วันที่ 7 ปารีส101 พระราชวังแวร์ซาย

23 มีนาคม 2568

ด้วยความมาปารีสครั้งแรกในชีวิต เลยวางแผนเที่ยวแบบปารีสสำหรับมือใหม่
ขอเรียกว่าวิชาปารีส101 ในเวลา 4วัน 4คืน มีสถานที่ที่ตั้งใจจะมาเห็นให้ได้ประมาณ พระราชวังแวร์ซาย หอไอเฟล มงมาตร์ มิวเซียมต่างๆอย่างลูฟ ออกเซย์ พอลองจัดกลุ่มที่เที่ยวก็พบว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เยอะพอสมควร เลยซื้อบัตรเบ่ง Paris Museum Pass สำหรับ 2 วัน 48hr (ราคาปี 2025, 70ยูโร) เอาไว้ แล้วจองเวลาเข้าล่วงหน้าสำหรับมิวเซียมฮิตๆไว้ก่อน จะได้มั่นใจว่าได้เข้าชัวร์ๆและไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวแบบไร้จุดหมาย เวลามีน้อยใช้สอยให้คุ้มค่าเนอะ

ตอนเช้าวันอาทิตย์ ยังเดินเล่นในย่าน Passy ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ถนนหนทางก็โล่งๆไม่มีผู้คน ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ว่าปารีสคนจะต้องเยอะเบียดเสียดแน่ๆ




เดินไปจุดถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล ที่ Av. de Camoens ในซีรี่ส์เอมิลี่อินปารีสก็มีมาถ่ายทำที่มุมนี้ด้วย แล้วโชคดีมากๆที่เจอน้องคนไทยมาถ่ายรูปตรงนี้พอดี เลยได้รูปสวยๆคู่หอไอเฟลแบบคนอื่นเค้าบ้าง ตลกที่น้องถามเราว่าพี่อยู่แถวนี้เหรอคะ แล้วน้องอีกคนตบกลับว่าคนอยู่แถวนี้เค้าไม่เดินมาถ่ายรูปกันตรงนี้หรอก 555 ถูกต้องที่สุดค่าาา เป็นนักท่องเที่ยว100%



ตั้งใจจะเดินไป Trocadero ซึ่งเป็นจุดชมหอไอเฟลที่แกรนด์ที่สุดในความคิดเรานะ ระหว่างทางเริ่มมีละอองฝนโปรยปราย ตอนออกโรงแรมมาก็คิดว่าเดินแค่ใกล้ๆไม่ได้เอาร่มติดมาด้วยสิ



สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปต่อ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น หัวชักจะเริ่มเปียกจริงจัง
เลยได้เห็นหอไอเฟลใกล้สุดเท่านี้



มาหลบฝนที่สะพาน Bir Hakeim 
Paris in the rain



แวะมาเก็บอีกมุมถ่ายรูปกับหอไอเฟลที่ Maison de Balzac 
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และคาเฟ่ เคยเป็นบ้านของบัลแซกนักเขียนชื่อดังคนนึงของฝรั่งเศส เราไม่ได้รู้จักผลงานเค้าหรอก แต่ชอบความเป็นบ้านเล็กในกรุงปารีสที่มีหอไอเฟลเป็นแบคกราวด์ เรามาถึงที่นี่ก่อนเวลาเปิด 10.00น. ไม่งั้นจะขอเข้าไปนั่งชิลจิบกาแฟในคาเฟ่เค้าซักหน่อย



เลยมาซื้อขนมจากร้านนี้ไปกินเป็นมื้อเช้าที่โรงแรมแทนก็แล้วกัน
ร้าน Merveilleux de Fred เป็นร้านขนมที่มีหลายสาขาในปารีส ขายทั้งพวกขนมปัง ครัวซอง ขนมหวาน แต่สิ่งที่เป็นตัวเด่นของร้านคือ แมเวโย



ย่าน Passy ยังเป็นแหล่งรวมตึกฟาซาดสวยๆ สไตล์อาร์ตนูโวเยอะที่สุดในปารีส นี่ถ่ายมาจากข้างโรงแรมเลย จริงๆตรงนี้เป็นย่านที่ดูปลอดภัยนะ สะอาด เงียบสงบ แทบไม่เห็นคนนอนข้างทาง แต่ข้อเสียคืออยู่ห่างจากที่เที่ยวในเมือง อยู่ใกล้แค่หอไอเฟล เมโทรเข้าเมืองก็มีอยู่สายเดียว



กลับมากินขนมแมเวโย่ที่ซื้อตะกี้ที่ห้องที่โรงแรม มันอร่อยมากกก อร่อยแบบยังตราตรึงจนถึงทุกวันนี้ ฐานเป็นเมอแรงค์ โปะด้วยครีมเบาๆหอมหวาน แล้วโค้ทปิดด้านนอกแปรเปลี่ยนกันไปตามแต่ละรสชาติ ซื้อมาลอง 2 รส ช็อกโกแลตกับคาราเมล เราชอบรสช็อกโกแลตมากกว่า



หลังจากนั้น เราเก็บของเช็คเอ้าท์จากโรงแรมเดิม ย้ายเอาสัมภาระไปฝากไว้ที่โรงแรมใหม่ที่ย่าน Latin Querter
แล้วค่อยออกเดินทางต่อเพื่อไปพระราชวังแวร์ซาย 

ซึ่งตามที่ค้นหามาก่อนคือ สามารถนั่ง RER C จากแซงมิเชลไปลงที่แวร์ซายได้โดยตรง แต่ความเป็นจริงคือสถานี RER C ที่แซงมิเชลปิดให้บริการ นี่ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่สถานี สรุปต้องนั่งเมโทรสายสีเหลืองไปลง Javel - Andre Citroen แล้วออกจากสถานี ข้ามถนนไปสถานี RER Javel เพื่อต่อไปยังแวร์ซายอีกที เราว่าระบบรถไฟปารีสมันมีความสับสนงงงวยอิหยังวะอยู่เรื่อยๆ มันไม่สมูธไร้รอยต่อขนาดนั้นอ่ะ

แต่ที่สุดแล้วเราก็มาถึงพระราชวังแวร์ซายจนได้ นั่งรถไฟมาประมาณชั่วโมงเดียวจากปารีส
จากสถานีรถไฟต้องเดินไปต่ออีกครึ่งกิโล เดินตามกระแสคนไปได้เลย 

โน้น เห็นวังอยู่ลิบๆแล้ว



มีอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่14 Le Roi Soleil ตั้งอยู่กลางลานหน้าพระราชวังแวร์ซาย
เป็นบุคคลที่เปลี่ยนให้วังเล็กๆที่ถูกสร้างไว้พักตอนออกมาล่าสัตว์ ณ เมืองชนบท กลายเป็นพระราชวังแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพื่อประกาศความเป็นมหาอำนาจ ความมั่งคั่งเป็นหลักฐานให้เราได้เห็นกันถึงทุกวันนี้



เราจองรอบเข้าตอนบ่ายโมง ซึ่งในพาสที่ซื้อมาจะเข้าได้ทั้งพระราชวังแวร์ซาย และเตรียนงซึ่งเป็นอาคารแยกอยู่กลางสวนที่ห่างจากวังไปอีก 2-3 กม. ส่วนสวนนี่เข้าได้ฟรีอยู่แล้วไม่ต้องซื้อตั๋ว ตอนแรกก็กะจะไปเตรียนงด้วย แล้วก็อยากไปเห็นกระท่อมน้อยโคกหนองนาของพระนางมารีอังตัวแนต ที่สร้างไว้ใช้หลบความวุ่นวายในวังไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่นั่น แต่แค่เดินเที่ยวในวังแวร์ซาย ขาทั้งสองข้างก็แทบจะร้องขอชีวิต
ถึงว่าสิ ไม่ค่อยเห็นรีวิวเตรียนง เพราะทุกคนคงหมดแรงกันตั้งแต่ตอนเดินในวังกันแล้วแหละ 555



พอถึงรอบเวลาเข้า เจ้าหน้าที่ก็เริ่มปล่อยแถวเข้าไป ต้องใช้เวลาต่อคิวในการตรวจร่างกายและสัมภาระที่ติดตัวมาเล็กน้อย



ผ่านไป 15 นาที ก็ได้มายืนเป็นพจมานที่ด้านหน้าพระราชวังแวร์ซายที่ Cour Royale



เดินเที่ยวแบบงงๆ มีเส้นทางให้เลือกไปเยอะมาก
จริงๆทางนี้ ถ้าเดินไปจนสุดจะมีโรงโอเปร่าของวัง แต่เราเดินไปไม่ถึงวกกลับมาก่อน เห็นคนน้อยๆ นึกว่าไม่มีอะไร 



สวัสดีท่านเจ้าของบ้าน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 
มีรูปภาพรูปสลักหลุยส์ที่ 14 กระจายอยู่ทั่ววัง เป็นรูปที่มีทุกห้อง 55



Royal Chapel วังใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีโบสถ์น้อยได้ไง



ที่นี่เรียกห้องย่อยว่า Apartment ซึ่งเฟอร์นิเจอร์เดิมๆ ก็ถูกย้ายออกจากวังในช่วงหลังการปฏิวัติไปซะเยอะแล้ว ช่วงแรกๆก็จะเป็นแสดงภาพตกแต่ง เป็นภาพบุคคล พระราชวังแวร์ซายในแต่ละยุคสมัย ความเป็นอยู่ของคนในวังสมัยนั้น



ขึ้นมาชั้นสอง จะเจอ Hercules room เป็นห้องแรก ของห้องชุด King's State Apartment
เป็นชุดห้องที่ใช้สำหรับพิธีการต่างๆของพระมหากษัตริย์ต่อกันยาวไป 7 ห้อง อยู่ปีกขวาของพระราชวัง

มีเตาผิงขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา 



ภาพเขียน The Feast in the House of Simon the Pharisee
เป็นภาพที่นครเวนิสส่งเป็นของขวัญแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ถูกแขวนแสดงที่ห้องเฮอร์คิวลิส พระราชวังแวร์ซาย ตั้งแต่ปี 1712



ห้อง Venus Room ด้านบนเพดานมีภาพเขียนของเทพีวีนัส



Mercury room ใช้เป็นห้องนอนเดิมของพระราชา ก่อนที่ต่อมาจะย้ายห้องนอนไปอยู่ตรงกลาง ห้องด้านหน้าสุดที่หันไปทางทิศตะวันออก เพราะหลุยส์ 14 ต้องการตื่นมาแล้วได้อาบแสงอาทิตย์แรกของวัน ให้สมชื่อสุริยกษัตริย์ เดี๋ยวได้เดินไปดูหลังจากนี้แหละ



เดินมาจนสุดพ้นทั้ง 7 ห้องของ The King's State Apartment ก็จะพบกับห้องโถงใหญ่ของห้อง War Room เป็นห้องสุดท้ายของอาคารปีกขวาฝั่งพระมหากษัตริย์ ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นโถงต้อนรับเข้าสู่ความหรูอลังการสุดๆของพระราชวังแวร์ซายที่กำลังจะได้เจอ 



นั่นก็คือห้องกระจก The Hall of Mirror ที่ใครมาเที่ยวที่พระราชวังแวร์ซาย อย่างน้อยสุดก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองฝรั่งเศสมาแล้วมากมาย เจ้าพระยาโกษาธิบดีทูตจากอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ก็เคยมาเข้าเฝ้าคิงหลุยส์14 ที่ Hall of Mirror มาแล้วเช่นกัน



ก่อนจะมาเป็น Hall of Mirror แบบที่เห็น เมื่อก่อนเป็นระเบียงเชื่อมระหว่างปีกซ้ายขวาของวัง ต่อมาก็เลยสร้างหลังคาคลุม ตกแต่งด้วยกระจกซึ่งเป็นวัสดุสุดหรูในสมัยนั้น ไหนจะแชนเดอเลียที่ห้อยตกแต่งอีก นึกถึงเราเป็นทูตมาติดต่อกับราชสำนักฝรั่งเศสต้องเดินผ่านความหรูหรามลังเมลืองมาตลอดแนว กว่าจะถึงตัวคิงที่นั่งรออีกฝั่งก็คงรู้สึกตัวเล็กตัวน้อยลงบ้างแหละ คราวนี้จะพูดคุยต่อรองอะไรก็คงง่ายกว่าเดิมนิดนึงมั้ง



จากห้องโถงกระจก สามารถทะลุมายังห้องนอนห้องใหม่ของกษัตริย์ที่เมนชั่นไปตอนแรกได้
ห้องนี้ตกแต่งด้วยสีทองอร่าม เป็นห้องตรงกลาง ที่หันหน้าออกไปลานด้านหน้าวังฝั่งตะวันออกได้เลย

สมัยนั้นแทบทุกอิริยาบถของกษัตริย์และพระราชินี ถือเป็นพิธีการทั้งหมด จะมีขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าชมและมีส่วนร่วมด้วย ไม่เว้นแม้แต่การเข้านอนตื่นนอน การอาบน้ำ หรือการร่วมเตียงของคิงและควีน



ออกจากห้องกระจกมาทางปีกซ้าย ฝั่งของราชินีมาเจอห้อง Peace room 



มาดูห้องนอนของพระราชินีกันบ้าง เค้าปิดม่านก็เลยห้องจะมืดๆหน่อย ตกแต่งเป็นลายดอกไม้



โถงบันไดในแวร์ซาย



แม้ว่าพระราชวังแวร์ซายจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์ปกครอง แต่พอเกิดการปฏิวัติที่นี่ก็ยังคงถูกใช้งานอยู่ ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อย่างห้อง Coronation Room ที่สร้างเพื่ออุทิศแก่นโปเลียน โบนาปาร์ต หรือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีภาพเขียนสดุดีวีรกรรมในการรบสมรภูมิต่างๆรอบห้อง 

ภาพแสดงการทำพิธีราชาภิเษก ภาพนี้ของแทร่ภาพแรกจะอยู่ที่ลูฟมิวเซียม ซึ่งเป็นภาพที่ถูกย้ายมาจากแวร์ซาย ส่วนภาพที่เห็นที่แวร์ซายตอนนี้เป็นภาพก็อปปี้
ก็คือไม่งงเนาะ!



เสา Austerlitz Column ที่ตั้งกลางห้อง นโปเลียนเป็นคนสั่งทำเพื่อฉลองชัยชนะ ทำจากกระเบื้องพอร์ซเลน



ห้องหลังๆ จะเป็นห้องสดุดีทหารแทนกษัตริย์แล้วค่ะ
The Gallery of Great Battles เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง รวมภาพวาดแสดงชัยชนะในศึกต่างๆของฝรั่งเศส 



กว่าจะมาเป็นฝรั่งเศสในทุกวันนี้ ผ่านการล้มล้างการปกครองของกษัตริย์ ผ่านการพยายามพากลับมาใหม่ ผ่านยุคจักรวรรดิสู่สาธารณรัฐ
Congress Chamber เป็นห้องที่ถือว่าใหม่ในพระราชวังแวร์ซายเพราะเพิ่งสร้างขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง เปิดใช้งานในปี 1876



หัวจะปวด กับประวัติศาสตร์ปารีส 101 ก็เดินออกมาห้องขายของที่ระลึกพอดี
ถึงแม้หลุยส์ 14 จะทรง PR หนักเพียงใด แต่ในทาง pop culture เราให้พระนางมารี อังตัวแน็ตชนะเลิศ มีรูปนางแปะอยู่ในทุกสินค้า ดิไอคอนตัวจริง ที่ผ่านมายังไม่ได้พูดถึงนางเลยอ่ะ เป็นพระราชินีในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่พระราชวังแวร์ซาย ก่อนจะโดนโทษประหารด้วยกิโยตินกันไปทั้ง 2 พระองค์



ออกมาสูดอากาศที่สวนของวัง ยิ่งใหญ่เกินไป



เอกลักษณ์ของสวนแบบฝรั่งเศสคือความเป๊ะ สมมาตร สเกลใหญ่โต ด้วยความมั่นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่คิดว่าอยากได้อะไรต้องได้ ไม่มีอะไรใต้ท้องฟ้าฝรั่งเศสที่ชั้นกำหนดไม่ได้ ทั้งบ้านทั้งสวนก็เลยออกมาเว่อวังอลังการแบบที่เห็น เมืองหนาวแต่อยากปลูกส้ม ก็ปลูกจนได้ สิ้นเปลืองไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้

นี่คือแค่เดินมาตรงนี้ ขาก็เปลี้ยหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึง Trianon, Queen's Hamlet ที่อยู่ห่างออกไป 3 กม.เลยนะ แค่คิดถึงตอนเดินกลับยังไม่แน่ใจกำลังตัวเองเลยอ่ะ 



ตอนแรกกะว่า เดินให้ถึงน้ำพุ Apollo สีทองไกลๆนั่นก็ยังดี
สุดท้ายฟ้าฝนเป็นใจ ตกมาแบบไม่ยั้ง ทางเราเลยหันหลังกลับแบบไม่ใยดี (พร้อมยิ้มมุมปาก)



เดินสะโหลสะเหลมาถึงสถานีรถไฟจะสอดตั๋วกลับปารัส ปรากฎตั๋วใช้ไม่ได้อี้ก 
เจ้าหน้าที่สถานีบอกว่า ตั๋วที่เราซื้อมาเป็นตั๋วที่ใช้ได้เฉพาะในโซนเมืองปารีส ขาออกมาแวร์ซายใช้ได้เพราะต้นทางคือปารีส แต่ขากลับจากแวร์ซายเข้าปารีสใช้ไม่ได้ อิหยังวะมากกกก แล้วมีแต่นักท่องเที่ยวเจอแบบเดียวกัน ทุกคนก็ต้องเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วกลับปารีสใหม่กัน

มาโผล่ที่สถานีเมโทร Cluny- La Sorbonne ตึกตรงข้ามคือ โรงแรมที่เราจะพักในอีก 3 คืนที่เหลือในปารีส ทำเลดีติดสถานีเมโทร และ RER B ที่ไป CDG ก็นั่งแค่ต่อเดียวถึง สุดยอดแห่งโลเคชั่นมากๆ



พักที่ Hotel Cluny Square อยู่เขต 5 ทำเลดี กลางเมือง ย่านมหาวิทยาลัย ร้านอาหารเยอะ เป็นเขตเดียวกับที่ยัยเอมิลี่ใน Emily in Paris อยู่นั่นแหละค่า รีเซฟชั่นที่เป็นคนฟิลิปปินส์น่ารักมากๆ คุยเก่ง คุยแบบไม่ยอมปล่อยให้ไป พอรู้ว่าเรามาจากเชียงใหม่ ก็ชวนคุยใหญ่เลย เพิ่งไปเที่ยวเชียงรายเชียงใหม่มาเมื่อปีที่แล้ว 

พอเช็คอินเปิดห้องมาปุ๊บ ถึงกับกรี๊ด ห้องน่ารักมากๆ 



ห้องน้ำ เจ้าหน้าที่แจ้งขออภัยว่าวันนี้ยังไม่มีฝาชักโครกเพราะแขกคนก่อนเพิ่งทำแตกไป แต่วันถัดมาเค้าก็มาติดตั้งเรียบร้อยตอนเราออกไปเที่ยว



วิวจากห้องฝั่งนี้ มองไปเห็นถนนบูเลอวาดแซงแฌคแมงและพิพิธภัณฑ์ Cluny ซึ่งแสดงศิลปะในยุคกลาง



พอเรี่ยวแรงเริ่มกลับมา ก็ออกเดินสำรวจใกล้ๆเร็วๆ เดินมา 5 นาทีก็เห็นโบสถ์นอทเทรอะดาม



ผ่านหน้าร้านหนังสือสุดฮิต Shakespeare & Company ที่มีคิวตลอดเว



มุมนี้น่ารักมาก ร้าน Odette ขายชูว์ครีม มีคนบอกว่าอร่อยมากด้วย แต่เราไม่ได้ลอง



โบสถ์ Saint Severin ซอยข้างๆโบสถ์ก็เป็นโซนร้านอาหารมากมาย ที่เรียกว่า Latin Quertier ย่านลาติน กินพื้นที่ไปจนถึงข้างโรงแรมเราเลย



ติดใจจากเมื่อวาน วันนี้กินอาหารจีนราดข้าวอีกแล้ว อร่อยสุดยอด 55
(สารภาพบาปว่ามาปารีส แต่ไม่ได้กินร้าน French restaurant ซักมื้ออ่ะ)



เหนื่อยมาทั้งวัน จากนี้ชั้นจะอาบน้ำนอนหลับให้สบายไปเลย
วิวปารีสยามเย็นจากห้องพัก ฝั่งบูเลอวาดแซงมิเชล มีเต็นท์ขายของตลาดนัดด้วย


 



Create Date : 21 สิงหาคม 2568
Last Update : 22 สิงหาคม 2568 16:46:02 น. 1 comments
Counter : 268 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณ**mp5**, คุณหอมกร


 
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ


โดย: **mp5** วันที่: 1 กันยายน 2568 เวลา:6:28:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#21


 
khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.