Welcome to Nanny Vivace's Blog ka

Group Blog
 
All blogs
 

Maundry Thursday :: เวลาแห่งความสุขช่างแสนสั้นเหลือเกิน....

ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่จนถึงหลังปีใหม่ ไม่ได้ดูหนังที่อยากดูเลยสักกะเรื่องเพราะมัวแต่ยุ่งกับเรื่องปิดต้นฉบับตลอดเวลา เพิ่งจะมีเวลาว่าง (ก่อนจะยุ่งอีกรอบในอาทิตย์หน้า) รีบเปิดกรุหนังที่โหลดมามากมาย แถมด้วยหนังแม่สายที่ซื้อมามากมาย แต่ไม่มีเวลาแม้จะจะหยิบมาเชยชม แต่แล้วก็พ่ายแพ้แก่ คัง ดองวอน และลีนายังจนได้ ต้องหยิบเรื่องนี้มาดูเป็นเรื่องแรกต้อนรับปี 2007

Our Happy Time หรือเรียกอีกชื่อว่า Maundy Thursday (หลังจากดูหนังจบแล้ว รู้สึกชอบชื่อหลังมากกว่า )



เรื่องราวของโปรเฟสเซอร์สาว ที่เคยผ่านการฆ่าตัวตายมาแล้วถึงสามครั้ง วันหนึ่งเธอได้มีโอกาสไปยังคุกเพื่อพบกับนักโทษประหารผู้ซึ่งมีชีวิตแตกต่างของเธอราวฟ้ากับดิน ตลอดทั้งชีวิตของยูนซู (คังดองวอน) มีแต่ความยากลำบาก เขากับน้องชายที่ป่วยเป็นมะเร็งเป็นเด็กกำพร้า อดมื้อกินมื้อ จนเมื่อโตขึ้นเขากับเพื่อนก่อคดีฆ่าสังหารผู้หญิงสามคนจนต้องโทษประหาร

ส่วนชีวิตของยูจอง (ลีนายัง) ก็เต็มไปด้วยบาดแผลจากความทรงจำที่แสนเลวร้ายในวัยเยาว์ ที่ส่งผลให้เธอทำตัวเป็นศัตรูกับแม่และครอบครัวโดยตลอด



เมื่อคนสองคนที่มีบาดแผลเจ็บทางใจได้มาพบและเปิดใจพูดคุยกัน เพื่อสร้างความหวังและจุดประกายให้อยากมีชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไป ยูจองกล้าที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครทราบให้ยูนซูรับรู้ และสิ่งนี้มันทำให้เธอสามารถทำใจให้รู้สึกถึง "การยกโทษและให้อภัย"



ต้องขอชื่นชมกับพลังการแสดงของนักแสดงนำทั้งสองคน ทั้งลีนายัง และ คังดองวอน คนแรกเนี่ยเราชื่นชอบเค้าเป็นพิเศษอยู่แล้วตั้งแต่ Who r u? จนถึง Someone Special ที่เธอเล่นได้น่ารักมาก เป็นดาราเกาหลีในดวงใจอีกคนนึงทีเดียว ส่วนหนุ่มหล่อคังดองวอนในเรื่องนี้แฟนคลับอาจรู้สึกผิดหวังที่ความหล่อของเค้าออกจะน้อยลง ต้องหั่นผมให้สั้นกุดเพื่อให้รับกับบทนักโทษประหาร ซึ่งนับว่าเค้าเป็นดาราเกาหลีที่มีพัฒนาการทางการแสดงมากคนหนึ่งของวงการเลยทีเดียว สังเกตได้จากการรับบทที่หลากหลายไม่ใช่ว่าจะโชว์ความหล่ออย่างเดียว (ยกเว้น Dualist เรื่องเดียวที่โชว์แต่ความหล่อจนน่ารำคาญ) หวังว่าเราคงจะได้ดูผลงานดีดีมีคุณภาพจากเขาอีกต่อไปเรื่อยๆ (ผลงานเรื่องต่อไปคือเรื่อง M แนวฆาตกรรมสยองขวัญ)



เรื่องนี้รับประกันความสนุกได้ดูจากผลงานของผู้กำกับ Song Hae-Seong จาก Failan , Rikidozan ดูจบไปก็หยิบทิชชู่ไปจนเกือบหมดม้วนตั้งแต่ครั้งเรื่องยันจบ ร้องไห้จนหน้าตาบวมไปหมด ถ้าใครสนใจก็ลองหาแผ่นมาดูได้นะคะ เพราะยังไม่มีค่ายหนังค่ายไหนซื้อเรื่องนี้เลยอ่ะ เท่าที่รู้ในตอนนี้




 

Create Date : 14 มกราคม 2550    
Last Update : 14 มกราคม 2550 3:03:39 น.
Counter : 841 Pageviews.  

รวมมิตรหนังที่ได้ดูใน World Film Festival ครั้งที่ 4 (วันที่ 16-21 ต.ค.)

อาทิตย์ที่ผ่านมา มัวแต่ไปดู World films ทุกวัน กลับบ้านก็ดึก กลับมาก็หลับคาจอไม่มีโอกาสเขียนเล่าเลยว่าไปดูอะไรมาบ้าง ขอเก็บรวบยอดล่ะกัน

เรื่อง ที่ 5 Glastonbury





รู้สึกดีที่ได้ดูหนังสารคดีเรื่องนี้ ที่เข้าใจร้อยเรียง ภาพตั้งแต่อดีตของเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ สลับกับพฤติกรรมของผู้ที่บากบั่นเดินทางมาดูดนตรี ตลอดจนตามถ่ายถึงพฤติกรรมแบบของจริงของบรรดาแฟนเพลง ที่มีทั้งการเสพยา มั่วเซ็กส์ เล่นมายากล แต่งตัวบ้าๆบอๆ หรือการปัสสาวะริมทางซึ่งทางผู้จัดงานพยายามจะรณรงค์ไม่ให้เกิดขึ้น (จะห้ามไหวเหรอนั่น )

ข้อเสียของหนังก็มีเยอะ เช่น หนังมีช่วงค่อนข้างหน้าเบื่อ และอึด ยาว จนเกินไป กับความยาว 138 นาที และถ่ายด้วยกล้องวีดีโอภาพจะไม่ค่อยชัด แต่ถึงยังไงก็ยังค่อนข้างให้อภัยได้เมื่อได้พบกับการแสดงสดของวงดังๆ ของเกาะอังกฤษอย่าง David Bowie,Pulp, Blur, Coldplay และอีกมากมาย...


เรื่องที่ 6 Proposition



ตอนแรกที่อยากดูเพราะมีคนเล่าให้ฟังว่าคุณเต้ ณ ไบโอสโคป ดู DVD แล้วชื่นชอบมาก ก็เลยโอเค มีความหวังว่าดูจอใหญ่แล้วจะรู้สึกดีขึ้นกว่าไปเช่าแผ่น แต่แล้วฝันร้ายก็กลายเป็นจริง เมื่อภาพฉายออกมาเป็นภาพที่คุณภาพเลวร้ายมากๆๆๆๆๆ เรียกว่าดูดีวีดี กับทีวีที่บ้านยังรู้สึกดีกว่านี้แน่นอน เสียงก็แตกๆ พร่าๆ หนังก็เนื้อเรื่องค่อนข้างธรรมดาไม่มีอะไรเลย ดูแล้วนึกถึงหนังของเจบิคส์ที่เคยหลงผิดไปดูที่ลิโด้อย่าง Tiger Brigades ซึ่งแนวคาวบอยๆ คล้ายๆกันแต่ หนังเรี่องนี้เนื้อเรื่องน้ำเน่ากว่าเยอะ

รอบที่ดูมีคนดูค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง (เค้าจะคิดยังไงกับคุณภาพในจอหนังของเรื่องนี้นะ ) พอเริ่มไปสัก ครึ่งชม. ก็มีคนเริ่มเดินออก ทีละคน 2 คน แต่เราก็ยังทนดูจนจบ ...

เป็นหนังยอดแย่ที่สุด (ในใจเรา) ของเทศกาลนี้เลยค่ะ


เรื่องที่ 7 Climates



เรื่องนี้ตอนแรกไม่รู้ว่าคุณพี่ผกก. เค้าจะลงทุนเล่นเอง รับบทเป็นอาจารย์หนุ่มใหญ่ที่บอกเลิกภรรยาเมื่อตอนที่เขาและเธอไปพักผ่อนกันในช่วงหน้าร้อน ..หลังจากนั้นหนังก็เริ่มเฉลยทีละนิดว่าเหตุใดเขาถึงหมดรักภรรยาสาว แต่กลับไปเล่นชู้กับคู่รักของเพื่อนแทน ...แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เรี่มคิดถึงภรรยาเก่าของเขา จึงออกเดินทางไปตามหาเธอ...ขอคืนดีอีกรอบ..ดูเหมือนว่าภรรยาสาวซึ่งดูจากการแสดงก็ทำให้รู้ว่าเธอยังรักเขาอยู่มากทีเดียว แต่ความรักอย่างเดียวถ้าขาดความเชื่อใจกันและโกหกต่อกัน มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร... เรื่องก็เลยจบ...

ตอนที่ดูก็มีวูบไปสัก 10 นาที แต่ ตื่นมาก็ต่อเรื่องได้แน่นอน เพราะหนังมันช้ามากกกก ถ่ายกล้องแช่ไว้นานๆ ให้เห็นอารมณ์ของภรรยาสาว (เล่นเก่งดีค่ะ) และถ่ายภาพสวยมากทำให้เห็นวิวของกรุงอิสตันบูล และบรรยากาศหิมะตก แบบเหงาๆ ดีแท้ ....

เรื่องที่ 8 I don't want to sleep alone



เป็นแฟนหนังคุณพี่ ไฉ้หมิงเลี่ยง เหมือนกันอ่ะนะ คือดูหนังเค้าเกือบทุกเรื่องเลย ไม่น่าเชื่อเลย เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นพระเอกคนเดิม ที่เราดูเค้าเล่นหนังพี่ไฉ้ตั้งแต่เรื่อง Vive L'Amour , The River , The hole, What time is it there? , The Wayward Cloud ขาดอยู่เรื่องเดียวที่ไม่ได้ดูคือ Goodbye Dragon Inn มาจนถึงเรื่องนี้ รับบทเป็น 2 คนในเรื่องเดียวกัน (เพื่ออะไรฟะ หรือขาดแคลนนักแสดง )

เรื่องนี้ ถ่ายที่มาเลเซีย บรรยากาศคล้ายๆเมืองไทยอย่างรุนแรง ผกก. ช่างหาโลเกชี่นเจ๋งมากๆ ถ่ายภาพสวยเหมือนเดิม บทหนังก็ออกแนวๆคล้ายๆ The river แต่ก็สนุกดีนะคะ ชอบๆ ฮาดี ตอนท้ายๆเรื่องในหนังมีการนำประเด็นควันพิษในอินโดที่เคยเป็นข่าวมาอยู่ในหนังด้วย ชอบฉากเดียวกับท๊อปคือฉากผีเสื้อมาเกาะบ่า พระเอก สวยมากๆ ค่ะ หุหุ

คาดว่าหนังเรื่องหน้าของพี่ไฉ้ ก็คงยังเป็นพระเอกคนเดิมอีกต่อไป....

เรื่องที่ 9 Thai Indie Short Film: LIGHT

ดูไม่ครบค่ะ เรียกว่า ดูไปสัก 5 เรื่องเองก็ต้องรีบออกมาดูเพรส Master of horrors แทน เรื่องที่ได้ดูก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกัน

- ?ก่อน / ?Before


เข้ามาดูแบบมึนงง เพราะมาไม่ทันตอนต้น แต่มาตอนปลายก็คงคล้ายๆกัน หนังไม่ได้เป็นเรื่องราว แต่เป็นการถ่ายภาพธรรมชาตไปเรื่อย... โนคอมเม้นล่ะกันค่ะ เรื่องนี้ เราคงต้องหยิบบันไดมาปีน เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น

เหตุผลที่เราทะเลาะกัน / The Table's Space



อ้า เรื่องนี้ค่อยเป็นเนื้อเรื่องขึ้นมาหน่อย ดูแล้วมีความสุขดี คงจะเป็นหนังที่เป็นการบ้านของนิสิต คณะนิเทศ จุฬาฯ ทำส่งอาจารย์ เนื้อเรื่องคิกขุโนเนะ ออกแนวเด็กผู้ชายที่ชอบแกล้งเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยที่ลึกๆแล้ว ก็เพราะ...เพราะชอบนั่นเอง ..(แหม ไม่บอกก็เดาได้ )

นวด / The Massage



น่าร๊ากกก ชอบมากๆๆ เป็นอนิเมชั่นประกอบเพลงนวดของ ทีโบน เป็นรูปตัวแป้ง 2 ตัวนวดกันไปมา แต่เค้าทำออกมาได้น่าสนใจมากค่ะ ดูแล้วมีความสุข เผลออมยิ้มตามเลย

เซ็กซ์ไม่เจ็บ? / Painless Sex?



หนังเด็กแนวอีกแล้ว (แนวไม่รู้เรื่อง ) พอจะเข้าใจรางๆ ว่าอาจจะต้องการสื่อสารเรื่องการมีเซ็กส์กับการจับปลา ??? คนทำเค้าให้คำนิยามไว้ว่า "ความปรารถนาทางเพศด้วยการสัมผัส " ดูแล้วมึนงง อีกแล้วเรื่องนี้ ... ขอผ่าน ...

Upper Story

มึนงง อย่างมาก แต่ขอยกคำอธิบายของตัวหนัง ที่สื่อออกมา เป็นรูป เหมือนกำลังถ่ายหม้อสุกี้รวมมิตรที่กำลังเดือดปุดๆ ซ้อนกับภาพนักดนตรีเป่าแซกไปมา นิยามเค้าแปลออกมาว่า..."นำเสนอภาวะของการรักษาความสมดุลทางอารมณ์ และการพยายามควบคุมจังหว่ะของสิ่งที่รับเข้ามาให้คงที่ การออกไปสู่ห้วงที่ไร้สำนึกเพื่อผ่อนคลายเนื่องด้วยภาวะที่ถูกบีบและจำกัดในช่วงหนึ่งๆ ของผม" เฮ้อ..... การต้องทนดูหม้อสุกี้กำลังเดือดปุดๆ เป็นเวลาราว 5 นาที มันทำให้.....หิว นะ ขอบอก

ดูไปแค่ 5 เรื่องก็เริ่มเซ็ง กร่อย หลังจากภาพ หม้อสุกี้กำลังเดือดจบลง กำลังเริ่มเรื่องใหม่... เพื่อนอีกคนที่ดูโรงเดียวกัน ก็โทรเข้ามาชวนให้ออกกันเถอะ...

เรื่องที่ 10 The Blossoming of Maximo Oliveros (ฟิลิปปินส์)



ปีที่แล้วได้ดูหนังเกย์ฟิลิปปินส์ เรื่องนึงเกี่ยวกับหมอนวดชาย แล้วติดใจ เพราะมันสนุกดี มาปีนี้พอรู้ว่ามีเรื่องนี้ก็รีบจัดแจงตีตั๋วมาทันที เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระเทยเด็กในสลัมของกรุงมะนิลา ที่มีครอบครัวคือพ่อและพี่ชายอีก 2 คน ดูรักใคร่กันดี อยู่มาวันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเธอได้พบเจอนายตำรวจหน้าตาดีที่เข้ามาช่วยเหลือจากการถูกลวนลาม (...) หลังจากนั้นเธอก็เริ่มหลงรักเค้าอย่างจริงจัง แต่ก็มีอุปสรรคชิ้นใหญ่นั่นคือ นายตำรวจผู้นี้กำลังสืบคดีฆาตกรรมที่มีพี่ชายแท้ๆของเธอเข้ามาพัวผัน จึงทำให้รักต้องเลือกขึ้นมา...

เรื่องนี้ให้บรรยากาศเหมือนกำลังดูการถ่ายทำที่สลัมเมืองไทย (เหมือน I don't want sleep alone ) แต่ อันนี้เหมือนกว่า เพราะความที่หน้าตาคนไทยกะคนฟิลิปปินส์ก็คล้ายกันอยู่แล้ว
ชอบบทเรื่องนี้ค่ะ ดูเรื่อยๆ แต่ก็สนุกใช้ได้ ถึงแม้ Production ของหนังบ้านเราจะเจริญกว่าก็ตาม ...

เรื่องที่ 11 Cease Fire



คำว่า Cease Fire ถ้าเปิดในดิก จะแปลว่า การหยุดรบ, Related: การยุติการสู้รบ, การตกลงหยุดสู้รบเพื่อการเจรจาหาสันติ ซึ่งก็ตรงกับเนื้อหาในหนังแนว Romantic comedy ของ ผกก. หญิง Tahmineh Milani หัวรุนแรง ซึ่งเคยรู้มาว่าเธอเคยถูกทางการจับเข้าคุกจากผลงานหนังของเธอเรื่อง The Hidden Half (2001) ในข้อหา สนับสนุนและเผยแพร่ให้เกิดการปฎิวัติภายในภาพยนตร์ แต่ในที่สุดเธอก็ถูกปล่อย หลังจากได้มีการขอร้องจากบรรดาผกก. หนังดังระดับโลกอย่าง อังลี่ ,สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก , สไปก์ ลี ทำให้เธอไม่ถูกตัดสินประหารชีวิต

เธอกลับมาอีกครั้งในภาพยนตร์แนวโรแมนติก คอมเมดี้ เรื่องราวชีวิตสมรสที่กำลังจะพังของ สถาปนิกสาววัย 33 ปี ชื่อ ซาเย่ กับสามีหนุ่มวิศวกร ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ ของเธอที่ชื่อ ยูเซฟ ซาเย่ต้องการจะไปหาทนายความเพื่อเจรจาเรื่องที่เธอจะฟ้องหย่าสามี แต่ดันเข้าไปในคลีนิคโรคจิตแทน เธอก็เลยเล่าพฤติกรรมแย่ๆของสามีให้จิตแพทย์ฟัง (ระหว่างนี้หนังจะเริ่มเล่าย้อนอดีตตั้งแต่ วันแรกที่เธอเจอกับสามิไปจนถึงการแต่งงานและการทะเลาะเบาะแว้งกัน) จนภายหลังยูเซฟ สามิของเธอก็ได้มาพบกับจิตแพทย์คนเดิมและได้รับการสั่งสอนให้ลด ละ เลิก พฤติกรรม ที่น่าเอือมนี้สักที ...

ดูหนังเรื่องนี้แล้วเนื้อหาจะออกแนวละครพ่อแง่แม่งอนของไทย ออกแนว "ขิงก็รา ข่าก็แรง" ทะเลาะกันไป แกล้งกันไปมา แล้วก็รักกัน ... (ดูจากหนังแล้วกว่าจะรักก็เกือบตาย ) ออกจะค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับแฟนหนังไทย ที่ดูละคร+หนังพวกนี้มาอย่างช่ำชอง แต่คงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนอิหร่านที่การหย่าร้างถือเป็นสิ่งต้องห้าม จนทำให้ผู้คนหันมาตีตั๋วเข้าชมจนทำรายได้สูงสุดของ Box Office อิหร่าน..

หลังหนังจบมี Q&A ผกก. ด้วย มีฝรั่งถามถึงตัวหนังว่านางเอกของเรื่องออกแนวหญิงแกร่งซะเหลือเกิน ผู้หญิงอิหร่านทุกคนเป็นแบบนี้มั้ย เธอก็ตอบว่า Of course แล้วก็หัวเราะใหญ่ ดูแล้วเราว่าผกก. คนนี้ผลงานของเธอออกแนว Faminist พอตัว เธอเล่าว่านี่ เป็นผลงานเรื่องที่ 9 ของเธอแล้ว ก่อนทำเรื่องนี้มีการเจาะลึกหาข้อมูลกันมาหลายแหล่ง (ไม่ยักกะมาหาเมืองไทยแฮะ )

ส่วนตัวแล้วค่อนข้างเฉยๆกับหนังเรื่องนี้พอสมควร ด้วยเนื้อหาที่จัดว่าค่อนข้างออกแนว "หน่อมแน้ม" เมื่อเทียบกับปัญหาทั่วไปของสามี-ภรรยาในเมืองไทย จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร ถือว่าได้ดูชีวิตของหนุ่มสาวชาวอิหร่านในยุคปัจจุบัน ซึ่งหาชมได้ยาก (สังเกตจากหนังอิหร่านเรื่องที่เคยได้ดูจะออกแนวทะเลทรายซะส่วนมาก)






 

Create Date : 23 ตุลาคม 2549    
Last Update : 23 ตุลาคม 2549 22:41:50 น.
Counter : 813 Pageviews.  

รวมมิตรหนังที่ได้ดูใน World Film Festival ครั้งที่ 4 (วันที่ 13-15 ต.ค.)

เริ่มกันไปแล้วตั้งแต่ วันที่ 12 ตุลาที่ผ่านมาสำหรับ World film festival of bangkok ครั้งที่ 4 เทศกาลหนังที่มีหนังดีๆ หาชมยากทั่วโลกมาให้ชม งานนี้จัดวันที่ 11-23 ตุลาคม 2549 โรงที่ฉายสามโรงคือ พารากอน, เมเจอร์ เวิลด์พลาซ่า, และ อีจีวี เมโทรโพรลิส

และแล้วก็เป็นเหมือนทุกปี นั่นคือมีผู้คน (โดยเฉพาะคนไทย) ให้ความสนใจกับหนังในเทศกาลนี้ค่อนข้างน้อย ตรงข้ามกับชาวต่างชาติ (สังเกตได้จากบรรดาผู้ชมหนังแต่ละรอบที่เราได้ไปดู) ซึ่งในขณะที่ ตั๋วปีนี้ก็ค่อนข้างจะขายดี (มีโปรลด 50% สำหรับนักเรียนอีกด้วย)

สำหรับเรา ตอนนี้ ผ่านมา 3 วันก็ได้มีโอกาสชมไป 7 เรื่องแล้วค่ะ เรียกได้ว่ามีเวลาอยู่กับโรงหนังกันเกินครึ่งวัน แน่นอน ลองเอาบางเรื่องที่ได้ชมมาแนะนำ กันนะคะ

13/10/06 Frozen Land (Italy)


หนังจากประเทศฟินแลนด์ที่ดูแล้วหดหู่ใจดีแท้ ดูบรรยากาศและเรื่องราวชวนให้นึกถึงหนังอย่าง All About Lily Chou Chou ถึงแม้จะไม่เรื่องประเด็นเดียวกัน แต่ก็มีส่วนที่คล้ายกันนิดหน่อย

ตัวละครในหนังแต่ละคนดูเย็นชา สมกับชื่อหนัง ที่น่าจะหมายถึงดินแดนแช่แข็ง มีเวลาในการเจอแสงแดดน้อยเหลือเกินใน 1 วัน และพระอาทิตย์ขึ้นตอนเที่ยงคืน ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร ครูที่เพิ่งตกงานกับลูกชายที่ไม่เอาถ่านของเขา หรือนักแฮคเกอร์คอมกับแฟนสาว ซึ่งนำไปสู่ชีวิตของคนอีกหลายคนจนกลายเป็นเหตุการณ์ลูกโซ่ ส่งผลกระทบกับทุกคนอย่างหนัก

ดูแล้วก็สะท้อนใจอดคิดถึงบ้านเมืองเราไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่อาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม

หนังดีนะคะ ชอบมากเลย พรุ่งนี้มีอีกรอบนึง อยากเชียร์ให้ไปดูกันเยอะๆ นะ

เรื่องที่ 2 The Banquet



ก่อนดูก็ไม่คาดหวังอะไร เนื่องจากได้ฟังคำวิจารณ์มาเยอะว่าหนังทำได้ไม่ค่อยดี แต่พอดูแล้วกลับชอบค่อนข้างมากเลยค่ะ หนังออกจะสนุกนะคะ สมกับดัดแปลงมาจาก Hamlet ของเชคสเปียร์

ชอบนักแสดงในเรื่องด้วยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นจางซิยี่ ที่เธอก็ทำหน้าที่ได้ดีในบทของฮองเฮาสาว ที่ยังมีใจให้กับลูกเลี้ยงหนุ่มที่เคยเป็นคนรักเก่า ถึงใครจะบอกว่าบารมีเธอยังเด่นไม่เท่านักแสดงรุ่นใหญ่อย่างกงลี่ แต่เราก็ว่าบทนี้เหมาะกับเธอแล้วอ่ะ คือ ดูเหมือนจะเข้มแข็ง เย็นชา เพราะภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ แต่แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีความรัก

อีกคนที่ต้องพูดถึงคือพระเอกสุดหล่ออย่างแดเนียล วู ซึ่งเรื่องนี้หล่อมากค่ะ ดูดี เหมาะสมกับบทอ่ะ ตอนท่าร่ายรำดาบเนี่ย ทำเอาเคลิ้มตามเลยอ่ะ อิอิ

นักแสดงคนสุดท้ายนั่นก็คือสาว โจว ซุน จาก Perhaps Love ที่แม้จะบทน้อยแต่ก็แสดงได้ดี สวยมาเชียว (แอบมีบทเลิฟซีนกับแดเนียลด้วย อิจฉาๆ )

สรุปว่าชอบค่ะ อยากได้เพลงธีม ตอนจบเรื่องมากๆเลย ไว้คงต้องหาโหลดซะแล้ว


เรื่องที่ 3 Just Do it (Italy)


เรื่องราวชีวิต ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ของชายหนุ่ม 2 คน ที่อาศัยอยู่แถบชนบทในประเทศอิตาลี กับช่วงเวลาเทศกาลคริสต์มาส หนุ่มคนแรกชื่อ Bove อายุ 23 ปีแล้วแต่ ยังไรเดียงสากับเรื่องผู้หญิง ตรงกันข้ามกับเพื่อนอีกคนชื่อ Pechino ที่ผ่านผู้หญิงมาอย่างช่ำชอง (อันนี้ฟังจากคำโม้แต่ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า) Bove วางแผนจะปล้นคนในอพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่งเพื่อหาเงินมาใช้ แต่แล้วเขากลับเจอหญิงชราอายุ 80 คนหนึ่งที่สายตาไม่ดี จนทึกทักเอาว่าเขาเป็นหลานชายของเธอ ส่วนเพื่อนของเขา Pechino ก็ทำงานพิเศษจนจับพลัดจับพลูในเจอกับผู้หญิงคนนึงที่กำลังอยู่ในอารมณ์สติแตกเนื่องจากจับได้ว่าแฟนนอกใจ...

หนังสนุกดีค่ะ มีแอบตลกเป็นระยะๆ ดูแล้วก็อบอุ่นกับบรรยากาศการเมืองเล็กๆในอิตาลีในช่วงวันคริสต์มาส ดูจบมีฝรั่งลุกขึ้นปรบมือด้วยอ่ะ (แต่ Banquet ไม่ยักกะมีใครปรบมือให้)

เริ่องที่ 4 Breakfast on Pluto





เรื่องนี้ยอมรับค่ะว่า ดูแบบสุ่มๆ เอา เพราะรู้สึกว่ามีค่ายหนัง ซื้อเรื่องนี้ไปแล้ว มันคงน่าจะสนุกบ้างแหล่ะน่า พอไปดูแล้ว รู้สึกสนุกผิดคาดเลยอ่ะ หนังมีซับไทยด้วย หนังสร้างจากนวนิยายของ Pat McCabe เป็นเรื่องจริงของชาวชาวไอริชที่เดินทางมาตามหาแม่แท้ๆของตนเองในอังกฤษ นำมาดัดเปลง เป็นเรื่องของกระเทยสาวในยุค ปลายปี 1970 นางหนึ่ง ชื่อ แพคทริค (แต่เจ้าตัวชอบให้ใครๆ เรียกเธอว่า คิทเท่น) ที่เดินทางตามหาแม่บังเกิดเกล้าจนกระทั่งประสบการณ์ได้นำเธอสู่ความแข็งแรงอีกครั้ง..

หนังนำแสดงโดยดาราหน้าคุ้น เหลือเกิน ตอนที่ดูก็ดันนึกชื่อไม่ออก พอออกจากโรงแล้วมีน้องมากระซิบถึงบางอ้อ ว่าเค้าคือ Cillian Murphy ฆาตกรโรคจิตใน Red Eye นั่นเอง เรื่องนี้โชว์ลีลาได้เด็ดมากค่ะ จนนึกว่าเธอเป็นกระเทยจริงอะป่าว หนังออกแนวตลกเสียดสี มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับการรังเกียจชาวไอริช และสหภาพแรงงานที่นำไปสู่การประท้วงและการใช้ความรุนแรงในอังกฤษ ยุค 70

หนังสนุกดีนะคะ ช่วงแรกขำๆ ฮาๆ ก็การแสดงที่เป็นธรรมชาติมากๆ ของ Cillian Murphy ในการสวมบทกระเทย (หน้าสวยดีค่ะ แต่งหน้าแล้ว หุ่นก็ดูดีเหมือนผู้หญิงจริงๆ) พอครึ่งหลังบรรยากาศจะออกแนวหม่นๆ เศร้าๆ สรุปแล้วเป็นหนังที่น่าสนใจอีกเรื่องในเทศกาลนี้เลยล่ะ ถ้าใครที่พลาดชมก็คงต้องรอตอน J-Bics นำมาฉายในโรงอีกรอบนะคะ




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2549    
Last Update : 16 ตุลาคม 2549 10:03:49 น.
Counter : 889 Pageviews.  

Maison de Himiko :: หนังญี่ปุ่นดีดีอีกเรื่องที่เราประทับใจ...

เมื่อคืนหยิบเอา DVD เรื่องนี้มาดูรอบ 2 แล้วก็ยังชอบและประทับใจหนังเรื่องนี้มากพอดูเหมือนเดิม เลยเอารีวิวที่เขียนไว้ตั้งแต่ตอนดูรอบแรกมาแนะนำให้ชมกันนะคะ ..



Maison de Himiko (Mezon do Himiko)


ปัจจุบันภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับชีวิตชาวโฮโมหรือแนวรักร่วมเพศของญี่ปุ่นที่ผู้เขียนเคยดูเรื่องสุดท้ายผ่านมาหลายปีเหลือเกิน ก็คงจะเป็นเรื่อง Hush (ผลงานเรื่องดังที่มาจากหนังสือ Kira Kira หรือชื่อไทยว่า “เป็นประกาย” นั่นเอง) นับตั้งแต่นั้นมาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมชาวญี่ปุ่นถึงได้ผลิตหนังแนวนี้ออกมาน้อยนัก อาจเป็นไปได้ว่า ผลิตออกมาแล้วไม่โดนใจและคนไม่นิยมเหมือนหนังจากแถบยุโรปอเมริกา ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ก็มีหนังที่เกี่ยวกับชีวิตของชาวสีม่วงออกมาให้ชมสมใจอยาก จึงรีบจัดแจงหามาทันที
พอได้ชมแล้วก็อดที่จะนำมาแนะนำให้เพื่อนๆที่สนใจลองไปหามาชมกัน กับผลงานชิ้นล่าสุดจากผู้กำกับหนุ่ม อิชชิน อินุโดะ ที่ผู้เขียนชื่นชอบงานของเขา ที่ออกมาเมื่อปี 2003 อย่าง Josee, the Tiger and the Fish มาก ๆ ที่ผ่านมา เขามีผลงานดังๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น หนังรักแนวแฟนตาซีอย่าง Across A Golden Prairie (2000) หรือหนังสุนัขน่ารักๆ อย่าง All about my dog(2005) และ 2 ผลงานล่าสุดที่โด่งดังอย่างในปี 2005 อย่าง หนังที่สร้างจากการ์ตูนเรื่องดังของ อ. อาดาจิ มิสิรุ เรื่อง Touch (2005) และ Maison de Himiko (2005) ที่กำลังจะพูดถึงนี้ค่ะ



Maison De Himiko เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์แบบสับสนอลหม่านระหว่างพ่อที่กลายเป็นเกย์กับลูกสาว เมื่อผู้เป็นลูกได้รับแจ้งข่าวว่า พ่อของเธอซึ่งทิ้งเธอกับแม่ไปตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิง เขากลับไปใช้ชีวิตเป็นเกย์อย่างเปิดเผยและเป็นเจ้าของบาร์เกย์ในย่านกินซ่าที่โด่งดังในสมัยนั้น แต่ในขณะนี้ พ่อแท้ๆของเธอได้ปลดเกษียณตัวเองออกมาเปิดบ้านพักสำหรับชาวเกย์ที่ริมชายหาด ตอนนี้เขา กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งร้าย คู่รักของพ่อเธอ พยายามจะประสานรอยร้าว ของพ่อลูกคู่นี้ จึงได้พยายามติดต่อลูกสาวที่แท้จริงที่เขาทิ้งเธอไปตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้พ่อลูกได้พบหน้ากันในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต


ซาโอริ (โค ชิบาซากิ จาก One Miss Call, Crying Out Love,In the Center of the World ) หญิงสาวอายุ 24 ปี ที่ดูไม่ค่อยร่าเริงแจ่มใส เหมือนหญิงสาวในวัยไล่เลี่ยกัน เธอใช้ชีวิตเป็นพนักงานที่บริษัทเพนท์ติ้งเล็กๆ และทำงานพิเศษเป็นพนักงานรับโทรศัพท์คอยตอบคำถามเรื่องเซ็กซ์ เพื่อให้ได้เงินมาปลดหนี้ค่ารักษาพยาบาลแม่ของเธอที่ตายไป วันหนึ่งก็มีชายหน้าตาดีชื่อ ฮารุฮิโกะ(โจ โอดะงิริ ดาราหนุ่มจาก Shinobi , Platonic Sex ,AZUMI ) เข้ามาพบเธอทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป ฮารุฮิโกะประกาศกับเธอว่า เขาคือแฟนหนุ่มของพ่อแท้ๆของเธอ ที่ใช้ชีวิตแบบเกย์อย่างสงบที่บ้านริมทะเลหลังหนึ่ง ด้วยอาการป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ตอนนี้บ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ความดูแลของฮารุฮิโกะ เขายื่นข้อเสนอให้เธอไปทำงานที่บ้านหลังนี้ โดยมีค่าตอบแทนอย่างงาม ในตอนแรกเธอตั้งท่าจะปฎิเสธข้อเสนอของเขา แต่เมื่อเขาอ้างถึงภาระหนี้สินเธอจึงไม่มีทางเลือก



เมื่อซาโอริ ได้เดินทางมาถึง "Maison de Himiko" แห่งนี้ ซึ่งมาจากชื่อพ่อของเธอที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ฮิมิโกะ รับบทโดย ดาราเจ้าบทบาท อย่าง มิน ทานากะ (Twilight Samurai) ที่บ้านแหล่งนี้ เธอทำตัวเป็นศัตรูกับคนทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแท้ๆของเธอ ความรู้สึกที่ซายูริมีต่อเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและต้องการแก้แค้นพ่อของเธอ



บรรดาสมาชิกในบ้านพักแห่งนี้ เต็มไปด้วยเกย์รุ่นใหญ่ ที่มีนิสัยประหลาดๆ จิตใจไม่ปกติ แต่ละคนล้วนประสบพบเจอปัญหาชีวิตจากครอบครัวที่ไม่ให้การยอมรับ ครั้งแรกซายูริมองพวกเขาด้วยสายตารังเกียจ และทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลา แต่เมื่อได้ลองสัมผัสถึงจิตใจที่ดี ของบรรดาเกย์รุ่นเดอะทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในนี้ และบรรยากาศที่แสนอบอุ่นในสังคมเล็กๆ ที่ผู้คนจากโลกภายนอกไม่ให้การยอมรับ ก็ทำให้ซาโอริเข้าใจและเปิดใจรับสมาชิกเหล่านั้นในที่สุด



จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ คงเป็น ความอบอุ่น ความรักและการเอื้ออาทรต่อกัน ระหว่างสมาชิกในบ้าน ที่ผู้กำกับอินุโดะ ต้องการสื่อให้เห็น และความรักต่างวัยที่ฮารุฮิโกะมีต่อฮิมิโกะพ่อของซาโอริที่ใกล้ตาย ทำให้ซายูริเริ่มเปิดใจสานความสัมพันธ์กับพ่อของเธอ แถมท้ายด้วยฉากเต้นรำที่ทุกคนพากันออกไปเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง ด้วยท่าเต้นแบบประยุกต์ เข้ากันดีกับเพลงจังหวะดิสโก้มันส์ๆ ที่เปิดในร้าน



ดาราสาวที่นักแสดงนำในเรื่องนี้คือ โค ชิบาซากิ ที่สลัดคราบไอดอลสาวสวย มาเล่นเป็นสาวเชยๆหน้าตาบูดบึ้ง ไม่พูดไม่จากับใคร ทำหน้าตาเหมือนแบกโลกไว้ตลอดเวลา แต่เธอก็เป็นที่รักของผุ้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักแห่งนี้ รวมทั้งหนุ่มหล่อ โจ โอดะงิริ ที่รับบทเป็นชายหนุ่มคู่ขาที่ประกาศตัวตั้งแต่แรกว่าไม่สนใจผู้หญิง แต่แล้วเขาก็เริ่มสับสนใจเมื่อมีสาวน้อยไร้เดียงสาด้านความรักเข้ามาใกล้ และที่สำคัญ สาวคนนั้นดันเป็นลูกสาวของคนรักเขาซะด้วย และดาราอีกคนที่รับบทสำคัญในเรื่องอย่าง มิน ทานากะ นักแสดงและนักเต้นที่โด่งดังค้างฟ้าของญี่ปุ่น มารับบทเกย์หนุ่มใหญ่ที่กำลังใกล้ตาย และดาราสมทบอีกคับคั่ง



แม้ในช่วงท้ายๆของหนังเรื่องนี้ อาจไม่โดนใจ หรือสะเทือนใจผู้ชมบางคน แต่นั่นก็ทำให้ผู้เขียนนั่งอมยิ้มอย่างพอใจ อีกทั้งดื่มด่ำกับเพลงประกอบอันแสนจะไพเราะ จนตั้งใจจะไปหามาจับจองเป็นเจ้าของอย่างแน่นอน ถ้ามีโอกาสก็ลองหามาชมกันนะคะ ( แต่ถ้าจะรอลิขสิทธิ์ของไทยก็อาจจะต้องรอยาวสักหน่อย เพราะยังไม่มีข่าวว่ามีค่ายไหนซื้อมาอีกแล้วค่ะ T_T)


แถมท้ายด้วยแพคเกจ DVD ของเรื่องนี้ให้ชมกันเล่นๆ








 

Create Date : 13 สิงหาคม 2549    
Last Update : 23 ตุลาคม 2549 22:21:14 น.
Counter : 3672 Pageviews.  

รวมมิตร หนังที่ได้ดูในเทศกาลบางกอกฟิลม์ 2006 (วันที่ 2)

มาต่ออีกวันค่ะ วันที่ 19 -2-06

เรื่องที่ 1

Hi-bi: Days of Fire (Hi-Bi)



หนังดราม่า ค่อนข้างหนักๆ จากญี่ปุ่นว่าด้วยเรื่องของ แม่ม่ายคนหนึ่ง ที่มีอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผา แต่เธอก็ถูกสังคมรอบข้างกีดกัน ด้วยความที่เป็นผู้หญิง เมื่อสามีของเธอหนีไปอยู่กินกับหญิงอื่น เธอจึงยึดอาชีพช่างปั้น ในที่สุดคิโยโกะก็ได้รับการยอมรับถึงฝีมือและความสามารถของเธอ เธอมีลูกชายที่รักจะสืบทอดเจตนรมณ์ในการเป้นช่างปั้นต่อ แต่เขาก็ล้มป่วยด้วยโรคลูคีเมีย ...คิโยโกะพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาคนมาปลูกถ่ายไขกระดูกของลูกชายเธอ เธอต่อสู้และพยามก่อตั้งมูลนิธิ และธนาคารไขกระดูก จนสำเร็จ แต่ในที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถหาคนที่มีไขกระดูกที่เข้ากันกับลูกชายของเธอได้ ....

ดูแล้วน้ำตาไหลตั้งแต่ ครึ่งแรกจนถึงสะอึกสะอื้นในตอนท้ายๆ ชอบค่ะเรื่องนี้ เราว่า บทมันไม่น่าเบื่อดีอ่ะ ชอบการแสดงของคนเป็นแม่ในเรื่อง บีบคั้นอารมณ์ดีมากกก

ให้ใจไปเลย 4/5 คะแนน

เรื่องที่ 2

3 Friends (มะหมี่)



อยากดูมาตั้งแต่ได้ยินข่าวแล้ว พลาดไม่ได้เลยสำหรับสารคดีเรื่องนี้ .. พอดูแล้วก็ รู้สึกค่อนข้างดีนะ ที่หนังทำเป็นเหมือนถ่ายประวัติดาราสาวที่โด่งดัง ขั้นโกอินเตอร์ เมื่อเธอได้มาพักผ่อนกับเพื่อนรัก 2 คนที่เกาะช้าง
โดยจริงๆแล้วก็มีผลพลอยได้คือการมาถ่ายแฟชั่นเซ็กซี่อีกด้วย ... เธอได้พบกับนักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนนึงที่นี่และ เกิดความสัมพันธ์ (ทางใจ) กับชายหนุ่ม ...

ดูจบจบแล้วรอฟังคำถามใน Q&A ที่ผกก. มาเล่าให้ฟังว่า ทำมไถงต้องเลือกให้มะหมี่เป็นนางเอก ก็เลยถึงบางอ้อว่า เพราะมะหมี่เป็นคนออกทุนสร้างให้นั่นเอง และอีกเหตุผลนึงคือมะหมี่เป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ถ่ายคลัฟ F

จะมีที่รู้สึกไม่ชอบอยู่บ้างคือ รู้สึกว่า มันมีอะไรที่เฟคๆ ในหลายส่วนของหนังเรื่องนี้ เช่น บทของชายหนุ่ม ที่มาติดพันหรือบทพูดระหว่างมะหมี่กับเพื่อนสาว ดูไม่ค่อยธรรมชาติไปหน่อย อ่ะ

สรุปแล้วให้ 3/5 คะแนนค่ะ

เรื่องสุดท้ายของวันนั้น

The Sun (Solntse)



เรื่องสุดท้าย ที่เราได้ดูวันแรก ของเทศกาล แต่ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เนื่องจาก ดูเป็น เรื่องที่ 4 ของวันนั้นหนังของผู้กำกับ Russian Ask เรื่องล่าสุด ด้วยความที่ หนังอืด เนืบ เนือย ได้ใจดีแท้ ทำเอาหลับไปหลายตลบ ว่าด้วยเรื่องของ องค์จักรพรรดิฮิโรฮิโต ของญี่ปุ่นที่ทรงประกาศยุติศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีการพบเพื่อสงบศึกกับนายพลจากสหรัฐอเมริกา ...ด้วยพระจริยวัตร อันค่อนข้างแปลกประหลาดอย่างที่เห็นในหนังขององค์จักรพรรดิ ทำเอาเราดูแล้วแปลกๆ พร้อมกับนึกในใจว่า หนังเรื่องนี้คงไม่มีวันได้ไปฉายที่ญี่ปุ่นแน่นอน

ให้ไป 3/5 คะแนนค่ะ

ปล.รู้ผลออสการ์กันแล้วรึยัง โดนใจกันบ้างมั้ยอ่ะคะ

ถ้ายังก็ไปดูได้ที่นี่นะคะ //www.popcornmag.com/bbs/index.php?showtopic=1986&st=15&#entry17235






 

Create Date : 06 มีนาคม 2549    
Last Update : 6 มีนาคม 2549 14:38:23 น.
Counter : 705 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

Fly to the sky
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หายไปนานเป็นปีเพิ่งจะกลับมาที่บลอคแกงค์อีกครั้งค่ะ ก็ยังคงใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรยังไง ไม่เป็นเหมือนเดิม ใครรู้วิธีแปะลิงค์จาก Last.fm มาไว้ที่นี่แบบที่ไปเห็นในบลอคของเพื่อนๆหลายคน ก็ช่วยแนะนำกันหน่อยนะคะ ^^
Friends' blogs
[Add Fly to the sky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.