อยู่ดี

“ผมอยากรู้จักคุณจริงๆนะ คุณรอผม... ได้ไหม?” เสียงฝ่ายชายเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ แต่เร้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“ฉันว่าคุณไปเคลียร์เรื่องของคุณให้ดีก่อนดีกว่า ฉันไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งของใคร แล้วตอนนั้นเราค่อยคุยกัน”
“งั้น ให้เราทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆก่อนได้มั้ย” ฝ่ายชายยังยืนยันคำเดิม

ฝ่ายหญิงนั่งเงียบ ไม่พูดอะไร หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม ความเงียบที่เกิดขึ้น เป็นจุดก่อกำเนิดแห่งความเครียดของทั้งคู่

พลันจู่ๆฝ่ายหญิงก็ผุดลุกขึ้น แล้วยื่นมือขวาให้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามโซฟาของเธอ พลางพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนอย่างแคล่วคล่องว่า






“สวัสดีค่ะ คุณ.... ดิฉัน.... ยินดีที่ได้รู้จักกันนะคะ หวังว่าโอกาสหน้าเราคงได้คุยกันมากกว่านี้.....”
“...”




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2552 0:09:33 น.
Counter : 415 Pageviews.  

ภาษารัก 5 ภาษา

ความรักของคนเรามีการแสดงออกได้หลายรูปแบบ
Gary Chapman ได้กล่าวไว้่ว่า ภาษาีรักมี 5 รูปแบบ ซึ่งแต่ละคนมีต่างกัน

1. ภาษาพูด
คนพวกนี้ชอบที่จะได้ยิน หรือรับฟังคำพูด คำชมเชยต่างๆ เพื่อทำให้เค้ารู้ว่า เรารักเค้า
แต่ไม่ใช่ว่าพูดพร่ำเพรื่อนะ มันจะเอือมและดูไม่จริงใจ
ต้องดูเวลาและสถานการณ์ให้เหมาะสมด้วย
แค่คำชมเชยเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เค้ามีความสุขได้แล้ว

เช่น "คุณเก่งมาก" "คุณดูสวยมากในชุดนั้น"
"คุณต้องเป็นช่างทำขนมที่เยี่ยมที่สุด คุกกี้ข้าวโอ๊ตของคุณอร่อยมาก"

2. ภาษาสัมผัส
สำหรับคนกลุ่มที่สองนี้ มักจะชอบที่จะได้รับการสัมผัส ไม่ต้องพูดอะไรมาก
คนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกแล้ว ว่าคุณรักเค้่า การสัมผัสมีค่ากับเค้ามากกว่าสิ่งอื่นใด

เช่น การกุมมือนิ่งๆ การตบหลังเบาๆ การลูบหัว หรือว่าการสวมกอด เป็นต้น

3. ภาษาของขวัญ
คนกลุ่มนี้ไม่ต้องการอะไร แต่ต้องการที่จะได้รับเป็นวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
เค้าเห็นว่าการให้ของขวัญ หรือการได้รับของขวัญเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงซึ่งความรัก
ดังนั้น เมื่อเค้ารักใคร สิ่งของต่างๆจะถูกซื้อมาให้คนๆนั้นเพื่อเป็นสิ่งแทนใจ แทนความรู้สึกของเขา

ของขวัญเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกวัน ทุกสัปดาห์ คนกลุ่มนี้ไม่ต้องการของขวัญราคาแพง
พวกเค้าไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากอยากได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของเขานั่นเอง

4. ภาษาการรับใช้
สำหรับการรับใช้นี้ ให้เข้าใจได้โดยง่ายคือการได้ Take Care เอาใจใส่คนที่เค้ารัก
ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการได้รับการเอาใจใส่ด้วยเพื่อเป็นการแสดงออกถึงซึ่งความรัก
ทำสิ่งละอันพันละน้อยให้เค้า เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นอาจมองข้าม
ไม่ว่าจะเป็นการอาสาช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ หรือแม้แต่งานบ้านเล็กๆน้อยๆ การล้างจาน ทิ้งขยะ
แม้แต่การที่เรารู้ว่าเค้าเหนื่อยแล้วเอาน้ำมาให้กิน นั่นก็เป็นภาษาการรับใช้แล้ว
แม้แต่การที่เราให้คำแนะนำ หรือคำปรึกษากับเค้า นี่ก็เป็นหนึ่งในภาษาการรับใช้ด้วยเหมือนกัน

5. ภาษาการใช้เวลา
สำหรับคนกลุ่มนี้ สิ่งที่เค้าต้องการคือ "เวลา" การใช้เวลาร่วมกัน มีกิจกรรมต่างๆร่วมกัน
ได้เจอหน้ากัน การที่คุณอยู่ข้างๆเขาในเวลาที่ไม่มีใคร
ไม่ใช่ว่า การดูถ่ายมอดกีฬาด้วยกัน แต่ก็ต้องให้ความสนใจคนที่นั่งข้างๆด้วย
ไม่ใช่ว่าสนใจแต่กีฬาที่ถ่ายทอดสดอยู่ ไม่สนใจคนที่นั่งข้างๆคุณเลย
ไอ้อย่างนั้น จะเรียกว่าการใช้เวลาร่วมกันก็จะกระไรอยู่

(อ่านเพิ่มเติมได้ที่ //www.fivelovelanguages.com/learn.html)

การที่มีภาษารักหลายๆภาษา ก๋เพราะว่าคนเรามีภาษรักที่แตกต่างกันออกไป
คนหนึ่งอาจจะมีภาษารักเป็นภาษาสัมผัส แต่เรากลับใช้ภาษาพูดกับเค้า เค้าก็คงไม่ Happy เท่าไหร่
แต่ถ้าเราไปกอดคนที่มีภาษารักเป็นภาษาพูด เค้าอาจจะไม่ถูก Genre ก็ได้

จะให้ดีก็คือว่า เราต้องรู้จักสังเกตว่าคนๆนั้น เค้ามีภาษารักแบบใด
และรวมไปถึงตัวเราด้วยว่ามีภาษารักแบบใด
เพื่อที่เราจะได้แสดงออกให้ตรงกับภาษาของเค้า จะได้จูนกันติด เค้าจะได้พอใจ

เราจะได้รู้ว่้า สิ่งไหนที่คนๆนั้นทำแล้วจะพอใจหรือไม่พอใจ
สิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่พอใจอาจจะแตกต่างกันไปเช่น

กลุ่มภาษาพูด
เขาต้องการได้รับคำชม สิ่งที่ควรระวังกับคนกลุ่มนี้ คือ คุณห้ามใช้คำพูดที่รุนแรง ทำร้ายจิตใจเค้า
เพราะจะเป็นการสร้างรอยแผลสาหัส สากรรจ์ให้กับคนกลุ่มนี้ และทำให้ฝังใจกับคำพูดที่คุณพูดออกมาเป็นที่สุด
สำหรับคนกลุ่มนี้ พูดง่ายๆคือ "ตบได้ แต่อย่าด่า" อะไรประมาณนั้น

กลุ่มภาษาสัมผัส
คนกลุ่มนี้ชอบที่จะได้รับการสัมผัสจากคนที่เค้ารัก ถ้าอย่างเบาก็แค่ตบหลังเบาๆ กุมมือนิ่งๆ การสวมกอด
รวมไปถึงการมีสัมพันธ์กัน สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับรู้ว่า เค้าได้รับความรัก
สิ่งที่ควรระวัง คือ ห้ามทำร้ายร่างกายเค้าด้วยความโกรธอย่างเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นการเขกกบาล ดึงหู ตบหน้า หรือแม้แต่การตีเบาๆ
ก็สามารถทำร้ายจิตใจเค้าได้มากแล้ว เรียกว่า "โดนด่าไม่ว่า ตีข้า ข้าโวย"
สำหรับคนกลุ่มนี้ให้คิดกับเค้าเสมอว่า "Fragile : Handle with care"

กลุ่มภาษาของขวัญ
การได้รับสิ่งที่เป็นรูปธรรมเป็นวัตถุ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักของคนกลุ่มนี้
สิ่งที่ต้องระะวังให้มากกับคนกลุ่มนี้ คือ อย่าไปคิดว่าการให้ของขวัญ ของแทนใจเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่จะเป็น
คนกลุ่มนี้อาจจะกลายเป็นคนัวล้านที่ชอบใจน้อยเอาได้ง่ายๆ
เพราะเค้าจะคิดว่าคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับเค้ามากพอ
แม้แต่การลืมให้ของขวัญในวันสำคัต่างๆ ก็อาจจะพาลทำให้เค้าคิดไ้ด้ว่า คุณไม่รักเค้าแล้ว
ประมาณว่า "รักนะ แต่เอาของมาด้วย"

กลุ่มภาษาการรับใช้
การที่เราได้รับใช้ ตามใจ ดูแล Take Care เค้า ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เค้าพอใจได้แล้ว
สิ่งที่ควรระวังคือ เวลาที่เค้าจะแสดงออกถึงภาษารักของเค้า เขาก็๋อาจจะรับใช้เราเช่นกัน
ดังนั้นเราอย่าไปขัดขวางเค้า เค้าอยากทำอะไรใ้ห้เรา ก็อย่าไปขวาง
ตามใจเค้า ปล่อยให้เค้า Take care เราไป อย่าขัดๆ เดี๋ยวมีโวยๆ
และเราก็ควรจะเอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ Take Care เค้าด้วย ถ้าเราไม่ Take Care เค้าให้ดี
เค้าก็อาจจะคิดได้ว่า เราไม่รักเค้าแล้ว คิดจะรักคนกลุ่มนี้ ก็ต้องทำใจยอมเป็นเบ๊หน่อยละกันนะ
อาจจะเป็นอารมณ์ประมาณว่า "น้องไ่ม่ต้อง พี่ทำเอง" แล้วเค้าจะรักคุณอีกเป็นกอง

กลุ่มภาษาการใช้เวลา
สำหรับคนกลุ่มนี้ตอ้งการการใช้เวลาร่วมกัน แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ อย่าตามใจเราเอง อย่าคิดว่าเราชอบไอ้นี้
แล้วก็ให้เค้ามาชอบไอ้นี้ตามเรา เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ฟังว่าเค้าชอบไหม? อยากทำอะไรหรือเปล่า
หรือบางทีก็สนใจเค้าหน่อย เวลาเค้าชวนไปไหน เค้าให้เราไปเป็นเพื่อนเค้า ก็ฟังเรื่องที่เค้าเล่า เค้าคุยด้วยหน่อย
ไม่ใช่ว่าสนใจมองแต่ผู้หญิง หรือ ผู้ชายหน้าตายั่วยวนใจที่เพิ่งเดินผ่านไปตะกี้
อย่างนี้จะเรียกได้ไงว่า ใช้เวลาด้วยกัน
สำหรับอย่างนี้ อาจจะต้องใช้เพลง ใครคนหนึ่ง - China Dolls
"อยู่กับฉัน ทุกครั้ง ที่ใจเจ็บ ทุกครั้ง คอยเป็นห่วง และมา จนวันนี้
อยู่กับฉัน ไม่คิดจะไกลห่าง และพร้อม ให้ทุกอย่าง ด้วยใจ ที่หวังดี "
เพลงนี้อาจตอบทุกอย่างได้จริงๆ สำหรับคนกลุ่มนี้

ดังนั้นแล้ว เราจังควรมีการสังเกตให้ดีว่า คนๆนั้นของเรามีภาษารักแบบไหน
เราจะได้พูดกับเค้าให้ถูกภาษา... เอาง่ายๆ ให้เราพูดภาษาไทยกับคนรัสเซีย เค้าก็ไม่เข้าใจหรอก
มันต้องใช้ภาษาเดียวกัน
ถึงแม้ว่าภาษารัก หรือ ภาษาใจ จะเป็นภาษาสากลก็เถอะนะ :):)

สำหรับใครที่อยากอ่านเพื่มเติมอ่านได้ที่//www.fivelovelanguages.com/learn.html

หรือใครอยากจะรู้ว่า ตัวเองเป็น Type ไหน ก็สามารถทำแบบทดสอบได้ที่
//www.selectsmart.com/FREE/select.php?client=5lovelanguages

ขอให้ทุกคนมีความรัก และแสดงออกถึงความรักให้ถูกวิธีด้วยนะคะ
พระเจ้ารักคุณค่ะ

สำหรับคริสเตียน มีเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยดูได้ที่ //loukyie.blogspot.com/
หรือ
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=lady-lullaby&month=04-11-2009&group=7&gblog=25

ขอบพระคุณค่ะ


ปล.
สำหรับหยีเรียงลำดับภาษารักได้ดังนี้ค่ะ
#1 is:Acts of Service
#2: Physical Touch
#3: Quality Time
#4: Words of Affirmation
#5: Receiving Gifts.




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2552 22:57:45 น.
Counter : 5957 Pageviews.  

ATTITUDE กับ ความถนัดของซีกสมอง

ชื่อดูอิมเนอะ แต่ก็เป็นแค่อะไรที่เรานั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองแหละ ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่หรอก
อ่านเพลินๆ ดูขำๆ 555

ATTITUDE การมองโลกนี่ ทำให้คนเราต่างกันจริงๆเนอะ :):)
วันนี้ก็เจอเรื่องตลกแปลกๆเกี่ยวกับ ATTITUDE มาเหมือนกัน
...
...
เรื่องแรกเป็นเรื่องเพ้อๆของฉันเอง ที่จู่ๆก็นั่งนึกคิดไปนู่นไปนึ่...
และจู่ๆก็คิดเป็นจริงเป็นจัง และเอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง ด้วยความไร้สาระของเราเนี่ยแหละ...
"แกๆ ถ้ามีลูกผู้ชาย ฉันจะตั้งชื่อให้เป็นผืนดิน จะได้หนักแน่นเข้มแข็ง
ลูกชายฉันจะต้องชื่อ น้องภูผา กับ น้องพสุธา :):) "
(ก็ฉันแค่คิดว่า ผู้ชายสมัยนี้มันไม่ค่อยหนีกแน่น แล้วก็ไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าไหร่
ไม่รู้ว่าประสบการณ์ส่วนตัวหรือเปล่า Whatever!!...)

"ถ้ามีลูกผู้หญิง ฉันจะตั้งชื่อให้เป็นน้ำ เหมือนฮวงจุ้ยไง ข้างหน้าน้ำ ข้างหลังภูเขา
จะได้ดีๆ อีกอย่าง ชื่อแปลว่าน้ำ จะได้เย็นๆ ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าน้ำเป็นผู้หญิงดี
น่าจะชื่อ น้องวารินทร์ หรือ น้องชลธาร อะไรประมาณนี้ 555"
(อ่ะตอนหลังสารภาพว่ามาเปิดดูแล้ว วารินทร์มันไม่ได้แปลว่าน้ำ
เลยเซ็งๆนิดหน่อย แต่ช่างมันมาเล่าให้ฟัง ขำๆ)

เพื่อนคนหนึ่งตอบมาว่า
ประสาท... ลืมขั้นตอนไปไหน หาพ่อก่อนมั้ย?

อีกคนตอบว่า
เพ้อฝันดีแก... ฉันก็เคยคิด...

ไม่ได้บอกว่าใครดี ไม่ได้บอกว่าใครคิดผิด
ก็เป็นเรื่องตลกๆ
เพื่อจะบอกว่า คนแรก เป็นคนที่คิดอะไรเป็นขั้นตอน ใช้สมองซีกซ้ายคิด...
ฉันว่าเรื่องอะไรแบบนี้มันวัด ATTITUDE กันได้มากกว่า Quiz มากมายเสียอีก

ส่วนอีกคน ไม่แปลกเลยที่จะเป็นพวกสมองซีกขวา ....

แล้วก็เลยมานั่งคิด คิด แล้วก็คิด ระหว่างเส้นทางกลับบ้าน...
คำพูดโง่ๆ เพ้อฝันของฉันมันวัด ATTITUDE กันได้จริงๆด้วย
โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาใดๆ

จากเรื่องแค่นั้น กลับมาหาข้อมูลอีกครั้ง เพื่อมาระลึกว่า ขวา กับ ซ้ายต่างกันยังไง

ผลคือ


สมองซีกขวาทำหน้าที่ได้ดีในด้านต่อไปนี้
1. การมองอะไรที่เป็นมิติ และช่องว่างบนพื้นผิว (Spatial)
2.การเข้าใจภาษาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน
3.การรับรู้ลวดลายทางด้านศิลปะ การแสดงละครบนเวที
4. ความคิดสร้างสรรค์
5. การมีอารมณ์ขัน
6. การรับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส
7. ความคิดเชิงนามธรรม
8. การใช้ภาษาท่าทางหรือภาษากาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราใช้เป็นประจำ เช่น การแสดงออกของสีหน้า
9. การจัดสภาพแวดล้อมให้กลมกลืน
10. การทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน รวมถึงการฟังคน 2 คนพูดพร้อมกัน ทั้งที่ต่างพูดคนละแบบ

สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ได้ดีในด้านต่อไปนี้
1.การแสดงออกทางด้านการพูด
2. การรับรู้ด้านภาษา
3. การใช้กล้ามเนื้อแขนขาและมือ
4. ความระมัดระวัง
5. การเรียนรู้โดยการจัดหมวดหมู่
6. การค้นหาความเหมือนกัน
7. การที่จะมีสติควบคุมตัวเองได้
8. การสร้างแนวคิดใหม่ๆ หรือความรู้ที่เกี่ยวกับแนวความคิด หรือความคิดรวบยอดที่เราเรียกว่าการวาง Concept
9. การวิเคราะห์เกี่ยวกับเวลา
10. การเรียนคณิตศาสตร์คำนวณ การเข้าใจจำนวน
11. การเขียน
12. การจำแนกซ้ายขวา
13. การจัดลำดับสิ่งของ


(ข้อมูลจาก //www.mc41.com/database/brain01.htm)

แล้วพอมานั่งคิด สำหรับเพื่อนคนแรก ที่เป็นสมองซีกซ้าย... หลายๆอย่างมันตรงนะ...
เพื่อนซีกขวาเหมือนกัน ก็ตรงอยู่

แต่อย่างที่บอกว่าคนเาใช้สมองสองข้างสลับกันไป เพียงแต่จะค่อนไปทางไหน
สำหรับตัวหยีเอง เป็นพวกสมองซีกขวาโดยไม่ต้องสงสัย...

เอาเรื่องนี้มาพูดทำไม...
เราแค่คิดว่า ATTITUDE ของคนเรา มันก็น่าจะมีส่วนมาจากเรื่องพวกนี้ด้วยแหละ
เอามาเล่าทำไม ก็ไม่รู้เหมือนกัน
แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องค้างๆคาๆใจมา นั่งคิดๆตลอด...
เลยอยากเอามาเล่าให้ฟัง

อ๋อออ คิดออกล่ะ แล้ว ATTITUDE กับความถนัดของซีกสมอง
มันก็จะไปพ้องกับการแสดงออก และบุคลิก พฤติกรรมซะด้วยสิ...
คนเรา ATTITUDE ดีไม่ดี... มันก็แสดงออกมาได้ทางพฤติกรรม และการกระทำด้วยแหละ...

แต่บางที เรื่องพวกนี้คงไม่เกี่ยวกับสมอง...
เพราะว่าคนบางคนก็ดูไม่มี ATTITUDE ไม่มีสมองให้ถนัดไม่ว่าจะซีกซ้าย หรือซีกขวา....
ก็ไม่รู้เหมือนกัน....

เสียดายที่เรื่องพวกนี้ ATTITUDE กับ สมอง มันเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น
บางคนหน้าอาจจะดูว่ามี ATTITUDE ดี ดูมีสมอง แต่ก็แค่นั้น วัดอะไรไม่ได้ (เหมือนฉัน 555)
เอาจริงๆ เดี๋ยวนี้คน ATTITUDE ไม่ดีเยอะมากจริงๆ จนน่ารังเกียจ....
บางทีดูหน้าตาดี๊ ดี... ดูคิดได้ ดูมีสมอง แต่ไม่... เฮ้อ... เรื่องอย่างนี้มันวัดกันยากเนอะ...

ถ้ามองให้รู้ ให้เห็นได้ง่ายๆ ชีวิตก็คงง่ายกว่านี้
เอาน่า เป็นความท้าทายของชีวิตอีกเรื่องหนึ่ง




ปล.
1. เอาจริงๆอยากรู้นะว่ามันเกี่ยวกันจริงรึเปล่า...
ใครมีข้อมูลอะไรมาบอกด้วยนะ :):)
2. อาจจะมีใครบางคนคิดว่าฉันใกล้บ้า ก็อาจจะจริง ใครจะไปรู้...
กับอีเรื่องแค่นี้ยังเอามาคิด มาเพ้อได้ซะยาว ก็คงใกล้บ้าจริงๆแหละ




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2552 0:37:10 น.
Counter : 571 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

My Lullaby
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to My Blog ^^
Nice To meet You all na ka :):)

This is my URL: http://lady-lullaby.bloggang.com
This is my Christian Blog :http://loukyie.blogspot.com/
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add My Lullaby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.