รากหญ้าภูมิปัญญาไทย ฉบับของคนรากหญ้า ที่ถ่ายทอดให้สังคมได้รับรู้ความเป็นไป

ประชาธิปไตยฉบับเจ้ามือไฮโล



ท่านผู้อ่านเคยแทงไฮโลมั้ยครับ – ถ้าไม่เคย ผมจะจารนัยให้ฟัง เกมมันเล่นง่ายๆ เพียงแค่มีลูกเต๋าสามลูก พร้อมจาน และถ้วยครอบ คนเล่นไฮโลเเบ่งออกเป็นสองฝ่ายหลักๆคือ ๑) เจ้ามือ อาจจะมีเจ้ามือหลายคนลงเค้า(เงิน)เป็นหุ้นส่วนกัน ๒) คนแทง ก็หมายถึงลูกค้าแหละครับ นอกจากนี้ยังมีฝ่ายอื่นๆเป็นตัวประกอบเช่น เจ้าบ้าน คนดูต้นทาง คนเชียร์ และตำรวจ (เอาไว้คอยเก็บส่วย) เป็นต้น

ทีนี้มาดูกติกากันเสียหน่อย สมมติว่าเจ้ามือลงเค้ารวมกันสองพันบาท คนเเทงก็ไม่สามารถเเทงเกินเค้าได้ หากจะดื้อเเทงเกินเค้าก็เเทงได้ ไม่มีใครว่าหรอก แต่ถ้าหากแทงไม่ถูก เจ้ามือก็แดกเรียบตามระเบียบ ถ้าหากเกิดจับผลัดจับผลูแทงถูก เจ้ามือก็จ่ายเท่าที่มีเค้าเท่านั้น จะไปต่อว่าเจ้ามือไม่ได้ ปกติแล้วคนที่เเทงเต็มเค้านี้ ก็ประสงค์จะล้มเจ้ามือ อยากจะเปลี่ยนมาเป็นเจ้ามือเสียเอง ว่ากันอย่างนั้น

พอเจ้ามือเรียงเต๋าบนจานเสร็จ ก็เอาถ้วยครอบ จากนั้นก็ค่อยๆบรรจงยกจานขึ้นมา อีกมือหนึ่งประคองถ้วยไว้อย่างละมุน พร้อมกับเขย่าเบาๆดัง “คลิ๊ก” มาถึงตรงนี้ ลูกค้าต่างพากันหูผึ่ง ทั้งห้องเงียบกริบราวกับป่าช้ากลางดึก หัวใจของลูกค้าบางรายอาจไหลลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถ้าหากจินตนาการหน้าเต๋าไม่ออก จากนั้นเจ้ามือจึงค่อยๆวางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างถนุถนอม บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นใหญ่สักหน่อย ขีดเขียนอย่างลวกๆเป็นตารางมีเลข ๑ ถึง ๖ และมีช่อง “สูง” และ “ต่ำ” ให้ลูกค้าวางเงินเลือกแทง

การเเทงไฮโลมีหลักๆ ๓ แบบดังนี้ ๑) แทงเต็ง จ่ายต่อเดียว ถ้าลูกค้ามั่นใจว่าเต๋าในถ้วยอย่างน้อยหนึ่งลูกมันจะหงายหน้าเอี่ยว (ภาษาไฮโลหมายถึงเลข ๑) ก็วางเงินแทงลงไปที่ช่องเลข ๑ เมื่อเจ้ามือหงายถ้วยออกมาไม่มีเอี่ยวเลยสักหน้า เจ้ามือก็กวาดเงินเข้าเค้าไป แต่ถ้าเกิดดวงเฮงออกหน้าเอี่ยวพร้อมกันสามหน้า ลูกค้าก็ดีดมือเป๊าะ! กระหยิ่มใจ คอยเเบมือรอรับเงินจากเจ้ามือได้สามต่อ ถ้าออกเอี่ยวหน้าเดียวก็ได้รับเงินต่อเดียว

๒) การแทงสูง-ต่ำ ถ้าลูกค้าแน่ใจว่าแต้มของลูกเต๋าสามหน้ารวมกันได้เกิน ๑๑ แต้ม ก็วางเงินไปที่ช่อง “สูง” เปิดถ้วยมาเเเล้วแต้มเกิน ๑๑ ก็รับเงินไปต่อเดียว แต่ถ้าไฮโลออกมา ๑๑ แต้มพอดี(ออกกลาง เช่น ๖-๔-๑) หรือออกต่ำ ลูกค้าก็หน้าแห้ง ปล่อยให้เจ้ามือรวบไปแดก

๓) การเเทงโต๊ด จ่าย ๕ ต่อ อันนี้เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการจะหมดตูดเร็ว กติกาต้องแทงเลข ๒ ตัวควบ เช่นโต๊ด ๑ - ๔ ลูกค้าตั้งความหวังไว้ว่า เต๋ามันจะออกมามีหน้า ๑ และ ๔ แล้วจึงรับเงินไป ๕ ต่อสบายใจเฉิบ เเต่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยมีลูกค้าเเทงโต๊ดกันสักเท่าไร เพราะโอกาสที่เจ้ามือมักจะแดก มีอย่างท่วมท้น

ในเเวดวงไฮโล ทั้งเจ้ามือ และคนแทง มันเต็มไปด้วยกลยุทธ์ กลเม็ดเด็ดพราย ศาสตร์ ศิลป์ และไสยศาสตร์ มีหลายร้อยเล่มเกวียน เล่าอย่างไรก็ไม่จบไม่สิ้น แต่ท่านผู้อ่านเชื่อมั้ยว่า ในวงไฮโลนั้นเป็นประชาธิปไตย อย่าเพิ่งสำลักเสียก่อนล่ะ ผมจะเล่าให้ฟัง มันมีประชาธิปไตยจริงๆ เพราะมันมีกติกาที่ชัดเจน ใครใคร่เล่นก็เล่น ใครอยากเลิกก็กลับบ้านไป มีลูกตุกติกบ้าง ก็เล่นกันอยู่ในเกม ถ้าเจ้ามือเอาเปรียบมากไป เช่น ฝังเเม่เหล็กที่ปลายนิ้ว ใช้เต๋าถ่วง หรือเล่นรีโหมต พอคนแทงรู้แกวว่าเจ้ามือเล่นนอกกติกา ลูกค้าก็พากันหายจ้อย เจ้ามือก็หงอยสิครับ

กลับมาที่วงไฮโลการเมือง ก่อนหน้านี้ ทักษิณและทรท.เป็นเจ้ามือใหญ่ใจป้ำ ใช้การตลาดที่ล้ำหน้าและมีกลเม็ดใหม่ๆ เช่น ในกรณีของลูกค้ารายย่อย ชาวรากหญ้าในชนบทหรือชนชั้นล่างในเมือง เมื่อเจ้ามือกินลูกค้าจนหมดตูด ก็หามาตรการพักหนี้ให้ เจ็บป่วยก็ไปรักษาเนื้อรักษาตัวเสียก่อน ๓๐ บาทเท่านั้น หรือ ถ้าลูกค้าหมดตูดก็ยังแถมเงินค่ารถกลับบ้านให้อีก หรือบางครั้งบางที เจ้ามือแสร้งเปิดถ้วยให้ลูกค้าแทงเสียดื้อๆ หอบเงินกลับบ้านกันเสียอย่างนั้นแหละ และที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอย่างที่สุดก็คือหาวิธีให้ลูกค้ามาเป็นหุ้นส่วนกับเจ้ามือเสียเลย เรียกว่าผูกขาดเป็นขาประจำ อย่างนี้ก็ทำได้ ไฮโลแนวใหม่ เกิดมาก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน

แต่กับลูกค้าขาใหญ่ เจ้ามือไฮโล-ทักษิณและทรท. กลับเล่นฝลัดเต๋าอย่างดุดัน ขาใหญ่เเทงต่ำ–เต๋าออกสูง-เจ้ามือแดก-แดก ขาใหญ่แทงสูง-เต๋าออกต่ำ-เจ้ามือแดก-แดก แทง(ไฮโล)กันไป แทง(ไฮโล)กันมา ขาใหญ่หมดเค้าจนเหลือแต่กางเกงใน ขาใหญ่บางรายเหนียมอายไม่กล้าแทงเอง ฝากเงินให้นอมินีมาแทงแทน ก็ถูก เเดก-แดก จนเหลือเเต่กางเกงในเช่นกัน (แต่ยังดีที่ยังเหลือปืน) ทีนี้พอขาใหญ่หมดเค้าที่จะเล่นต่อ ขาใหญ่มันก็รวมหัวกัน เริ่มโพนทะนาว่า เจ้ามือเล่นโกง เล่นผิดกติกา เริ่มต้นที่ขาใหญ่เจ๊กหัวหลิมและพันธมิตร จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต สุดท้ายจบลงด้วยขาใหญ่สีเขียว ลากปืนออกมาทุบถ้วยไฮโลของเจ้ามือเจ้าเดิม แล้วสถาปนาตัวเองและพรรคพวกเป็นเจ้ามือใหม่ขึ้นมา

เจ้ามือใหม่ใช้กติกาโหดเผด็จการ บังคับให้ลูกค้าเล่น เอาเปรียบลุกค้าทุกอย่าง แถมหุ้นส่วนเจ้ามือก็เยอะเเยะ บังจอมถ่วงเต๋า ลิ้มนิ้วฝังแม่เหล็ก ป๋ามือรีโหมต พรั่งขาทวงหนี้ ยุทธมือเขย่า ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีหุ้นส่วนที่ลูกค้ามองไม่เห็นตัวตนอีกต่างหาก แต่อย่างว่านั่นแหละ คนเคยเป็นเป็นลูกค้าแทงไฮโล พอมาให้เป็นเจ้ามือก็เขย่าไม่เป็น ไม่รู้ศาสตร์และศิลป์ของไฮโล ไม่มีกลเม็ดเด็ดพราย ไม่ว่าจะถ่วงเต๋า หรือกดด้วยรีโหมด เต๋ามันก็เสือกออกหน้าเดิมๆตลอด ถ้าออกหน้าต่ำๆ เขาเรียกว่า “เต๋าตายต่ำ” ลูกค้าเเอคติวิสต์ทั้งหลายต่างเทเงินแทง “ต่ำ” สถานเดียว เล่นเอาเจ้ามือเหงื่อตก จ่ายลูกเดียว เค้าหน้าตัก หายไปจมกระเบื้อง

พอเค้าหน้าตักเจ้ามือเริ่มยุบ หุ้นส่วนบางรายชักไม่พอใจ ทำท่าจะทะเลาะกันเอง ลิ้มนิ้วฝังแม่เหล็กหาเรื่องเปลี่ยนตัวคนเขย่า เออ!! อย่างนี้ก็เป็นไปได้ วงไฮโลเผด็จการออกกฎให้ลูกค้าให้เล่นตามใจของเจ้ามือทุกอย่าง พอเล่นเสียก็ออกลูกเกเรเกตุง เอากะมันสิ!! ลูกค้าเเอคติวิสต์ต่างเทเงินแทงเพื่อสะสมทุน พร้อมๆไปกับการปลุกระดมชาวบ้านชาวเมืองหาทุนมาเพิ่มหน้าตัก เพื่อที่จะล้มเค้าเจ้ามือสักปลายปีนี้ แต่ทำไปทำมา วงไฮโลเผด็จการทำท่าจะวุ่น ทำท่าจะวงแตกก่อนเวลา เอายังไงกันละคราวนี้ ให้มันเป็นคนเเทงก็เจ๊ง พอมันมาเป็นเจ้ามือก็เจ๊ง แล้วมันจะเป็นอะไรกันละโว้ย!!

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๐ และได้เผยเเพร่ที่เวบไซต์บางแห่ง - เปลว คนรากหญ้า




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550   
Last Update : 29 มีนาคม 2550 20:29:45 น.   
Counter : 971 Pageviews.  

พิราบขาวที่สนามหลวง



ชี้ชวน - เหตุเกิดที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันวันพฤหัสที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ เพียงเจ็ดชีวิตของพลพรรคพิราบขาวที่มีแต่มือ กับสี่ร้อยกว่าชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่มีอาวุธครบมือ ตามมาด้วยการยึดเครื่องไฟขยายเสียง เวที และอุปกรณ์ ที่ใช้ในการรณรงค์เรียกร้องประชาธิปไตย อันสิทธิพื้นฐานของพลเมืองไทย เท่านั้นยังไม่พอ ยังตามมาด้วยการจับกุมพลพรรคพิราบขาว ด้วยสองข้อหาสำคัญ ต่อสู้ทำร้าย และขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เป็นเสียอย่างนี้เเล้ว พลเมืองที่มิได้เป็นพรรคเป็นพวกกับคมช.จะถามหาความเป็นธรรมได้จากแผ่นดินนี้อีกหรือ ขอคารวะในความกล้าหาญ เสียสละ และขอให้กำลังใจต่อความเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยของพลพรรค “พิราบขาว”

วิมานรักสีชมพู - ภายในห้องพระประจำบ้าน ชายชราศรีษะขาวโพลนก้มลงกราบเป็นครั้งที่สามต่อหน้าองค์พระพุทธรูป จากนั้นสุภาพบุรุษหนุ่มร่างสมาร์ทตรงเข้ามาช่วยประคองแขนชายชราให้ลุกขึ้น พร้อมกับเดินนำหน้าไปเปิดประตูห้องนอนที่อยู่เยื้องกัน บรรยากาศภายในห้องนอนเป็นสีชมพูเสียทั้งหมด ทั้งผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม โคมไฟ หมอนหนุน และหมอนข้าง ชายชราทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ก่อนที่จะทอดกายลงบนที่นอน สุภาพบุรุษหนุ่มหน้าหล่อคนนั้น ขยับเข้ามาคลี่ผ้าห่มแพรสีชมพู ห่มลงบนเรือนร่างของชายชรา พร้อมกับกล่าวถ้อยคำเบาๆ “ราตรีสวัสดิ์ครับ ป๋า” จากนั้นจึงเดินไปปิดสวิทช์ไฟกลางห้อง และปิดประตูล็อคห้องเป็นลำดับสุดท้าย ก่อนที่จะเคลื่อนกายลับตาหายไป

ชายชราหลับตาพริ้ม กระสากลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอม Charnel No. 5 ที่ประพรมไว้ใต้หมอน เมื่อลืมตาขึ้น ชายชรากลับถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมๆกับที่โขนงคิ้วขมวดนิ่ว รู้สึกไม่สบายใจเลย ทั้งๆที่ตอนหัวค่ำที่ผ่านมา มีคนใหญ่คนโตที่เป็นถือว่าเป็น “ลูกป๋า” มาให้คำรับรองอย่างมั่นอกมั่นใจว่า จะไม่มีฝูงชนผ่านมาที่ถนนหน้าบ้านเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นวันที่ ๑๗ ๑๘ ๑๙ มีนาคม หรือวันไหนๆก็ตาม แต่ชายชราก็ยังไม่วายวางใจ เขาผ่านศึกเสือเหนือใต้มานับครั้งไม่ถ้วน นอนกลางดิน กินกลางทราย ผจญมาแล้วทั้งนั้น แต่เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นฝูงชนเคลื่อนขบวนมาร้องด่าที่หน้าบ้านด้วยถ้อยคำที่สาดเสียเทเสีย ชายชราเอื้อมมือไปปิดสวิทช์โคมไฟที่ส่องเเสงสีชมพูเรื่อเรืองที่หัวเตียง พลางรำพึงในใน “ขอให้ฉันหลับฝันดีอีกคืนนะจ๊ะ หมอนจ๋า”



ณ อพาทเมนต์แห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง” เสียงนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงแผดเสียงที่เวลา ๐๗.๓๐ น. ชายหนุ่มงัวเงีย พลิกกาย เอื้อมมือไปกดปุ่มนาฬิกาปลุกเพื่อหยุดเสียง พลางใช้หลังมือขยี้ตาป้อยๆ ปวดหัวหนึบเลย เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบขวดยาพาราเชตตามอลบนโต๊ะ เปิดฝาขวดหยิบยาใส่ปาก ๒ เม็ด ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำเทใส่ปากเอื๊อกๆ พร้อมกลับกลืนยาลงกระเพาะ ใช่เเล้ว การได้นอนหลับพักผ่อนเพียง สี่ชั่วโมงครึ่ง มันน้อยเกินไปสำหรับคนที่ผ่านค่ำคืนที่แสนจะยาวนาน เมื่อวานนี้ตอนสายๆ พอได้ข่าวว่าเพื่อนพ้องถูกเจ้าหน้าตำรวจจับกุม ใจของเขาแทบไม่อยู่กับงานที่ทำอยู่เลย ภาวนาให้ถึงเวลา ๑๖.๓๐ น. โดยเร็ว มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร มันทำกันเกินไปแล้ว ”พิราบขาว” เพียง ๗ ชีวิต กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจกว่าสี่ร้อยคน ตามมาด้วยสองข้อหาสำคัญ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้

เมื่อเลิกงานเขาจึงบึ่งไปที่สน.นางเลิ้ง สมทบกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเพื่อทวงถามความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ครั้นเมื่อไปถึงพบว่า พลพรรคพิราปขาวได้รับการปล่อยตัวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ภารกิจยังไม่จบ เขาสุมหัวปรึกษาหารือกับผองเพื่อนถึงการรุกคืบหน้าเพื่อทวงคืน เครื่องไฟขยายเสียง เวที และสัมภาระอื่นๆที่ถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจยึดเอาไป เขาพร้อมด้วยผองเพื่อน และกลุ่มชนที่ศรัทธาประชาธิปไตย จึงไปร่วมกันในมหกรรมทวงคืนสิ่งของที่หน้าสำนักงานเขตพระนคร กว่าจะเสร็จสิ้นก็ปาเข้าไปตีสองกว่า จึงโบกแทกซี่กลับมายังที่พัก ล้มตัวลงนอนโดยไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟัน ครั้นผินตัวออกมาจากการชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ ชายหนุ่มจึงเริ่มแต่งกายเพื่อปฏิบัติงานในวันสุดสัปดาห์ของการทำงาน ขณะที่กำลังผูกเนคไท พลันเขาหันหน้าไปทางทีวีที่กำลังเสนอข่าวภาคเช้า รายงานถึงภารกิจของ บุรุษชราผมสีดอกเลาในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศ ยังไม่ทันที่จะจบข่าว เขารีบปิดทีวีโดยพลัน พลางขบกรามแน่น และสบถกับตัวเอง “เออ ไอ้เฒ่ากาลี วันเสาร์นี้เจอกัน”

ณ เพิงตีเหล็กแห่งหนึ่งย่านปริมณฑลของกรุงเทพฯ - ตะวันใกล้จะชิงพลบแล้ว หนุ่มใหญ่บรรจงวางตะไบขนาดเขื่องลงในกล่องเครื่องมือ แล้วหันมาคลายเกลียวปากกาเหล็กที่หนีบจอบออก พร้อมกับหยิบจอบออกมาวางบนพื้น ใช่แล้ว วันนี้เขาเพิ่งปรับแต่งคมจอบอันสุดท้ายเสร็จ ฟากหนึ่งของเพิงพักเป็นที่เก็บผลิตภัณฑ์อันเป็นชิ้นงานจากฝีมือของเขา วางเรียงกันเป็นชั้นๆ มีดขนาดต่างๆ จอบ เสียม หรือแม้กระทั่งเคียวเกี่ยวข้าว ขณะที่อีกฟากหนึ่งเป็นเตาเผาเหล็กและทั่งตีเหล็ก พร้อมกับวัตถุดิบเหล็กเเหนบรถยนต์วางเรียงรายระเกะระกะ นานเท่าไรแล้วนะ ที่เขาพาครอบครัวออกมาจากกรุงเทพฯ มาพำนัก ณ ท้องถิ่นชนบทอันเงียบสงบแห่งนี้ กว่าสี่ปีแล้ว ตีเหล็กขาย ทั้งขายปลีก และขายส่ง

ยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องยาเส้นมามวนสูบ พลันก็มีเสียงร้องทักมาจากข้างหลัง “พ่อจ๋า แม่ให้มาเรียกกินข้าว” ปราง นั่นเอง ลูกสาววัยสามขวบกำลังน่ารักน่าชัง เด็กหญิงวิ่งเข้ามาหาหนุ่มใหญ่ที่เธอเรียกว่า “พ่อ” พลางเอาหัวเล็กๆของเธอคลอเคลียกับแผ่นหลังของพ่อ จนหนุ่มใหญ่เอาเอื้อมมือมาเกาะกุมศรีษะของบุตรสาวอย่างเอ็นดู ชั่วอึดใจเดียว หญิงสาวในชุดคุมท้อง สาวเท้าก้าวเข้ามาในเพิงตีเหล็ก “แหม พ่อลูกคู่นี้รักกันดีจังเลยน่ะ” เปรม ผู้เป็นศรีภรรยาของเขานั่นเอง หลังจากพูดจาเล่นหัวกันอีกชั่วครู่ หนุ่มใหญ่ก็อุ้มลูกสาวเดินนำหน้า พาศรีภรรยามุ่งตรงสู่บ้านชั้นเดียวหลังขนาดย่อม ที่ปลูกเคียงคู่กับเพิงตีเหล็กนั่นเอง

เมื่อหนุ่มใหญ่อาบน้ำชำระล้างเรือนกายเสร็จเรียบร้อย จึงมานั่งล้อมวงกับภรรยาและลูกสาวร่วมกันรับประทานอาหารมื้อค่ำ ชั่วขณะหนึ่ง หนุ่มใหญ่ผินหน้าไปทางจอทีวี ที่กำลังรายงานข่าวภาคค่ำ ถึงทางการกำลังเตรียมการรับมือกลุ่มผู้ประท้วงที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๗ มีนาคม หนุ่มใหญ่ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ พรุ่งนี้เเล้วสินะ! เมื่อสิบห้าปีที่เเล้ว เขาก็เป็นส่วนหนึ่งบนถนนราชดำเนิน แต่มาคราวนี้จนใจเหลือเกิน สองชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ กับอีกหนึ่งชีวิตที่ยังอยู่ในครรภ์ จน ”เปรม” ศรีภรรยาหันมาถามเขาว่าเป็นอะไรไป เขาจึงกลบเกลื่อนไปตามเรื่องตามราว “การสู้เพื่อประชาธิปไตย” กับ “การสู้เพื่อรัก” นั้น บางครั้งมันก็ยากต่อการตัดสินใจเลือกเหลือเกิน อย่างน้อยก็ขอส่งกำลังใจไปให้ผองเพื่อนที่กำลังทำหน้าที่ สู้ให้ชนะนะเพื่อน

หมายเหตุ : ข้อเขียนขิ้นนี้เขียนเมื่อวันวันพฤหัสที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ และได้เผยแพร่ที่เวบไซต์บางแห่ง – เปลว คนรากหญ้า




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550   
Last Update : 30 มีนาคม 2550 8:24:15 น.   
Counter : 281 Pageviews.  

บทความนี้แด่ลูก "แม่โดม"



เย็นวันเสาร์วันหนึ่ง - ผมนั่งรถเมล์ผ่านไปที่สนามหลวง ภาพชีวิตที่พบเห็นยังคงเคลื่อนไหวเหมือนดั่งที่เคยได้ยล ฝูงนกพิราปยังคงโบยบินโฉบลงมาจิกกินเมล็ดถั่วเมล็ดข้าวที่ผู้คนโปรยให้ ต้นมะขามยังคงยืนต้นตะหง่านเป็นทิวแถวให้ผู้คนที่ผ่านทางมาอาศัยร่มเงาพักคลายร้อน พลัน…ตัดภาพไปยังฝูงชนไม่กี่ร้อยคนชุมนุมกันอย่างอนาถาที่ขอบสนามหลวงด้านหนึ่ง เปิดไฮปาร์คต่อต้านคมช.และรัฐบาล แต่ผมไม่เห็นวี่แววของชาวธรรมศาสตร์เลยแม้เเต่เงา …พลันผมเงยหน้าขึ้นมองข้ามสนามหลวงไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพ่งสายตาอยู่ที่ภาพนิ่งนั้นราว ๑ นาทีเต็ม เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมพวกเขาจึงไม่มา …ทำไมจึงเป็นม็อบอนาถากลุ่มนี้ ทำไมจึงไม่เป็นชาวเหลืองแดงธรรมศาสตร์ มันต้องมีอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างผิดพลาดอย่างแน่นอน ผิดฝา ผิดตัว ผิดเวลา ผิดสถานที่ ผิดอะไรกันแน่ ? ผมหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้… พลันผมหลับตาหันหลังกลับ พอดีรถเมล์ผ่านมา จีงก้าวขึ้นรถ โชคดีมีที่นั่งว่างจึงนั่งลงหลับตามาตลอดทาง พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง รถเมล์เเล่นมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมทบทวนเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นมาอีกครั้ง มันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันบ้างมั้ยระหว่าง ประชาธิปไตย สนามหลวง ต้นมะขาม นกพิราป ม็อบ ธรรมศาสตร์ มันอาจจะเคยมี แต่นานมากแล้ว นาทีนี้ผมชักไม่เเน่ใจว่ามี ธรรมศาสตร์ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่

จิตวิญญาณ ผมเคยดูแคลนคนที่นำคำนี้มาใช้เป็นอย่างมากว่า "กระเเดะ" คงหวังเพื่อยกระดับกลุ่มก้อนของตัวเองให้เเตกต่างจากชนส่วนใหญ่ของสังคม ผมเคยดูหมิ่นฮิปปี้ ลากรองเท้ายาง ผมยาวกระเซอะกระเซิง ที่ตีตราตัวเองว่าเป็นปัญญาชน ผมเคยลงความเห็นแบบเหมาเข่งว่า ชาวธรรมศาสตร์ชอบใช้คำว่า “จิตวิญญาณ” กันอย่างพร่ำเพรื่อแบบไร้สติ ครั้นเมื่อผมเติบใหญ่ขึ้น รับรู้ข้อมูลข่าวสารเข้าสู่ร่องสมองมากขึ้นและสามารถคิดได้ด้วยตัวเอง ผมตระหนักดีว่ามิอาจดูแคลนผู้หนึ่งผู้ใดที่เห็นแต่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น กาลต่อมาผมได้ประจักษ์แจ้งว่า ด้วย “จิตวิญญาณ” นี่เอง ที่ได้หล่อหลอมชาวธรรมศาสตร์ให้เรืองภูมิปัญญาและมีจิตใจที่หาญกล้า วีรกรรมที่ชาวธรรมศาสตร์เป็นแกนนำต่อสู้กับปากกระบอกปืนและรถถังของเผด็จการทหาร อีกทั้งยืนเคียงข้างอยู่กับประชาชนอย่างไม่ท้อถอย คนไทยมิมีวันลืมเลือนวีระชน “ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๒๕๑๙” สมทบด้วย “พฤษภาคม ๒๕๓๕” วีรกรรมเหล่านี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างที่ไม่มีใครมาบิดเบือนได้ “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” ผมชอบคำขวัญนี้จัง

ทุกคราที่มีโอกาสได้ไปเยือนย่านท่าพระจันทร์ ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมมิได้หันหน้าไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมมิได้เพ่งพิศ”ตึกโดม”ด้วยความชื่นชม ผมเคยได้ยินได้ฟังคำกล่าวขานถึงท่านปรีดี พนมยงค์ และอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มามิใช่น้อย มิได้มีข้อกังขาในใจแม้เพียงน้อยนิดต่อความเป็น “ครู” ของท่านทั้งสอง ครั้นถึงคราที่หมดวาระของท่าน เหล่าคณาจารย์รุ่นต่อมายังคงสืบสานปณิธานของท่านมาอย่างมิขาดสาย ดุจสายน้ำเจ้าพระยาที่ไหลมาหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวไทย ครูดีย่อมเป็นเบ้าหลอมบ่มเพาะศิษย์ให้เจริญรอยตามจริยาวัตรของครู จึงมิน่าแปลกใจแต่อย่างใดเลยที่ “ธรรมศาสตร์” เป็นสถาบันหลักของชาติที่เจียรนัย เม็ดกรวด เม็ดทราย ให้เป็นเพชรที่ทอเเสงอย่างมีคุณค่า ลูกแม่โดมจำนวนมาก รุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างทะยอยออกมาเป็นแกนหลักของสังคมไทยทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา

ลุมาถึงเหตุการณ์ยึดอำนาจเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ มีชาวโดมเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ออกมาต่อต้านเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจไปจากประชาชน “จิตวิญญาณ” ของชาวโดมหายไปไหนกันหมด แทนที่จะไม่ร่วมมือกันต่อต้านคณะผู้ยึดอำนาจ การณ์กลับซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้น ชนชั้นผู้นำของชาวโดมกลับไปเป็นมือเป็นไม้ให้กับคมช.เสียอีก ตัวอย่างมีให้เห็นกันชัดๆ อธิการบดีมธ.และอาจารย์ตัวเป้งๆได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ท่านอธิการบดีได้ให้เหตุผลว่า ท่านได้รับการแต่งตั้งโดยตำแหน่ง อีกทั้งในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของคมช.ย่อมไม่สามารถปฎิเสธได้ โดมตัวใหญ่ไร้จุดยืนที่มั่นคง ลูกแม่โดมเลยเดินไม่เป็นกันกระนั้นฤา

ทำไมท่านจึงไม่ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี ถึงจะมีการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ได้ก็ลาออกอีก เพื่อแสดงจุดยืนให้ประชาคมได้เห็นว่าชาวธรรมศาสตร์ต่อต้านเผด็จการทหารที่มาปล้นอำนาจไปจากประชาชน ชาวธรรมศาสตร์พร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างกับประชาชน”นี่ยังไม่นับรวมศิษย์เก่ามธ.หรือโดมชราหลายท่านที่ได้รับการเเต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี เป็นคณะกรรมการต่างๆ ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนให้กับคมช. ถามสักคำเถิดท่าน พวกท่านรับตำแหน่งไปได้อย่างไร ลืมอาจารย์ปรีดี ลืมอาจารย์ป๋วย ลืมวีรกรรมเก่าๆที่เคยต้านเผด็จการ ลืมบทบาทที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนเสียสิ้นแล้ว

ฤาว่า “จิตวิญญาณ” ของชาวโดมเปลี่ยนไป
ฤาว่า ชาวโดมลืมคำขวัญมธ. “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน
ฤาว่า ชาวโดมตีความหมายของคำว่า “ประชาชน” เพี้ยนไปจากเดิม ประชาชนอาจหมายถึงตัวท่านเอง
ฤาว่า ชาวโดมเลิกสอนให้ลูกโดมต่อต้านเผด็จการ เลิกสอนให้ลูกโดมรักประชาชน

การที่มธ.ไม่ได้รับการจัดอันดับโดยสกอ.ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศนั้น ดูจะเป็นข้อกังวลของท่านอธิการบดีไม่น้อย จึงได้ออกมาแถลงข่าวโต้ตอบว่าสกอ.ใช้เกณฑ์การจัดอันดับที่ไม่ได้มาตรฐาน จะกังวลไปใยท่านอธิการบดี ประเด็นที่ท่านควรกังวลมากที่สุดคือ ทำอย่างไรธรรมศาสตร์จึงจะเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในใจของประชาชน ท่านทำได้ครับ ด้วยการแสดงจุดยืนว่าอยู่เคียงข้างกับประชาชน แต่นี่กลับไปสวามิภักดิ์เผด็จการ มันเป็นไปได้อย่างไรกันนี่ แผนที่ประวัติศาสตร์การยึดอำนาจในประเทศไทย เคยมีครั้งไหนบ้างที่รัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหารเคยฝากผลงานที่ดีเอาไว้ให้กับประเทศชาติบ้าง ประชาคมมธ.ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้

มธ.ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสังคมว่า เพราะเหตุใดชาวธรรมศาสตร์จึงไม่กล้าออกมาต่อต้านเผด็จการอย่างเป็นรูปธรรมอย่างที่เคยเป็นมา
มธ.ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสังคมว่า เพราะเหตุใดผู้บริหารและคณาจารย์จึงไปรับตำแหน่งในสนช.
มธ.ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสังคมว่า เพราะเหตุใดชาวมธจึงไม่ออกมายืนเคียงข้างประชาชน
มธ.ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสังคมว่า เพราะเหตุใดชาวมธ.จึงไม่ออกมาจุดเทียนส่องทางให้กับผู้คนในแผ่นดินนี้ ชาวบ้านยังรู้เลยว่ามีข้อเคลือบเเคลงสงสัยต่อกระบวนการยุติธรรมในขั้นอัยการและศาล (ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ) ประชาชนที่ไหนจะกล้าออกมาวิจารณ์อัยการและศาล ประชาคมชาวมธ.ไม่ทราบเลยจริงๆหรือ หากพวกท่านไม่กล้าจุดเทียนส่องทางแล้ว ผู้ใดในแผ่นดินนี้หรือจะกล้า จะปล่อยให้ฟ้ามืดมิดปิดสนิทต่อไปหรือท่าน

รัฐประหารคราวหน้า - ถ้าหากมี แกนนำที่ออกมาต่อต้านคณะผู้ยึดอำนาจ อาจเป็นคณาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอกชน คนขับรถแท็กซี่ แม่ค้าขายส้มตำ ฯลฯ คงหมดวาระจากประชาคมของลูกแม่โดมเสียแล้ว ขอส่งท้ายว่า หากประชาคมชาวธรรมศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถามข้างบนได้เเล้วไซร้ ผมขอเสนอให้ถอนคำขวัญของมธ. “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” เพราะว่ามันไม่ใช่ของจริง หลอกทั้งตัวเอง หลอกประชาชนทั้งประเทศ

ป.ล. ขอเก็บค่าอ่านบทความนี้หน่อยนะท่าน ช่วยส่งบทความนี้ให้กับลูกแม่โดมสักคนที่ท่านรู้จัก ผู้เขียนไม่สงวนลิขสิทธิ์บทความนี้แต่อย่างใด อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ได้ตามสะดวก - เปลว คนรากหญ้า




 

Create Date : 29 มีนาคม 2550   
Last Update : 29 มีนาคม 2550 16:39:14 น.   
Counter : 370 Pageviews.  

1  2  

parivatana
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กระท่อมน้อยชายทุ่ง รากหญ้าภูมิปัญญาไทย ปรีดี พนมยงค์ และศิลปวัฒนธรรม ฉบับของคนรากหญ้า ที่ถ่ายทอดให้สังคมได้รับรู้ความเป็นไป
[Add parivatana's blog to your web]