|
ยามเมื่อรักทักทาย Morning Love =>ตอนที่ 2 คนแรก...ใคร?
ตอน 2 คนแรก....ใคร?
เสียงกรุ๋งกริ๋งของโมบายโลหะตามด้วยเสียงนกร้องอันเป็นสัญญาณว่ามีลูกค้าเข้าร้าน รุ่งเช้าเงยหน้าจากเครื่องบดกาแฟกล่าวต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ มอร์นิ่ง คาเฟ่ ยินดีต้อนรับค่ะ ทานที่นี่หรือกลับบ้านคะ” แต่เมื่อเห็นลูกค้าชัดรอยยิ้มก็หุบฉับลงทันใด เพราะดวงหน้าที่ยื่นมาจากประตูเป็นหน้ากลมๆที่คลุมด้วยผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเจ้าตัวภูมิใจนำเสนอว่าสีเปลือกมะขามหวานยามสุกแต่รุ่งเช้ามักเปรียบเปรยว่าสีน้ำตามปลักควายของเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถมศึกษาพึ่งมาแยกจากเธอและใกล้รุ่งเมื่อตอนเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยซึ่งวิรากานต์เลือกที่จะเรียนพยาบาลในสถานศึกษาที่สอนด้านนี้โดยตรง ถ้านับวงค้อนที่เพื่อนส่งมายามได้ยินคำเปรียบของเธอคงมากเท่าๆกับใบมะขามในแต่ละต้น
“ทำไมยะ พอเห็นหน้าเพื่อนแล้วหุบยิ้มเชียว” เจ้าของผมสีน้ำตามปลักควายค่อนขอด
“ก็แกไม่ใช่ลูกค้า จะยิ้มทำไมวะ ขาดทุน”
“ย่ะ ยายงก งกแม้กระทั่งรอยยิ้ม” วิรากานต์ค้อนขวับ แต่ดูเหมือนเจ้าของร้านจะไม่สะทกสะท้านกลับยิ้มรับด้วยความภูมิใจ “ลูกค้าไปไหนหมดเนี่ย จะเที่ยงแล้วนะ” หญิงสาวถามหาลูกค้าซึ่งปกติในเวลานี้จะนั่งภายในร้านอันเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศหนาตาแล้ว แต่ตอนนี้มีเพียงลูกค้าที่ดูเป็นคู่แม่ลูกนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือที่โซฟาหวายดีไซน์เก๋ซึ่งเธอไปช่วยเลือกมุมร้านเพียงโต๊ะเดียวกับเด็กวัยรุ่นอีกสามคนที่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์กันอยู่ที่โต๊ะเหล็กรับแขกหน้าร้าน
“วันนี้อากาศข้างนอกเย็นแถมมีลมเอื่อยๆ ลูกค้าเลยเลือกตรงเฉลียงแล้วก็ในสวนกันหมด” รุ่งเช้าหมายถึงเฉลียงไม้เทียมข้างบ้านขนาดยี่สิบตารางเมตรเป็นซุ้มไม้ระแนงซึ่งมีต้มชมนาดเกาะเกี่ยวเลื้อยไหลไปบางส่วนอาศัยร่มจันทร์กระพ้อที่ยืนต้นบังแสงแดด กลายเป็นที่นิยมในวันที่อากาศออกเย็นเช่นวันนี้ ถัดจากเฉลียงลงบันไดเตี้ยๆสามขั้นคือสวนขนาดกะทัดรัดที่วางตัวตามแนวรั้วไปจรดประตูใหญ่ของบ้าน โดยมีต้นโมกพวงสูงเพียงไหล่กั้นอาณาเขตระหว่างร้านกับบ้านเอาไว้ ซึ่งส่วนในที่ติดทางเข้าบ้านเพื่อมีน้ำตกหินธรรมชาติขนาดย่อมที่สายน้ำตกกระทบลงกระทบสระน้ำส่งเสียงซ่านกระเซ็นของสายน้ำเบาๆ ชวนให้รู้สึกรื่นรมย์ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในป่าใหญ่ซึ่งแท้จริงอยู่ของเกือบจะใจกลางกรุงเทพฯ ลานทางเดินไปสู่โต๊ะไม้ปูด้วยแผ่นหินทรายสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับกรวดแม่น้ำสีขาวนวล บริเวณพื้นราบปูด้วยหญ้ามาเลเซียที่เด่นด้วยใบแบนตรงกลางหักพับคล้ายหลังคาบ้านและสีเขียวอ่อน ตัดกับขอบเขตของอิฐที่ทำจากดิน พุ่มไม้นานาชนิดถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะซึ่งพันธุ์ไม้ส่วนมากจะเป็นไม้หอมของไทย จึงเรียกได้ว่าหากภายในร้านอบอวลด้วยกลิ่นหอมของกาแฟ ภายนอกร้านก็หอมกรุ่นด้วยกลิ่นของไม้ดอกหอมนานาชนิด
“อ้อ ที่ประจำแกก็ไม่ว่างนะมีลูกค้ามานั่งตั้งแต่เปิดร้านแล้ว เสียใจด้วย” วิรากานต์ตอบรับเชิงรับรู้ก่อนจะมองไปที่โต๊ะติดน้ำตกที่ประจำของเธอซึ่งบัดนี้มีเด็กสาวสองคนจับจองแล้ว
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันนั่งกับแกที่เคาน์เตอร์นี่แหละ แต่เดี๋ยวเอาเสื้อผ้าไปเก็บก่อนนะ เดี๋ยวมา” ว่าแล้ววิรากานต์ก็เดินทะลุไปทางหลังร้านอย่างคุ้นชิน เพราะเธอมาที่นี่บ่อยพอๆกับกลับบ้านตัวเอง
เมื่อร่างของเพื่อนสนิทลับไป หญิงสาวก็หันมาสนใจกับกาแฟที่คั่วบดเสร็จก่อนหยิบเอาหัวชง ไปรองผงกาแฟจากเครื่องบดเมื่อได้กาแฟในปริมาณที่พอดีกับขอบหัวชงแล้ว หญิงสาวจึงเอื้อมไปหยิบเอาตัวกดหน้าเรียบมาวางบนหัวชงก่อนจะโน้มตัวเพื่ออกแรงกดอัดด้วยแขนเหยียดตึงตรงให้ผงกาแฟในหัวชงมีความสม่ำเสมอกันเพื่อให้น้ำไหลผ่านไปทั่วผงกาแฟจะได้น้ำกาแฟเข้มข้นและรสชาติดีอยู่ในระดับมาตรฐานที่ต้องเท่าเทียมกันทุกแก้ว เมื่อนำเอาหัวชงไปใส่กับเครื่องชงกาแฟระบบแรงดันเครื่องคู่ร้านที่รุ่งเช้าต้องกัดฟันซื้อมาในราคาที่สูงพอสมควรแต่เพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพการลงทุนเพียงเท่านี้หญิงสาวถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับรอยยิ้มของลูกค้ายามเมื่อเจ้าน้ำสีนิลได้ผ่านลำคอเข้าไปและส่งกลิ่นหอมกรุ่นขึ้นจมูกตามมา เจ้าของร้านสาวยืนมองน้ำกาแฟที่ค่อยๆหยดผ่านหัวชงออกมาได้จนน้ำกาแฟในแบบเข้มข้นและมีฟองครีมละเอียดสีทองไหลลงแก้วตวงอันเป็นภาพที่เธอหลงใหลจนเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของร้าน Morning café แห่งนี้ จนหยดสุดท้ายของน้ำกาแฟหยดลงแก้ว หญิงสาวก็เริ่มเติมส่วนผสมอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหยิบเอาน้ำเชื่อมกลิ่นวานิลามาเติมลงไปในสัดส่วนที่พอเหมาะ น้ำสีดำที่มีคาเฟอีนเจืออยู่ธรรมดาก็กลายเป็น คาเฟ่วานิลา ลาเต้หอมกรุ่นกลิ่นวานิลารสชาติกลมกล่อมในถ้วยเซรามิคสีเหลืองอ๋อยบนจานรองสีน้ำตาลเข้ม ในขณะเดียวกันนิดาลูกจ้างที่ทำหน้าที่สารพัดก็เดินกลับมาจากการเสิร์ฟก็มาหยิบเอาถ้วยกาแฟที่รุ่งเช้าพึ่งยกขึ้นมาวางไว้บนเคาน์เตอร์วางที่ถาดเสิร์ฟในมือ
“โต๊ะห้าหน้าร้านจ้า” รุ่งเช้าบอกเป้าหมายการเสิร์ฟทันทีเช่นกัน นิดายิ้มรับก่อนหมุนตัวออกไปทางที่ลูกค้าอยู่ หญิงสาวก็เดินละจากเคาน์เตอร์ตรงไปเครื่องเล่นซีดีที่ต่อลำโพงไปรอบร้านเมื่อเห็นว่าเสียงเปียโนบรรเลงเคล้าเสียงธรรมชาติหยุดไปแล้วจึงกดแผ่นเลื่อนออกมา ก่อนจะหยิบแผ่นใหม่ใส่ไปแทน เสียงบรรเลงระนาดเอกเพลงนกขะแมร์ดังขึ้นแผ่วหวานทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย วิรากานต์ซึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดีก็ร้องทัก
“ไม่ฟังเพลงโปรดแกเหรอ” เพื่อนสนิทสาวหมายถึงเพลงที่มีเป้าหมายเป็นวัยรุ่น แต่รุ่งเช้าโปรดปราณเป็นพิเศษ (แม้อายุจะไม่ให้) ในท่วงทำนองเสียงร้องและการเอาเสียงดนตรีไทยเข้าไปผสมอยู่ด้วย ในจังหวะอาร์แอนด์บีที่ทันสมัย
“ไว้ฟังตอนเย็น ตอนนี้ลูกค้าคงชอบฟังสบายๆมากกว่า” เจ้าของร้านสาวบอกเมื่อเห็นว่าลูกค้าของตนต่างมีกิจกรรมประกอบการละเลียดกาแฟเป็นอ่านหนังสือ บ้างก็เล่นอินเตอร์เน็ตที่เธอเปิดไว้ให้บริการฟรีสำหรับลูกค้า ก่อนจะหันไปถามเพื่อนที่มานั่งแหมะที่เก้าอี้บาร์หน้าเคาน์เตอร์ด้านซ้าย “แกจะเอาอะไรไหม เดี๋ยวทำให้”
“เอาคาปูชิโน่เย็นมาก่อนเลย ง่วงมากลงเวรมาก็อาบน้ำเก็บของมาหาเลยนะเนี่ย”
“แล้วทำไมไม่พักซะก่อนล่ะ เย็นๆค่อยมาก็ได้” รุ่งเช้าถามขึ้นในขณะที่เปิดเครื่องบดกาแฟ
“ไม่เอา ตอนเย็นเอาไว้ฉลอง ตอนกลางวันเอาไว้เมาท์อย่างเมามัน ง่วงแค่นี้ศรีทนได้”
“จ้าๆ แม่ศรีถึก เอานี่ไปเพิ่มความถึกไป” รุ่งเช้าบอกพลางยื่นแก้วให้คนที่เรียกตนเองว่าแม่ศรีที่นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่หน้าเคาน์เตอร์ด้านข้าง แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยต่อ นิดาก็เดินกลับเข้ามา หญิงสาวจึงหันไปบอกลูกจ้างสาว
“นิดาไปนั่งพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวในนี้พี่ดูแลเอง”
“ค่ะพี่เช้า งั้นนิดาไปนั่งข้างนอกนะคะ เผื่อลูกค้าในสวนอยากสั่งอะไรเพิ่มด้วย”
“จ๊ะ” รุ่งเช้ายิ้มรับก่อนจะหันมาคุยกับที่ดูดกาแฟเย็นทำลายสิติโลกอยู่ เพราะพอเธอหันมาคาปูชิโน่เย็นในแก้วทรงสูงก็ลดลงไปอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเหลือติดก้นแก้วแล้ว
“ดื่มกาแฟเขาให้ค่อยๆจิบจะได้ซึมซับถึงกลิ่นหอม แกนี่เสียของจริงๆ” คนทำเสียของไหวไหล่ไม่สนใจคำกล่าวของเพื่อน แล้วก็นึกได้ถึงคำถามที่ใกล้รุ่งที่กำลังทำอาหารกลางวันอยู่ซึ่งเธอพบตอนเดินเอาของไปเก็บไปในบ้าน
“เห็นยายรุ่งบอกว่าแกมีอะไรจะถามฉัน ถามเรื่องอะไรวะ”
รุ่งเช้าจ้องเพื่อนแบบงุนงง “ถาม ถามเรื่องไรวะ” หญิงสาวครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนนึกออก “อ๋อ เรื่องความฝัน”
“เออ นั่นแหละ เล่ามาๆ เห็นยายรุ่งว่าแกฝันดี ฝันดีในวันเกิดนี่โชคดีนะเว้ย” วิรากานต์ทำหน้าสนใจใคร่รู้สุดฤทธิ์ ก่อนจะเดินมาเอามือเท้าเคาน์เตอร์เบื้องหน้าของอีกฝ่ายที่ยืนทำหน้าเหวออยู่
รุ่งเช้ากำลังคิดว่าจะเล่าหรือไม่เล่าดี ก็มีเสียงเร่งเร้าจากเพื่อนสนิทมาจึงตัดสินใจเล่าออกไปและเหมือนเดิมเว้นช่วงท้ายด้วยใบหน้าที่รู้สึกถึงความร้อนเห่อขึ้นมา แต่วิรากานต์ที่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะมาเต็มที่ชนิดที่ว่าไม่เหลือความเป็นกุลสตรีเลยแม้แต่น้อยจนลูกค้าคู่แม่ลูกที่นั่งอยู่มุมร้านติดกระจกด้านหน้าหันมามองแบบงุนงงนั้นก็ไม่ได้รู้ถึงความผิดปกติบนใบหน้าของเพื่อนสาวเลย
“นี่แก ฉันถามจริงๆเหอะ” ผู้เป็นเพื่อนถามพลางกลั้วหัวเราะ
“อะไร”
“แกไม่รู้จริงๆเหรอว่าฝันว่าถูกงูรัดมันหมายถึงอะไร” รุ่งเช้าส่ายศีรษะแทนคำตอบ ก่อนพูดต่อ
“เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับงูฉันไม่รับรู้ทั้งนั้นแหละ แค่ได้ยินชื่อก็ขนลุกแล้ว” สิ้นเสียงตอบขนอ่อนตามแขนก็ชี้ชันขึ้นทันตา “แล้วตกลงหมายความว่าอะไรล่ะ”
“แกนี่กลัวเอาจริงเอาจังซะจริง เอาล่ะ แม่หมอจะเล่าความหายให้ฟัง” ผู้ปวารณาตัวเองแม่หมอทำท่าขังขังให้สมจริง “โบราณเขาว่าไว้ ฝันว่าถูกงูรัด จะเจอเนื้อคู่ สงสัยว่าดวงเนื้อคู่แกพุ่งกระฉูดรับเบญจเพสซะล่ะมั้ง” เมื่อบอกความหมายเสร็จเจ้าหล่อนก็ทำตาวิบวับล้อเลียนเพื่อนสาวให้เขินเล่น
“บ้า” ว่าเพื่อแล้วรุ่งเช้าก็อดอมยิ้มไม่ได้ตามประสาสาวช่างฝันที่แฝดผู้พี่เคยบอกไว้
“แล้วเขาก็บอกว่า ถ้าผู้ชายคนแรกที่แกพูดด้วยของวันนี้เป็นใคร คนนั้นแหละจะเป็นเนื้อคู่แก แกได้คุยกับผู้ชายมั่งหรือยัง” รุ่งเช้าหยุดคิดตามคำบอกของเพื่อนก็ออกจะแปลกใจว่าตั้งแต่เปิดร้านมายังไม่มีลูกค้าชายเลย (บังเอิญไปหรือเปล่า) ถ้าจะนับผู้ชายที่พูดด้วยในวันนี้ก็เห็นจะมีแต่พระสงฆ์ที่บิณฑบาตเมื่อเช้า แต่พอบอกไปแม่หมอก็บอกว่าไม่นับ
“งั้นก็ไม่มีแล้ว” เธอตอบก่อนจะพาพูดนอกเรื่องไปจิปาถะเพื่อรออาหารเที่ยงจากแม่ครัวใกล้รุ่ง ร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทยนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์โดยเปลือยท่อนบนที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อสวยของหน้าอกและซิกซ์แพ็คที่หน้าท้อง ท่อนล่างสวมเพียงกางเกงวอร์มขายาวสีซีด เริ่มกระดิกตัวเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกเริ่มดังมือเรียวยาวเอื้อมไปปิดก่อนจะกระพริบตาถี่ผลุดลุกอย่างง่วงงุนเพราะพึ่งนอนไปได้เพียงสี่ชั่วโมงเศษๆ ชายหนุ่มลุกขึ้นบิดกายอย่างเกียจคร้าน แล้วโผเผเดินลับเข้าไปในห้องน้ำ ช่วงเวลาเพียงอึดใจเขาก็ก็เดินออกมาโดยมีหยดน้ำเกาะพราวไปทั้งกายมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนโตเหน็บไว้หลวมๆที่เอวสอบ ชายหนุ่มเดินไปแต่งตัวในหัวก็คิดถึงสิ่งที่จะช่วยขจัดความง่วงที่จะหลงเหลืออยู่จึงเอื้อมไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือมา ก่อนจะกดเบอร์ของร้านเจ้าประจำที่ช่วยเขาได้
เสียงสัญญาณครั้งที่สองยังไม่ทันจบก็มีเสียงหวานใสไม่คุ้นหูเขาซึ่งโดยปรกติแล้วจะเป็นผู้ชายหรือไม่ก็เด็กสาวที่เคยมาส่งกาแฟตอบรับ
“สวัสดีค่ะ ร้านมอร์นิ่ง คาเฟ่ค่ะ” เสียงเอ่ยชื่อร้านแสดงว่าเขาต่อไม่ผิด “อ่าครับ อยากสั่งเอสเพรสโซ่ร้อนที่หนึ่งครับ ส่งที่...” ชายหนุ่มบอกที่ที่อยู่ของคอนโดมิเนียมเขาและหมายเลขห้องพัก
“คือ ต้องขอโทษด้วยนะคะ วันนี้ทางร้านของดเดลิเวอรี่หนึ่งวันค่ะ พอดีพนักงานที่ร้านติดสอบค่ะ ต้องขอประทานโทษอีกทีนะคะ”
“ครับ ไม่เป็นไร แต่ร้านยังเปิดใช่ไหมครับ” เขาตอบรับอย่างเข้าใจ
“ค่ะ วันนี้ทางร้านเปิดบริการถึงเวลาบ่ายสามโมงครึ่งค่ะ”
“ครับ ไว้จะไปอุดหนุนที่ร้านแล้วกันนะครับ”
“ขอบพระคุณมากค่ะ” เสียงหวานตัดไปเมื่อเขากดวางสาย นัยน์ตาคมสีเข้มที่รุ่งเช้าเห็นคงต้องวิ่งหนีกับขนตางอนยาวราวอิสตรีเหลือบไปมองนาฬิกาเหนือโทรทัศน์จอใหญ่พบว่าเหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงเวลาที่นัดไว้และที่นัดก็อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ขับรถสิบห้านาทีก็ถึง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจย้ายที่จิบกาแฟและเช็คอีเมลล์จากระเบียงห้องพักที่จัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆฝีมือมารดา เป็นร้านกาแฟที่เจ้าของร้านซึ่งตกเป็นเป้าสายตาเขาเมื่อเช้านี้แทน เจ้าของร่างสูงหกฟุตสองนิ้วครึ่ง (ไม่ถึงสามกลัวซ้ำ อิอิ) จึงแต่งตัวต่อ ก่อนจะเดินไปหยิบแล็ปทอปก่อนจะเปลี่ยนใจเลื่อนลิ้นชักโต๊ะทำงานออกหยิบเน็ตบุ๊คเครื่องเล็กแทน แล้วเอื้อมไปหยิบเอาพวงกุญแจและกระเป๋าสะพายที่บรรจุเครื่องมือหากินทุกอย่างเอาไว้ เยื้องกายแบบเอื่อยๆแต่ไม่เชื่องช้างไปยังประตูห้องเพื่อไปยังจุดหมายของวันนี้
รุ่งเช้าโผล่หน้ามาจากด้านข้างร้านอันเป็นที่พักทานข้าวกลางวันกวักมือเรียกนิดาที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ให้เดินมาหา นิดาที่กำลังทำขนมรังผึ้งหรือวาฟเฟิลตามออเดอร์ลูกค้าจึงละมือชั่วครางสืบเท้าไปหานายจ้างสาว
“คะพี่เช้า”
“ไปทานกลางวันได้แล้วจ๊ะ อยู่กับพี่รุ่งพี่เตยหอมโน่น” รุ่งเช้าบอกลูกจ้างอย่างเอ็นดูเนื่องด้วยนิดาเป็นเด็กกำพร้าบิดาอยู่กับมารดาเพียงสองคนในห้องเช่าเล็กภายในซอยที่เธออาศัยอยู่ มารดาซึ่งมีอาชีพเป็นพนักงานประจำบริษัทแห่งหนึ่ง แม้อยู่ได้ไม่ลำบากแต่ก็หาความสบายได้ยาก นิดาไม่งอมืองอเท้าหางานพิเศษทำทุกอย่าง งานล่าสุดก่อนที่จะมาทำกับเธอคือเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารซึ่งเจ้าของร้านจะให้เธอเลื่อนตำแหน่งแต่ต้องเอาตัวเข้าแลก ครั้งนั้นรุ่งเช้าพึ่งเปิดร้านได้ไม่ถึงเดือนก็เห็นเด็กสาวมานั่งร้องไห้ที่หน้าบ้านสอบถามไปมาก็ได้ความดังกล่าวมา หญิงสาวจึงรับเข้ามาทำงานโดยไม่เกี่ยงงอนแม้ต้องสอนงานให้ใหม่ทั้งหมด แต่รุ่งเช้าเชื่อว่าการให้โอกาสคนคือการทำบุญที่ประเสริฐ จนเดี๋ยวนี้นิดาเป็นบาริสต้าประจำร้านมือสองรองจากเธอและการศึกษาในมหาวิทยาลัยเปิดที่ผลการเรียนของลูกน้องสาวอยู่ในขั้นดีเยี่ยม บุ้ยใบ้ไปยังตำแหน่งของโต๊ะพักสำหรับพนักงานที่มีสองสาวจับจองเจ้าอี้ไว้สองตัวจากหก
“ค่ะ พี่เช้า นิดาทำวาฟเฟิลกล้วยหอมของโต๊ะสองค้างไว้นะคะ แล้วก็มีสตอเบอรี่ สมูธตี้ โยเกิร์ตของโต๊ะเจ็ดด้วยค่ะ”
“ไปเถอะเดี๋ยวพี่ทำต่อเอง วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ” นิดายิ้มรับอย่างสดใสไม่มีรอยเหนื่อยให้เห็น แม้จากปกติในวันธรรมดาเช่นนี้จะมีพนักงานพาร์ทไทม์อีกคนคอยช่วยเสิร์ฟ พนักงานของร้านรุ่งเช้ารับเฉพาะพาร์ทไทม์ทั้งหมดซึ่งก็เป็นนักศึกษาที่พักหอพักแถวนี้ และต่างก็เคยเป็นลูกค้าเธอมาก่อนยกเว้นแต่เพียงนิดาคนเดียว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เช้า นิดาไม่เหนื่อย”
“จ้า รู้แล้วว่าเก่ง” รุ่งเช้าอดจะเอื้อมมือไปยีหัวทุยๆของนิดาไม่ได้ ก่อนจะแยกจากกัน รุ่งเช้ารีบเดินไปดูวาฟฟิลเพราะเสียงเครื่องดังขึ้นเตือนว่าสุกกรอบพอดีดังขึ้นแล้ว เธอใช้ที่หนีบหยิบชิ้นขนมมาวางบนจานกระเบื้องเคลือบที่สกรีนโลโก้ร้านซึ่งเธอคิดรูปแบบภาชนะอันใช้ในร้านทุกอย่างเอง เน้นสามสีหลักคือ แดง เหลืองและน้ำตาลซึ่งเป็นธีมของร้าน โดยขอความช่วยเหลือ (แกมบังคับ) แฟนของเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งมีทางบ้านทำโรงงานเซรามิคขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องรถม้าเป็นช่วยผลิตมาให้ตามหญิงสาวประสงค์ด้วยคำขู่ที่ว่าจะไม่ช่วยวางแผนให้เพื่อนของเธอยอมแต่งงานด้วย ก่อนจะราดด้วยน้ำผึ้งแท้ลงเป็นลายตารางแล้วยกไปเสิร์ฟด้วยตัวเอง หลังจากยกไปให้ลูกค้าเรียบร้อย รุ่งเช้าก็หันมาทำเมนูต่อไปทันที แต่ก่อนที่เธอจะเทลงแก้วที่ตั้งรออยู่ลูกค้าโต๊ะเจ็ดก็เดินมาขอเช็คบิลพร้อมบอกว่า สตอเบอรี่ สมูธตี้ โยเกิร์ต ขอเปลี่ยนเป็นกลับบ้านแทนเพราะมีธุระกะทันหัน หญิงสาวก็ไม่ขัดข้องรีบจัดการให้ลูกค้าทันใด เพราะสิ่งที่เธอท่องไว้เสมอ ความต้องการลูกค้าคืองาน งานคือได้เงินลูกค้า หรือคติแห่งความงกที่บรรดาลูกจ้างและเครือญาติตั้งให้อันเธอได้มาตั้งแต่การทำงานที่โรงแรมซึ่งการให้บริการลูกค้าด้วยรอยยิ้มและเต็มใจจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าประทับใจ พร้อมคิดเงินตามบิลที่ถูกแปะไว้บนบอร์ดเล็กหลังเคาน์เตอร์เสร็จสรรพ
“คาปูชิโน่ร้อนสองแก้ว สตอเบอรี่หนึ่ง วาฟเฟิลลูกเกดสาม ทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบหกบาท คิดหนึ่งร้อยยี่สิบบาทค่ะ”
“นี่ค่ะ” ลูกค้าโต๊ะเจ็ดยื่นเงินให้ตามจำนวนที่เจ้าของร้านบอกก่อนจะกล่าวชื่นชม “กาแฟอร่อยและหอมอย่างที่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยบอก บรรยากาศก็ดี ไว้วันหลังจะพาเพื่อนมาอุดหนุนนะคะ” รุ่งเช้ายิ้มรับคำชมด้วยความดีใจและยื่นมือไปรับเงิน
“ขอบพระคุณมากค่ะ ถ้ายังไม่ถูกใจตรงไหนบอกได้นะคะ ทางร้านยินดีที่จะปรับปรุงค่ะ”
“ค่ะ” ลูกค้าตอบยิ้มๆก่อนจะเดินจากไปทิ้งไว้เพียงเงินค่ากาแฟและทิปที่หยอดลงกล่องอีกทั้งความทรงจำดีๆ
เมื่อลูกค้าเดินจากไป หญิงสาวก็ทำจะทรุดตัวลงนั่งพักบนเก้าอี้สตูลทรงกระบอกสูงบุหนังสีน้ำตาลเข้มรอบตัวอันเป็นเก้าอี้ประจำ แต่ก้นยังมิทันได้แตะเบาะสัญญาณว่ามีลูกค้าเข้าร้านก็ดังรุ่งเช้าจำต้องหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูงห้าฟุตสี่นิ้วแล้วเอ่ยทักทายออกไป พบว่าเป็นลูกค้าที่พึ่งจะขยับตัวมาเป็นขาประจำได้ไม่นาน
“สวัสดีครับคุณเช้า” ลูกค้าหนุ่มทักทายกลับพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว
“ค่ะ วันนี้รับอะไรดีคะหมวด” คุณเช้าของลูกค้าเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มที่พยายามสวย
“รับคุณเช้าได้ไหมครับ” ชายหนุ่มซึ่งแม้ใช่คนรูปหล่อ แต่หน้าตาคมคายในชุดตำรวจเต็มยศก็เรียกได้ว่าดูดีไม่น้อย ตอบกลับด้วยสำนวนที่นายพีเคยเปรียบเปรยเอาไว้ว่า หมาหยอกไก่ ซึ่งรุ่งเช้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่แต่ก็พยายามแค่นยิ้มออกไป
“อย่าล้อเล่นสิคะหมวดก็ จะรับอะไรดีคะ” เธอถามซ้ำแต่ในความคิดกับผลุดคำถามต่อ หรือจะรับเป็นไม้หน้าสามดีคะ
“เหมือนเดิมครับ มอคค่าเย็น 2 กลับบ้าน” สั่งเสร็จก็ใช้ศอกค้ำบนเคาน์เตอร์แล้วเท้าคางในท่าที่คิดว่าเท่ห์ที่สุดรอคอยกาแฟจากหญิงสาวที่หมายปอง
รุ่งเช้าชงกาแฟตามสูตรด้วยความรวดเร็วไม่ละเมียดละไมเช่นทุกที หลังจากเทลงแก้วพลาสติกใสสกรีนลายพร้อมพันกระดาษชำระรอบแก้วเพื่อป้องกันความเย็นในระดับหนึ่งก็ยกขึ้นวางบนเคาน์เตอร์ก่อนจะบอก “เสร็จแล้วค่ะ”
“เท่าไหร่ครับ” เขาถามราคาพร้อมกับนึกสงสัย ทำไมชงเร็วนัก
“ร้อยยี่สิบค่ะ” เขาหยิบเอาธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทและยี่สิบบาทอย่างละใบออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้เจ้าของร้าน พลางถาม
“ถ้าจะสั่งไปส่งที่สถานีผมต้องโทรมาเบอร์ร้านใช่ไหมครับ” หญิงสาวพยักหน้าและตอบรับเบาๆ
“แล้วถ้าโทรไม่ติด มีเบอร์ใครไหมหนอที่จะสำรองเผื่อผมอยากเลี้ยงลูกน้องที่สถานีสักหน่อย” ผู้หมวดหนุ่มส่งมุกกะขอเบอร์สาวเจ้า
“มีค่ะ เบอร์น้องพีไงคะ เขามีหน้าที่ส่งกาแฟอยู่แล้ว” ทันทีที่ได้ยินเจ้าของเบอร์มือที่เท้าคางไว้ก็ร่วงผ็อยลงแทบจะทันที แต่ยังบอกแก้เก้อต่อ
“อ่าครับ งั้นไม่เป็นไร ไว้ผมจะโทรมาให้ติดแล้วกัน กลับก่อนนะครับคุณเช้า” เจอสาวเจ้าแจกเบอร์หนุ่มแทนเบอร์ตน บริพัตรเลยจำต้องขอตัวกลับเพื่อไปตั้งหลักใหม่
รุ่งเช้าหลุดขำออกมาทันทีที่ลับร่างผู้หมวดหนุ่มที่พึ่งย้ายมาประจำสถานีตำรวจซึ่งตั้งอยู่ปากซอย ก็พ่อหนุ่มนาม ‘พี’ นั้น ตัวเป็นชายร่างสูงโปร่ง จมูกโด่ง ขาวจั๊วะ หน้าใสกิ๊กจนลูกค้าสาวที่แวะเวียนมาที่ร้านอยากจะเป็นกิ๊กด้วยหลายรายนั้นใจเป็นหญิงแต่โปรดปราณการดำรงตนและแต่งกายให้ดูมาดแมน เทียวไล้เทียวขื่ออยู่ทุกคราที่อีกฝ่ายมาซื้อกาแฟ แม้เธอจะคอยปรามด้วยเกรงจะรบกวนลูกค้า แต่หนุ่มหน้าใสก็ให้คำรับรองว่าจะแทะโลมด้วยสายตาเท่านั้น
|
Create Date : 29 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 29 มีนาคม 2553 21:34:09 น. |
Counter : 278 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ยามเมื่อรักทักทาย Morning Love =>ตอนที่ 1 แรกฝัน
กด=> ยามเมื่อรักทักทาย Morning Love จะลิ้งค์ไปที่เ็ด็กดีนะคะ อ่านง่ายกว่ากันเยอะ อิอิ ช่วยติชมด้วยนะค้า
ตอน 1 แรกฝัน ‘ที่นี่ที่ไหน’ รุ่งเช้ามองไปรอบตัวด้วยความงุนงง เธอยืนอยู่ลานกว้างที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาลอยระพื้นสูงขึ้นจึงเกือบถึงเอวสุดลูกหูลูกตา ทว่ามองไม่เห็นสิ่งก่อสร้างหรือสิ่งมีชีวิตใดๆเลย ไม่เห็นจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด เธอได้แต่เดินไปเรื่อยๆด้วยความหวังว่าจะเจอกับใครสักคน จนลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นขึ้นบ่งบอกความเหนื่อย เหงื่อเม็ดเล็กผุดตามหน้าผากเนียนและปลายจมูกรั้น ความเหนื่อยทำให้เธอต้องทรุดตัวนั่งลงเหยียดขากับพื้น หมอกที่หนาอยู่แล้วก็เริ่มเพิ่มความหนาแน่น จนหญิงสาวจนแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่ปลายเท้าของตัวเอง ใจเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัวที่คืบคลานเข้ามาเกาะกุมจิตใจ สายตาหวาดหวั่นเริ่มกวาดมองไปรอบๆตัว ในเวลานั้นเองสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ดูกระจ่างตาท่ามกลางความสลัวแห่งหมอกควันซึ่งกำลังเคลื่อนไหวเข้ามาหาเธอช้าๆ แม้จะไม่แน่ใจว่าคืออะไร ทว่ารุ่งเช้าก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัว เนื่องจากลักษณะของวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวมานั้นช่างคล้ายสัตว์ที่เธอขยะแขยงที่สุดในชีวิต ‘ไม่นะ ต้องไม่ใช่…’ หญิงสาวนึกภาวนาในใจให้สิ่งนั้นที่เธอต้องเจอไม่ใช่ “งู” แต่ดูเหมือนคำภาวนาของเธอจะไม่เป็นผล เพราะว่าเมื่อวัตถุดังกล่าวเคลื่อนเข้ามาใกล้รัศมีการโฟกัสภาพจนสามารถมองเห็นรูปร่างชัดเจน เพียงเท่านั้นรุ่งเช้ากรีดร้องแล้วเริ่มก้าวขาออกวิ่งในทันที เท้าทั้งสองข้างทำงานสอดประสานกับขาเล็กๆในการวิ่งเป็นอย่างดี ในความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้วิ่งหนีด้วยความเร็วสุดชีวิต แต่ทว่าเมื่อหันกลับไปมองไปครั้งใดเจ้างูเผือกยักษ์กลับเลื้อยเข้ามาใกล้เข้าๆโดยไม่ทิ้งระยะห่างอย่างที่ควรจะเป็น หญิงสาวหันกลับไปวิ่งต่อจนความเหนื่อยล้าได้เข้ามาครอบครองเรียวขาของเธอ เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง จึงพบว่าเบื้องหลังนั้นว่างเปล่าสิ่งที่เธอวิ่งหนีหายไปแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทหญิงสาวจึงวิ่งต่อไปด้วยหวังว่าจะทิ้งระยะห่างให้ไกลพอสมควร จึงค่อยๆผ่อนฝีเท้าที่นักกรีฑาทีมชาติใดในโลกคงจะวิ่งสู้การวิ่งด้วยความกลัวของเธอมิได้ลง ก่อนจะหยุด ณ จุดที่เธอรู้สึกว่ามีความสว่างมากว่าที่อื่นราวกับว่ามีแสงส่องมาจากเบื้องบนซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจเงยหน้าขึ้นมอง กำลังจะทรุดตัวลงนั่งหวังจะพักให้หายเหนื่อย ทันใดนั้นเองสิ่งที่เธอหนีมากลับเลื้อยเข้ามาจากด้านหลังเข้ารัดรอบตัวเธออย่างรวดเร็ว ความสากเย็นของเกล็ดงูพันอยู่รอบกายเธอจนแทบจะไม่มีที่ว่างเหลือตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงเอวแล้วรัดแน่นเรื่อยๆจนเธอแทบจะยืนด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว รุ่งเช้าหวีดร้องขึ้นด้วยความตกใจกับการจู่โจมของเจ้าสัตว์เลื้อยคลานที่เธอแสนเกลียด ‘อ๊ายยยย งู...แม่จ๋า ช่วยเช้าด้วย ออกไปนะ เจ้างูบ้า ออกไป๊’ ร่างบางของหญิงสาวตกอยู่ภายในวงรัดรึงของงูขาวตัวใหญ่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ส่วนหัวของมันโดนรุ่งเช้าจำเป็นต้องจับไว้แม้จะขยะแขยงเต็มทีหลังจากที่มันพยายามจะฉกเข้าไปที่ศีรษะของเธอราวกับว่าเป็นเป้าหมายของการกลืน ‘อย่านะ ปล่อยๆ ปล่อย ปล๊อยยยยย’ แต่ว่าเจ้างูไม่ฟังเธอหรือว่าฟังไม่รู้เรื่องรุ่งเช้าก็ไม่อาจทราบได้ มันกลับเพิ่มแรงรัดขึ้นอีกประหนึ่งว่าจะทำให้เธอกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับมัน พร้อมๆกับพยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าของหญิงสาวมากขึ้น จนหน้าเธอแทบจะชิดกับส่วนหัวของงู รุ่งเช้าทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจับหัวมันไว้และจ้องลึกเข้าไปภายในดวงตาของงูคุมเชิง แต่ไม่ได้มีลักษณะตามที่ตางูควรจะเป็นทว่าแลดูกลับคล้ายนัยน์ตาของมนุษย์เสียงมากกว่าป้องกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้กลับใบหน้าของเธอมากไปกว่านี้ ดวงตาคมดุสีน้ำเงินขอเจ้างูเผือกจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของหญิงสาวทว่าไม่ ได้ส่อถึงความหิวกระหายในอาหารแต่อย่างใด กลับส่อแวววาววับชวนวาบหวามในใจและดูคุ้นเคยจนรุ่งเช้าไม่อาจจะละดวงตากลมโตของเธอไปจากมันได้ พลันนั้นเธอได้ยินเสียงเหมือนคนเรียกอยู่ไกลๆ สมาธิในการจ้องมองและจับส่วนหัวงูไว้ก็หายไปกับการมองหาต้นเสียง เจ้างูยักษ์จึงถือโอกาสที่เธอเผลอฉกวูบเข้าที่ปากอิ่มของรุ่งเช้าอย่างรวดเร็วราวกับจะจุมพิต ทันใดนั้นร่างของหญิงสาวก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงเรียก ชื่อเธอก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เฮือก... รุ่งเช้าสะดุ้งตื่นสุดตัวจนลุกขึ้นนั่ง ทำเอาคนที่ก้มลงไปเขย่าตัวเธอเพื่อปลุกอยู่นั้นต้องดีดตัวออกห่างจากหญิงสาวแทบไม่ทัน ดวงตาสีนิลกลมโตกระพริบถี่เพื่อปรับสภาพ ก่อนจะมองไปรอบกายก่อนจะพบว่ารอบกายเป็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นตา ห้องของตัวเองจึงถอนใจอย่างโล่งอก คนที่พึ่งเกือบจะตกเตียงโดยไม่ทันตั้งตัวก็เดินกลับมานั่งบนเตียงข้างคนพึ่งตื่นพลางเอ่ยถาม “เช้าเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องเสียงดังโวยวายไปถึงข้างล่างโน่นแถมรุ่งปลุกตั้งนาน ก็ไม่รู้สึกตัว รุ่งห่วงแทบแย่” รุ่งเช้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างสงบสติอารมณ์ที่พลุ่งพล่านก่อนยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดอยู่ตามไรผม แล้วจึงหันมาตอบคำถามหญิงสาวอีกคนที่หน้าตาเหมือนเธอราวกับแกะออกจากพิมพ์ เดียวกัน “เช้าฝันไม่ค่อยดีล่ะรุ่ง” รุ่งเช้าหันไปมองหน้าพี่สาวที่เกิดก่อนเธอเกือบชั่วโมงที่กำลังนั่งเช็ดหน้าเช็ดตาช่วยเธออยู่ข้างๆ “ฝันว่าอะไรบอกรุ่งได้นะ เผื่อดีขึ้นไง” ใกล้รุ่งมองหน้าน้องสาวฝาแฝดที่กำลังแสดงความประหวั่นพรั่นพรึงออกมาทางสี หน้าด้วยความเอ็นดูด้วยรู้ว่ารุ่งเช้าเป็นคนที่อ่อนไหว แม้ภายนอกจะดูแข็งๆก็ตาม ผู้เป็นน้องช้อนตามอง ก่อนตัดสินใจเล่าให้ฟังว่าเธอฝันพบเจออะไรมาบ้าง รุ่งเช้าเล่าไปก็รู้สึกประหลาดใจว่าทำไมจึงจำความฝันนั้นได้แจ่มชัดนัก แม้กระทั่งรอยจุมพิตจากงูเผือกตัวนั้นยังรู้สึกแผ่วบางติดอยู่ที่ริมฝีบางอิ่มของเธอ ทว่าหญิงสาวละเว้นการเล่าช่วงหลังไปเสีย ด้วยความอับอายจนไม่กล้าเอ่ยเล่า เมื่อน้องสาวเล่าจบใกล้รุ่งก็อดไม่ไหวที่จะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่าง กลั้นไม่อยู่ พลางเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาระหว่างการหัวเราะที่ จนรุ่งเช้าอดที่จะค้อนพี่สาวไม่ได้ ‘ดูสิอุตส่าห์เล่าให้เห็นใจดันขำไปซะงั้น’ ใกล้รุ่งกล่าวยิ้มๆ “โธ่ รุ่งก็นึกว่าเช้าฝันเห็นอะไรเข้า ฝันดีขนาดนี้ยังร้องซะลั่นบ้าน” ก่อนโอบรั้งไหล่คนที่ทำหน้ามุ่ย ปากยื่นรั้งเข้ามาหาตัวเองเบาๆอย่างปลอบโยน “ก็เช้ากลัวนี่นา รุ่งก็รู้ว่าเช้าเกลียดงู ฝันเห็นงูแล้วดีตรงไหนไม่ทราบ” คนหน้ามุ่ยตอบเสียงกระเง้ากระงอดติดจะงอน เรียกเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูจากผู้เป็นพี่ไม่น้อย “ไว้ถามเตยหอมแล้วกันว่าดีอย่างไร ตอนนี้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ใกล้ถึงเวลาแล้ว” ใกล้รุ่งอ้างถึงเตยหอมหรือวิรากานต์เพื่อนสนิทของทั้งคู่ที่โทรมาบอกตั้งแต่เมื่อวานว่าจะเข้ามาช่วงก่อนเที่ยง พลางฉุดร่างบางๆ (แต่หนัก) ของแฝดน้องให้ลุกขึ้น “เอ้ย ใช่แล้ว วันนี้ตักบาตรวันเกิด” สาวขี้กลัวพึ่งนึกออกว่าวันนี้จะตักบาตรวันเกิดรีบผลุดลุกวิ่งไปคว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ใกล้รุ่งรีบปล่อยมือแทบไม่ทันก่อนส่ายศีรษะกลับอาการไม่รู้จักโตของแฝดผู้น้องที่กำลังจะครบยี่สิบห้าปีในอีกไม่ถึงชั่วโมงก่อนจะร้องบอก “เช้า เดี๋ยวรุ่งลงไปเตรียมของตักบาตรก่อนนะ เสร็จแล้วลงไปช่วยยกด้วย” “จ้าๆ” รุ่งเช้าตอบรับเสียงใสมาจากในห้องน้ำ
แสงแรกของยามเช้าจับเส้นขอบฟ้า หยาดน้ำค้างที่หยาดพรมบนผืนสนามหญ้าหน้าบ้านเมื่อยามดึกของเมื่อคืนเริ่มระเหยลอยขึ้นสู่อากาศ สองหญิงสาวที่หน้าราวกับพิมพ์เดียวกันต่างอยู่ในชุดเสื้อสีขาวกระโปรงสีน้ำตาลกรอมเท้ายืนอย่างสำรวมโดยมีโต๊ะเล็กวางอาหารคาวหวานและดอกบัวสำหรับบูชาพระไว้เบื้องหน้าบริเวณประตูบ้านซึ่งติดถนนสายหลักของซอย รอพระภิกษุสงฆ์ซึ่งจะบิณฑบาตผ่านมาทางนี้เป็นประจำ “รุ่ง วันนี้พ่อกับแม่แล้วก็พี่ฟ้าจะมาถึงกี่โมง” รุ่งเช้าเอ่ยถามพี่สาวถึงบุพการีและพี่ชายที่สัญญาว่าวันเกิดของพวกเธอปีนี้จะมาฉลองกันที่กรุงเทพฯ “เห็นว่าบ่ายแก่ๆคงถึง เพราะพี่ฟ้าติดลูกค้าเขาไปดูการผลิตที่ไร่น่ะ คงเกือบเที่ยงถึงจะออกมากัน” “อือ แล้ว...” ก่อนจะถามต่อคนจะตอบก็สะกิดบุ้ยใบ้ให้ดูว่าภิกษุสงฆ์บิณฑบาตมาใกล้จะถึงแล้ว ก่อนจะถอดรองเท้าแตะออกรุ่งเช้าเห็นดังกล่าวจึงขยับตัวทำตาม แล้วย่อตัวลงยกของที่จะตักบาตรขึ้นเหนือศีรษะเพื่ออธิษฐานขอพรพร้อมๆกัน ภาพหญิงสาวสองคนหน้าเหมือนกันแถมยังแต่งตัวคล้ายกันกระทำการลักษณะเป็นเหมือนภาพซ้อนเรียกความสนใจจากผู้ที่สัญจรไปมาบนถนนได้ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมคายโดยดวงตาถูกซ่อนอยู่หลังแว่นตากันแดดที่นั่งคู่มากับเพื่อนในรถเก๋งคันงาม ซึ่งแม้ว่าตาใกล้จะปิดจากการตรากตรำงานทั้งคืนที่ผ่านมายังอดที่จะมองไม่ได้ “มองอะไรวะ ทีโม” คนขับเอ่ยถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ เมื่อเพื่อนที่ทำท่าจะหลับกลับผลุดลุกนั่งมองข้างทางอย่างสนใจ “ไม่มีอะไร แค่เห็นอะไรน่าสนใจนิดหน่อย” ทีโมหรือธุวานนท์ บอกปัดเสียงเบา ก่อนจะเอนตัวลงนอนท่าเดิม เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่เอ่ยกระไรศรัทธาจึงไหวไหล่อย่างไม่สนใจเช่นกัน “เจอสามแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ สุดซอยตึกสีเขียวอ่อนนะ ถึงแล้วปลุกด้วย“เขาบอกทางเสร็จก็เอนกายลงนอนตามเดิม เรียกเสียงหัวเราะขื่นๆจากคนที่กลายเป็นคนขับรถโดยไม่รู้ตัว “คร้าบท่าน ประเดี๋ยวกระผมจะปลุก สามนาทีจะหลับทันไหมขอรับ กระผมจะได้ขับรถวนกลับไปใหม่” “ไม่เป็นไรไอ้น้อง พี่หลับได้” เสียงตอบกลับจากท่านของศรัทธาเรียกอาการคันไม้คันมือจากเขาได้ไม่น้อย สามนาทีผ่านไป รถเมอรซิเดสเบนซ์ รุ่นอีคลาสคูเปอร์สีดำมันปลาบก็เลี้ยวขวับมาจอดบริเวณประตูทางเข้าจุดหมายที่ผู้โดยสารบอกไว้ “ไอ้ทีโม ถึงแล้ว ลงไปได้แล้วไป๊ วันหลังหัดเอารถออกมาขับมั่งนะ สนิมขึ้นขอบล้อหมดแล้วมั้งนั่นน่ะ เอะอะก็เรียกใช้แต่เพื่อน” ทันทีที่ถึงจุดหมายศรัทธาก็ไล่ผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ลงไปทันที ฟากธุวานนท์ก็ไม่ใส่ใจกับเสียงขับไสของเพื่อน บิดกายไล่ความเกียจคร้านอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “แล้วใครบอกว่าอยากเห็นน้องลูกไก่ถ่ายแบบ ข้าก็ชวนตามคำเอ็งขอนี่หว่า” ชายหนุ่มหมายถึงนางแบบหน้าใหม่ที่ดังที่สุดในช่วงเวลานี้และเป็นที่คลั่งไคล้ของคนที่ไล่ส่งเขาอยู่ “ก็ไม่นึกว่าจะถ่ายดึกถึงเช้านี่นา ยังไงก็ขอบใจ แต่วันหลังไม่ต้อง” ศรัทธายอมรับแต่โดยดี ก่อนจะโบกมือลาเพื่อนสนิทที่เคลื่อนตัวออกไปยืนนอกรถเป็นที่เรียบร้อย ธุวานนท์ยืนส่งเพื่อนจนรถเคลื่อนไปลับตาแล้วเดินขึ้นที่พักไป
ด้านสองสาวฝาแฝดหลังจากตักบาตรรับศีลรับพร กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเสร็จแล้ว ใกล้รุ่งก็เก็บของเตรียมกลับเข้าบ้าน ส่วนรุ่งเช้าถือน้ำที่ใช้กรวดน้ำเมื่อสักครู่ไปรดที่โคนต้นจันทร์กระพ้อที่ออกดอกขาวพราวทั้งต้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วที่ยืนต้นอยู่กลางสนามซึ่งมีเก้าอี้ไม้ตัวยาวสีขาวถูกจัดวางไว้ใต้ร่มไม้อันเป็นมุมโปรดของเจ้าของบ้านสาวทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยก็เดินขึ้นบ้านเพื่อรับประทานอาหารเช้าอันประกอบไปด้วยข้าวต้มปลากับยำไข่เค็มทั้งหมดฝีมือแม่ครัวนามใกล้รุ่งทั้งสิ้น “วันนี้เช้าเปิดร้านไหม” เสียงใกล้รุ่งร้องถามมาจากห้องครัวในขณะที่รุ่งเช้าเดินไปวางขัดกรวดน้ำที่เคาเตอร์บาร์ “เปิดครึ่งวันจ้า วันนี้ปิดไม่ได้หรอก วันทำเงิน” “งกซะไม่มี” ใกล้รุ่งว่าหยอกๆ “นิดหน่อย” คนงกยอมรับแบบไม่เกี่ยงงอนพลางเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงรอข้าวต้มหอมกรุ่นที่พี่สาวกำลังยกออกมา เริ่มทานไปได้ซักพักรุ่งเช้าก็อดไม่ไว้ แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองจะถามคงกระทบใจของคนที่อยากจะลืมไม่น้อย “นายเอกดนัยโทรมาบ้างหรือเปล่า” สิ้นคำถามมือบางที่กำลังตักข้ามต้มเข้าปากก็ชะงักก่อนจะวางลงชามอย่างช้าๆ ก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่เอ่อออกมาคลอหน่วยแทบจะทันทีที่สิ้นคำถามเพียงได้ยินชื่ออดีตคนที่เคยคิดว่ารักกัน เอ่ยตอบออกมาอย่างเศร้าๆ “ไม่เลย ตั้งแต่วันนั้น เขาก็ไม่โทรมาเลย ไม่บอก ไม่กล่าว ไม่เล่า ไม่ขอโทษ” รุ่งเช้ารู้สึกถึงความเศร้าที่วาบเข้ามาในอก แต่ไหนแต่ไรที่พวกเธอทั้งสองต่างรู้สึกถึงความรู้สึกของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องใช้คำบอกกล่าว เธอจึงบอกพี่สาวอย่างลุแก่โทษ “เช้าขอโทษนะรุ่ง ถ้าเช้าไม่อาละวาดวันนั้น นายเอกคงมาอธิบายกับรุ่งแล้ว” “ไม่หรอกเช้า อันที่จริงเราก็ห่างกันซักพักแล้วล่ะ ฟังเหมือนเพลงที่เช้าชอบฟังเลยเนอะ ห่างกันซักพัก เพื่อจะไปรักคนอื่นมากกว่า” เธอบอกเสียงขื่นแม้อยากจะให้รู้สึกคำจากการล้อเลียนการร้องเพลงของฝาแฝดก็ตาม “โธ่รุ่ง เป็นเพราะเช้าแท้ๆเลย ถ้าเช้ารู้จักระงับอารมณ์สักนิด เรื่องคงไม่จบแบบนี้” “ช่างมันเถอะเช้า ผู้ชายเลวๆคนเดียว รุ่งแค่เสียความรู้สึก ก็ตกลงกันแล้วถ้าจะมีใหม่ก็ให้บอกตรงๆ นี่อะไร แต่ทำไมรุ่งต้องกลายเป็นคนปลอบเช้าล่ะ รุ่งต้องเป็นคนเศร้าสิ” “เอ่อ...มันก็ใช่” รุ่งเช้าอึกอักคิดคำตอบไม่ทันแม้จะรู้ว่าผู้เป็นพี่พูดเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ “วันนี้วันดี รุ่งจะลืมมันให้หมด เรามาเริ่มต้นปีที่ยี่สิบห้าของเราอย่างสดใสกันเถอะ” ใกล้รุ่งตัดบท “โอเค เรามาเริ่มต้นด้วยกัน โชคดีของนายเอกดนัยเจอเช้าวิวาทแค่ลมปาก ถ้าเจอพี่ฟ้าคงเจอวิวาทด้วยกำลังแน่ๆ โทษฐานมาทำน้องสาวสุดที่รักของพี่ฟ้าเคือง” รุ่งเช้าตอบเสียงใสเมื่อรับรู้ถึงความเข้มแข็งภายในของใกล้รุ่งที่ส่งมา “นั่นสิ หรือว่าเราจะฟ้องพี่ฟ้าดี” เรื่องเศร้าแม้จะยังติดอยู่ในใจลึกๆ แต่ใกล้รุ่งก็ไม่รู้สึกถึงค่าความสำคัญมากเท่าเดิมแล้ว ความหม่นหมองก็เริ่มจางไปเมื่อความเบิกบานจากรุ่งเช้าแผ่ซ่านมาถึงเธอ แค่ผู้ชายคนเดียว ใกล้รุ่งคิดอย่างทำใจ หลังจากช่วยกันเก็บกวาดบ้านเสร็จ รุ่งเช้าก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อโปโลแขนสั้นสีเหลืองกางเกงผ้าขายาวสีดำและผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอันเป็นสีโปรดของเจ้าตัวซึ่งถูกปักลวดลายเป็นรูปพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งสีเหลืองและล้อมกรอบด้วยตัวอักษรปักด้วยด้ายสีทองว่า ‘Morning Café’ อันเป็นร้านกาแฟที่หญิงสาวปลุกปั้นประคับประคองมาได้เกือบปีหลังจากที่ลาออกจากงานประจำในบริษัทมีชื่อ ผมยาวดำขลับที่หนุ่มสลวยราวเส้นไหมชั้นดีถูกรวบขึ้นกลางศีรษะเพื่อจะได้ไม่เกะกะเวลาทำงานเป็นที่เรียบร้อยจึงเดินออกจากห้องลงบันไดมาก็เจอใกล้รุ่งที่หอบหนังสือนิยายเล่มโปรดมาวางกองไว้บริเวณหน้าโทรทัศน์อันถูกปูด้วยเสื่อกกผืนใหญ่และมีกองหมอนอิงหลากสีวางอยู่ ซึ่งเป็นที่ประจำเวลาว่างของทั้งใกล้รุ่งและรุ่งเช้าที่ต่างก็โปรดปรานการอ่านหนังสือเคล้าเสียงทีวี(เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะผู้อ่าน เปลืองไฟโดยใช่เหตุแต่ผู้เขียนเองก็เป็น) เป็นการบอกให้รู้ว่าคงจะปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย “เช้าไปร้านก่อนนะรุ่ง” “จ้า อ้อ แล้วเช้าจะปิดร้านกี่โมง” ใกล้รุ่งเอ่ยถามเพราะนานๆทีน้องสาวจะปิดร้านเร็วกว่าที่กำหนดจากเดิมที่เปิด 10.30 น. ปิด 20.00 น. เป็นเปิดเพียงครึ่งวัน “คงราวบ่ายสามโมงกว่าๆมั้ง” รุ่งเช้าตอบหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง “งั้น เดี๋ยวตอนเที่ยง รุ่งไปกินข้าวเที่ยงด้วย เช้าอยากกินอะไรจะทำไปให้ด้วย” “อะไรก็ได้ เอ้อ ทำเผื่อยายเตยหอมกับนิดาด้วยนะ” หญิงสาวบอกพี่สาวถึงจำนวนสมาชิกที่จะรับประทานอาหารเที่ยงด้วยที่นอกจากเพื่อนสนิทแล้วก็มีเด็กในร้านที่เธอรับมาเป็นผู้ช่วย “อ้าว แล้วนายเอ็มนายพีแล้วก็แก้มล่ะ” ใกล้รุ่งถามถึงลูกจ้างพาร์ทไทม์ที่เหลือ “นายเอ็มกับแก้มติดสอบจะมาบ่ายๆ ส่วนนายพีติดสาวเห็นว่ามีเดทน่ะ จะมางานตอนเย็นเลย” ใกล้รุ่งทำเสียงในลำคอเป็นทำนองรับรู้ก่อนจะก้มลงสนใจหนังสือในมือที่ถึงตอนสำคัญซึ่งอ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน “ไปล่ะนะ” รุ่งเช้าบอกอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวไปออกทางประตูอย่างกระฉับกระเฉง หญิงสาวเดินไปตามทางโรยกรวดที่เธอออกแบบเองซึ่งเป็นทางลัดจากหน้าบ้านตรงไปประตูหลังร้านกาแฟ บ้านที่พวกเธอพักอาศัยอยู่เป็นบ้านตึกกึ่งไม้ซึ่งสร้างมาราวยี่สิบกว่าปีแล้วแต่ด้วยการก่อสร้างที่พิถีพิถันและเลือกใช้วัสดุที่ดีเมื่อดูแลดีๆ สภาพจึงออกมาเป็นบ้านที่ดูคลาสสิกเป็นสไตล์บ้านไทยประยุกต์อันเป็นที่นิยมในต่างจังหวัด ซึ่งบ้านหลังนี้มาอยู่ในกรรมสิทธิ์ของบิดามาเมื่อไม่ถึงสิบปี เนื่องจากคุณป้าเจ้าของบ้านที่เป็นเพื่อนรักของบิดาได้ย้ายไปตั้งรกรากที่จังหวัดเชียงใหม่จึงขายบ้านหลังเล็กๆพร้อมที่ดินไร่เศษๆให้ผู้เป็นเพื่อนรักในราคาถูกแสนถูกเมื่อเทียบกับที่ดินขนาดเท่ากันในละแวกนี้แม้ในขณะที่ทำการซื้อขายกันแทบนี้จะยังเป็นเกือบชานเมืองของกรุงเทพฯก็ตาม เมื่อฟ้าสางผู้เป็นพี่ชายและพวกเธอต้องมาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในเมืองหลวงจึงไม่ต้องไปพักที่หอพัก นับเป็นการมองการณ์ไกลของเที่ยงวันผู้เป็นบิดา ห้าปีผ่านไปทำเลบ้านหลังนี้ก็กลายเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การค้าขาย พ้นรั้วบ้านด้านหน้าก็เป็นถนนสายหลักของซอย ซึ่งลึกเข้าไปในซอยมีทั้งหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อสองปีกว่าๆ คอนโดมิเนียมตลอดจนหอพักนักศึกษาด้วยว่าอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก แถมบ้านของเธอก็อยู่พื้นที่ส่วนในสุดของที่ดินทำให้พื้นที่ด้านหน้าของบ้านจึงมีมากและตั้งอยู่เกือบต้นซอย ร้านกาแฟสไตล์รีสอร์ทขนาดยี่สิบห้าที่นั่ง ที่สร้างด้วยปูนเลียนแบบไม้ทาสีเหลืองนวลกรุกระจกสามด้านจนมองเห็นเคาเตอร์ด้านในที่รายล้อมด้วยแมกไม้สีเขียว สลับกับดอกไม้หลากสีที่จัดอยู่วางอยู่ด้านหน้าอย่างเหมาะเจาะจึงเรียกความสนใจจากผู้ที่สัญจรผ่านไปมาไม่น้อย และผู้คนเหล่านั้นก็กลายมาเป็นลูกค้าของหญิงสาวไม่น้อย เรียกได้ว่า ร้านกาแฟเล็กทำให้รุ่งเช้าอยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องหวังพึ่งงานประจำอีก เมื่อมาถึงร้านหญิงสาวไปกุญแจเข้าไปด้านในวางกระเป๋าประจำใจที่บรรจุแลปท็อปหนึ่งเครื่องกับโทรศัพท์มือถือไว้บนเคาเตอร์ในครัวก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้านหน้าเพื่อรดน้ำต้นไม้ดอกไม้หน้าร้านรอรถส่งของและน้ำแข็งที่ใกล้จะมาตามเวลาที่นัดหมาย
|
Create Date : 26 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 26 มีนาคม 2553 13:50:18 น. |
Counter : 184 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
มหาสารคาม Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
|
|
|
|