วันที่ 8 วันแห่งมิวเซียม Sainte Chapelle, Louvre, Orangerie

24 มีนาคม 2568

โปรแกรมแน่นมาก เพราะมีนัดเข้ามิวเซียมตั้ง 3 ที่ เริ่มต้นที่ Sainte Chapelle ต่อด้วย Louvre และ Orangerie เป็นจุดสุดท้าย แม้ว่าทั้งหมดนี้จะมี Paris Museum Pass ที่ใช้เข้าได้อยู่แล้ว แต่เพราะเป็นมิวเซียมยอดฮิต ในเวบของ PMN ใช้คำว่า Mandatory reservation คือ บังคับจองรอบเข้าเท่านั้นที่จะการันตีว่าจะได้เข้าแน่ๆ



โหลดมื้อเช้าที่โรงแรมให้แน่น เราพกครัวซองกับชีสที่เหลือจากที่เค้าเสิร์ฟติดมาด้วย ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยชีวิตของวันนี้ในเวลาต่อมา



นี่ว่าคิดถูกมากที่เลือกมานอนโรงแรมกลางเมือง ทำให้เดินทางง่าย ใกล้กับที่เที่ยว แล้วบรรยากาศแถวนี้มันดี ขนาดเป็นป้าเอเชียตัวเล็กๆมาคนเดียวก็ไม่รู้สึกว่าปารีสน่ากลัวเลยอ่ะ เดินจากโรงแรมไป Sainte Chapelle แค่ 300 เมตร ระหว่างทางข้ามแม่น้ำ Seine เห็นโบสถ์ Notre-Dame มันคือปารีสที่ถูกต้อง 



จองรอบเข้า Sainte Chapelle ตอน 9 โมง มาถึงก็พบว่ามีคนมาต่อแถวยาวอยู่ก่อนหน้าแล้ว ถ้าจองรอบเวลามาก่อนก็ไม่ต้องกังวล ยังไงก็ได้เข้าตามรอบที่จองมาแน่นอน ส่วนแถวที่ไม่ได้จองมาก่อนคือยาวมากๆ ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนนน๊



Sainte Chapelle ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité ใจกลางกรุงปารีส เป็นจุดที่เคยเป็นวังเก่าในยุคกลาง ซึ่ง Sainte Chapelle ถูกสร้างขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 13 เพื่อใช้เป็นวัดน้อยสำหรับคนในวังนั่นเอง

ด้วยความที่อยู่ติดกันกับศาลเมืองปารีส กว่าจะผ่านซิเคียวริตี้มาได้ก็ตรวจกันละเอียดอยู่ ห้ามเอาน้ำเข้า เราเลยได้เทน้ำดื่มทิ้ง เดชะบุญยังเก็บขวดเปล่าไว้หาเติมน้ำต่อได้ แล้วตะกี้ก่อนออกโรงแรมเพิ่งกรอกน้ำมาซะเต็มขวดเลยกรู 555 

เปิดประตูเข้ามา ก็ป๊ะกับห้องขายของที่ระลึกสีคัลเลอร์ฟูลที่เป็นแค่น้ำจิ้ม เดี๋ยวได้วนกลับมาตรงนี้อีกแหละ เข้าออกประตูเดียวกัน




เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ค่อยเจอความสวยตาแตกแบบจัดเต็ม
สมกับคำโฆษณาที่เค้าว่า ที่นี่เป็นอัญมณียอดมงกุฎของสถาปัตยกรรมโกธิคแห่งคริสตศตวรรษที่ 13 



กระจกสีรายล้อมทุกทิศทาง เหมือนอยู่ในกล่องเพชรกล่องพลอยประมาณนั้น



พื้นที่เล็กนิดเดียวแต่ดัชนีความว้าวสุดเพดาน เค้าจำกัดจำนวนคนเข้าต่อรอบให้ไม่แออัด อยู่ได้ครั้งละไม่เกินครึ่งชม. และมีเจ้าหน้าที่ส่งเสียงชู่ว์ไม่ให้คุยเสียงดังเป็นระยะๆ



Palais de Justice de Paris ศาลเมืองปารีสที่อยู่ติดกัน เหมือนวันนี้มีงานสำเร็จการศึกษาอบรมอะไรซักอย่าง มีคนมาถ่ายรูปแสดงความยินดีกับคนใส่ชุดครุยอยู่หลายกลุ่ม

แล้วก็เป็นที่นี่แหละ ที่มีการตัดสินโทษประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอองตัวแน็ต 



Conciergerie ป้อมปราการและวังของกษัตริย์ฝรั่งเศสในยุคกลาง ต่อมาใช้เป็นคุกขังนักโทษคดีการเมือง รวมถึงใช้ขังมารี อองตัวแน็ตอยู่หลายเดือนก่อนจะถูกประหารชีวิต เราติดตาฉาก Conciergerie จากตอนพิธีเปิดโอลิมปิกปารีส 2024 สุดๆ ดีใจที่ได้มาเห็นของจริงซักที ปกติคนเข้า Sainte Chapelle ก็มักจะเข้าชมที่นี่ต่อเลย เพราะอยู่ติดกัน แต่เราขอข้ามไปก่อน มีนัดถัดไปตอนสิบโมง เดี๋ยวมันจะไม่ทันเอา 



เมืองปารีสถูกแบ่งกลางด้วยแม่น้ำเซน แยกเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ฝั่งซ้ายแม่น้ำเซน หรือ Rive Gauche ที่เราพักอยู่ จะมีบุคลิกแบบศิลปิน ชิลๆ ย่านมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งไอเดียใหม่ๆ ส่วนฝั่งขวา Rive Droite บุคลิกจะหรูหรา เป็นวังเก่า ย่านช้อปปิ้งไรงี้ 

ข้ามสะพานมาปุ๊บเจอเลยหนึ่งห้างเก่าแก่ Samaritaine
อ่านเจอจากไหนมาไม่รู้ว่า คำว่าเริ่ดสะแมนแตน มาจากชื่อนี้ Le Samaritaine
เราว่ามันก็เป็นไปได้อยู่นะ 555 



มาถึงแล้ว มิวเซียมที่อยากมาซักครั้งในชีวิต 
Musee de Louvre



มาต่อแถวรอเข้าที่ปิระมิดแก้วทางเข้าหลักของพิพิธภัณฑ์ คนออกแบบว่ากล้าแล้ว คนอนุมัติให้ทำกล้ากว่าอีก แหวกลานกลางพระราชวังด้วยปีระมิดแก้วจากสถาปนิกชาวจีนอเมริกัน ใจพี่มันได้!!
นี่ถ่ายมุมหลบคน



ส่วนนี้คือสภาพจริง แถวยาวทบกันไปมา แต่ก็ค่อยเคลื่อนไปเรื่อย ที่เห็นนี่เป็นแถวของคนจองรอบเข้ามาแล้วนะ 



15 นาทีต่อมา เราก็อยู่ด้านในปิรามิดเรียบร้อย สวยนะ ดูโมเดิร์นตัดกับวังเดิมๆดี



พิพิธภัณฑ์ลูฟเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดรวมผลงานต่างๆไว้เป็นแสนชิ้น แต่ที่นำออกแสดงมีประมาณ 35000 ชิ้น ทุกอารยธรรมมนุษย์ทุกยุคสมัยบนโลกนี้ ฝรั่งเศสได้แฮฟมารวมไว้ที่นี่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางดูได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้นได้ สำหรับเรามีให้เวลาลูฟ 5 ชั่วโมง ดังนั้น choose wisely ค่ะสาว แผนที่มา!!

แบ่งเป็น 3 ปีก Denon, Richelieu, Sully wing
ที่ตั้งใจมาดูจะอยู่ที่ Denon wing ซะเยอะ ดังนั้นพุ่งไป Denon wing ก่อนค่ะ



ลูฟต้อนรับด้วย Nike of Samotrace ตั้งเด่นเป็นสง่าตรงโถงบันไดฝั่งเดอนง



ถ้าเป็นมิจฉาชีพ ชั้นจะซื้อตั๋ว 20 กว่ายูโร มาล้วงกระเป๋าคนในลูฟนี่แหละ
คิดชั่วๆได้ตอนเดินผ่านแถวๆนี้ คนแออัดมาเบียดกันตรงทางสามแพร่งนี้มากมาย น่าล้วงได้หลายยูโร คืนทุนไวแน่ๆ



มาถึงอีกสุดยอดทำเลทองของนักล้วง ห้อง Italian Paintings รวมเอาภาพจากศิลปินคนดังในเวนิส ทั้ง Titian, Tintoretto, Veronese แต่ทุกคนที่เข้าห้องนี้ดูจะมุ่งตรงมายังภาพพอร์ทเทรตเล็กๆของสตรีคนหนึ่ง

ใช่แล้วฮ่ะ เราจะมาเยี่ยมเยียนภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกกัน เห็นหนูมั้ยค๊าาา ฝั่งขวามือ รูปเล็กนิดเดียวนั่นล่ะ



สวัสดีค่ะ ดิชั้น Mona Lisa เองค่ะ

ภูมิใจที่สามารถมุดเล็ดลอดมาจนอยู่แถวหน้าสุดได้ ตั้งใจมาจากบ้านไว้แล้ว ว่าข้ามน้ำข้ามทะเลมาขนาดนี้ ต้องเจอโมนาลิซ่าแบบใกล้ๆไม่มีหัวคนบังให้ได้



โมนาลิซ่าคือใคร มีหลายเรื่องมากตั้งแต่ดาวินชีวาดตัวเองในภาคผู้หญิง หญิงสาวปริศนาผู้มีรอยยิ้มลึกลับ แต่ที่เราเลือกจะเชื่อคือ เธอคือภรรยาของเจ้าสัวเวนิสตระกูล Gioconda ที่ได้ว่าจ้างให้เลโอนาร์โด ดาวินชีวาดรูปสุดที่รักให้ ในพิพิธภัณฑ์บางป้ายบอกทางจะเขียนว่า La Joconde ซึ่งเป็นชื่อภาพนี้ในภาษาฝรั่งเศส

หันหลังให้โมนาลิซ่า ผนังอีกฝั่งคือภาพวาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมิวเซียม
The Wedding Feast at Cana วาดโดย Veronese



พักชมสิ่งน่าสนใจนอกหน้าต่างซักครู่ 
ดู พอเข้ามิวเซียม อากาศข้างนอกก็สดใสเชียวนะ ฮึ่มมม



ห้อง French Paintings 
ตรงไหนคนเยอะ แสดงว่าเราต้องตามไปมุงด้วย หลักการของวันนี้



อีกภาพที่ต้องมาเห็นกับตาเนื้อให้ได้ Liberty Leading the People ของ Eugene Delacroix ที่สื่อถึงการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ฝรั่งเศส French Revolution ในปี 1789


นอกจากนี้ยังเป็นภาพหน้าปก Viva la Vida ของ Coldplay อีกด้วย เอ๊าเพลงมา I used to rule the world. Sea would rise when I gave the word.



ลูฟก็คือวังเก่าก่อนพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะย้ายไปอยู่แวซาย ดังนั้นแค่ความโออ่าหรูหราข้างในก็คุ้มค่าที่จะเข้ามาดูแล้วล่ะ 



บลอกที่แล้วไปดูภาพ The Coronation of Napoleon ที่แวซาย ส่วนบลอกนี้พามาดูภาพเดียวกันแต่เป็นภาพต้นฉบับกันที่ลูฟ ดูมันทั้ง 2 ที่ไปเล้ย

เป็นภาพที่ให้ศิลปินไปเก็บบรรยากาศในงานพิธีสถาปนาด้วยตัวเอง เลยมีความสมจริงมาก คนที่มาร่วมงานตรงตามจริง แถมยังสังเกตเห็นคนบางคนในรูปแอบบึนปากใส่ความเซล์ฟจัดของนโปเลียนที่ทำหน้าที่สวมมงกุฎให้จักรพรรดินีโจเซฟีนด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นโป๊บที่ทำหน้าที่นี้ แล้วยังมีการวาดแถมอีกนิดหน่อย คือเพิ่มแม่ของนโปเลียนเข้าไปนั่งร่วมงานทั้งๆที่จริงไม่ได้ไป



Apollo Gallery ห้องนี้สร้างตามดำริของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยให้สถาปนิกคนเดียวกับที่ออกแบบแวซายมารีโนเวทให้ หลุยส์14 สมมติตัวเองเหมือนเทพอะพอลโล่ หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ ห้องนี้เลยมาในธีมการเปลี่ยนผ่านของวันเวลา มีการวาดราศีทั้ง 12 ราศีบนเพดาน รวมถึงวาดภาพเทพอะพอลโล่ไว้ตรงกลาง



บ้านหลุยส์ของจริง ก็จะหรูหรายุ่บยั่บประมาณนี้



เป็นห้องแสดงเครื่องประดับอัญมณีของมีค่าของราชวงศ์ฝรั่งเศสที่เหลืออยู่ เพราะบางส่วนคณะปฏิวัติก็เอาไปขายต่อแล้ว



เป็นรูปที่มีทุกบ้าน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14



มาถึงโซนอารยธรรมอียิปต์ เป็นที่ที่เราอยากมาดูมาก รอบที่ไปวาติกันมิวเซียมเค้าปิดโซนอียิปต์พอดี อยากเห็นมัมมี่จริงๆซักครั้ง



แล้วก็ได้เห็นมัมมี่ตัวตริงที่ลูฟ ซึ่งมี 1 ร่างถ้วน แต่เราไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปนะ รู้สึกเองว่าถ้าเราตายไปก็คงไม่อยากให้ใครถ่ายรูปมาลงในโซเชี่ยลอ่ะ ใจเข้าใจเรา (จริงๆกลัวคำสาป55) แต่มีโลงศพโชว์หลายโลงเลย 



ค่านิยมของยุคสมัยต่างกันได้ขนาดนั้น ตอนนี้ยูโรปขึ้นชื่อได้ว่ามีนโยบายโอบรับความแตกต่าง แฟร์เทรด ส่งเสริมเสรีภาพความเท่าเทียม แต่ในยุคล่าอาณานิคมเหมือนเป็นหนังคนละเรื่อง ข้าวของของอารยธรรมที่ได้มาจัดแสดงในมิวเซียม ต่างเป็นของที่ได้มาในยุคบุกรุกดินแดนอื่น ข่มเหงบังคับเอามาเป็นของตัวเอง ไม่ได้บอกว่าดีหรือแย่ แต่คิดเอาเองว่า ถูกผิดของมนุษย์มันขึ้นกับการตีความและค่านิยมของยุคสมัยก็เท่านั้น



ช่วงที่ไป มีการจัดนิทรรศการชั่วคราว Louvre Couture
อย่างที่เรารู้กัน ว่าฝรั่งเศสโดยเฉพาะปารีสขึ้นชื่อเรื่องแฟชั่น เจาะจงลงไปอีกคือแฟชั่นชั้นสูง มีการออกแบบตัดเย็บที่ปราณีต ใช้ฝีมือช่างชั้นดี งานนี้ลูฟเลยร่วมมือกับเหล่าห้องเสื้อกว่า 45 แบรนด์ นำเครื่องแต่งกายมาร่วมจัดแสดงรวมกับคอลเลคชั่นที่มีอยู่ของพิพิธภัณฑ์ 

เริ่มเบาๆที่หน้างาน ด้วยชุด evening gown ของ Christian Dior



นี่ก็ Christian Dior Spring Collection 2005 พอมาวางกับการตกแต่งสมัยพระเจ้าหลุยส์ก็คือเข้ากันม้ากกก



Chloe สมัย Karl Laferfeld ชุดนี้แบบตะวันออก เราเป็นคนไม่สันทัดแบรนด์เนมเลยยย ยังดูแล้วสวย ดูในด้านความงาม ศิลปะ ความตั้งใจสร้างสรรค์ ระหว่างทางแอบฟังคนที่เค้าสนใจด้านแฟชั่นคุยกัน แล้วก็เพลิดเพลินดีนะ ทำให้มีคนกลุ่มใหม่ๆ ร่วมสมัย ความสนใจแตกต่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมๆของลูฟเข้ามาเดินเที่ยวในส่วนนี้เพิ่มด้วย



โถงบันไดที่ยิ่งใหญ่มาก กำลังหาทางไปนโปเลียนอพาร์ทเม้นต์



ใครมาลูฟแล้วไม่หลง คุณคืออัจฉริยะ ด้วยขนาดใหญ่โตทำเอาหลงทิศทางเอาได้ง่ายๆ เดินอยู่นี่ไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงส่วนไหน แยกเยอะ หลายชั้น ขนาดว่าถามเจ้าหน้าที่ เดินตามก็ยังหลงอยู่ดี เรานี่หลงสะบัด 555



นี่เป็นห้องชุดที่ประทับใจมากที่สุดในลูฟสำหรับเรา
นโปเลียนอพาร์ทเม้นต์ สร้างขึ้นในสมัยนโปเลียนที่ 3 เป็นจักรพรรดิ สร้างระหว่างปี 1857-1860 ผลงานที่โดดเด่นของนโปเลียนที่3 คือการจัดผังเมืองปารีสให้สวยงามเป็นระเบียบแบบที่เราเห็นในปัจจุบันนี่แหละ สิ่งก่อสร้างยุคนี้แกลมมูรัสมากมาย โรงละคร Opera Garnier ก็เป็นอาคารที่ถูกสร้างในยุคเดียวกัน



เป็นที่ทำการของรัฐ ใช้จัดงาน พบปะกับแขกของบ้านเมืองไม่ได้เป็นอพาร์ทเม้นต์ส่วนตัวของท่านจักรพรรดิจริงๆหรอก ขอบอกอีกทีว่าที่นี่สวยสุดใจ สมควรมาดูกันจริงๆนะ เป็นบุญตา แล้วพอมีชุด Jean Paul Gaultier ลุคนางพญามาวางเสริมจินตนาการด้วยนะ หืมมมม



Christian Dior Haute Couture 2004 กับภาพจักรพรรดินี Eugene ในห้อง Salon-theatre



ห้องรับประทานอาหาร ก็หรูหราสุดใจ ชอบมากๆ
ใครมาลูฟตามหานโปเลียนอพาร์ทเม้นต์ให้เจอนะ 



จากนั้นพยายามหาทางไป Venus de Milo เดินวนขึ้นลงยังไงก็หาไม่เจอซักที
ขอนั่งจูนสมอง และพักขาซักครู่



วิวพักผ่อนสุดชิล ตึกในปารีสชอบมีหลังคากระจกด้านบนกันเนอะ
ได้แสงธรรมชาติเข้ามาในอาคารแบบสวยๆ



แล้วก็หลงมาเจองาน Louvre Couture อีกแล้ว โอ๊ยย



หลงไปมาอยู่ครึ่งชม. ในที่สุดก็มาถึงโซนประติมากรรมกรีกได้แล้ว มันจะไปยากอาไร๊ หึหึ



เด็ก 90 ต้องคุ้นเคยกับชี ผู้อยู่หน้าปกสมุดวาดเขียน Venus de Milo



เก็บครบหมดทุกสิ่ง พอใจกับการมาลูฟครั้งแรก
นัดที่ต่อไปไว้บ่ายสามครึ่ง ตอนเจอวีนัสก็เกือบจะบ่ายสามแล้ว ข้าวปลายังไม่ได้กินเลยอ่ะ รีบออกจากลูฟกันเถอะ

เดินผ่านตรงฐานเดิมก่อนจะสร้างเป็นวังหรือมิวเซียม ที่นี่เคยเป็นป้อมปราการเลียบแม่น้ำเซน ตรงนี้คือฐานเดิมที่เหลืออยู่ใต้ดินลูฟ



ตรงทางออกฝั่ง Carousel มีปีรามิดกลับหัวที่โปรเฟสเซอร์แลงดอนมาตามหาโฮลี่เกรล กรี๊ดดด ลิมไปเลย ว่าที่ลูฟก็เป็นโลเคชั่นในนิยายดาวินชี่โค้ดด้วยนี่นา ที่ได้รูปมาเพราะแลกกันถ่ายกับพสจีนที่มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน จากนั้นก็มีกลุ่มอินเดียมาขอให้ถ่ายรูปอีก 555 คนเอเชียคือไว้ใจได้ใช่มะ



ออกจากลูฟ เดินทางลอดใต้ดินมาโผล่ตรงประตูชัย Carousel 



เดินตัดสวนตุยเลอรี ไปยังมิวเซียมสุดท้ายของวันนี้



บ่ายสามนิดๆ หยิบครัวซองกับชีสที่พกมาจากโรงแรมเมื่อเช้ามากินช่วยชีวิต ส่วนน้ำก็กดเอาจากก๊อกในสวนตุยเลอรีนั่นแหละ สภาพก๊อกเขรอะอยู่ แต่จุดนี้เราต้องกินเพื่อเอาชีวิตรอดก่อน จะเป็นลม เดินเที่ยวจนไม่มีเวลากินข้าวกินน้ำ ดีนะที่พกอาหารติดตัวมาด้วย รู้สึกฉันคือโฟรโดยังไงพิกล กินไปดูวิว Place de la Concorde จุดตั้งกิโยตินเพื่อสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ 16 และพระนางมารีอองตัวแนต



นัดหมายสุดท้ายของวันนี้ 15.30 ที่ Musee de l'Orangerie



รวมงานศิลปะสมัยใหม่ขึ้นมากว่าลูฟ งานสมัยคริสตศตวรรษที่ 20
ดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ คือ ภาพบึงบัว ของ Claude Monet
เป็นภาพแบบยาวๆ ดูแล้วสะใจ แถมที่จัดแสดงตั้งอยู่ในห้องรูปไข่สีขาว แสงเลียนแบบให้ธรรมชาติที่สุดเพิ่มสุนทรีย์แห่งการรับชม



มีภาพบึงบัวยาวๆแบบนี้ จัดอยู่ 2 ห้อง ห้องละ 4 ภาพ เป็นภาพที่ดูแล้วมันจรรโลงจิตใจ สวยงาม ปล่อยให้จินตนาการพาเราไปได้พอประมาณ สมกับคำเรียกศิลปะแบบนี้ว่า impressionism พอคนเริ่มคุยเสียงดัง เจ้าหน้าที่ก็ส่งเสียงชู่ววว์ปรามเป็นพักๆ



เสร็จภาระกิจหลักของวัน กลับห้องไปนอนดีกั่ว
ถ่ายจากบนสะพาน Leopold เห็นพิพิธภัณฑ์ออกเซย์ บลอกหน้าจะพาไปที่นี่



วันนี้เดินเที่ยวทั้งวัน ไม่ขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์เลย
ผ่านถนน Saint-Germain



มีร้านเบเกอรี่ที่ปักหมุดอยู่ไม่ไกล เลยแว่บมาซื้อชิมซักหน่อย
Boulangerie Poilâne ร้านเล็กๆแค่ห้องเดียว แต่คนมาซื้อเต็มร้านเลย เราตามจากยูทูปเบอร์ญี่ปุ่น ทุกคนต้องมาซื้อ sable ที่ร้านนี้



ผ่านโบสถ์ Saint Sulpice



ใกล้จะกลับไทยแล้ว ต้องมาซื้อของฝาก พวกเครื่องสำอางค์แบรนด์ร้านขายยาของฝรั่งเศสถูกกว่าไทยครึ่งนึงเลย



Medici fountain ที่ Jardin du Luxembourg



สวนลุกซอมบูร์ก คนออกมาชิลเยอะมาก ดูปารี๊สปารีส
เราชอบความเก้าอี้เขียวในสวนสาธารณะมาก แล้วคู่สีฮิตสำหรับปารีสคือสีเขียวชมพูด้วยนะ



ต้นฤดูใบไม้ผลิ เริ่มมีดอกไม้บานเพิ่มสีสัน



คนที่นี่เลี้ยงหมาเยอะจริง แล้วพาไปได้ทุกที่ ตามสวนจะมีตู้ถุงเก็บอึบริการด้วย



มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์



ความอนาจของวันคือ หมดเรี่ยวแรงมาก จากที่ตั้งใจจะเข้าร้านกินอาหารฝรั่งเศสซักมื้อ กลายเป็นแว่บเข้า KFC ข้างทาง ซื้อไก่เผ็ดกลับมากินที่โรงแรมคู่กับมาม่าที่พกมาจากไทยเฉ้ยยย คอมฟอร์ตฟู้ดคอมฟอร์ตใจอ่ะนะ ต่อด้วยซาเบล่ที่ซื้อมาเมื่อเย็น กินแล้วเฉยๆ ไม่ได้ประทับใจเป็นพิเศษ 


 



Create Date : 04 กันยายน 2568
Last Update : 6 กันยายน 2568 7:28:30 น. 0 comments
Counter : 308 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณ**mp5**, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณnewyorknurse


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BlogGang Popular Award#21


 
khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.