ลมเย็นสบายพัดเอื่อยๆมาในช่วงสายๆวันเสาร์ รถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านหน้าบ้านผมแต่ละคันล้วนแต่มีเด็กนักเรียนนั่งออกไปเรียนหนังสือกันทั้งนั้น
บรรยากาศมันผิดแผกแปลกตาเพราะไม่เคยมีปรากฏว่านักเรียนจะต้องเรียนตามปกติในวันเสาร์ เว้นเสียแต่ในกลียุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย กลับตาลปัตรเช่นนี้
ข้างๆถ้วยก๋วยจั๊บสุดเค็ม มีเอกสารการสอนวิชาโหราศาสตร์วางอยู่ อ่านถึงบรรทัดนี้หลายๆคนที่แอนตี้การดูดวงคงร้องยี้ร้องแหวะ หรือพวกหัวก้าวหน้าคง
กล่าวหาว่าผมเพี้ยนแน่ๆ .... ครับ ผมสนใจในวิชาโหราศาสตร์ มูลเหตุคงเริ่มต้นจากการที่ผมชอบทักษะการผสมสิ่งที่เป็นนามธรรมแล้วปรุงกันออกมาเป็น
รูปธรรม ตั้งแต่เด็กๆ ผมจำได้แม่นว่าที่หน้าบ้านมีต้นเฟื่องฟ้าดอกสีขาว หลังจากนั้นมีคนนึกสนุกเอากิ่งดอกเฟื่องฟ้าดอกสีชมพูมาเสียบยอด เมื่อเวลาผ่านไป
ปรากฏว่าดอกเฟื่องฟ้ามีสามเฉดคือสีชมพู สีขาว และสีชมพูเรื่อๆ
ผมเคยเก็บดอกเฟื่องฟ้ามาตำในครกจะได้น้ำสีต่างๆ แล้วก็เริ่มไปเก็บดอกไม้สีอื่นๆมาตำเพื่อจะได้น้ำสีนั้นๆ แต่บางชนิดผมก็ได้น้ำสี บางชนิดผมก็ได้น้ำใส
ต่อมาจึงทราบว่ารงควัตถุ(สารที่ให้สี)ในกลีบดอกไม้ต่างๆ ไม่ได้สกัดออกมาได้ด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว สารรงควัตุบางชนิดต้องใช้น้ำมันสกัด นี่เป็นตัวอย่าง
การผสมสารของผมในช่วงวัยเด็กต้นๆ พอเริ่มเข้าประถมปลาย ผมดมดอกกุหลาบป่าที่สวนหน้าบ้านน้าคนหนึ่ง แล้วมีความคิดว่ากลิ่นหอมๆของดอกไม้ชนิดนี้
น่าจะแยกออกมาได้ แล้วนำไปฉีดให้คน ผิวของคนจะได้มีกลิ่นหอมๆ จากนั้นผมก็ไม่รอช้า เอากรรไกรไปไถแปลงกุหลาบป่าจนเหี้ยนเตียน แล้วเด็ดกลีบ
กุหลาบเหล่านั้นมาใส่ในหม้อต้น เทแอลกอฮอล์ล้างแผลลงไป แล้วไปตั้งไฟให้เดือด เอาคีมคีบกระจกไปอังไว้แล้วรอให้น้ำไปควบแน่นจนไหลออกมาสู่หม้อ
อีกใบที่รองรับอยู่ สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ทให้สืบค้นวิธีการกลั่นแยกนะครับ ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าผมได้วิธีนี้มาจากไหน จำได้แต่เพียงว่าผมเป็นเด็กเรียนเก่งมาก และชอบอ่านหนังสือ ทุกวันนี้ยังอิจฉาตัวเองตอนเด็กๆอยู่เลย
สุดท้ายสิ่งที่ได้คือแอลกอฮอล์ล้างแผลที่มีกลิ่นกุหลาบจางๆ เหม็นมากกว่าหอมครับ (แอลกอฮอล์ล้างแผลเป็นแอลกอฮอล์คนละชนิดกับที่ผสมน้ำหอมครับ)
นี่คือความซนในช่วงต้นชีวิตของผม ที่มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้คือศาสตร์แห่งการผสม ... สมุฏฐานนี้ส่งผลให้ผมชอบเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับการผสมธาตุ
การผสมไอเทม หรือการผสมพันธุ์สิ่งมีชีวิตในเกมส์เป็นพิเศษ เมื่อเรียนป.ปลาย วิชาที่ผมชอบและเรียนได้ดีที่สุดจึงเป็นวิชาเคมี ผมสอบชิงทุนฯได้ ก็เลือก
เรียนเคมี แล้วชีวิตก็ค่อยๆบัดซบหลังจากความถนัดของผมเดินตามหลังความทะนง (ซึ่งเราจะไม่พูดถึงมัน)
ตอนที่เรียนมหาลัย ผมเป็นคนนอกกรอบ ไม่เคารพแบบแผน ผมไม่เรียนในสิ่งที่ผมไม่อยากรู้ สิ่งที่ผมอยากรู้คือรูปธรรมของการศึกษาเคมี ดังนั้นทุกครั้งทีมี
ปฏิบัติการเคมี โดยเฉพาะวิชาเคมีอินทรีย์ (Organic chemistry) เมื่อผมช่วยคู่แลบทำงานจนเสร็จแล้ว ผมจะแอบอยู่หลังห้อง แล้วนำเอาสารเคมีที่ผมรู้ว่า
มันสามารถสังเคราะห์สารหอมได้ มาผสมกันแล้วตั้งเตาสังเคราะห์ขึ้นมา มีครั้งหนึ่งที่ผมใช้สาร Butyric acid ซึ่งมีกลิ่นคล้ายๆเนยเน่า ชีสเหม็นๆ หรือกลิ่น
ฟิล์มถ่ายรูปเปียกน้ำ มาทำปฏกริยา Esterification กับ isoamyl alcohol หรือแอลกอฮอล์ล้างแผล ได้สาร Isoamyl butyrate ให้กลิ่นคล้ายๆเปลือกกล้วยและเชอร์รี่ผสมกัน เมื่อดมจนหนำใจแล้วจึงเททิ้งในอ่างล้าง แล้วเปิดน้ำราดไปตาม ปรากฏว่าเกิดปฏิกริยาย้อนกลับได้สาร Butyric acid เหมือนเดิมทำให้ทั้งห้องเหม็นเนยเน่า แล้วถูกอาจารย์จับได้ว่าแอบเล่นสารเคมี แต่อาจารย์ที่ธรรมศาสตร์ใจดีครับ ไม่ดุด่าว่ากล่าวอะไรมากนัก
ผมสังเกตเห็นว่าทุกสิ่งในโลกเราเกิดจากการผสมของแต่ละสิ่งทั้งนั้น แล้วแต่ละสิ่งอาจจะเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้เช่น นิสัย แนวคิด อากาศ รวมถึงธาตุต่างๆ ความมหัศจรรย์ในธรรมชาติสร้างความประหลาดใจให้กับผมเสมอ เช่น "น้ำ" เกิดจากการสร้างพันธะของชาติสองชนิดคือ ไฮโดรเจนและออกซิเจน ตัวหนึ่งทำให้ไฟติดอีกตัวทำให้ติดไฟ แต่เมื่อกลายเป็นน้ำแล้วสามารถดับไฟได้ซะอย่างนั้น
ในการปรุงกลิ่น สารบางชนิดให้กลิ่นที่รุนแรงเมื่อผสมกับสารอีกตัวที่ให้กลิ่นรุนแรงเช่นกัน กลับทำให้กลิ่นหมดไป ในทางกลับกันกลิ่นเบาๆสองกลิ่นเมื่อผสมกับกลับเร่งให้กลิ่นแรงขึ้นได้ ดังนั้นใครศึกษาวิชาปรุงกลิ่นแบบยึดติดจะไม่มีทางสร้างสรรค์กลิ่นใหม่ๆได้เลย และจะไม่สามารถใช้ศักยภาพของแม่กลิ่นได้อย่างเต็มที่ด้วย
เมื่อผมส่งสัยในความเป็นไปของธรรมชาติ และมีความเชื่อว่าทุกสิ่งต้องมีที่มาที่ไป ตั้งแต่นิสัยของคน รูปร่างหน้าตา ไปจนถึงความเป็นไปของการบ้านการเมือง ผมจึงมองคนเป็นระบบหนึ่ง มองประเทศเป็นระบบที่ใหญ่ขึ้นโดยมีคนเป็นอนุภาค มองโลกเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดมีประเทศเป็นโมเลกุลมีคนเป็นอะตอมเช่นนี้ ผมจึงพยายามหาว่ามีวิชาใดที่มีระบบปรัชญาความคิดคล้ายๆแบบนี้บ้าง ก็มาสะดุดอยู่ที่วิชาโหราศาสตร์ไทยนี่แหละครับ ... ย้ำว่าต้องเป็นโหราศาสตร์ไทยโดยเฉพาะด้วย
ผมเสียเงินเสียเวลาไปหาหมอดูหลายๆท่าน อาจารย์ที่ไหนว่าดีว่าแม่น ผมไปหาเกือบทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่แม่นจริงแต่ไม่แม่นทั้งหมดแล้วก็โยนความผิดให้ที่หลักวิชาหรือตัวผู้ทำนายเอง บางทีที่ทายแม่นก็ไม่สามารถเอาหลักวิชามารับรองได้ หมอดูเหล่านี้ผมตัดทิ้งหมดครับ แทบทุกครั้งที่ผมไปหาหมอดูผมแทบไม่เคยจะถามเรื่องเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง เพราะว่าผมต้องการไปหลักปรัชญาวิชาที่หมอดูนั้นๆใช้ประกอบอาชีพ เชื่อมั๊ยครับใน 100 คน บางทีทั้ง 100 คนเลยที่ศึกษาแต่ไม่รู้หลักวิชา จนในที่สุดวงการโหรฯบ้านเราจึงเป็นวงการไอ้ห้อยไอ้โหนกันแบบที่เห็น หมอดูผุดเป็นดอกเห็ด สร้างชื่อด้วยการตลาด ทายถูกเพียงหนึ่งครั้ง ดังไป 10 ปี เรื่องที่ทายผิดจะอันตรธานเข้าไปในกลีบเมฆกลางมหาสมุทรที่ไม่มีใครจำได้และหาเจอ สุดท้ายจะจบลงด้วยการปลูกฝังความเชื่อและลัทธิให้คนจิตอ่อน (ซึ่งก็เกือบทุกคนที่ไปหาหมอดู) หลงเชื่อและไม่กล้าขัดแย้งสงสัย
จนกระทั่งผมมาเจออาจารย์คนหนึ่ง ครั้งแรกที่ผมไปพบ ผมไปในฐานะผู้ขอรับการพยากรณ์เพื่อจะไปศึกษาวิธีคิดของอาจารย์ผู้นี้ พบว่าวิธีการคิดของท่านเป็นระบบ ใช้ศาสตร์ล้วนๆในการทำนาย ประกอบด้วยประสบการณ์ในการผสมคุณสมบัติของข้อมูลที่ปรากฏจากการผูกดวง เลยไม่มีข้อผิดใดๆ และที่เข้าใจได้ไม่ยากคือ คนที่ใช้ความรู้จริงๆในการอธิบาย จะไม่มีการวอกแวกออกไปแตะเรื่องความเชื่อ การสร้างลัทธิหรือเรื่องอะไรใดๆเลย อาจารย์ท่านนี้ยังบอกว่าในสมัยก่อน โหรของประเทศเราทายกันได้ยิ่งกว่านี้อีก
ผมฉุกคิดถึงวิชาหนึ่งของภาควิชาเคมี นั่นก็คือ Spectroscopy ซึ่งเป็นการศึกษาโครงสร้างของสารจากการแปลความกราฟที่เกิดจากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ เมื่อนำสารที่ต้องการศึกษาผ่านสนามพลังงานอย่างใดอย่างหนึ่ง นักเคมีจะอาศัยเพียงกราฟรูปร่างแปลกๆแล้วนำมาแปลค่าเป็นสารเคมีได้ถึงระบบ 3 มิติ แปลกตรงที่ทั้งโหราศาสตร์และ Spectroscppy คือการแปลความอย่างมีระบบเช่นกัน แต่ปัจจุบันโหราศาสตร์กลับถูกมองว่างมงายไร้สาระ
อาจจะเป็นเพราะของปลอมที่ปะปนในสังคมเรามันเยอะเกินไป มีทั้งหมอดูเหวี่ยงแห หมอดูหลอกลวง หมอดูสร้างลัทธิ หมอดูบ้าตำรา มากกว่าหมอดูใช้วิชากระมัง ... ปรมาจารย์โหรไทยที่ถูกต้องทั้งหลักแนวคิด หลักวิชา และทัศนคติ คงเหลืออยู่ไม่เกิน 10 ท่านในเรือนแสนล่ะครับ