...................................
10. แพงพวยฝรั่ง
แพงพวยฝรั่ง ชื่อสามัญ : : Madagascar Periwinkle, West Indian Periwinkleชื่อวิทยาศาสตร์ : : Catharanthus roseus (Linn.) Donวงศ์ : : APOCYNACEAEชื่ออื่น : : แพงพวยบก นมอิน ผักปอดบก รูปลักษณะ : : ไม้พุ่มขนาดเล็ก แตกกิ่งก้าน สูง 25 - 120 ซม. ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปขอบขนาน หรือรูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง 1.5 - 3 ซม. ยาว 3 - 7 ซม. ผิวใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ 1 - 3 ดอก กลีบดอกสีขาว สีชมพูหรือสีม่วง เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว แล้วแยกเป็น 5 กลีบ ผลแห้ง แตกได้ตะเข็บเดียว รูปทรงกระบอกยาว เมล็ดสีดำ สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา : : ต้น - ใช้ทั้งต้นสกัดได้แอลคาลอยด์ Vincristine และ Vinblastine ซึ่งนำมาทำให้บริสุทธิ์ และใช้ในรูปยาฉีด รักษาคนไข้มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือด เป็นต้น ใช้ปลูกประดับเป็นพุ่มหรือเป็นแถว ออกดอกตลอดปีนิเวศวิทยา : : ไม้ล้มลุกขนาดกลางที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ดีทั้งในที่กลางแจ้งและที่รำไรการขยายพันธุ์ : : เพาะเมล็ดการกระจายพันธุ์ : : พบทั่วทุกภาคของประเทศไทย
9. สนฉัตร
สนฉัตรลักษณะทั่วไป : สนฉัตร เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-15 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีน้ำตาล ลำต้นมีตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นรอบต้น ลำต้นกลมทรงพุ่มโปร่ง และมีเกล็๋ดใบเล็ก ๆ ออกตามต้นส่วนยอดการเจริญแตกกิ่งก้านเป็นชั้นๆออกไปตาม แนวนอน ส่วนลำต้นขึ้นตรงไปใบเป็นใบกระกอบออกตามกิ่งก้านเป็นเกล็ด มีลักษณะเป็นขนสั้นเล็กมีสีเขียว เรียงตัวกันแน่นการเป็นมงคล : คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นสนฉัตรไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความสนใจจากบุคคลทั่วไป เพราะ สน คือการสนใจ เห็นใจ ในสิ่งที่ดีงามนอกจากนี้ยังทำให้มีเกียรติและความสง่า เพราะ สนฉัตร มีทรงพุ่มลักษณะคล้ายเครื่องสูงที่ใช้ในพิธแห่เกียรติยศ และลักษณะการเจริญของลำต้นกิ่งก้านเด่นชัด ตระหว่านงามตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก : เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นสนฉัตรไว้ทางทิศเหนือผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็ฯมงคลมากยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ และเป็นผู้ประกอบคุณงามความดีก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนักการขยายพันธุ์ : การปักชำ การเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี คือ การเพาะเมล็ด
8. แย้มปีนัง
แย้มปีนัง ชื่ออื่นๆ : บานทน หอมปีนัง (กรุงเทพฯ) ชื่อสามัญ : Climbing oleander, Cream Fruit ชื่อวิทยาศาสตร์ : Strophanthus gratus Franch หรือ Strophanthus gratus (Wall. ex Hook.) Baill. ลักษณะทรงพุ่ม : เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยโดยธรรมชาติ ไม่มีส่วนยึดเกาะกับพรรณไม้ชนิดอื่นๆ วงศ์ : Apocynaceae ถิ่นกำเนิด : เป็นพันธุ์ไม้เขตร้อนตั้งแต่ เอเชีย - แอฟริกา ลักษณะทั่วไป : ไม้พุ่มรอเลื้อย ฤดูการออกดอก : ออกดอกตลอดปี ออกดอกมากในช่วงปลายฤดูหนาว เวลาที่ดอกหอม : หอมตลอดวัน แต่ช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำ (ตอนเช้าๆ และตอนเย็นๆ) จะหอมแรงกว่าช่วงอื่นๆ การขยายพันธุ์ : การตอน เป็นวิธีการที่เหมาะสม แต่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ฮอร์โมนช่วยเนื่องจากการออกรากของพันธุ์ไม้หอมชนิดนี้ค่อนข้างยาก จากประสบการณ์พบว่าช่วงที่เหมาะสมสำหรับการตอนคือ เริ่มหน้าฝนแล้วประมาณ 1 เดือน (มิถุนายน) การปักชำยังไม่มีข้อมูลในการปฏิบัติจริง หากได้ทำการทดลองเรียบร้อยแล้วจะแจ้งให้ทราบภายหลัง ข้อดีของพันธุ์ไม้ : กลิ่นและสีสันมองไกลๆ คล้ายกุหลาบ ออกดอกตลอดปีหากมีการดูแลรักษาที่ดี มีดอกจำนวนมากในแต่ละครั้งที่ออกดอกและค่อยๆ ทยอยบาน จึงสามารถชมความงามได้หลายวัน จากการเก็บข้อมูลในช่วงสองปีเศษที่ผ่านมาไม่พบการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ข้อแนะนำ : เป็นพันธุ์ไม้หอมที่ต้องการน้ำมากในการเจริญเติบโต จึงจะไม่ควรปลูกในพื้นที่แห้งแล้ง โดยธรรมชาติเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย แต่สามารถทำเป็นไม้ต้นได้โดยการตัดแต่งที่ถูกวิธี หากสนใจวิธีการตัดแต่งพันธุ์ไม้หอมชนิดนี้ให้เป็นไม้ยืนต้น แวะมาชมที่สวนไม้หอมของฝ่ายปฏิบัติการวิจัยฯ นะครับ ผมทำการทดลองตัดแต่งไว้ให้ดูแล้ว ต้องมีการตัดแต่งอย่างสม่ำเสมอจึงจะได้รูปทรงต้นที่ดีและสะดวกในการดูแลรักษา หากต้องการจัดรูปทรงให้มีทรงพุ่มที่สวยงาม ในการปลูกปีแรกไม่ควรทำการตัดแต่งทรงพุ่ม ควรปล่อยให้มีการเจริญเติบโตตามธรรมชาติจะได้แตกกิ่งก้านสาขาจำนวนมาก จึงจะสามารถตัดแต่งเป็นทรงพุ่มได้ง่าย การตัดแต่งทรงพุ่มควรเริ่มทำในปีที่ 2 และควรตัดแต่งทรงพุ่มปีละประมาณ 2 - 3 ครั้ง ข้อมูลอื่นๆ : เมล็ด ใช้สกัดให้สารชื่อ G-strophanthin หรือ ouabain เตรียมเป็นยาแผนปัจจุบันใช้รักษาโรคหัวใจ เป็นยาที่มีอันตราย ตามตำรายาพื้นบ้านใช้รักษาโรคหนองใน และมีความเป็นพิษสูง ไม่สมควรกินในลักษณะ สมุนไพร อาการพิษ คลื่นไส้ ท้องเสีย หัวใจเต้นแรงและเร็ว ต้องรีบทำให้อาเจียน และนำส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนที่เป็นพิษคือเมล็ดและยางจากเปลือก หลังจากเคี้ยวหรือกลืนส่วนมีพิษของบานทนเข้าไป จะอาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ มองเห็นไม่ชัด มึนงง ชีพจรเต้นช้าหรือไม่สม่ำเสมอ ความดันโลหิตลด และตาย ชาวพื้นเมืองในแอฟริกาใช้หัวลูกศรจุ่มยางนี้แล้วยิงสัตว์หรือคน ข้อมูลการวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สารเคมีที่พบ : เมล็ด cardiac glycoside 4-8% ที่สำคัญคือ ouabain (G-strophanthin) มีประมาณ 95% ของ glycoside ทั้งหมด ส่วน glycoside อื่นๆ ที่พบ ได้แก่ sarmentoside A, sarmentoside D, acolongifloroside-K, bipindoside, tholloside, sarhamnoside เป็นต้น และ fixed oil ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา : เมล็ด สาร ouabain ในเมล็ดมีฤทธิ์ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุลำไส้เล็ก สารพิษดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เกิดขึ้นหลังจากได้รับเข้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง หรือมากกว่า ถ้าได้รับในปริมาณมากๆ อาจทำให้เกิด systemic toxic ได้OUABAIN มีสารพิษชื่อ digitalis มีพิษต่อหัวใจและเลือดอาการ ระคายเคืองเยื่อบุในปากและกระเพาะอาหารก่อน ตามด้วยอาการอาเจียน ท้องเดิน ปวดศีรษะและปวดท้อง ถ้ารับประทานเข้าไปมากและล้างท้องไม่ทัน สารพิษจะถูกดูดซึมผ่านทางลำไส้และแสดงพิษต่อหัวใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ขึ้นกับชนิดของไกลโคไซด์วิธีการรักษา1. นำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด2. ล้างท้อง3. รักษาตามอาการ4. ถ้าจาก EKG พบว่า มี Ventricular tachycardia ควรให้ potossium chloride (5-10 g) หรือให้ K+ (80 mEq/L) การเจ็บแขนอาจช่วยด้วยการนวด และประคบน้ำร้อน เอกสารอ้างอิง : 1. //www.gpo.or.th/herbal/group12/group121.htm 2. //www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=rujida&id=94 3. //www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/toxic_plant.asp?gr=G14&pl=0747&id=1 4. //www.pharm.chula.ac.th/vichien/building80/hompinung.htm 5. //sunsite.au.ac.th/thailand/orchid/m2.html 6. TEM SAMITINAND. THAI PLANT NAMES. Revised Edition 2001. 810 p. (502) รวบรวมโดย : นพพล เกตุประสาท และไพร มัทธวรัตน์ งานเรือนปลูกพืชทดลอง ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม
7. กระเทียมเถา
ลักษณะทั่วไปต้น : กระเทียมเถาเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ขนาดกลาง มีลำต้นเป็นเถาใหญ่ แข็งแรง สามารถเลื้อยไปได้ไกลมากกว่า 10 เมตร เถาอ่อนและส่วนยอดจะเป็นสีเขียว ส่วนเถาแก่จะเป็นสีน้ำตาล ผิวเรียบเกลี้ยง ใบ : มีใบประเภทใบประกอบ มีใบย่อย 1 คู่ ออกตรงข้ามกันตามข้อต้น เป็นไม้ใบบางแต่แข็งกระด้าง รูปใบรีหรือมน หรือใบรูปไข่ขอบใบเรียบปลายใบและโคนใบแหลมก้านใบสั้นมีมือเกาะอยู่ระหว่างใบย่อยแต่ละคู่ในขณะที่ใบยังอ่อน ใบจะมีกลิ่นคล้ายกับกลิ่นกระเทียมดอก : ออกดอกเป็นช่อตามข้อต้น หรือตามโคนกาบใบ ช่อหนึ่งจะมีประมาณ 10-20 ดอก ดอกสีม่วงอ่อน ตรงปากดอกหรือกลางดอกสีค่อนข้างขาวมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกันเล็กน้อย ลักษณะดอกจะเป็นรูปกรวยปากบาน หรือรูปแตร มีกลีบดอกแยกออกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกบานใหม่ ๆ จะเป็นสีขาว แล้วจะกลายเป็นสีชมพูและสีม่วง เมื่อแก่จัด มีเกสรตัวผู้ภายในดอก 4 อัน สั้น 2 อัน และยาวอีก 2 อัน ในช่วงที่ออกดอก กระเทียมเถาจะทิ้งใบหมดการขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์โดยการปักชำ การตอนหรือการทาบกิ่ง
6. พุดน้ำบุษย์
Take on the tricks and traps of this fiendish golf course.