เพื่อนจ๋า น้ำตาล ... มาแล้วจ้า ...


หลังจากประกาศปิดบ้านชั่วคราวไปผ่าตัดเนื้องอก

และใช้เวลาหลบเลียแผลอยู่อีกพักหนึ่ง

ตอนนี้เราก็เริ่มมาเดินเพ่นพ่านในบล็อคได้อีกครั้ง

แต่ไม่ครบ 32 แล้วนะคะ เพราะหมอหั่นทิ้งไปหลายรายการ

.
.
.

กลับมาเปิดบล็อคดู

โอ้โห กำลังใจจากผองเพื่อนช่างมากมายจริงๆ

ขอบคุณนะคะ ขอบคุณค่ะ



คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ







Create Date : 01 ตุลาคม 2551
Last Update : 1 ตุลาคม 2551 17:00:33 น.
Counter : 705 Pageviews.

25 comment
เลิกแล้วค่ะ.... หนูเลิกเขียนบล็อคแล้วค่ะ....
.....อ๋อ.. ยังหรอกค่ะ…. ไม่เลิกถาวรหรอกค่ะ



ประก๊าด ประกาศ!

…..พักบล็อคชั่วคราวตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปค่ะ….




เพราะจะต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเนื้องอกที่โผล่ขึ้นมา

โดยไม่ได้รับอนุญาต


….ช่างไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะคะ….. เจ้าเนื้องอก

.
.
.

อันที่จริง เราเป็นคนสุขภาพค่อนไปทางแข็งแรงถึงแข็งแรงมาก

ไม่มีอาการอะไรที่บ่งชี้ว่าถึงความผิดปกติของร่างกายเลยนะคะ

.

แต่พบเจ้าก้อนเนื้องอกนี่ ก็เพราะตรวจสุขภาพประจำปีค่ะ

.

….จำเป็นและควรอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ...

โดยเฉพาะผู้หญิง และถ้าวัยเกิน 30 ไปแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญค่ะ


เราตรวจสุขภาพทุกปี แต่ปีที่แล้วเกเร เว้นไม่ตรวจไปครั้งเดียว

ตรวจคราวนี้ก็เจอะเนื้องอกเลย

.
.
.

เราตรวจสุขภาพที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติค่ะ


สำหรับผู้หญิงตรวจเต็มโปรแกรมราคา 2,370 บาท

ส่วนผู้ชาย ก็จะถูกลงมาหน่อย

ข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ สามารถเบิกได้บางส่วนตามระเบียบราชการค่ะ

.
.
.

มีคนถามเราว่า ทำไมไปตรวจที่สถาบันมะเร็ง?


ส่วนใหญ่คนมักเข้าใจว่า

สถาบันมะเร็งรักษาแต่คนเป็นโรคมะเร็งเท่านั้น

จริงๆแล้ว เขาให้บริการตรวจสุขภาพประจำปีด้วยค่ะ

เพราะต้องการส่งเสริมให้คนหันมาตรวจสุขภาพเป็นประจำ

เพื่อที่จะห่างไกลหรือลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็ง

ที่เราเลือกตรวจที่นี่เพราะ เรารู้สึกว่า

เขาจะคริกหรือสนใจเป็นพิเศษว่า

มีอะไรเสี่ยงหรือลักษณะบ่งชี้ว่าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือไม่

.
.
.

สำหรับคุณน้ำตาล

ถ้าไม่ตรวจสุขภาพ ก็คงไม่มีโอกาสรู้ว่า

กำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย

และเจ้าก้อนเนื้องอกนี้ก็จะเติบโตต่อไปโดยเราไม่รู้ตัว

เหมือนเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่ไม่รู้ว่ามันจะบึ้ม…

หรือกลายเป็นพิษภัยร้ายแรงกับเราได้ในวันไหน

และพอถึงวันนั้น มันก็อาจจะร้ายแรงเกินกว่าจะเยียวยาได้

.
.
.

สละเวลามาตรวจสุขภาพกันเถอะค่ะ
……………..

รักและคิดถึงเพื่อนๆ นะคะ

.

นิ่มค่ะ




hi5 comments






Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 9:52:34 น.
Counter : 935 Pageviews.

97 comment
ความดันต่ำ...ต้ำ ต่ำ
โรคความดันโลหิตต่ำ Hypotension


... ความดันต่ำไม่เป็นอันตรายก็จริง แต่ก็คงจะทำให้คุณเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีแรง ปวดหัวเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา ทำงานทำการแบบออกแรงหน่อยก็ทำไม่ได้ เหล่านี้เป็นต้น

ความดันโลหิตโดยทั่วๆไปสำหรับผู้ ใหญ่นั้น ถ้าเกิน 140/90 ขึ้นไป ถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงเกินควร หรือถ้าต่ำกว่า 100/60 ก็ถือว่าต่ำเกินควร

ตัวเลขเหล่านี้เราจะรู้ได้จากการวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิต (SPHYG MOMANOMETER) ซึ่งจะเป็นเครื่องวัดที่ต้องใช้หูฟัง (STETHOSCOPE) หรือจะเป็นเครื่องวัดอัตโนมัติแบบที่เรียกว่าดิจิตอลก็ได้

ความดันโลหิตต่ำเกิดขึ้นได้จากต้นตอสองประการ คือ จากระบบบางอย่างของร่างกายบกพร่องมาตั้งแต่เกิด หรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเฉพาะหน้าบางประการ

สาเหตุบางอย่างจากระบบบกพร่องนั้น ได้แก่ คนที่โลหิตจางหรือเลือดน้อย ปริมาณรวมของเลือดต่ำและผนังของเส้นเลือดและการปั๊มของหัวใจผิดปกติ

อันตรายร้ายแรงจากระบบบกพร่องนั้นจะไม่ค่อยมี แต่ผู้ที่ความดันโลหิตต่ำมักจะเป็นคนที่ไม่มีแรง เวียนหัว หัวหมุนและคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย ทำงาน หนักไม่ค่อยจะได้ เหนื่อยง่าย ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คงเป็นเพราะว่า “คนเอว บางร่างน้อยไม่ค่อยมี เรี่ยวมีแรงอย่างนั้นแหละ”

ส่วนที่ความดันโลหิตต่ำเพราะมีโรคภัยเฉพาะหน้าเกิดขึ้นนั้น อาจจะเกิดขึ้นเพราะโลหิตจางแบบเฉียบพลัน ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุเสียเลือดมาก หรือมีสิ่งที่เป็นท้อกซินมากเข้าสู่ร่างกายอย่างกะทันหัน หรือต้องรับยาเคมีบางอย่าง เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งต้องรับเคมีบำบัด และต้องใช้รังสีบำบัด เป็นต้น

ขอพูดถึงวิธีแก้สำหรับผู้ที่มีโรคภัยเฉพาะหน้าก่อน ถ้าจะให้รู้ว่าเพราะโลหิตจางหรือไม่ คงจะต้องตรวจเลือดก่อน แล้วดูที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวก่อนเป็นตัวแรก ต่อจากนั้นให้ดูที่เฮโมโกลบิน (ตัวที่รับเอาออกซิเจนเข้าไว้ในเลือด) แล้วดูเฮมาโตคริต (เปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดแดงทั้งหมด)

ถ้าชนิดของเลือดเหล่านี้ต่ำกว่าเกณฑ์จะค่อนข้างแน่ใจว่าโลหิตจาง และถ้าวัดความดันโลหิต ว่าต่ำกว่าเกณฑ์ก็ต้องให้เลือดเป็นการด่วน แต่การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหน้าที่ของแพทย์นะครับ คุณทำเองไม่ได้ เมื่อแก้อาการโลหิตจางตามนี้ได้แล้ว ความดันโลหิตของคุณน่าจะขึ้นมาได้อยู่ในระดับปกติ

แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเฝ้าดูเป็นพิเศษก็คือ การที่คุณโลหิตจางนั้นเกิดจากการเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ เลือดออกภายในนี้อาจจะเป็นที่แผลในกระเพาะหรือลำไส้ คุณรับประทานอะไรเข้าไปเป็นกรดหรือย่อยไม่หมด ก็จะทำให้แผลภายในเลือดออกไม่หยุด อย่างนี้อันตรายแบบเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำอย่างแน่นอน

ฉะนั้น อย่าวางใจถ้าความดันโลหิตต่ำจนหมดแรงจะเป็นลม แต่ไม่พบอาการผิดปกติอย่างอื่น ให้ดูให้แน่ว่ามีเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่รีบส่งโรงพยาบาลด่วนนะครับ

อ้อ โรคเฉพาะหน้าที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำอีกอย่างหนึ่งและไม่ค่อยมีใครสังเกตพบ ก็คือ ผู้ที่เป็นหวัดอย่างแรงหรือไปติดเชื้อหวัดใหญ่มา ความดันโลหิตมักจะต่ำ แต่ก็ไม่มีใครค่อยสังเกต เพราะถ้าใครเป็นหวัดใหญ่ ก็มักจะให้คนไข้นอนพัก ให้ยาแก้ไข้ ให้อาหารบำรุงไม่กี่วันก็จะหาย

แต่ข้อสังเกตนะครับ ถ้ามีโอกาสตรวจความดันโลหิตและปรากฏว่าเป็นความดันต่ำแล้วละก็ รีบให้ยาบำรุงเลือดด้วย ก็จะหายเร็วขึ้นแน่ๆ

ทีนี้ก็มาถึงการแก้ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำโดยทั่วไป

1. แก้ด้วยอาหาร ควรจะให้อาหารที่เพิ่มโปรตีน ให้มากๆ สำหรับท่านที่กินอาหารชีวจิตอยู่แล้ว เราให้กินโปรตีนทั้งจากพืชและจากเนื้อสัตว์ได้
จากพืชก็คือ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เป็นต้น และเราให้กินปลาหรืออาหารทะเลได้ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง คุณอาจจะเพิ่มปลาได้เป็นอาทิตย์ละสัก 3 ครั้ง และถั่ว-เต้าหู้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 25% แทนที่จะเป็น 15% ตามสูตรหนึ่งของเรา

2. กินวิตามิน B COMPLEX 100 มก. เป็นประจำวันละ 1 เม็ด และให้แถม B1 100 มก. และ B12 500 ไมโครแกรม อีกอย่างละเม็ด

3. แคลเซียม 1,000 มก. และโปแตสเซียม 500 มก. กินประมาณ 1 เดือน เว้น 1 เดือน

4. วิตามิน E 400 IU. วันละ 1 เม็ด

5. ขอให้ออกกำลังกายเบาๆก่อน ใช้วิธีรำตะบองแบบชีวจิตจะดีที่สุด แรกใช้แต่ละท่า ประมาณ 20 ครั้ง เมื่อรู้สึกดีแล้ว ให้เพิ่มเป็นท่าละ 3 ครั้ง

6. ใช้หัวแม่มือนวดเบาๆ บริเวณกลาง หน้าอกแล้วเลื่อนไปที่บริเวณใกล้รักแร้สองข้าง

จาก.. คอลัมน์ชีวจิต หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ




-----------------------------------------------------------------------------

มาดูอีกบทความหนึ่งนะคะ

ความดันคืออะไร
ความดันโลหิต คือ แรงดันของเลือดภายในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย มีการกำหนดค่าอยู่สองค่าคือ ค่าSystolic Blood Pressure SBP (เรียกไทยๆว่าความดัน"ตัวบน") เป็นความดันเลือดขณะที่หัวใจบีบตัว เป็นช่วงที่แรงดันในเส้นเลือดสูงสุด

ค่า Diastolic Blood Pressure DBP (เรียกไทยๆว่าความดัน"ตัวล่าง") เป็นความดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว เป็นช่วงที่แรงดันในเส้นเลือดต่ำสุด

นึกภาพคนโดนตัดคอ เลือดที่พุ่งปรี๊ดขึ้นฟ้าสูงสุดคือจังหวะของ SBP และช่วงที่เลือดไหลปรี่ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอีกทีก็คือ DBP ...... นึกภาพไม่ออกใช่ไหมครับ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ แต่ผู้อ่านหลายๆท่านคงจะอธิบายได้ (ฝากด้วยแล้วกัน..ขอบคุณล่วงหน้าครับ)

ความดัน(โลหิต)สูง ก็คือ ค่าความดันที่ทางการแพทย์ถือว่าสูงเกินไป ซึ่งเมื่อสูงเกินค่าหนึ่งเป็นเวลานานๆก็จะทำให้อายุสั้นลงจากการเป็นโรคหัว ใจโรคไตโรคหลอดเลือดสมอง (ถ้าอยากรู้ที่มา ลองถามหมอที่คุณรู้จักถึง Framingham study สิครับ) อาจารย์แพทย์บางท่านไม่ใช้คำว่า โรคความดันสูง แต่ใช้คำว่าภาวะความดันสูงเนื่องจากโดยปกติภาวะความดันสูงมักไม่ก่ออันตรายทันที (ยกเว้นสูงมากๆหรือมีโรคอื่นอยู่ก่อน)

ความดันต่ำล่ะ
ในทางกลับกัน ความดันที่ต่ำกว่าปกติสามารถก่อผลเสียอย่างทันทีได้มากมาย เนื่องจากอวัยวะสำคัญหลายชนิดต้องการเลือดและความดันเลือดในระดับหนึ่งจึงจะทำหน้าที่ได้ดี เมื่อความดันต่ำลงมาก อวัยวะต่างๆก็จะเริ่มหยุดทำงานที่สำคัญๆได้แก่ ไต ตับ หัวใจ สมอง โดยเฉพาะสมองที่จะก่อให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหมดสติและในที่สุดอาจจะเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุของความดันต่ำ อาการนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Shock

สาเหตุที่พบแบ่งตามลักษณะการเกิดและการรักษาได้แก่

Hypovolumic shock ช๊อคความดันต่ำจากการเสียเลือดหรือเสียน้ำจาก ร่างกายมากๆ พบในอุบัติเหตุ หรือการติดเชื้อบางอย่าง (ท้องร่วง)

Distributive shock เกิดช๊อคความดันต่ำจากการที่เส้นเลือดทั่วร่างกาย ขยายตัว จนปริมาณเลือดในร่างกายดูเหมือนมีน้อยลง(เมื่อเทียบกับพื้นที่ๆเพิ่มขึ้น) พบในการแพ้อาหารยาแมลง การกระทบกระเทือนทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และการติดเชื้อในกระแสโลหิต

Cardiogenic shock ความดันต่ำช๊อคจากการที่หัวใจทำงานแย่ลง พอตัวปั๊มเลือดทำงานแย่ ความดันเลือดก็ลดลง พวกนี้เจอในโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายทั้งหลาย

สามตัวนี้ ถ้าปล่อยไว้ ตาย... (บางทีรักษาไม่ไหวก็ตาย)

Symptomatic hypotension อื่นๆ ได้แก่โรคหรือภาวะใดๆที่ทำให้ร่างกายเกิดความดันต่ำขึ้นชั่วขณะ มีหลายๆตัว อันตรายบ้างไม่อันตรายบ้าง แต่อาการที่ตรงกันก็คือจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม เหงื่อแตก ใจเต้นเร็ว หมดสติหรือเกือบหมดสติ

ดังนั้น ถ้ามีความดันต่ำเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยๆก็ควรจะหน้ามืด หัวใจเต้นเร็ว หรือหมดสติครับ

ความดันต่ำแบบไทยๆ
จากที่ได้บอกมาแล้วว่าอาการความดันต่ำทางการแพทย์เป็นอย่างไร คราวนี้มาดูความดันต่ำแบบไทยๆบ้าง

ความดันต่ำทางการแพทย์ เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองน้อย ก็จะมีอาการเริ่มที่วิงเวียน ตาลาย หน้ามืด เป็นลม ใจเต้นเร็ว มอง แบบไทยๆ อาการวิงเวียน ตาลาย หน้ามืด ก็แปลว่าเป็นความดันต่ำ(ชัวร์) ... ตรรกเดียวกับ เสือมีสี่ขา สัตว์สี่ขาก็คือเสือ แม้ว่าจะร้องเมี้ยวๆกินปลาทูหูชี้วิ่งหนีหมาก็ตามที
ถ้าหากจะเอาให้ครบถ้วน กินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายตาลายคล้ายจะเป็นลมขมในปากอยากอาเจียน เวียนหัวปวดกล้ามเนื้อ ฯลฯ ล้วนเป็นความดันต่ำได้ทั้งนั้นถ้าคนตรวจชวนเชื่อได้ดีพอ

ที่มาและเส้นทางสู่การเป็นความดันต่ำ
มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่คิดหรือถูกบอกกล่าวว่าตนเองเป็นความดันต่ำ บางคนมารักษาที่รพ.หลังจากรักษากับหมอตามบ้านมาหลายปีซึ่งเมื่อเอายามาดูก็ดูไม่ออกว่าเป็นยาอะไร บางคนตรวจแล้วก็ไม่พบว่าผิดปกติอะไร บางคนตรวจแล้วก็หาโรคเจอว่าเป็นโรคอื่นที่รักษาแล้วอาการดีขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุที่ทำให้เกิดการวินิจฉัยว่าเป็นความดันต่ำมีได้หลายสาเหตุ

1. วัดความดันผิด ไม่ว่าเครื่องมือ ฝีมือ หรือวิธีการวัดความดัน ถ้าผิดจากปกติก็สามารถได้ค่าความดันผิดปกติได้

2. ความดันต่ำจริง พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ (งี้ชั้นก็แก่แล้วดิ - -") เนื่องจากร่างกายไม่ใหญ่โต ไม่ต้องการแรงดันเลือดมาก ความดันเลือดก็เลยต่ำ... แต่ต่ำโดยที่ไม่มีอาการอะไร เดินไปเดินมาใช้ชีวิตได้ปกติ ดังนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาอะไร

3. เป็นโรคที่มีอาการเวียนหัวใจสั่นหน้ามืดใจไม่ดี หรืออาการอื่นๆ พี่แกเล่นบอกว่าเป็นความดันต่ำหมดทุกคน

การรักษาของคนกลุ่มนี้ มักจะให้ยากินพวกยาวิตามินยานอนหลับ ยาสเตียรอยด์ หรือบางคนก็ให้ยาแก้หอบยาแก้หวัด (ซึ่งผลข้างเคียงคือความดันขึ้น) ยาฉีดก็มักจะมียานอนหลับวิตามินน้ำเกลือน้ำเปล่าหรือ แม้กระทั่งการบูร (ตัวนี้ไม่คิดว่าจะได้เห็นแล้ว แต่ก็ยังเห็นญาติคนไข้ถือมาให้ดู)

ในคนที่ร่างกายไม่ได้ผิดปกติ พอได้ยาเหล่านี้ไปกลับบ้านไปพักผ่อนนอนหลับก็ดีขึ้น ส่วนคนที่อาการดังกล่าวเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ พอเจอยาบางอย่างเข้าไปก็ยิ่งซ้ำเติมให้อาการหนักไปอีก

ดังนั้นข้อดี ของการรักษาแบบนี้คือหลายคนสบายใจ เพราะไปแล้วเจอโรคเจอการรักษา แต่ข้อเสียคือเสียเงินเสียทอง ถ้าโชคร้ายหนักๆอาจจะเสียชีวิต

ถ้าโดนบอกว่าเป็นความดันต่ำ จะทำอย่างไร
เนื่องจากผมเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ดังนั้นก็อยากจะบอกว่าถ้าโดนทักแบบนี้ ก็ควรมาตรวจที่รพ. โดยบอกถึงสาเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าร่างกายไม่ปกติ... ทำไมต้องไปหาหมอคนนั้น(ไม่ค่อยอยากจะเรียกว่าหมอเท่าไหร่นัก) และมีอาการอะไร

ที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าอาการเวียนหัวใจสั่นหน้ามืด ซึ่งเป็นอาการที่มัก ถูกเหมาว่าเป็นความดันต่ำนี้ ต้องไปแยกจากกลุ่มโรค หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจขาดเลือด กลุ่มโรคเส้นเลือดสมอง ความดันสูง โลหิตจาง ฯลฯ ซึ่งหากมัวแต่ไปกินยาความดันต่ำของหมอชาวบ้าน ก็จะทำให้เสียโอกาสในการรักษาและมีผลเสียตามมาอย่างมากมาย ถ้าเป็นโรคอื่นๆทั่วไป ที่สามารถรักษาได้ ก็จะได้รักษาได้ หรือถ้าหมอหาไม่เจอ ก็จะได้สบายใจหรือหาการรักษาอื่นๆต่อไป

หมอตรวจไม่เจออะไรเลย จะเป็นโรคนี้หรือเปล่า
ก็ต้องบอกไว้ว่าใช่ว่าทุกคนที่มาตรวจที่รพ.ด้วย"โรคความดันต่ำ"จะเจอว่าเป็นโรค บางคนอาจจะเจอ ในขณะที่บางคนอาจจะตรวจไม่เจออะไรเลยไม่ว่าจะตรวจร่างกายหรือเจาะเลือด x- rayไปแล้ว

มีอยู่คนนึง (ซึ่งตั้งแต่ทำงานเป็นหมอมาก็มีคนนี้นี่แหละคนเดียวที่ถาม) ถามผมว่าจะเป็นโรค CFS หรือเปล่า ซึ่งรายนี้ง่ายที่จะบอกว่าไม่ใช่ เพราะตรวจ เจอโรคจริงๆหลายโรค

เจ้าโรค CFS ที่ว่ามีชื่อเต็มว่า Chronic fatigue syndrome ในระบบการแพทย์ไทยสมัยก่อนไม่เคยมีสอน จนกระทั่งผมเรียนจบก็ยังไม่มีสอน ได้แต่อ่านเจอเอาในหนังสือหรืออินเตอร์เนท โดยสาระสำคัญคือมีน้ำตาลในเลือดต่ำและมีอาการอ่อนเพลียเบื่อหน่ายใจสั่นโดย ที่ตรวจไม่พบความผิดปกติอื่นๆ ฯลฯ

ขอเน้นว่าโรคนี้ไม่ควรที่จะไปตรวจเจอความผิดปกติอื่นที่อธิบายอาการผิดปกติได้ ดัง นั้นหากบังเอิญไปอ่านเจอมาว่าอาการที่คุณเป็น ไปเหมือนกับโรค CFS หรือโรคอื่นใดก็ตาม คุณก็ยังควรมาตรวจอยู่ดีว่าตกลงเป็นโรคนี้หรือเป็นโรคอื่น

เพราะอย่างไรเสียก็ตาม เจ้าโรค CFS นี้ การรักษาหรือลดอาการให้ดีขึ้นก็คือ การลดอาหารพวกเนื้อสัตว์และแป้งขาวข้าวขาวทั้งหลาย เปลี่ยนไปกินปลาและข้าวกล้องธัญพืช ผักผลไม้ รวมทั้งการแบ่งเวลาออกกำลังและผ่อนคลายจิตใจ ไม่ต้องใช้ยาครับ และพ่วงท้ายสามารถป้องกันโรคเบาหวานความดันไขมันหัวใจได้อีกด้วย

จาก... หมอแมว
ขอบคุณแหล่งข้อมูล sesai.exteen.com


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

...ขอให้มีสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ...



Create Date : 15 สิงหาคม 2551
Last Update : 15 สิงหาคม 2551 16:30:05 น.
Counter : 1221 Pageviews.

13 comment
ผลไม้ทรงคุณค่า


เคยได้ข้อมูลนี้จากอินเตอร์เน็ต save เก็บไว้ในเครื่องนานแล้ว วันนี้มีโอกาสเคลียร์ file เก่าๆ ก็เลยเจอ คิดว่าส่งให้เพื่อนๆอ่านมั่ง น่าจะเกิดประโยชน์
นะคะ


ผลการวิจัย กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
หัวข้อ “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้
เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน)ในผลไม้”
โดยทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนสูง 10 อันดับ (เรียงปริมาณจากสูงสุด)
1. มะม่วงน้ำดอกไม้
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
1. ฝรั่งสาลี่กลม
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาวแตงกวา
10. พุทราแอปเปิ้ล

ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ทั้งนี้ ผลไม้ประเภทเดียวกันแต่สีไม่เหมือนกันจะมีปริมาณสาร
ต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนไม่เท่ากัน
เช่น แคนตาลูป
เนื้อสีเหลืองและแคนตาลูปเนื้อสีเขียว

นอกจากนี้ยังพบว่า ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว ได้แก่ สาลี่ องุ่น และแอบเปิ้ล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว
ค่อนข้างสูง คือ มะเขือเทศราชินี


เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ตัวก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิด
ต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงจากการเป็นต้อกระจก มะเร็งและโรคหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมาก
พอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน


เป็นไงคะ มีประโยชน์ไหม?
ต่อไปนี้เวลาจะซื้อผลไม้ทาน ก็ลองประกบคู่สีผลไม้ดูนะคะ เพราะนอกจากสีสันจะสวยสดใสแล้ว คุณประโยชน์ที่ได้รับ ก็ทำให้สุขภาพของคุณใสสด
ไปด้วย... จริงมะ

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


(ภาพผลไม้สวยๆ จาก photoontour.com)



Create Date : 11 สิงหาคม 2551
Last Update : 11 สิงหาคม 2551 12:50:46 น.
Counter : 732 Pageviews.

19 comment
กินวิตามินอย่างไร - - > ให้ได้ผล
ปัจจุบัน หลายคนนิยมหาซื้อวิตามินเม็ดๆ มาทานเสริม
บางคนกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือวิตามินแทบทุกชนิด
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักวิธีกินที่ถูกต้อง และได้ผลดีกับร่างกาย

วันนี้ น้ำตาลหยิบเอาความรู้เรื่องการกินวิตามินอย่างถูกต้องมาฝากค่ะ


--- "เวลาที่กิน"
ควรกินพร้อมอาหารเช้า แต่ถ้าลืม
ให้กินก่อนหรือพร้อมอาหารของมื้อถัดไป

--- วิตามินเอ ดี และอี
ควรกินพร้อมอาหาร เพราะวิตามินกลุ่มนี้ละลายได้ดีในไขมัน
จึงต้องอาศัยไขมันจากอาหารช่วยในการแตกตัวและดูดซึม

--- วิตามินซี
ควรกินกับของว่างหรืออาหารมื้อเบาๆ ไม่ควรกินกับอาหารหนัก

--- การกินวิตามินแบบ "กินเมื่อนึกได้" จะไม่มีประโยชน์
และเราจะได้รับประโยชน์ก็ต่อเมื่อกินวิตามินเป็นประจำ
ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน

--- กลุ่มวิตามินบี จะไม่ถูกกับแอลกอฮอล์ ความเครียด
และยาปฎิชีวนะต่างๆ
ไม่ควรกินวิตามินบีเพียงตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ
เว้นแต่คุณจะกินวิตามินบีรวม (B Complex) เป็นพื้นอยู่แล้ว

--- บุหรี่ และคาเฟอีน จะบั่นทอนคุณค่าของวิตามินลง
ดังนั้น ตราบใดที่ยัง กินเหล้า สูบบุหรี่ และติดกาแฟอยู่
การกินวิตามินก็ไม่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

--- หากตั้งครรภ์
ไม่ควรกินวิตามินหรือผลิภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ โดยพลการ

--- เก็บขวดวิตามิน
ไว้ในที่แห้งและเย็นทุกครั้งเพื่อไม่ให้เสื่อมสภาพ
วิธีที่ดีคือ เก็บในภาชนะผนึกฝา แล้วนำเข้าตู้เย็น


ข้อมูลดีๆ จาก หนังสือคุณภาพจากซีเอ็ด
"อยู่ 100 ปี ด้วย 100 วิธีรักษาสุขภาพ"
เขียนโดย นพ.โรเจอร์ เฮนเดอร์สัน
ปรียาธร พิทักษ์วรรัตน์ : แปล
พญ. นภาพิณ โอภาสานนท์ : บรรณาธิการที่ปรึกษา


สำหรับเพื่อนๆ ที่รักสุขภาพ
น้ำตาลแนะนำให้ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูค่ะ
เนื้อหาในเล่ม แบ่งเป็นหัวข้อ อ่านง่าย มีทั้งแง่มุมอาหาร การใช้ยา
ธรรมชาติบำบัด การออกกำลังกาย ลักษณะการใช้ชีวิต
รวมถึงการดูแลอารมณ์และจิตใจของเราเอง
เพื่อให้ ...อยู่ 100 ปี อย่างชีวีเป็นสุขค่ะ

ป.ล. ไม่ได้ค่านายหน้า หรือเปอร์เซ็นต์นะคะ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆ ค่ะ


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...



Create Date : 08 สิงหาคม 2551
Last Update : 8 สิงหาคม 2551 12:42:54 น.
Counter : 801 Pageviews.

23 comment
1  2  3  4  

คุณน้ำตาล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เดิมอยู่วงเวียนใหญ่ เรียนหนังสือหนังหาอยู่ย่านฝั่งธนฯ พอโตขึ้นหน่อยก็อยากเป็นศิลปิน เลยหันเหไปเรียน Art ปัจจุบันทำมาหากินอยู่แถวเพลินจิต ย่านใจกลางเมืองที่รถติดจนอ่อนใจ
Friends Blog
[Add คุณน้ำตาล's blog to your weblog]
MY VIP Friend