Group Blog
 
All Blogs
 
A Snake of June: โลก(ย์)สีน้ำเงิน

เชิญเข้าไปอ่านบทความใน comment ได้เลยครับ



Create Date : 11 สิงหาคม 2548
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2549 2:49:35 น. 2 comments
Counter : 927 Pageviews.

 
สัญลักษณ์เพียบครับเรื่องนี้ แต่ดูแล้วยังไม่โดนเท่าไหร่
ผมมีมาตาฐานเดียวครับ มาตรฐาน5ดาว เรื่องนี้ผมให้สองดาวกว่าๆ


โดย: joblovenuk วันที่: 11 สิงหาคม 2548 เวลา:11:24:46 น.  

 


***(ระบบสี่ดาว), ***1/2(ระบบห้าดาว)


“คนเรามักไม่ยอมทำในสิ่งที่ต้องการเพียงเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าเราอยากจะทำสิ่งนั้นมากแค่ไหน” คือประโยคเด็ดจากหนังเรื่อง The Village ของผู้กำกับเอ็ม.ไนท์.ชยามาลาน ซึ่งอาจฟังดูชวนงง แต่หากขบคิดให้ดีจะพบว่ามันสะท้อนความเป็นมนุษย์ในมุมที่คนส่วนมากอาจไม่เคยนึกถึงได้อย่างลึกซึ้ง

จำได้ว่าตอนดู The Village ผมประทับใจประโยคนี้มากๆ(ต่างจากตัวหนังซึ่งผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่) ตรงที่มันไม่ใช่ปรัชญาสูงส่งอะไร หากแต่เป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ความจริงที่เราได้เจออยู่ทุกวัน แต่กลับไม่เคยรู้เท่าทันตัวเราเองเลยสักครั้ง

เวลาผ่านไปไม่นาน ผมเกือบจะลืมประโยคนี้ไปเสียแล้ว เพราะก็มีคำพูดใหม่ๆ จากหนังเรื่องอื่นๆ ที่ผมได้ดูหลั่งไหลเข้ามาทดแทน จนกระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับมันได้แวะเวียนกลับมาหาผมอีกครั้ง กับหนังญี่ปุ่นเนื้อหาสุด แรงของผู้กำกับที่มีสไตล์เฉพาะตัวสุดโต่ง ชินยะ ทสึกะโมโตะ ซึ่งมีชื่อว่า A Snake of June เปล่า.. ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไปหยิบยืมคำพูดนั้นมาใช้ เพียงแต่มันตอกย้ำความจริงเดียวกันได้เป็นอย่างดีต่างหาก

รินโกะ หญิงสาวที่มีทุกอย่างเพียบพร้อม มีชีวิตแต่งงานที่มั่นคง ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับสามี อาชีพการงานก็ดูจะไปได้สวยกับการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไปเสียหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับซึ่งแนบมากับรูปถ่ายของเธอตอนกำลังสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง!!



แน่นอนว่าชีวิตของเธอย่อมสั่นคลอน บุคคลลึกลับที่แอบถ่ายรูปเธอย่อมมีจุดประสงค์ในการส่งรูปมาให้ และมันก็คือการแบล็กเมลนั่นเอง ซึ่งโดยปกติทั่วไปเราคงนึกถึงการข่มขู่เอาทรัพย์สินเงินทองและการบังคับให้ทำสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งการยอมมีเซ็กซ์ด้วย แต่สำหรับครั้งนี้ ข้อเรียกร้องกลับแตกต่างออกไป และมันก็สุดแสนจะวิปริตเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด(ผู้อ่านอายุต่ำกว่าสิบแปดปีกรุณาอย่าอ่านต่อ เชื่อผมสักครั้งเถอะ)

เพื่อจะแลกกับฟิล์มรูปที่เธอถูกถ่าย รินโกะต้องใส่มินิสเกิร์ตที่สั้นจนเกือบปิดชุดชั้นในไม่มิดไปเดินในห้างสรรพสินค้า จากนั้นก็เข้าไปในร้านเซ็กซ์ช็อป ซื้อ.. เอ่อ.. ‘อุปกรณ์เสริม’ ตามด้วย.. ใส่มันเอาไว้ ปล่อยให้เจ้าคนลึกลับกดรีโมทใช้งานระหว่างที่เธอเดินช็อปปิ้ง วิปริตได้ใจใช่ไหมล่ะ



เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาคุณสามีก็ได้มารู้ความจริง แต่แทนที่เขาจะรับไม่ได้แล้วก็ทิ้งๆ เมียบ้ากามไปเสีย หรือไม่ก็ยอมรับและให้อภัยเธอแล้วขอให้เธอกลับเนื้อกลับตัว ผู้ชายที่มีหน้าที่การงานดีอย่างเขากลับเป็นอีกคนที่ไปตกอยู่ในวังวนกลเกมกามวิปริตนี้



แต่เดี๋ยวก่อน! ไอ้ความวิปริตน่ะมันเป็นสิ่งไม่ปกติสำหรับมนุษย์เราจริงๆ หรือ

อย่างรินโกะ ฉากหน้าเธอดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนโยน รักสามี งานของเธอเป็นการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตเสียด้วยซ้ำ แต่การเป็นคนแก้ปัญหาให้ผู้อื่นก็ไม่ได้แปลว่าตัวเองจะไม่มีปัญหา หรือจะสามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้เสมอไป

เธอมีความต้องการทางเพศสูง และไม่ค่อยได้รับการตอบสนองจากสามี จึงต้องระบายออกด้วยตัวเองบ่อยๆ นั่นคือด้านมืดที่เธอซ่อนเร้นไว้และไม่ต้องการให้ใครได้รับรู้ เพราะ- อย่างที่ทุกคนคงจะเห็นด้วย- มันเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างถึงที่สุด

ว่าแต่ แล้วคุณ ผม หรือใครต่อใครในสังคม มีคนไหนบ้างที่จะกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าตัวเองไม่ได้ปกปิดบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ รัก โลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา ใครบ้างไม่มีสิ่งเหล่านี้ และมีสักคนไหมที่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาทั้งหมดโดยไม่หวั่นเกรงต่อสายตาผู้อื่น

จุดเด่นของ A Snake of June ก็อยู่ตรงนี้เอง หนังทรงพลังด้วยตัวละครที่ดูบิดเบี้ยวพิลึกพิลั่น แต่แท้จริงแล้วอาจจะไม่ต่างจากตัวตนที่ใครหลาย ๆคนซ่อนเร้นไว้ คนที่เราเห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันนี้ว่าเป็นคนปกติ แท้ที่จริงต่างก็มีด้านมืดที่ซุกงำเอาไว้อย่างมิดชิดกันทั้งนั้น หนังตีแผ่ความจริงข้อนี้อย่างไม่ประนีประนอม แม้ว่ารินโกะจะถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ว่ามา แต่สุดแล้วท้ายมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอรังเกียจ เธอปรารถนามันด้วยซ้ำไป เพียงแต่ในยามปกติเธอก็ย่อมไม่กล้า ทำให้เราฉุกคิดว่าแท้จริงเราก็อาจจะไม่ต่างจากเธอก็ได้ หลายคนอาจปฏิเสธความจริงนี้ แต่อย่างน้อยหนังก็ทำให้เราได้ตั้งคำถามกับตัวเอง สำรวจตัวเองในมุมที่เราอาจจะเห็นอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดมาก่อน

จะว่าไปแล้ว พล็อตเรื่องแบบนี้สามารถสร้างออกมาเป็นหนังลามกที่เน้นยั่วยุกามารมณ์คนดูได้สบายๆ แต่ทสึกะโมโตะย่อมไม่ทำเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเขาให้ความสำคัญกับการสร้างตัวละครเอามากๆ ยิ่งกว่าการวางเค้าโครงเรื่องเสียอีก ทั้งตัวรินโกะ สามีของเธอ รวมถึงช่างภาพลึกลับ แต่ละคนล้วนมีด้านลึกที่ดำมืด และเรื่องราวของหนังก็เป็นการปะทะกันของด้านมืดเหล่านั้นนั่นเอง

การเลือกช่วงเวลาให้เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน(เดาเอาจากชื่อเรื่อง)ซึ่งเป็นฤดูฝนของญี่ปุ่นนับเป็นความฉลาดอย่างยิ่ง เพราะสภาพที่มีฝนตกแทบจะตลอดเวลานั้นสร้างความอึมครึมและสะท้อนภาวะทางจิตใจของตัวละครได้เป็นอย่างดี แต่ที่ยิ่งเหนือชั้นกว่านั้นก็คือการเลือกใช้ภาพขาวดำแล้วย้อมฟิล์มเป็นสีน้ำเงิน การย้อมสีฟิล์มนี้เป็นเทคนิคที่โบราณเอามากๆ ไม่น่าเชื่อว่าทสึกะโมโตะจะเลือกใช้และมันก็ได้ผลอย่างเหลือเชื่อ เพราะช่วยเสริมบรรยากาศของหนังให้ดูมืดหม่น และทำให้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ลึกๆ ที่แฝงอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่ดูเร่าร้อนได้ตลอดเวลา



สองฉากที่ผมชอบมากก็คือ การปรากฏตัวสองครั้งแรกของสามีของรินโกะ ครั้งแรกเขาขัดถูอ่างล้างจานหรืออ่างล้างหน้าผมไม่แน่ใจ ครั้งที่สองเขาก็ขัดอ่างอาบน้ำอยู่ สองฉากที่เรียบง่ายนี้กลับบ่งบอกอะไรมากมายถึงความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคู่นี้ อีกทั้งเสียงขัดถูที่ดังอู้อี้ชวนรำคาญก็ยังเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูได้สัมผัสสภาพความอึดอัดได้อย่างแยบคาย

นอกจากฝีมือการสร้างสรรค์ของทสึกะโมโตะแล้ว อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือการแสดง อาสุกะ คูโรซาว่า ทุ่มสุดตัวจริงๆ กับบทบาทรินโกะ ทั้งสีหน้า แววตา การแสดงความสับสนที่เธอทำได้สมบูรณ์แบบตลอดทั้งเรื่อง ทำให้รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีความซับซ้อนน่าค้นหามากกว่าจะเห็นเป็นดาวยั่ว แม้จะมีฉากที่กรีดร้องครวญครางโหยหวน ก็ทั้งเย้ายวนและบีบคั้นความรู้สึกไปพร้อมๆ กัน ต้องถือว่าเธอเป็นหัวใจที่หนังเรื่องนี้จะขาดไปไม่ได้อย่างแท้จริง

สำหรับคนที่มารับบทสามีของรินโกะ คือยูจิ โคตารินั้น ทุกครั้งที่เห็นเขาบนจอ ผมเป็นต้องนึกขำขึ้นมา(ซึ่งไม่ควรเลย) เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาชวนให้อดนึกถึงดาราฮอลลีวูดอย่างแดนนี่ เดอวีโต้ไม่ได้ แต่จะว่าไปก็นับว่าเขาเหมาะสมกับบทนี้ดี เพราะบุคลิกของเขาก็ช่วยทำให้เรื่องราวมีน้ำหนักมากขึ้น(ทำให้เชื่อได้ง่ายขึ้นว่าทำไมรินโกะจึงไม่มีความสุข)

อีกคนที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ บทของช่างภาพลึกลับ ซึ่งคนที่รับบทนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากผู้กำกับทสึกะโมโตะนั่นเอง เช่นเดียวกับที่เขาเคยร่วมแสดงในหนังที่เขากำกับเองหลายเรื่อง ซึ่งสำหรับในเรื่องนี้ ผมเห็นว่าการแสดงของเขายังไม่ถึงกับโดดเด่น เพราะบทบาทก็ดูจะออกแนวเหนือจริงเสียมาก จึงไม่ได้แสดงด้านลึกให้เห็นมากนัก แต่คิดๆ ดูแล้วก็เก๋ไปอีกแบบตรงที่เขากำกับเอง และก็รับบทเป็นคนที่ถ่ายรูปนางเอกเสียเอง เพราะเรื่องการถ่ายรูปก็เป็นเค้าโครงหลักของหนังเรื่องนี้ จึงกลายเป็นเสมือนว่าเขาเป็นคนคุมเกมทั้งในจอและนอกจอเลยทีเดียว



อย่างไรก็ดี การที่ผู้กำกับที่มีแนวทางแปลกแยกทำหนังโดยไม่ประนีประนอมกับคนดูเลยก็เป็นดาบสองคมอยู่เหมือนกัน หนังอาจจะเป็นตัวของตัวเองและชัดเจนสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีส่วนเกินบางอย่างที่เกิดจากความเอาแต่ใจให้เห็นอยู่เหมือนกัน การใส่บางฉากที่ไม่เข้ากับเรื่องลงไปโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง ก็เป็นทางเลือกของตัวผู้กำกับที่จะคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยยอมลดคุณค่าของหนังให้ด้อยลงไปบ้างอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

อาจจะขัดความรู้สึกของคนเคร่งศีลธรรมอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดอีกเรื่องหนึ่งสำหรับคอหนังนอกกระแสที่มีใจเปิดกว้างยอมรับสิ่งใหม่ๆ แม้จะไม่ได้ลงตัวนัก แต่ก็มีหลายต่อหลายอย่างให้ได้ขบคิดค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้สำรวจโลกของ ชินยะ ทสึกะโมโตะ ซึ่งไปๆมาๆ อาจจะกลายเป็นการสำรวจตัวเราเอง เพียงเท่านี้ก็สุดแสนจะคุ้มค่าแล้ว


โดย: เจ้าของ blog อะดิ (kitty_boo_end ) วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:2:31:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kitty_boo_end
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add kitty_boo_end's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.