Little Rambo

Focus ( Germany) - 1994

translation: English; German (original)

Image Hosted by ImageShack.us

F:สวัสดีครับ คีอานู ยินดีต้อนรับสู่เยอรมัน ก่อนหน้านี้ เราเห็นคุณแสดงในภาพยนตร์ของ ผกก.ชั้นนำ อย่างFrancis Ford Coppolaและ Bernardo Bertolucci แต่ในหนังใหม่ที่กำลังจะเข้า "Speed" คุณเป็นพระเอกแอคชันผู้ไม่หวาดหวั่นต่อสถานการณ์ที่อันตรายไปแล้ว นี่เป็นทิศทางใหม่ของอาชีพรึไม่
K:ผมไม่เคยคิดแบบนั้น บทJack Travenที่ผมเล่น เขามีอาชีพเป็นตำรวจหน่วย สวาท ใน ลอสแอนเจลิส เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร เขามีลักษณะที่เป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างเราๆนี่ล่ะ จะว่าไป ผมว่าบทนี้พบเห็นได้แม้ในบทของเช็คสเปียร์ด้วยซ้ำ

F:ดาราหนังบู๊ อย่าง Stallone, Schwarzenegger หรือ Bruce Willis ต่างก็เริ่มแก่ลง แล้วคุณจะโดนวางตลาดเป็น แรมโบรุ่นใหม่ของฮอลลีวูดรึเปล่า
K:เออ จริงของคุณ (ท่องกลอนเล่นว่า)the ruling kings can already feel retirement approaching, the princes will rule the country for them now… I will snatch Excalibur from the rock.(เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง) คือว่า ตอนที่ "Speed" ออกฉายในอเมริกา มันทำรายได้ดีมาก นั่นทำให้ผมชักกลัวที่จะเป็นอย่างที่คุณว่า เพราะ ถ้าจะพูดกันจริงๆ "เงิน" เป็นสิ่งเดียวที่นับได้ในฮอลลีวูด ผมแค่หวังว่า ความสามารถของผมในหนังก่อนหน้านี้อย่าง "My Own Proviate Idaho" จะช่วยผมไม่ให้ต้องอยู่ในสภาพดังกล่าวนะ

F:Jan de Bont ผกก.ของ"Speed"บอกเราว่า คุณเล่นฉากสตันท์ด้วยตัวเองในหนังเรื่องนี้ด้วย
K:ใช่ครับ ผมเล่นหนังแอคชัน มันก็ต้องแสดงบทแอคชันดิ ผมอยากลองดูน่ะ แต่ไม่ได้มากมายอะไรหรอกครับ ไม่ถึงกับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สตันท์เค้ามีอยู่แล้วครับ จริงๆ ผมแค่โดดลงจากรถที่กำลังวิ่งเอง สนุกดี ได้ปล่อยให้อดรีนาลีนทำงาน

F:ช่างเป็นโลกที่แตกต่างจากหนังเรื่องก่อน "Little Buddha"ที่คุณแสดงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะผู้บรรลุธรรมเหลือเกินนะ
K:"Little Buddha" เป็นโปรเจกท์ที่พิเศษสุดสำหรับผม ทั้งได้ทำงาน ทั้งได้สนุกสนาน และได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกัน -ตถตา-มันเป็นเช่นนั้นเอง-บางอย่างที่อาจปรับปรุงโลกของเราได้ ได้แยกตัวตนออกจากตัวเรา บรรยายยากจัง เป็นความรู้แจ้งที่ไม่เคยมีใครสอนมาก่อน ยอดเยี่ยมมาก สิ่งที่ผมได้รับจากหนังเรื่องนี้ เป็นสิ่งดีที่สุดที่ผมเคยมีในชีวิต

F:มีคนว่า หนังทำให้คุณเปลี่ยนไปนับถือพุทธ
K:มันไม่ถึงขนาดนั้น ผมหัดทำสมาธิ แต่เป็นแค่ระดับผิวๆ ไม่มีอาจารย์หรือ คุรุมาสอนกันอย่างจริงจัง ผมว่าผมทำได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นล่ะ ถ้าไม่มีใครมาชี้แนวทางให้ ผมพบว่า ผมต้องมาตัดสินใจว่าผมอยากจะไปต่อในเส้นทางนี้หรือเปล่า ผมก็ตอบตัวเองว่า คงไม่ใช่ เพราะไม่งั้น มันจะเป็นปัญหาในอาชีพนักแสดงแน่

F:ทำไมล่ะครับ
K:บางที ผมรู้สึกว่า ผมอยู่สองที่ในเวลาเดียวกัน มันงงๆน่าดู ถ้าคุณยังถามตัวเองว่า เราพร้อมแล้วหรือที่จะหยุด ความปราถนา ทั้งปวงของเรา มันก็แปลว่า เรายังไม่พร้อมที่จะหยุดนั่นละ

F:นักวิจารณ์หลายคน บอกว่าคุณแสดงไม่ได้เรื่อง มันทำให้คุณเสียใจมากไหม
K:ไม่ ไม่ครับ ถ้าเขาพูดแบบนั้น เขาก็เป็นนักวิจารณ์แบบนั้นเหมือนกัน

F:คุณต่อต้านนักวิจารณ์หรือ คุณรู้ไหมว่า ที่วิทยาลัยในแคลิฟอร์เนีย มีหน่วยกิตให้ลงทะเบียนเรียนเกี่ยวกับตัวคุณและการแสดงของคุณด้วย คุณว่าไงล่ะ
K:ตอนผมได้ยินเรื่องนี้ ผมไม่อยากเชื่อ เขาจะสอนอะไรกัน ดูอย่างกับว่า อาจารย์ที่สอนวิชานี้ เป็นแฟนๆผมงั้นล่ะ ผมว่า ผมไม่ใช่นักแสดงที่มีพรสวรรค์ขนาดที่จะเอามาเรียนได้นะ

F:รู้สึกว่าเนื้อหามันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า คุณเริ่มต้นอาชีพอย่างไร
K:โอ้ มันก็คงจะเป็นได้แค่นั้นละนะ คุณหวังว่าผมจะพูดอะไรได้ล่ะ? การเริ่มต้นของผม มันก็แค่การมีโอกาสที่จะได้ทำงานกับคนที่ยอมรับได้ในหนังหลายแบบ เท่านั้นเอง

F:ตอนที่เพื่อนคุณRiver Phoenixเสียชีวิตจากการเสพ เฮโรอีนและโคเคนเกินขนาด คุณเคยคิดไหมว่า "สักวันต้องเป็นเรา"?
K:ไม่ครับ ผมเคยลองเสพยาพักหนึ่ง แต่ผมไม่ชอบ ดังนั้น ความเสี่ยงเรื่องนี้ ผมไม่มี

F:คุณเกิดที่เบรุต โตที่โทรอนโท แล้วย้ายมา แอลเอ คุณรู้สึกว่า ที่ไหน คือบ้าน
K:คงเป็นที่ ลอสแอนเจลิส

F:คุณอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เมื่อไร
K:ตั้งแต่ปี 1985นายคีอานู รีฟส์ ขับรถวอลโวสีเขียวรุ่นปี 67 มากับแฟนสาวของเขาชื่อ เพนนี จากโทรอนโทแคนาดา เพื่อมาเสี่ยงโชคในการเป็นนักแสดงที่ฮอลลีวูด

F:แล้วคุณเพนนี ไปไหนแล้วล่ะ
K:เธอกลับไปโทรอนโทน่ะสิครับ

F:เธอทิ้งคุณงั้นหรือ
K:นั่นล่ะ ใช่เลย

F:เราไม่ค่อยได้ข่าวชีวิตส่วนตัวคุณนะ คุณทำไงถึงไม่มีข่าวซุบซิบได้
K:ก็เพราะ ผมไม่น่าสนใจน่ะสิ ชีวิตผมมันพื้นๆ คุณไม่เชื่อหรอกว่า ชีวิตผมน่าเบื่อมาก

F:แล้วเวลาว่าง คุณทำอะไร
K:ผมนั่งแต่งเพลง เล่นกีตาร์เบสส์ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ ขี่ม้า อ่านหนังสือ หัดเต้นรำ หัดไว้เผื่อได้เล่นละครเวทีเช็คเสปียร์น่ะ แล้วผมก้ชอบทะเล หรือไม่ก็ไปหาน้อง ให้เธอทำบาร์บีคิวให้กิน คุณรู้ไหม น้องสาวผมย่างบาร์บีคิวเก่งที่สุดเลยล่ะ

Image Hosted by ImageShack.us

รูปนี้ถ่ายปี 2003 นะจ๊ะ
ส่วนรูปบน นั่นเป็นเวลาที่สัมภาษณ์ คือ 1994
ไม่ว่า แก่แค่ไหน แองจีก็รัก




 

Create Date : 31 มีนาคม 2549    
Last Update : 31 มีนาคม 2549 14:11:04 น.
Counter : 1948 Pageviews.  

Keanu Reeves ::Playboy Magazine Interview April 2006

By Michael Fleming.
Photos by Jack Guy.
[transcript: Keanu A-Z; A]
[scans: Club Keanu]
ตกแต่งเป็นภาษาไทย โดย แองจี11
ตรวจทาน โดย พีช
สงวนสิทธิ ในการก็อบปี และให้อ่านที่นี่เท่านั้น
(แต่หากช่วยบอกต่อให้มาอ่านกันมากๆ จะขอบพระคุณอย่างสูง)


Image Hosted by ImageShack.us
Image Hosted by ImageShack.us


P: สวัสดีครับ คีอานู เรามาเริ่มที่ภาพยนตร์ใหม่ของคุณนะครับ ในเรื่อง A Scanner Darkly ที่จะออกฉายกลางปีนี้ มันเป็นหนังไซไฟเช่นเดียวกับThe Matrix แล้วก็ยังมีฉากหลอนๆเหมือนฝัน แบบนั้นอีกแล้ว นี่ตกลงคุณเป็นพวกบ้าเทคโนโลยี รึเปล่าเนี่ย
K: ผมอะนะ ! บ้าเทคโนโลยี ? คอมพ์สักตัว ผมยังไม่มีเลยครับ

P: นีโอจาก เดอะแมทริกซ์ ไม่มีคอมพิวเตอร์?
K: แน่นอน!! เพื่อน!! ไอ้ความจริงข้อนี้ ทำให้ผู้กำกับเดอะ แมทริกซ์ ฮาทุกทีที่เราแหย่กันเลยล่ะ

P: นี่ปี 2006 แล้วนะ คุณหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ไปได้ไงเนี่ย
K: ผมสนใจเรื่องเกี่ยวกับ ผู้คน มากกว่า เทคโนโลยี น่ะสิครับ ผมไม่ใช่พวกบ้าเฟอร์นิเจอร์ไฮเทค

P: แล้ว BlackBerry สักตัวก็ไม่ได้ใช้รึคุณ? คุณเป็นดาราฮอลลีวูดได้ไงเนี่ย โดยไม่ต้องมีเจ้าพวกนี้สักตัวน่ะ?
K: แน่นอน ผมไม่มีอะไรเหล่านั้นสักอย่าง ผมจะสนใจแต่เฉพาะในแนวคิดของมันน่ะครับ แบบว่า มันอาจจะทำให้ผมเข้าใจสังคมเพิ่มขึ้น ถ้าผมจะอ่านเกี่ยวกับนวัตกรรมใหม่ๆ ก็เพื่อจะได้รู้ว่า คนเค้าใช้มันกันทำไมและอย่างไร ทั้งเรื่องการติดต่อกัน ทางอินเตอร์เน็ตแล้วก็เรื่องสนุกอื่นๆ แต่ผมหลงใหลในแนวคิดของคนมากกว่า ผมบอกคุณได้เลยว่าเครื่องมือพวกนี้ซึ่งควรจะมีไว้เพื่อความประหยัดเวลา และช่วยในการติดต่อ กลับทำให้คนเสียเวลามากขึ้นและยังเป็นข้ออ้างของคุณในการปฏิเสธการติดต่ออีกด้วย ผมว่า บางทีนะที่ผู้คน ชอบใช้อีเมล์เพราะว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องตอบมันมากกว่า เหมือนแบบว่า คุณอยากคุยกับคนอื่น แต่เวลามันน้อย คุณก็เลยส่งเมล์มันหว่านๆไป โดยส่วนตัว ผมชอบใช้จดหมายมากกว่า ผมชอบ ความรู้สึกของการเขียนจดหมาย

P: เขียนด้วยลายมือ นั่นน่ะนะ?
K: ผมใช้เครื่องพิมพ์ดีดครับ

P: แล้วเวลาพิมพ์ผิด คุณทำไง ก็ขีดออกงั้นรึ?
K: อ๋อ ไม่ครับ ผมชอบใช้กากบาททับลงไป ผมว่ามันดูเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของมัน

P: ถ้าเอา Star Wars เป็นมาตรฐาน คุณว่า theMatrix trilogy จะอยู่ที่อันดับที่เท่าไร ในบรรดาหนังวิทยาศาสตร์ไซไฟ ประเภทนี้ แต่ผมบอกคุณได้ว่า ในทางรายได้ แมทริกซ์ อยู่เป็นอันดับสองนะ
K: ผมอยากจะบอกว่าเราเป็นอันดับหนึ่ง ทุกคนต่างมีอันดับในใจของตัวเอง และ เดอะแมทริกซ์ เป็นหนังที่ผมชอบที่สุด
ผมยังรักมันอยู่ ไอ้ตอนที่มันไม่ได้เข้าชิงออสการ์ครั้งนั้น ผมยังอยากจะบ้าเลย

P: คุณหวังรางวัลออสการ์ด้วย สำหรับสาขาอะไร?
K: อย่างน้อยก็น่าจะได้เข้าชิงสาขา special effectsละน่า คุณล้อผมเล่นรึเปล่า ? คุณเพี้ยนไปแล้วรึเปล่านั่น? ถามผมแบบนี้

P: แมทริกซ์ภาคแรกออกฉายก่อน ชุดสตาร์วอรส์ชุดหลังสุด แล้วถ้าจะเปรียบกันจริงๆ แมทริกซ์มีรูปแบบที่สดแล้วก็แหวกแนวกว่ามาก มันเป็นจุดเกิดของแนวความคิดที่หลากหลายและยังทำให้เกิดแฟชันใหม่ๆที่ตามมา นอกจากนั้น ยังมีอีกสองตอนที่ฉายติดต่อกันด้วย ทั้งหมดทำเงินไปถึง 1500 ล้านดอลลาร์ ตอนคุณอ่านสคริปท์ครั้งแรก คุณคิดไว้รึเปล่าว่ามันจะออกมาเจ๋งขนาดนี้?
K: ผม ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ แค่เห็นว่าเป็นบทที่เยี่ยมยอด มันมีแนวคิดที่จุดประกายวงการนิยายวิทยาศาสตร์แบบใหม่ ผมไม่เคยได้ยินอะไรเหมือนอย่างเดอะเมทริกซ์มาก่อนเลย แล้วก็ไม่นึกด้วยว่าจะมีใครเขียนบทได้แบบนี้ -มีคนใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน- เยี่ยมเลย น่าเล่นมาก แล้วเมื่อพวกเราประชุมกัน แล้วก็มีคนเสนอว่า เราน่าจะทำฉากแอคชันให้ช้าลง แล้วก็ใช้กังฟูเข้ามาประกอบด้วย ผมฟังแล้วก็ชอบไปซะทุกอย่างเลย ผมรู้ว่าผมต้องเจองานหนัก -ผมนึกออก ว่ามันยาก-แต่ผมก็ตื่นเต้นเอามากๆที่จะได้เล่น

P: แล้วเมื่อมองย้อนกลับไป คุณมีความทรงจำเกี่ยวกับความพยายาม กับความสำเร็จของหนังอย่างไรบ้างล่ะครับ?
K: เล่นหนังเรื่องนี้มันน่าทึ่งมาก ผมปลื้มใจที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปเพราะมัน ทุกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตผม ผู้คนที่ผมได้มีโอกาสทำความรู้จัก เปลี่ยนชีวิตผม คุณรู้ไหม นีโอมีความสัมพันธ์ทั้งกับมนุษย์และเครื่องจักร และกับพลังธรรมชาติด้วย ถ้าคุณเป็นเขา คุณยังต้องการอะไรอีก แต่ตัวเขาล่ะ สิ่งเดียวที่เขาต้องการ คืออะไร รู้ไหม? -สันติ- เขาต้องการแค่นั้น แค่สันติ ผมว่านั่นเป็นข้อความที่เราพยายามอย่างยิ่งที่จะบอกทุกคน ผมมีความตั้งใจมากๆ ที่จะส่งสัญญาณนี้ ออกไปให้ชัดเจนที่สุด เพราะสิ่งนี้แหละ ที่ทำให้ผม ยอมทำทุกอย่าง เพื่อที่จะให้หนังบอกออกมาให้ได้ ไม่ว่าผมต้องลำบากแค่ไหนก็ตาม

P: มีรายงานว่า ทั้งคุณและเพื่อนร่วมงานหลายคนได้รับบาดเจ็บจากงานนี้ สรุปแล้ว ร่างกายคุณเสียหายยังไงบ้าง?
K: เข่าผมครับ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แย่ลงมาก นี่ก็ยังต้องไปเอ็กซเรย์อยู่เรื่อยๆเลย

P: สาเหตุมาจากฉากกังฟูนั่นหรือ?
K: ครับ ถึงแม้ว่า ที่เราทำมันจะเป็นแค่หนังกังฟู ไม่ใช่กีฬากังฟูจริงๆก็เถอะ เราต่อยตีกันไม่กี่ฉากหรอก ดูๆแล้ว มันก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเราก็ได้รับบาดเจ็บกันแทบทุกคน แครีแอนน์ มอสข้อเท้าหัก ฮิวโก วิฟวิงต้องไปเจาะสะโพกเพื่อถ่ายของเหลวที่คั่งอยู่ออก สำหรับตัวผมเอง ผมมีอ่างน้ำแข็งส่วนตัวเอาไว้แช่ลดอาการปวด หลังจากถ่ายฉากแอคชันแต่ละฉาก จบงานแต่ละวัน ต้องหาคนมานวดคลายกล้ามเนื้อให้ตลอด แล้วก็ต้องพยายามอย่างหนัก ที่จะไม่ร้องครวญครางออกมาตอนกลางดึก เวลาที่นอนแล้วมันยังปวดน่ะนะ แต่ถ้าถามว่าผมเข็ดไหม เช้าวันถัดมา ยังจะทำอะไรแบบนั้นให้เจ็บตัวอีกมั๊ย แน่นอน ผมทำแน่ จนบัดนี้ ผมยังรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยกับมันเลยนะครับ ผมยังอยู่ในระยะพักฟื้นอยู่เลย เมื่อห้าหรือหกเดือนที่แล้ว ผมยังเพิ่งพูดกับเพื่อนว่า ในที่สุดผมก็รู้สึกว่าผมถ่ายเมทริกซ์ภาคแรกจบเสียที

P: ห้าเดือนที่แล้ว ? หนังเรื่องนี้มันฉายตั้งแต่ ปี 1999 แล้วนะคุณ?
K: นั่นละครับ ผมมันคนเซนสิทิฟ การถ่ายภาคแรกกินเวลาไปแปดเดือน ส่วนภาคสองใช้อีก 22 เดือน สตันต์แมนของผมยังแหย่ผมเลยว่า ผมต้องถ่ายฉากบนลวดสลิงมากกว่าที่ 90%ของสตันต์แมนอาชีพ เขาทำกันซะอีก

P: แล้วหลังงานหนักแบบนี้ คุณยังติดต่อกับทีมงานหรือเพื่อนนักแสดงอีกไหม?
K: แน่นอน ผมเพิ่งซื้องานศิลปะเป็นของขวัญให้บ้านใหม่ของ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์นเมื่อเร็วๆนี้เอง แต่ไม่เจอ แครีแอนน์พักนึงแล้ว ส่วนฮิวโก เพิ่งเห็นกันที่งานฟิลม์เฟสต์เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา ทุกคนที่ผมพูดถึงเป็นเพื่อนผม ถ้าผมแต่งงานต้องเชิญพวกเขาทุกคนแน่ ๆ

P: หลังจบงาน คุณทำอย่างไรที่จะสลัดทุกอย่างที่เป็น เดอะแมทริกซ์ออกไป ไม่มึนไปสามอาทิตย์หรือ?
K: สามอาทิตย์เรอะ? ให้เวลาผมน้อยจัง? ปกติ หลังเสร็จงาน ผมจะเหนื่อยมาก แต่ผมก็ไม่ค่อยอยากจะนอนเฉยๆนะ ส่วนมาก ผมมักจะหาทางติดต่อเพื่อน แล้วก็ที่แน่นอนที่สุด ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ของผม

P: ขี่ไปไหน
K: ส่วนใหญ่ก็รอบๆเมือง ตามล่าแสงแดดกับริมทะเล ปกติก็แถวๆหน้าผาหรือหาดมาลิบู

P: คุณประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาหลายครั้ง มันไม่มีผลกับการขี่รถบ้างเลยรึไง
K: ผมก็ยังขี่รถทุกวัน โดยส่วนใหญ่ แทบไม่ได้ใช้อย่างอื่น

P: คันไหนที่ชอบที่สุด
K: คัน นอร์ตัน คอมมานโด 850 ปี 1974 ครับ เป็นรถอังกฤษแบบสปอร์ต ขี่สบายมาก โดดทีเดียวไปถึงซานฟรานซิสโกได้เลย

P: ไม่กลัวหน้าหล่อๆของคุณเสียหายไปหรือ เวลาขี่รถนี่ใส่หมวกกันน็อคไหม?
K: ตอนนี้ กฏหมายบังคับไปแล้ว ผมก็ต้องใส่สิครับ ยกเว้นเวลาไปอยู่ที่ไหนที่กฏหมายนี้ไม่มี ผมก็ไม่ใส่

P: ภาระส่วนใหญ่มันตกอยู่ที่คุณเวลาถ่ายหนัง เขาไม่จับคุณเซ็นสัญญาว่าห้ามขี่รถบ้างหรือ?
K: บางทีก็มีเหมือนกันครับ ผมก็ต้องเข้าใจสถานภาพตัวเอง จะได้รู้ว่า ผมขี่รถได้หรือไม่ได้

P: คุณเคยพูดว่า คุณชอบทำสิ่งที่เรียกว่า เดวิลไรด์ มันหมายถึงอะไรน่ะ
K: อ๋อ เรื่องนั้นน่ะรึ ผมจะเล่าให้ฟัง มันมีสถานที่ ที่สุดยอดสำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์อยู่บริเวณหนึ่งบนถนน มัลโฮแลนด์ไดรฟ์ ที่ฮอลลีวูดฮิลส์ วันไหนที่มีแสงจันทร์สวยๆ คุณสามารถขี่ไปได้ยาวตลอดฝั่งมหาสมุทร โดยปิดไฟหน้ารถ แล้วบิดมอไซค์ลงเนินเขาไปได้เลย มันสงบมาก คุณจะได้ยินและรู้สึกถึงสายลม มันเป็นที่ที่ยอดที่สุดที่จะขี่รถเลย คุณจะได้หลุดไปพบธรรมชาติ และเป็นเวลาที่จะได้ขี่รถจริงๆ ขี่รถน่ะมันใจลอยไม่ได้ ต้องมีสมาธิตลอดเวลา

P: แล้วเรื่องน่ากลัวหรืออันตราย นี่เป็นส่วนหนึ่งของความเร้าใจในการขี่ไหม
K: เอ่อ..ผมก็ไม่อยากประสบอุบัติเหตุนะ

P: แล้วอะไรเป็นสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นล่ะ
K: ผมมีอุบัติเหตุไม่กี่หนเอง ชนแค่ไม่กี่ที ครั้งนึงนะ ก็เพราะรถคันนั้น ยูเทิร์น กลางที่จอดรถต่อหน้าเลนที่ผมขี่รถอยู่ โดยไม่มองอะไรเลย คนขับไม่เห็นว่าผมกำลังมา ส่วนผม ก็ไม่มีทางหลบไปไหน นั่นทำให้ผมถึงกับต้องฟันหัก ต้องใส่ฟันปลอม
อยู่ทุกวันนี้

P: เจ็บแค่ไหนครั้งนั้น
K: ก็แค่คางถลอก ข้อเท้าหัก ฟันหายไปสองสามซี่ ไม่เลวร้ายอะไร

P: คุณพูดง่ายดีจัง แล้วรอยแผลเป็นยาวที่หน้าท้องนั่นล่ะ ได้มาจากที่ไหน
K: อันนี้ ได้มาเพราะผมขี่รถชนหน้าผาครับ ผมหักหน้ารถเร็วไปหน่อย มันเลยหลุดถนน

P: อุบัติเหตุพวกนี้ ไม่เคยทำให้คุณอยากหยุดใช้รถจักรยานยนต์บ้างเลยหรือครับ?
K: ไม่เลย ไม่เคยคิด แต่หลังจากเรื่องแบบนี้ ผมก็มักจะขี่ช้าลงนะครับ

P: แล้วใช้เวลาแค่ไหน คุณถึงจะกลับมาขี่รถอีกครั้ง หลังอุบัติเหตุ
K: เร็วเท่าที่ ผมขี่มันได้นั่นแหละ เร็วที่สุดที่ทำได้

P: นอกจากขี่รถแล้ว คุณออกกำลังกายบ้างไหมครับ?
K: สำหรับผม แล้วแต่วัน นะ

P: แล้วรักษาหุ่นยังไง ใช้วิธีไหน?
K: ก็แค่กินให้ถูกวิธี แล้วก็พักผ่อนให้พอ

P: ไปยิมบ้างไหม ทำพวก พิลาเตส ไรงั้น?
K: ม่ายอะ ผมมันคนเชยๆ แค่ยกน้ำหนัก กับวิ่ง

P: แล้วเรื่องแฟชันล่ะ ? หนวดเครากับผมยาวของคุณนี่ตั้งใจจะบอกอะไรรึเปล่า? คุณว่าคุณเป็นคนบ้าแฟชันหรือ คนเกลียดแฟชัน ?
K: ผมไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าอะไร เป็นได้ทั้งสองแบบ บางทีผมก็อยากแต่งตัวเหมือนกันนะครับ

P: คุณเอาคาแรกเตอร์กลับบ้านด้วยรึเปล่า เวลาถ่ายหนัง
K: ผมเอาตัวแสดงกลับไปกับผมตลอดแหละจนกว่า ผมจะเข้าใจถึงแก่นแท้ของคาแรกเตอร์ ยิ่งถ้าต้องเปลี่ยนสำเนียงพูดนะ
ผมอาจตอบโทรศัพท์ด้วยสำเนียงของตัวละครที่กำลังเล่นอยู่ด้วยก็ได้ ตอนเล่นหนังของ แซม ไรมี เรื่องเดอะกิฟท์ ผมไปบาร์ที่นั่น แล้วก็นั่งมันไปเรื่อย ใช้รถปิคอัพ แบบตัวละคร แล้วก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆนั่น ผมชอบชะมัดเลย ขั้นตอนกลายร่างไปเป้นตัวละครเนี่ย

P: แล้วไม่เครียดรึ ต้องเล่นเป็นผู้ชายตีนโหดแบบนั้น เขาหยาบคายจะตาย นอกจากเสื้อผ้าแล้ว คุณเอานิสัยเขามาด้วยรึเปล่า
K: ก็มีนะ ผมปฏิเสธคนบ่อยครั้งกว่าที่ผมเคยเป็น ผมสุภาพน้อยลงกว่าที่ผมเคยด้วย

P: Hilary Swank รับบทเมียที่ต้องรับอารมณ์ร้ายเหล่านั้น คุณรู้สึกเป็นไง ที่ต้องอาละวาดทุบตีผู้หญิง
K: ส่วนหนึ่งในตัวผมยังกลัวด้านรุนแรงของตัวเองเลย ครั้งหนึ่ง ตอนที่ซ้อมบทอยู่ พวกเราอยู่ในรถเทรลเลอร์ บทผมมีว่า "แกมันอิตอแหล ตอแหล ตอแหล" แล้วพวกเราก้พยายามเข้าบทนี้ให้ได้ แซมซึ่งเป็นผู้กำกับ ก็จะบอกว่า “แทนที่จะแค่พูดก็ตบเธอซะด้วยซิ” บทฮิลลารี ก็จะทำนองว่า "ไม่นะ ดอนนี ชั้นไม่ได้โกหก.." (ตบมือ ทำเสียง ตบ)"ดอนนี ชั้นไม่ได้โกหก.." (ตบมือ ทำเสียง ตบ) แซมก็จะ แบบว่า "จับหน้าเธอขึ้นมาซี" มันเป็นแบบนี้อยู่หลายที จนผมจับเธออัดใส่กำแพงแล้วกระชากกางเกงเธอออก นั่นล่ะ ผมถึงหยุด มันน่ากลัวมาก มันเหมือนว่า " โอ้ ชิบหายละ! กูทำได้ไงวะนั่น! มันต้องเป็นแบบนี้ล่ะ บทนี้.." ผมว่ามันน่ากลัวมาก

P: นั่นถือเป็นการช่วยฮิลารีเตรียมตัวรับบทในMillion Dollar Babyรึเปล่า?
K: (หัวเราะ) นั่นสิ มันคงช่วยได้นะ เอาน่า ผมเคยมาแล้ว ไงซะก็หวังว่าพวกผู้หญิงจะไม่ถือสานะ แล้วก็ เอ่อ ผมว่า มันน่าอายที่จะพูดเรื่องนี้จริงๆ

P: ในหนังเรื่องต่อไป คุณจะเล่นเป็น ตัวร้ายแห่งฮอลลีวูด Johnny Stompanatoซึ่ง มี Catherine Zeta-Jones
มารับบท ลานา เทอร์เนอร์ แฟนสาวที่โดน Stompanato ซ้อมเป็นประจำ แล้วเขายังเป็นพวกแก๊งค์มาเฟียอารมณ์ร้อนด้วย ตอนหลังลูกสาวของเทอร์เนอร์แทงเขาตายเพื่อช่วยแม่ของเธอ นี่บทนี้มันไม่คล้ายบทเดิมในเดอะกิฟท์รึ?
K: ไม่นะ ผมพบว่า Stompanatoมีอารมณ์รุนแรงแต่เขาอยากที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น เขาไม่อยากเป็นแบบนั้น
ไม่อยากเป็นตัวร้าย ผมชอบการดิ้นรนของชายโฉดที่จะเปลี่ยนตัวเอง

P: และจาก เดอะกิฟท์ เป็นต้นมา คุณคือดาราชายค่าตัวสูงอันดับต้นๆของธุรกิจนี้ มันมีรายงานว่า คุณได้ค่าตอบแทนมากกว่า 150 ล้านเหรียญจาก แมทริกซ์สามเรื่อง กลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ค่าตัวดาราไปแล้ว และก่อนหน้านี้ คุณเอง เป็นคนบอกว่า คุณไม่อยากมีวิถีชีวิตแบบที่คนทั่วไปทำกัน เมื่อมาถึงวันนี้ กระแสลมของเงินตราเปลี่ยนชีวิตคุณหรือยัง?
K: ใช่ มันเปลี่ยนชีวิตผมไปแล้ว อย่างแน่นอน

P: จริงหรือ? อย่างไร?
K: ผมซื้อบ้านให้แม่ได้ ดีไหมล่ะ หลังใหญ่ด้วย แล้วแถมยังตกแต่งบ้านใหม่ได้ด้วย ผมยังขยายวงเงินบริจาคได้เพิ่มขึ้นทุกอย่างในชีวิตขยายออก แม้บุคลิกผมมันจะยังไม่เปลี่ยนเพราะเงิน แต่ชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้ว ผมยังคงทำทุกอย่างคล้ายเดิม แค่เพิ่มให้มากขึ้น มันก็เท่านั้น ผมยังไม่ได้บ้านะ ผมยังไม่ได้เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และแน่นอนผมยังไม่มีเครื่องบินเจ็ต

P: แต่อย่างน้อย หลังจากได้ชื่อว่า นอนโรงแรมแทนบ้านมาเป็นปี ตอนนี้คุณซื้อบ้านแล้ว นี่คุณแก่พอที่จะตั้งรกรากแล้วหรือ?
K: นั่นล่ะเป็นเหตุผลของผมล่ะ ผมว่าผมน่าจะลองทำอะไรใหม่ๆบ้าง และใช่ หลังจากนอนที่ชาร์โตว์ เมอมงค์มาสี่ปี ตั้งแต่ยุค1990 ตอนต้นๆ

P: อะไรนะ คุณนอนโรงแรมได้ตั้งสี่ปี อะไรมันดึงดูดใจขนาดนั้น?
K: รูมเซอร์วิส อะดิ ไม่ต้องทำความสะอาดเอง จะกินอะไรก็แค่ยกหูโทรศัพท์ จะเอาอะไรก็บอกโอปะเรเตอร์ ทุกอย่างมันสนุกแล้วก็ง่าย แต่ความสนุกมันมีจุดจบอยู่เสมอ ถึงเวลาเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมแล้ว คราวนี้ มันก็ดีแล้วล่ะ ที่มีบ้าน

P: คุณเก็บเตียงเองรึเปล่า?
K: ทำเองครับ มันดีที่สุดแล้วที่ได้ดูแลที่นอนที่กินด้วยตัวเราเอง จานผมก็ล้างเองนะ

P: แล้วแต่งบ้านเองด้วยไหม?
K: ครับ แต่งแบบทันสมัยผมพยายามจะแต่งให้ดูทันสมัยแต่ก็อยู่สบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

P: ชีวิตคุณเปลี่ยนไปเยอะไหม หลังเดอะแมทริกซ์ คุณยังสามารถเดินถนนแบบคนทั่วไปได้อีกไหม?
K: มันสำคัญนะ เรื่องที่คุณถามเนี่ย Robert De Niro เคยพูดว่า เค้าสูญเสียความเป็นส่วนตัวไป และการที่เขาไม่สามารถได้สังเกตผู้คนอย่างอิสระ ในฐานะนักแสดง ผมว่าเป็นการสูญเสียเป็นทรัพยากรที่เราจะนำมาใช้ในการทำงานเลยล่ะ ไม่มีนักแสดงคนไหนอยากสูญเสียมันไปหรอก ผมยังโชคดีที่ยังเดินถนนได้ปกติ ตราบเท่าที่ผมอยากทำ และไม่โดนรบกวนมากนัก

P:มันรู้สึกยังไงเวลามีคนแปลกหน้าเข้ามาหาแล้วทำท่าเหมือนว่ารู้จักคุณ?
K:มันก็เป็นการดีนะถ้าเค้าแค่เข้ามาทักทาย โดยรวมแล้วผมก็ยังไปไหนมาไหนได้สะดวกอยู่ ไม่มีผู้คนแตกตื่นอะไรมากนัก

P: นี่คุณจะบอกว่า คุณยังไปเดินตามห้างสรรพสินค้าเหมือนคนทั่วไปงั้นหรือ
K: ใช่ แน่นอน เมื่อคืนก่อน ผมก็เพิ่งไปดูหนังมา ก็ปกติดีนี่ มีคนจำได้บางครั้งเท่านั้นล่ะ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ เอาล่ะ มันไม่ใช่ว่าสะดวกนัก แต่เท่าที่ผ่านมา ผมพบแต่คนดีๆทั้งนั้น ที่เข้ามาทักผมว่า " หวัดดี คีอานู เซ็นนี่ให้หน่อยได้ไหมคะ" เท่านั้นล่ะ สบายมากครับ

P:หลัง Matrix ทั้งสามภาค คุณก็เล่น Constantine แล้วก็ Thumbsucker -หนังเกี่ยวกับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก และในเร็วๆนี้ คุณก็จะมีหนังเรื่อง The Lake House ที่แสดงคู่กับ Sandra Bullock แล้วก็ยังมี A scanner Darkly หนังทั้งสี่เรื่องนี้นี่คนละแนวกันหมดเลย หลัง Bill&Ted ภาคสอง คุณก็เล่นเป็น bisexual ใน My Own Private Idaho คุณตั้งใจที่จะแสดงหนังหลายๆแนวใช่มั๊ย แล้วหนังเรื่องหนึ่งๆมีผลต่อหนังเรื่องต่อๆมารึเปล่า
K:หนังเรื่องที่ผมกำลังเล่นมันไม่ได้โยงไปถึงเรื่องต่อไปที่จะเล่นนักหรอก มันแค่ ผมอ่านบทแล้ว ปิ๊งรึเปล่ามากกว่า มันก็หลักการเดิม ผมไม่อยากเป็นที่รู้จักในหนังแค่แนวใดแนวหนึ่งโดยเฉพาะ ผมอยากจะรับบทได้ในหนังทุกแนว

P: แล้วมันยากไหม ที่ต้องสลัดภาพเท็ดหัวกระเซิงเล่นแอร์กีตาร์ที่ติดหนึบอยู่ที่คุณเนี่ย มันทำให้หาหนังใหม่เล่นยากไหม
K: มันไม่ยากที่จะสลัดออกจากผม เท่าที่ กับจะสลัดออกจากคนอื่นนะ (หัวเราะ) ผมต้องเล่นบทนั้นได้ดีมากแน่ๆ เพราะจนบัดนี้ บางคนยังนึกว่าตัวจริงผมเป็นเท็ดอยู่เลย

P:คุณคงมีคนติดต่อมามากสิ เพื่อให้เล่นบทในหนัง แบบที่มี ฉากเล่นแอร์กีต้าร์ แบบโซโลน่ะ
K: ไม่มีครับ คนที่อยู่ในธุรกิจนี้ ไม่เคยทำอะไรงี่เง่ากะผมนะ ที่โดนมาน่ะ จากนักวิจารณ์ แล้วก็บางคนในสังคม เท่านั้นล่ะ

P: ดูเหมือนว่า ตอนนี้ นักวิจารณ์ รู้สึกว่าจะหันมาชื่นชมคุณเพิ่มขึ้นนะ รู้สึกดีขึ้นไหม หรือยังรู้สึกถูกจับผิดอยู่?
K: (คำราม) ผมได้เครดิตดีขึ้นแล้วหรือ รึว่า เค้ายังเขม่นผมอยู่? อืมม ไม่หรอก ผมแค่รู้สึกว่า ผมมีประสบการณ์มากขึ้น โตขึ้น และผมคงพยายามที่จะเดินหน้าต่อไป ส่วนที่ว่า เค้ายังจับตามองอยู่ ผมไม่รู้หรอก ยังไงก็เอาเหอะ

P: มีคนชมคุณใน My Own Private Idaho ความสัมพันธ์ของตัวละครของคุณ กับ River Phoenix ว่าทั้งลึกซึ้งและอบอุ่นเช่นเดียวกับใน Brokeback Mountain การตอบรับหนังเรื่องนี้เป็นไงบ้าง
K: My Own Private Idaho ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี แต่ผมว่า มันเนื่องมาจากโครงสร้างหนังมันดีด้วยตัวมันเองด้วย ในช่วงกลางๆเรื่องจะมีทั้งลักษณะแบบละครเช็คสเปียร์เข้ามาเกี่ยว หนังมีองค์ประกอบทั้งความสนใจเกี่ยวกับ เด็กโสเภณีข้างถนน โฮโมเซ็กชวล และ เรื่องความขัดแย้งระหว่าง พ่อ-ลูก มันก็เลยมีการตอบรับที่ดี

P: คุณว่าถ้ามันเลื่อนมาฉายตอนนี้ จะได้รับการชื่นชมแบบ Brokeback Mountainไหม? ในเวลานี้สังคมเปิดรับมากขึ้นเกี่ยวกับ โฮโม มากกว่าที่ ไอดาโฮ ฉายในปี 1991รึเปล่า ?
K: ผมคิดว่างั้นนะ Brokeback Mountainวางพลอตมาเป็นหนังรัก โลกเดี๋ยวนี้ ยอมรับกันมากขึ้น เพราะอย่างไรเสีย มันก็เป็นเรื่องความรักของผู้ชายสองคน อืมม และตอนนี้เราก็มีการแต่งงานเกย์โดยถูกกฏหมายแล้ว ดังนั้น ผมว่า ใช่ และสำหรับไอดาโฮเมื่อเร็วๆนี้ผมก็เห็นมันฉายทางทีวีอยู๋นะ มันยังเข้าสมัยอยู่เลย

P: แล้วคุณล่ะ คุณคิดว่าคุณภาพในการแสดงของคุณตอนอายุ 40 นี่ดีกว่าตอน 20 หรือ 30 รึเปล่า?
K:ผมไม่รู้ ผมไม่เคยมองตัวเองแบบนั้น ผมมีแต่มองไปข้างหน้าว่าจะทำอะไรได้บ้างต่างหาก

P: คุณไม่วิตกบ้างเลยหรือที่เริ่มแก่ลงในธุรกิจที่ต้องการแต่คนหนุ่มสาว?
K: ไม่ ผมไม่เคยกังวลเรื่องนั้นเลยนะ ผมมองในมุมที่ต่างออกไป ผมยังมองบท แม็คเบ็ท แล้วสงสัยว่า ผมแก่พอที่จะเป็นแม็คเบ็ทได้หรือยัง นี่กูยังดูหน้าอ่อนไปไหมวะ? นั่นเป็นบทที่ผมอยากแสดงมาก ผมอยากมีโอกาสที่จะเล่นบทนี้แล้วรู้สึกว่าผมเข้าใจถึงคาแรกเตอร์นี้อย่างจริงจัง ผมหวังแค่ ผมคงไม่ต้องพยายามแก่มากนัก เพื่อที่จะได้เล่นมันสักทีนะ

P: คุณเคยพูดว่า คุณดูไม่ได้ ใน แดร็กคูลา ของ ฟรานซิส ฟอรด คอปโปลา มันมีอะไรเกิดขึ้นกับการแสดงของคุณ?
K: ตอนไปถ่ายหนังชิ้นนี้ ผมทำงานมาแล้วเยอะมาก ปีนั้นสามเรื่อง มันเหมือนโดนเหวี่ยงไปมาในหลายคาแรกเตอร์ ผมล้า แล้วก็ไม่มั่นใจ จริงๆแล้ว ผมก็เอาเรื่องนี้มาดูปีที่แล้วนะ มันก็พอใช้ได้ ตัวละครอื่นๆเล่นดี ส่วนของผมมันก็ พอดูได้

P: สปีด ทำให้คุณได้จับเงินเป็นหลักเป็นฐาน คุณรู้สึกได้ล่วงหน้ารึเปล่าว่ามันจะเวิร์คขนาดนี้
K: ไม่นะ ผมเห็นมันเป็นหนังแอคชันที่มีโอกาสจะทำให้แอคชันฮีโรกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้
ช่วงนั้น บทแบบนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ บรูซ วิลลิซ แสดงเรื่อง Die Hard การแสดงของผมเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแอคชันฮีโรว่าไม่จำเป็นต้องแกร่งเกินคนขนาดนั้น

P: แล้วทำไมไม่เล่นภาคต่อของมันล่ะ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้ มันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องก็เถิด แต่ภาคแรกมันประสบความสำเร็จมากๆ เลยนะ
K: โอ้ว นี่มันเรื่องโบราณแล้วนะคุณ

P:แต่มันไม่ใช่ความทรงจำที่เจ็บปวดนี่นะ
K: (หัวเราะ) ก็จริง มันเป็นเรื่องโบราณที่แสนดี

P: แล้วทำไมคุณถึงปฏิเสธล่ะ
K: ก็เพราะตอนนั้น ผมอ่านบทกับเรื่องแล้วมันไม่น่าทำน่ะสิ

P:เพราะเรือแล่นในน้ำมันไม่ให้ภาพความอันตรายเท่ารถบัสใช่ไหม
K:นั่นก็เป็นเหตุผลหลักข้อหนึ่งของผม (หัวเราะ) แต่ที่จริงแล้ว ผมอยากให้บทผมเป็นลักษณะเที่ยวไปทั่วทั้งเรื่อง ตามขอแซนดราแต่งงานไปพร้อมๆกับการแก้อุปสรรคต่างๆในเรื่องต่างหาก ซึ่งมันคงจะน่ารักดี แต่พอบทมาถึงมือผม
ผมก็เหนื่อยที่จะเล่นหนังแอคชันแล้ว ตอนนั้นผมกำลังจะจบงานเรื่อง เชนรีแอคชัน แล้วผมไม่อยากมาแสดงแต่บทโดดๆวิ่งๆอีกต่อไป ผมเลยไปรับเล่นแฮมเล็ต แล้วมันก็สนุกซะด้วยสิ

P: แล้วปีที่แล้ว ทำไมคุณตัดสินใจเล่น Something’s Gotta Giveล่ะ ทั้งๆที่ดูเป็นหนังรักที่น่าจะเชยนะ แต่แล้วมันก็กลับมาฮิตและทำให้เราได้ดูหนังรักฉลาดๆของคนสูงวัย กันอีกเรื่องหนึ่ง
K: ผมว่าบทมันดีนะ ทั้งเขียนบทและกำกับโดยNancy Myers ยอดเยี่ยมมาก ที่สำคัญเป็นโอกาสที่จะได้เล่นคู่กับJack Nicholson และ Diane Keatonอีกด้วย ผมชอบความเป็นมนุษย์ในบทของผม แบบว่า เขาเป็นหมอหัวใจในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ แล้วมันก็มีบทที่เค้าได้แสดงความมีเกียรติและศักดิ์ศรี ผมก็เลยไม่สนหรอกที่บทผมมันจะแห้ว อดได้หญิง น่ะ

P: คุณตื่นเต้นไหมที่ได้พบ แจ็ค ประสาทกินบ้างไหมที่ต้องเล่นคู่ คนระดับตำนานแบบเขา
K: ผมเคยเจอมาแล้ว เมื่อเล่นกับ Al Pacino ใน The Devil’s Advocate ตอนนั้น ถ่ายที่แมนฮัตตัน พวกเราเข้าฉากรถไฟใต้ดิน นั่นครั้งแรกที่ผมต้องพบดาราใหญ่ ใช่ ผมประสาทสุดๆ แต่ อัลเป็นคนดีมาก น่ารักมาก เขาช่วยให้ผมผ่านมาได้ เป็นโอกาสดีของผมที่จะโลดแล่นเหมือนที่Laurence Fishburne ชอบพูดกับผมประจำ

P:อืมม โลดแล่นอย่างนั้นรึ?
K:คุณพอนึกออกไหม แบบว่า"เต็มแรงไปเลยเพื่อน สุดเหวี่ยงไปเลย เอาให้หลุดโลกไปเลย"

P: คุณออกจากโรงเรียนเพื่อมาแสดง ตัดสินใจยากไหม ตอนนั้น
K: ไม่ยากเลย เพราะผมเลือกจะเป็นนักแสดงก่อนเข้าไฮสคูลซะอีก

P: แม่คุณไม่ห่วงบ้างเลยหรือ ลูกเลิกเรียนกลางคัน
K: ไม่ เธอสนับสนุนผมทุกอย่างแหละครับ ไม่มีใครพยายามหยุดฝันผมเลยซักคน

P: อย่างนั้นเลยรึ คุณเป็นนักเรียนดีรึเปล่าตอนยังเรียนอยู่น่ะ?
K: ผมก็ธรรมดานะ อยู่สี่โรงเรียนในห้าปี ที่แรกผมเรียนอยู่สองปี แล้วก็ไปเรียนโรงเรียนการแสดงอีกปีหนึ่ง โดนไล่ออกมา แล้วก็ไปเข้า โรงเรียนคาทอลิกเพราะหวังจะเล่นฮอคกี เลยได้เล่นฮอคกีเป็นที่แรก หลังจากนั้นก็ไปอยู่โรงเรียนเอกชนอีกที่หนึ่ง เรียนไปทำงานไป ไปๆมาๆ เลยดรอปเรียนเลย

P: ไม่รู้สึกไม่มั่นใจบ้างหรือ ที่เรียนไม่จบไฮสคูลตามประเพณีแบบชาวบ้านเขา
K: ไม่หรอก ก็ผมมาทำงานเป็นนักแสดงนี่ไง นี่ต่างหากสิ่งที่ผมอยากทำ

P:เมื่อไรนะที่คุณตัดสินใจมาแสดงที่ฮอลลีวูดนี่
K: ตอนผมอายุ 20 ผมได้กรีนการ์ดก็เก็บของใส่รถเก่าๆของผม ขับข้ามพรมแดนมาจากแคนาดาเลย ไปนอนอยู่บ้านพ่อเลี้ยงครึ่งปีที่นิวยอร์ก พ่อเลี้ยงผมเขาเป็นคนเขียนบทและผู้กำกับ เขาให้ผมนอนห้องพักแขก เพราะผมไม่รู้จักใครอีกแล้ว จากที่นั่น ผมหาเพื่อน หาห้องพัก แล้วแชร์ค่าห้องกัน

P: ตลอดที่คุณเล่านั่น คิดถึงบ้านไหม
K: ไม่เลยสักนิด ผมพร้อมที่จะบินแล้วตอนนั้น จริงๆแล้วผมเกือบออกจากบ้านแม่ตั้งแต่อายุ17 รึ 18 แล้ว

P: ใช้เวลานานเท่าไรจึงตั้งตัวได้น่ะ มีอุปสรรคอะไรมารั้งบ้างมั๊ย
K: ไม่มีนะ ผมมีพลังของวัยหนุ่ม ผมเคยถ่ายหนังที่แคนาดาเป็นสัปดาห์มาแล้วนะ ทันทีที่มาถึง แอลเอ ผมก็มีผู้จัดการและเอเยนต์ของผมเองแล้ว ผมไปถ่ายรูปแล้วก็ไปคัดตัวนักแสดงเลย หลังจากหลายเดือนที่มีแต่คำปฏิเสธ ผมก็ได้บทตัวประกอบในหนังทีวีจนได้

P: แล้วตอนนี้ หลังจากอยู่แอล เอมา 20 ปี คุณเบื่อหน่ายฮอลลีวูด และธุรกิจมายาหรือยัง
K: ตอบตรงๆว่ายัง และหวังอย่างยิ่งว่าจะไม่เป็นด้วย

P: ที่นี่ไม่มีสนามไอซ์ ฮอคกีมากนัก ได้ยินว่าคุณเล่นเก่งระดับนักกีฬา สมัยไฮสคูล ตอนนี้ ยังเล่นอยู่ไหม
K: เล่นครั้งล่าสุดก็ ห้ารึหกปีแล้วครับ ตอนที่เข่ายังดีอยู่ ตอนนั้นผมเล่นบ่อยนะครับ ผมเคยเป็นผู้เล่นทั้งตอนอายุต่ำกว่าและมากกว่าสามสิบให้ลีกในแอลเอด้วย ได้รางวัลผู้รักษาประตูดีเด่น และผู้ทำประตูด้วย มีปีหนึ่งได้ถ้วยเลยล่ะ

P: ฉายาสมัยไฮสคูล “The Wall” แสดงถึงเกราะอันแน่นหนาไม่มีใครผ่านได้ ทำไมไม่อยากเป็น นักกีฬาฮอคกีอาชีพล่ะ
K: ตอนอายุ 17 นั่นแหละที่ผมตัดสินใจเลือก ตอนแรกจะไปคัดตัวเข้า major junior A teamแล้ว แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ไป เพราะผมมีงานแสดงเข้ามาพอดี ก็เลยมาทางนี้ซะ

P: หลังเดอะแมทริกซ์ อุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ และการเล่นไอซ์ฮอคกี เข่าคุณตอนนี้ มันแย่ขนาดไหนแล้วล่ะครับ?
K: ตอนนี้ลำบากนะ มันจะบวมถ้าฝืนเล่นฮอคกี้ และนอกจากมีอุปสรรคเรื่องเข่าแล้ว กระดูกคอผมก็ผ่าตัดมาแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย

P: ผ่าทำไมล่ะครับ
K: คือผมจำเป็นต้องเอากระดูกแถวๆคอออกไปสองชิ้น แต่ผมก็ยังคิดอยากจะเล่นฮอคกีอยู่ดีแหละ ผมอยากกลับไปหาตาข่ายอีกจัง

P: หนังสือแทบลอยด์ตามข่าวดารากันยังกับแร้งจิกเหยื่อ พวกนั้นชอบข่าวฉาวๆ แต่ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยมีเรื่องแบบนี้ออกมานะ ไม่ทราบมีเคล็ดลับอะไร
K:พอดีว่า ผมมีชีวิตเรียบๆ ไม่ค่อยออกไปไหน มันดูแย่นะ แต่ก็เอาเถอะ

P:ปาปารัสซีกับแทบลอยด์นี่สร้างปัญหามากขนาดไหน
K:ไม่มีใครอยากให้ชีวิตส่วนตัวต้องโดนจับตาจากเลนส์ซูมและแฟลชหรอกครับ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นทุกทีในฮอลลีวู๊ดส์ ไปกินข้าวตรงไหน ไปเที่ยวกับใคร เขาถ่ายไปขายได้ทั้งนั้นล่ะ มันเลี่ยงไม่พ้นหรอก

P:ดาราหลายคนจ้างทนายไว้จัดการปฏิเสธข่าวนี่ หรือไม่ก็ฟ้องซะ ถ้ารายงานเสื่อมเสีย ตอนข่าวแต่งงานเกย์กับเดวิด เกฟเฟนโผล่มา ทำไมคุณไม่ตั้งโต๊ะปฏิเสธเพื่อปกป้องตัวเองล่ะ
K: ไม่หรอก ถ้าไปปกป้องตัวเองแบบนั้น มันก็จะเปลี่ยนประเด็นไปที่ผมไปตัดสินว่าเป็นเกย์นี่มันดีหรือไม่ดีสิ ผมพยายามไม่เอาคำพูดคนอื่น มาทำให้ ผมต้องทำหรือไม่ทำอะไร

P: ข่าวเรื่องเกฟเฟนนี่ทำให้คุณโกรธไหม?
K: ไม่หรอกคุณ สำหรับผม มันเป็นเรื่องเหลวไหล อย่างที่บอกนั่นแหละ ข่าวลือ และเรื่องแบบนี้ มันเหมือน กับว่าเอาดิ อะไรก็ได้

P:คุณอ่านแทบลอยด์บ้างไหม คุณเข้าใจแรงดึงดูดของมันไหม
K:ผู้คนนินทาแม้เรื่องพระราชาพระราชินีจะเลิกกันเมื่อไร มันเป็นธรรมชาติ มนุษย์ เราชอบพูดเรื่องชาวบ้าน

P: รวมทั้งคุณด้วยหรือเปล่า
K: ผมฉีดวัคซีนกันนินทาไว้ทุกปี ผมก็เลยไม่เป็นโรคนี้

P: แล้วคุณยกโทษให้สื่อด้วยไหม
K: ผมไม่คิดว่าใครมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะมาปีนบ้านผมหรือติดตามถ่ายรูปผมนะ มันริดรอนสิทธิที่จะมีชีวิตปกติของผม

P:แล้วเคยฝันที่จะใช้อภิสิทธิดาราผลักดันการเมืองแบบที่โบโนทำบ้างไหม
K: ไม่เคยคิดแฮะ โบโนเขาเป็นคนเก่งและทำแต่สิ่งดีไว้มากเลย ผมไม่ยักกะมีเรื่องนี้แบบเขา แต่ถ้าให้ช่วยการกุศล ผมทำได้

P: แล้วคุณคิดจะไปช่วยนักการเมืองหาเสียงรึเปล่า
K:ผมคงทำอะไรเงียบๆมากกว่า ตามสไตล์ผม ตอนนี้นะ

P: จอร์จ คลูนีย์ สร้างซีรีย์การเมืองมา– Syriana and Good Night, and Good Luck คุณสนใจสร้างหนังที่ชูแนวคิดการเมืองของตัวเองออกมาบ้างมะ
K: ไม่ใช่ลักษณะผม ที่จอร์จทำ มันน่ายกย่องแล้วก็สำคัญมาก แต่ยังไม่ใช่แบบที่ผมจะทำเร็วๆนี้แน่ ชีวิตผมตอนนี้มันยังเล็กๆเอง ผมโดนนับเป็นดาราใจบุญก็จริง แต่ผมขอทำแบบเงียบๆแล้วก็ง่ายๆ

P: คุณไปออกเสียงเลือกตั้งในอเมริการึเปล่า
K: เปล่า ผมยังถือสัณชาติแคนาดาอยู่เลย

P: แล้วไปโหวตที่แคนาดาไหม
K:ผมจะรู้เรื่องที่แคนาดาได้ไงกัน ผมว่า สรุปไปเลยดีกว่าว่า โดยสรุปแล้วนอกเหนือจากเรื่องทางสังคมและการเมืองแบบที่คนทั่วไปเค้ารู้กันเนี่ย ผมเป็นพวกไม่ได้เรื่อง ผมไม่ได้ไปเลือกตั้ง แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ภูมิใจนะ ผมอยากเปลี่ยน

P: คุณอยากใช้สิทธิที่นี่งั้นสิ
K: ช่าย แล้วก็ได้สัณชาตอเมริกันด้วย ผมรู้มานานแล้วว่าผมอยากมีส่วนร่วมให้มากกว่าเดิม

P: ตามที่สื่อรายงาน คุณไม่มีความสัมพันธ์กับพ่อ ตอนนี้พ่ออยู่ในชีวิตคุณรึยัง
K: ยังครับ
P: แล้วรู้ไหม เขาอยู่ที่ไหน
K: ในฮาวายครับ
P: คุณคิดจะกลับไปหาพ่อไหม
K: ผมไม่รู้ , ผม...ไม่รู้ซิ
P: คุณสนิทกับครอบครัวไหม พวกเขาอยู่ไหนกัน
K: น้องสาวผมคนหนึ่งอยู่ที่อิตาลี อีกคนอยู่ซีแอตเติล แม่อยู่ที่นี่ ครอบครัวเราสนิทกันมาก หาเวลาอยู่ด้วยกันเสมอทุกเทศกาล มากเท่าที่สามารถ

P: นอกจากแสดง คุณยังชอบร็อคแอนด์โรลล์ด้วย คุณยังเล่นเบสในวงร็อคอยู่รึเปล่า
K: ไม่แล้วครับ ผมเลิกเล่นมาแปดเดือนแล้ว วงเค้าจะไปตระเวนทัวร์แล้วก็อัดแผ่น ไม่ใช่แค่เล่นเวลาที่ว่าง ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วง ก็เลยออกมา
P: วงน่ะจะได้รับความสนใจและขายแผ่นได้มากขึ้น ถ้ามีคุณอยู่นะ
K: มันก็ใช่ แต่โอกาสมันก็เริ่มน้อยลงหลังจากประมาณซักเจ็ดปี แล้วมั้ง
P: หมายถึงว่า ชื่อเสียงของคุณมันทั้งช่วยทั้งกดดันไปพร้อมกันงั้นหรือ
K: ในตอนเริ่มต้น ใช่ครับ แต่ถ้าอยากเล่นดนตรี หุบปากแล้วเล่นไป แต่ถ้าคุณไม่อยากเล่น เชิญนอนอยู่บ้าน มันเป็นแบบนั้นล่ะ บางทีก็ไม่สะดวกนักหรอก เรามันวงใหม่ แต่ยังมีคนกว่าสามพันคนมาดูเราเล่นดนตรีนะครับ

P: คุณชอบอย่างไหนมากกว่า เล่นเพลงใหม่ในการแสดงสดหรือเล่นละครเวที
K:ทั้งสองอย่าง ก็ฟังดูดีนะ ผมชอบความตื่นเต้นแบบนั้น ผมถนัดแสดงละครเวที เวลาผมแสดงอยู่บนเวที มันรู้สึกเหมือนแสดงสบายๆอยู่ที่บ้าน ผมรู้สึกสบายกว่าแสดงดนตรี

P: อะไรทำให้คุณอยากพุ่งไปหามากที่สุด ระหว่างเล่นเปิดวงให้ บองโจวี กับ นั่งดู แมทริกซ์ครั้งแรก หรือ แสดงละครเวที
K:น่าจะเป็นละครเวทีครับ แต่เล่นให้บองโจวี ก็สนุกนะ มันเป็นงานใหญ่ครั้งแรกของพวกเราด้วย เครื่องขยายเสียงโคตรสุดยอดเลย เสียงกลองดังยังกะระเบิด เสียงเบสแรงมาก คุณจะรู้สึกว่าทั้งสถานที่นั้นสั่นเลย เสียงโดนขยายจนได้ยินทุกอย่าง ขากางเกงยังสั่นเลย

P:คุณรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมวงหรือเพื่อนร่วมกองถ่ายมากกว่ากัน
K:สูสีกันเลย คุณจะได้รู้จักเพื่อนร่วมวงดีขึ้นเวลาออกทัวร์ไปด้วยกันในรถแวนหรือรถบัส คุณจะรู้ว่าในเวลาตีสี่แต่ละคนหน้าตาเป็นไง นักดนตรีก็แบบเดียวกับโจรสลัดนั่นละ
P:คุณจะเล่นกับวงอื่นอีกไหม
K: ไม่แล้ว
P:เพราะคุณรู้ว่าเอาดีทางดนตรีได้ไม่เท่าจากการแสดงรึเปล่า
K: ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกันสักนิดเลยนะ ผมชอบงานสร้างสรรค์ ผมชอบทั้งแสดงทั้งเล่นดนตรี ไม่มีอะไรเจ๋งไปกว่าเขียนเพลงเป็นครั้งแรกแล้วเรียกเพื่อนมาลองซ้อมหรอก แล้วต่อจากนั้นค่อยเอาไปเล่นโชว์สด
P: แล้วออกจากวงทำไม
K: ผมอายุ 41 แล้วนะ เล่นดนตรีมาเก้าปีแล้ว นานพอแล้ว มันเป็นเรื่องของเวลาน่ะผมยังมีหลายอย่างที่อยากทำ

P: ถ้าคุณคิดถึงอนาคต คุณเคยมองเห็นตัวเองนั่งอยู่บริเวณบ้านที่มีเด็กโขยงหนึ่งวิ่งเล่นไปมา รอบๆพุงคุณไหม George Clooney หนุ่มโสดระยะสุดท้าย บอกว่าเรื่องแบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นกับเขา แต่เขาก็เริ่มมีพุงแล้วนะ
K: อืมม มันคงจะบอกคุณได้ว่า เราทุกคนอยากดำรงเชื้อสายมั้ง ในธรรมชาติ นี่คือสัญญาณดาร์วิน มันคืออะไรรู้ไหม "ธรรมชาติส่งไซเรนมาแล้ว และการไม่ตอบรับก็คือการไม่ดำรงอยู่ โลกนี้จะต้องมีคน" ช่าย ชีพจรนี้ จะส่งเสียงเสมอ และมันเตือนผมอยู่เรื่อย อืม มีพุงแล้วก็เด็กโขยงหนึ่งหรอ ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ?




 

Create Date : 15 มีนาคม 2549    
Last Update : 15 มีนาคม 2549 14:48:51 น.
Counter : 1315 Pageviews.  

Route 666

Galaxie (Mal), January 17 - 31, 1998

Image Hosted by ImageShack.us



Q:บทKevin ที่คุณเล่นนั้น เป็นชายหนุ่มที่ต้องการทั้งความร่ำรวยและชื่อเสียง แล้วแถมยังมีความเสี่ยงที่อาจจะละเมิดศีลธรรมด้วย ซึ่งมันต่างจากตัวจริงคุณมาก แล้วคุณกลายเป็นเขาไปได้อย่างไร?

K:ถึงเราจะดูต่างกันมาก แต่ก็ไม่ต่างกันขนาดนั้นหรอกครับ ผมว่า ข้อเท็จจริงที่ว่า การจะเลือกทำอะไรก็ได้ตามใจเรานี่ มันคือกับดักชนิดหนึ่งเลยนะ โดยปกติเรามักตัดสินใจทำสิ่งที่เราคิดว่า มันดีที่สุดในตอนนั้น แต่ใครจะรู้อนาคต ผมชอบความทะเยอทะยานของ เควิน รวมถึงความต้องการที่จะเป็นหนึ่งในอาชีพของเขาด้วย แม้ว่าในตอนท้าย มันจะทำให้เขาสูญเสียความตั้งใจของเขาไปก็ตาม ไปๆมาๆ พวกเราก็จะเป็นแบบนั้น รู้ไหมครับ ผมไม่อยากจบแบบนั้นเลย

Q:คุณเชื่อเรื่องปีศาจไหม เรื่องทำนองว่า พวกมันมักจะเปลี่ยนหน้ากันมาล่อลวงเราให้ทำบาป?

K:เออ , ผมไม่คิดว่า ปีศาจ จะหน้าตาเหมือน Al Pacinoหรอกนะ ถ้าคุณถามแบบนั้น แต่ผมเชื่อในพลังด้านดีและด้านร้ายที่มันต่อสู้กันอยู่ และมันขึ้นกับเราเองแต่ละคน ว่าจะเลือกอยู่ข้างที่ถูกต้องหรือเปล่า

Q:อะไรคือ บาปที่คุณชอบที่สุด?

K:อืมมม ... [เกาคางไปมา] เอออ ... ตัณหา! ความทะเยอทะยาน และ ตัณหา แน่นอนที่สุด [หัวเราะลั่น แล้วแกล้งทำเสียงปีศาจ] ตัณหาสิดี ตัณหาคือเส้นทางของเรา (Lust is good. Lust is the way to go.)

Q:ถ้างั้น ตอนถ่ายฉากรักที่ต้องเปลือยคู่กับ Charlize ก็ไม่มีปัญหาละสิ ?

K:ไม่ ไม่มีปัญหาเลย เราสนุกมากด้วย Charlize ทำงานเก่งมาก แล้วผมว่า เราสองคนดูดี และเข้ากันได้สวยงามมากเลย ... Pretty lusty ... [แล้วก็ถามเราอย่างไม่มั่นใจนัก] คุณว่างั้นไหมล่ะ?

Q:อืมม ไม่เลวหรอก ไม่เลวเลย ไหนลองบอกความจริงมาซิว่า ระหว่างเลิฟซีนนั่น คุณทำงานกันจริงๆ หรือเล่นจริงๆกันแน่?

K:เออ กับCharlize นี่ จริงๆแล้วเราเล่นกันมากกว่า เธอเป็นคนง่ายๆนะ สาวน้อยจากชนบท ที่ไม่มีปัญหาเรื่องถอดเสื้อผ้า แล้วทำท่าตามบทของเธอ ผมก็เลยสบายไปด้วย ไม่ต้องเกร็งนัก แค่เล่นบทของ Kevin แล้วก็ทำสิ่งที่เจ้าเควินมันต้องทำ เท่านั้นเอง

Q:การต้องต่อสู้กับอำนาจปีศาจโดยเฉพาะในคราบของAl Pacinoล่ะ เป็นยังไงมั่ง?

K:พิลึกดี[เงียบไปพักหนึ่ง] น่าจะใช้คำนี้แหละ ผมอยู่ที่นั่น ถ่ายหนังกับนักแสดงที่ยิ่งใหญ่คนนี้ ยืนมองเขาแสดงบทของเขา และทันทีที่ ผู้กำกับสั่งคัท อัลก็บอกผมว่า "ไปไอ้หนู ไปหาอะไรกินกัน" แบบนั้นเลย แล้วห้านาทีต่อมา เรากลับมาเข้าฉาก เค้าก็กลายเป็น จอห์น มิลตัน ที่พยายามที่จะยึดครองโลกไปในทันที สวิทช์ไปมาได้อย่างเหลือเชื่อ เขาไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง

Q:งั้นคุณก็คงต้องกดดันตัวเองน่าดูสิ ที่จะต้องมาเล่นคู่กับ อัล เนี่ย?

K:ผมผ่านนะ คุณไปดูในหนังจะดีกว่า มีฉากโชว์ก้นผมฉากหนึ่งด้วย คือยังไงดีล่ะ อัลก็ คืออัลนั่นแหละ เราทั้งคู่เป็นมืออาชีพ แล้วเราก็ตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุด

Q:นอกจากโอกาสที่ได้ร่วมงานกับPacino คุณจะได้อะไร จากการเล่นเป็นทนายรูปหล่อจอมเล่ห์เหลี่ยม อย่าง Kevin Lomax?

K:"โอกาสที่จะเข้าใจตัวผมไง" ตอบอย่างเฉยเมย"โอกาสจะได้เข้าไปอยู่ในหัวของชายที่ผมไม่มีทางเป็น และไม่อยากเป็น แล้วก็พยายามที่จะมองโลกแบบของเขา"

Q:แล้วคุณค้นพบอะไร?

K:"ไม่มีอะไรเลย" เขาตอบเสียงราบเรียบ"นอกจากว่าAl Pacinoน่าจะเป็นพ่อ ที่เจ๋งมาก"

Q:Taylor Hackford[ผกก.Devil's Advocate]บอกมาว่า ครั้งแรกที่ คาสต์คุณ คุณยังเป็นไอ้หนุ่มจอมเฉื่อย ทีดูบอบบางและซีดเซียว รวมทั้งยังไม่มีความกระตือรือร้นอะไรเลย แต่ในวันที่เริ่มถ่ายทำ เมื่อเขาพบคุณในคอสตูมและเริ่มแสดง เขาทึ่งเป็นอันมาก ที่ทั้งลักษณะภายนอก และทัศนคติไปอย่างสิ้นเชิง คุณกลายเป็น เควิน ไปเลย

K:เขาบอกแบบนั้นหรือ? [นิ่งไปอีกพักหนึ่ง] เออ ก็ ผมก็คงได้ทำงานของผมแล้วล่ะนะ

Image Hosted by ImageShack.us


Q:งั้นหรือ ถ้าการแสดง เป็นงาน แล้วงานอดิเรกอย่างที่เล่นใน Dogstarล่ะ?

K:มันก็ดีไปคนละอย่างนะ การแสดง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่ วงดนตรี ก็ ... Acting, music, living ...

Q:แล้วความรักล่ะ เรื่องรักเป็นไงมั่ง มันสำคัญกับคุณไหม?

K:เออ ไม่มีความเห็นครับ ไงก็ได้

Q:หน่อยน่า อย่างน้อยก็บอกหน่อยว่า มีแล้วรึยัง

K:มีแล้วครับ ... [นิ่งไปอีกพัก แล้วก็ทำหน้าล้อเล่น] ... รึยังไม่มี

Q:ก็ได้ๆๆๆๆ กฏของดารา, แล้วหนุ่มหน้าตาดีแบบคุณ ไปเล่นเบสส์ในวงร็อค มันจะเป็นยังไง?

K:มันก็เป็นปกตินั่นแหละ ผมชอบเล่นดนตรี แล้วก็ชอบแสดง แต่สื่อมวลชน หรือแม้แต่แฟนๆเองก็ตาม ชอบทำให้ผมผิดหวังอยู่เรื่อยๆ พวกเราอยากเป็นวงดนตรีปกติ แต่เมื่อมีผมในวง ใครๆก็จะคิดไปอีกแบบ ทำนองว่า ผมไม่เหมือน เบร็ทกับร็อบ(นักร้องและมือกลอง) ไปๆมาๆ มันก็เหมือนๆกันไปหมด เพลงของพวกเราเข้าท่านะ แล้วเวลาเล่นดนตรีมันก็ไม่เหมือนแสดงหนังด้วย เล่นดนตรีมันยอดมากที่เราสื่อสารกับผู้ชมได้ทันทีในขณะที่เราเล่น แล้วมันก็จะได้สิ่งดีๆกลับมาทุกครั้ง ความรู้สึกดีๆที่ได้ รู้สึกและแบ่งปันกัน

Q:ฟังดูน่าสนใจมากเลย คีอานู ขอบคุณที่คุยกับเรา ขออีกคำถามเดียว ผู้อ่านแกแล็กซีคงอยากรู้ ว่าตอนนี้ คุณดูๆใครอยู่บ้างหรือยัง?

K:[ลุกขึ้นยืน ทำท่ามองหาคน พร้อมยิ้มทะเล้นๆ] อ้อ มีแล้วสิครับ ผมกำลังดู นักกายภาพบำบัดของผมอยู่ไง พักนี้ ปวดหลังชะมัดเลย
Image Hosted by ImageShack.us





 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2549 14:03:51 น.
Counter : 1210 Pageviews.  

The Man Who Isn't There

Time Mag. Feb. 21, 2005

Keanu Reeves มีชื่อเสียงในการแสดงเป็นคนโดดเดี่ยว บางทีนั่นอาจ เพราะ เขาคือคนเก็บตัว "ของจริง"แห่งฮอลลีวูด

Image Hosted by ImageShack.us

the Walk of Fame เพิ่งประดับดาวให้กับ Keanu Reevesเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ แม้เหล่าดวงดาวบนถนนจะมากขึ้นทุกวัน ดาวของ Reeves ก็มี"นัมเบอร์" ที่สวยงาม นั่นคือ 2,277 แต่ในความคิดเห็นของShia LaBeouf ดาราวัยรุ่นผู้ร่วมงานกับเขาในหนังเรื่องใหม่ Constantine และอยู่ในงานฉลองวันนั้น ก็ยังสังเกตุบางสิ่งบางอย่างได้ นั่นคือ คีอานู ไม่มีเพื่อนมากนัก"เค้าเชิญคนมางานนี้ สองสามคนเองครับ ที่เหลือก็เป็นพวกผู้บริหารในฮอลลีวูด" LaBeouf กล่าวงงๆ เล็กน้อย "ทั้งหมดก็มีคุณแม่เขา เพื่อนจากวงดนตรีคนนึง พวกผู้บริหารทั้งหลายพวกนั้น ผกก.Francis [Lawrence, who directed Constantine]แล้วก็ผม เนี่ย แค่นั้นเอง"

โดยฐานะ Keanu Reeves นับว่าเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมาก และตั้งแต่หนังเรื่องthe Matrix เขาก็เป็นเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองนี้ ทั้งชื่อเสียงและเงินทองย่อมเป็นเป็นสิ่งพื้นฐานที่จะทำให้หลายอย่างตามมา แล้วไฉน เขายังคงสภาพเป็นชายหนุ่มผู้สันโดษได้แบบนี้?

คุณไม่มีทางที่จะพบใครสักคนที่สามารถกล่าวได้ว่า เขารู้จัก Keanu Reeves อย่างแท้จริง ในกองถ่าย คีอานูเป็นที่รู้จักกันดีว่าว่า ทุ่มเทให้กับการทำงาน อย่างเช่น หากเราลองถามคนที่เพิ่งเสร็จงานร่วมกับเขาในConstantineอย่าง LaBeouf "ผมทำงานกับเขาปีหนึ่งกับอีกสองสามเดือน แต่ ผมก็ไม่รูจักเขามากนักหรอก" เขากล่าว ส่วน ผกก.ก็เล่าว่า"ผมว่า เขาคงไม่ค่อยคบใครนักนะ" Francis Lawrenceออกความเห็น

Image Hosted by ImageShack.us


"ถ้าคุณถามผมว่า ผมรู้จักKeanuตัวจริง หลังจากได้ทำงานกับเขารึเปล่านะ? ผมคงต้องตอบตรงๆว่า ไม่เลย แต่ผมก็รู้หลายเรื่องของเขานะ:เขาเป็นคนทำงานหนัก เขาใจกว้าง ใจดี น่ารักมาก แต่ว่า ทั้งหมดนั่น มันก็แค่ ผิวๆ" Erwin Stoff,ผู้จัดการและโปรดิวเซอร์คู่บุญของเขา ผู้ซึ่งรู้จักคีอานูมาตั้งแต่คีอานูอายุ 13และยังไม่ได้เริ่มใช้การแสดงเป็นอาชีพ ก็ยังขอใช้คำว่า"เดา" ในการบอกว่า คีอานูคือใคร"Keanuเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมากๆ" Stoffกล่าว "เขามีความสามารถพิเศษที่จะเว้นช่วงห่างจากคนอื่นนะ ผมว่า"

Reevesเป็นที่รู้จักดี ในการทำตัวเป็นปริศนา เช่นเดียวกับภาพพจน์ในจอของเขา บนใบหน้าหล่อเหลา มีความว่างเปล่าเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลังและความลึกลับ คล้ายเด็กชายสิบสองปีที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ด้านความสามารถทางการแสดง ยิ่งยากที่จะชี้เฉพาะเจาะจง แม้นักวิจารณ์หลายคนจะมองไม่ออกจนฟันธงไปว่า เขาไม่มีความสามารถ แต่สิ่งที่ผ่านมายี่สิบปี น่าจะบอกได้มากกว่า Reevesเล่นหนังมาแล้วหลากหลาย ไม่ว่า จะเป็นแนววัยรุ่นสนุกสนาน(the Bill & Ted movies), ดรามาลึกๆ (River's Edge, My Own Private Idaho), หนังอบอุ่น(Hard Ball) หรือหนังรักเบาสมองที่แฝงสาระ(เขาโดนDiane Keatonปั่นหัวใน Something's Gotta Give).

และความสำเร็จด้านรายได้อย่างยิ่งใหญ่ในหนังต้นทุนสูงอย่างSpeed, the Matrix movies,และPoint Breakก็เป็นสิ่งยืนยันประการหนึ่งว่า มีมหาชนสนใจเขา จนแม้แต่ กระทั่งหนังที่ดาราทำเงินอย่าง Will Smith ไม่สนใจ บทแบบ The Matrix แต่ คีอานูกลับนำความน่าสนใจมาให้หนังเรื่องนี้ นั่นอาจเป็นการดีที่ Will Smith ซึ่งได้รับบทไปอ่านก่อนไม่สนใจมัน เพราะเราคงไม่อยากเห็น The Matrix กลายเป็นWild Wild West: โดยแท้จริงแล้ว บทนี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่าเขา คีอานู คือ เดอะวัน

ถ้าคุณดู ตัวตนจริงๆของคีอานู รีฟส์ เขาทั้งหน้าตาดี มีเสน่ห์ น่ารัก แต่ที่มากกว่านั้น เขาขี้อายอย่างร้ายกาจ ที่ว่าร้ายกาจนั่นคือ ไม่มีทางที่คุณจะบังคับให้เขาเปิดปากพูดอะไรได้ ถ้าเขาไม่ชอบ เขาจะหลีกเลี่ยงคำถามไปได้ด้วยการให้ข้อมูลส่วนตัวออกมา ในปริมาณที่น้อยมาก เขาเกลียดการถูกสัมภาษณ์ การอธิบายเรื่องนี้ดูไม่ชัดเจนนักเขากล่าวว่า "คุณว่าผมน่าคุยเรื่องส่วนตัวของของผมให้คนแปลกหน้าฟังหรือ คนที่แม้แต่ขึ้นรถไฟคันเดียวกันก็ยังไม่เคย เนี่ยนะ" เขาอาจเป็นตัวแสบตัวจริงของพวกนักข่าว แต่รีฟส์ทุ่มเทสุดๆ กับการตั้งใจเป็นศิลปินนักแสดงของเขา เขากล่าวว่า เขาไม่อยากให้เรื่องส่วนตัว ไปทำให้บทบาทที่เขาแสดงออกมาไขว้เขว"ผมไม่ชอบโชว์หลังม่านให้คนดูชม ผมชอบดูสารคดีที่เกี่ยวกับเบื้องหลังงานต่างๆเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนั้น กับชีวิตผม"


นั่นมักจะเป็นข้อแก้ตัวที่ดาราทั้งหลายจะห้ามพวกเราไม่ให้สัมภาษณ์พ่อแม่เขา แต่ถ้าคุณมองเข้าไปในชีวิตของคีอานู คุณจะแปลกใจว่าทำไมเขาถึงมีหลายเหตุผลที่จะไม่อยากคุยเรื่องส่วนตัว พ่อแม่เขาแยกทางกันตั้งแต่เขายังเป็นเด็กก่อนวัยอนุบาล น้องสาวชื่อคิม คนที่เขารัก ก็ต้องต่อสู้กับมะเร็งในเลือด ในปี 1999 เพื่อนหญิงของเขา เจนนิเฟอร์ ซีม ตั้งท้อง แต่ทารกตายในครรภ์ ทั้งคู่แยกทางกัน ในปี 2001 เจนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนตร์หลังกลับจากงานปาร์ตีที่บ้าน Marilyn Manson นั่นน่าจะเป็นกระเป๋าความจำที่ไม่น่าเปิดดูนัก ไม่ว่ากับใครก็ตาม

ลักษณะอมทุกข์เช่นนั้น ได้นำมาใช้ในงานบนจอในชื่อ John Constantine ผู้ซึ่งมีความราบเรียบที่ลึกล้ำ อย่างเดียวกับ คีอานู รีฟส์ คอนสแทนทิน เป็นผู้ดูแลโลกที่อาศัยอยู่ในLos Angeles และตามล่าเหล่าปีศาจ เทวดา หมอผีที่ทำผิดกฏ นอกจากนั้นยังมีโรคมะเร็งระยะสุดท้ายเป็นศัตรูภายใน ให้ต่อสู้อีกด้วย เขาพยายามหาทางออกในขณะที่เวลาของชีวิตกำลังจะหมด เป็นหนังฉลาดที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนชื่อHellblazer,นำเสนอในรูปแบบนำสมัย เท่ และลึก Constantine ดูคล้ายการมองดู Harry Potterที่แก่กว่าสัก 20ปีแต่ทั้งเจ๋งและร้ายกว่า ช่างเป็นหนังที่เหมาะกับรีฟส์ ที่จะได้นำความรู้สึกเจ็บปวด และสับสนเก่าๆออกมาใช้

และแม้ว่า รีฟส์ ผู้ซึ่งผ่านอายุ 40 ปีมาแล้ว เมื่อกันยายนปีก่อน จะยังคงเป็น รีฟส์ แต่มีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เขาเลิกเล่นเบสส์กีตาร์ในวงดนตรีร็อคที่เคยโปรดปราน ซื้อบ้านหนึ่งหลังบนฮอลลีวูด ฮิลล์ทั้งที่บอกตลอดมาว่าไม่เคยนึกอยากมีบ้าน ในด้านการเงิน เขาก็มั่นคงขึ้นมาก the Matrix moviesจ่ายเงินค่าตัวให้$15ล้านเหรียญต่อเรื่อง พร้อมส่วนแบ่งอีก15%จากยอดทั้งหมด ซึ่งรายได้ร่วมๆ$150 ล้านเข้าไปแล้ว และที่น่าทึ่ง เขาอ่าน Proustไปถึงเล่มที่ IV ใครก็ตามที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ภาค I ย่อมรู้ว่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ



และเนื่องจาก เขาปกปิดเรื่องส่วนตัวได้อย่างสมบูรณ์มาก เราจึงสามารถรู้เรื่องเขาได้เฉพาะเมื่อชวนคุยถึงเรื่องอื่นเท่านั้น และในขณะที่คุยกันถึงหนังอินดีใหม่ของเขาThumbsucker ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับตัวของวัยรุ่น เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆถึง บทพูดของTilda Swintonในหนังเรื่องนั้นว่า "ในบทเธอพูดว่า 'คุณรู้ไหม คุณหวังว่าคุณจะมีครอบครัวและ มันจะไม่ทำให้คุณเหงาอีกเลย' นั่นล่ะ บทเธอ และผมชอบบทตรงนี้มาก มันเหมือนกับว่า ถ้าผมแค่สามารถมีครอบครัว มีความสัมพันธ์ ผมก็คงสบาย แต่ส่วนใหญ่ ชีวิตผมมันมักจะไม่เป็นแบบนั้น " และทันใดนั้น เหมือนเขานึกได้ ว่าเผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป เขาเปลี่ยนอารมณ์ทันที โดยกล่าวล้อเลียนว่า "อย่างน้อย เมื่อมีคนล้อมรอบคุณอยู่หลายๆคน มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วละนะ เพราะคุณจะหาเวลาเป็นส่วนตัวไม่เจออีกเลย!"

และอย่างที่รู้กัน Swinton ร่วมแสดงใน Constantineกับคีอานูด้วย เธอรับบท เทวดาที่กลับกลายเป็นตัววายร้ายGabriel--และ Reeves ผู้ซึ่งเป็นแฟนผลงานของดาราสาวชาวอังกฤษคนนี้ ศรัทธาเธอถึงขั้น เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในTIME,ว่า เขาอยากเล่นMacbethคู่กับบทเลดี้Macbethของ สวินตัน โดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อไรก็ได้ ขอเพียงมีใครติดต่อมา เท่านั้น เขากล่าวว่า เขาคิดว่าเขาแก่และมีประสบการณ์พอแล้วสำหรับบทนั้น และบางที นั่นอาจจะเป็นความจริงข้อหนึ่ง ที่เขารับรู้ บท Constantineของเขาดูคล้ายMorpheusมากกว่า Neo เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้สับสนอีกต่อไปแล้ว เขาคือ ชายที่รู้ว่าโลกนี้ทำงานอย่างไร คนที่กระชากหน้ากากความลวง ให้เห็นความจริง

Reevesเองก็เพิ่งพบสัจธรรมส่วนตัวของเขา อยากรู้ไหมว่าดาราเศรษฐีรูปหล่อผู้นี้ ฉลองวันเกิดปีที่ 40ได้คึกคักเอิกเกริกขนาดไหน "อ๋อ ปีนี้หรือครับ ผมไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน ส่วนปีที่แล้ว ผมกินข้าวคนเดียว"เขาสารภาพ "ก็ มันก็ดีขึ้น เนอะ จากคนเดียวเป็นหลายคน พอดีว่า ปีนี้ วันเกิดผมมันค่อนข้างเงียบและเรียบง่าย สงสัยปีหน้า คงจะเป็นแบบเมาหัวราน้ำ ละมัง"

ช่างประชดประชันซะจริง




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 22 สิงหาคม 2549 10:04:16 น.
Counter : 1408 Pageviews.  

Dark Star

The Express on Sunday Magazine (UK), December 28, 1997
by Jessica Weaver



เหมือนคีอานู รีฟส์มีทุกอย่างพร้อมแล้ว ทั้งรูปร่างหน้าตา ทรัพย์สมบัติ และ ไหวพริบความสามารถ แต่ทั้งหมดนั่น ยังไม่ทำให้เขามีความสุข

บางที ในธุรกิจของฮอลลีวูด อาจไม่มีใครมีความสุขเลยก็เป็นได้
"ผมยังคง ลอยไปลอยมา อยู่แบบนี้ ก็เพราะว่า ผมยังไม่พบคำตอบนั่นเลย" คีอานูพูด พร้อมจุดบุหรี่มวนใหม่ อย่างเหม่อลอย
"ทุกๆวัน มันก็เหมือนเดิม เป็นเพียงการต่อสู้ครั้งใหม่ เพื่อค้นหาความจริง หรือ ความสว่าง ที่ผมยังหาไม่พบ และยิ่งผมค้นมากขึ้น ยิ่งพบปะคนอืนๆมากขึ้น ผมก็ยิ่งรู้น้อยลงไปทุกที ว่าผมเป็นใคร และชีวิตมันมีความหมายอะไรกันแน่"

ฟังดูคร่าวๆ พ่อหนุ่มของเรา คงกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนักใช่ไหม

ในขณะที่อายุ 33 ปี(หมายเหตุ บทความนี้ 7 ปีแล้วนาจ๊ะ) คีอานู มีรายได้เป็นล้านในการรับแสดงบทรักในจอ กับดาราสาวสวย มากมายหลายครั้ง ถ้าเป็นชายหนุ่มธรรมดา โอกาสที่ว่า คงน่ายินดีเกินกว่า ที่จะมานั่งถามหาความหมายอย่างที่เขาทำ

แต่ปัญหาของชายหนุ่มคนนี้ ไม่เหมือนใครอื่น คีอานูไม่ค่อยสนุกสนานกับการใช้เงินนัก เขาไปปรากฏตัวในรอบปฐมทัศน์ ภาพยนตร์ที่ตนเองแสดงด้วยเสื้อผ้าที่ไม่มีดีไซน์เนอร์คนไหนชื่นชอบ เขายังไม่มีอสังหาริมทรัพย์สักแห่งเป็นของตนเองในฮอลลีวูดฮิลล์ ความจริงแล้ว, บ้านเป็นหลักแหล่งก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ คีอานูดำรงชีวิตอยู่กับกระเป๋าเดินทางที่พร้อมตามเจ้านายเข้าออกโรงแรมห้าดาวไปอย่างไม่ลดละ
" ผมยังไม่เคยคิดจริงๆ เรื่องบ้าน" เขาสารภาพแบบระวังตัวอยู่ในที
" ผมว่า มันเป็นกับดัก ผมยังไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนเป็นบ้านของผมเลย บางที คงต้องรออีกสักพัก จนกว่า ผมจะเข้าใจจริงๆว่า บ้าน มันควรจะเป็นอะไรกันแน่"

ไม่มีอะไรง่ายเอาซะเลย สำหรับคีอานู เรื่องเดียวที่เขาไม่ตั้งคำถาม คงจะเป็น คอเล็กชันมอเตอร์ไซค์ที่เขารักนักหนา แม้ว่า มันจะเคยสร้างรอยแผลเป็นยาว 6 นิ้วที่หน้าท้อง เมื่อเขาขี่ นอร์ตันคันหนึ่งไปชนหน้าผาและเป็นผลให้ม้ามฉีกจนแทบเสียชีวิต

แล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องผู้หญิงล่ะ? เขาน่าจะรู้ตัวดีว่า เขาเป็นที่หมายปองตลอดกาลของสาวๆมากมายทั่วโลก (แน่ล่ะ..พวกเราด้วย ฮี่ๆ) นั่นน่าจะพอที่ จะทำให้ชีวิตมีความสุขแม้ในยามลำบากมิใช่รึ คีอานู?

" ฟังดูดีมากเลยครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆหรอกนะ ผมหมายความว่า แฟนๆไม่รู้หรอกว่า ตัวจริงผมเป็นไง ผมสกปรกซกมกขนาดไหน แล้วถ้าได้อยู่ด้วยกันจริงๆ พวกเธออาจจะพบว่า ผมเป็นคนน่าเบื่อ ที่อยู่ด้วยยาก ก็เป็นได้ ผมไม่น่าชื่นชมอะไรนักหรอก ทุกวันนี้ เวลาผมเดินไปตามถนน แล้วมีเด็กสาวๆ ห้าหกคนมารุมล้อม ขอลายเซ็นต์ ,ตัวของผมเองก็ยังรู้สึกเขินตลอดเวลา มันเหมือนว่าพวกคุณมาปลื้มผมทำไม ผมเป็นแค่เด็กเรียนไม่จบมัธยมที่ยังไปไม่ถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะเป็นเลยด้วยซ้ำ"


ความจริงอีกประการก็คือ คีอานู รีฟส์ยังโสด ถึงแม้จมีข่าวลือกระเซ็นกระสายถึงคนรักของเขา เช่นดาราสาว Sandra Bullock และ Rachel Weisz และแม้แต่เจ้าพ่อวงการเพลงDavid Geffen (เขาไม่เคยแก้ข่าวลือเรื่องนี้ ไม่เคยยอมรับมันด้วย ได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป นั่นล่ะ วิธีของคีอานู) แต่จนถึงบัดนี้ (และบัดนี้ด้วยค่ะ ) คีอานูยังไม่มีวี่แววที่จะมีคู่
"ผมอยากพบ คู่ชีวิตที่แท้จริง" เขากล่าวด้วยเสียงเศร้า
" มีบางคืน ในวันที่ผมรู้สึกปวดร้าวใจ ผมอยากมีที่พึ่งพิง ผมอยากมีรังนอน แล้วก็มีภรรยาสักคน ผมเคยฝันเห็นตัวเองอยู่ร่วมกับหญิงสาวคนหนึ่ง อย่างมีความสุข คนที่ผมสามารถมองตาเธอแล้วรู้ว่านี่ล่ะ คนที่ผมจะอุทิศทั้งชีวิตให้ โดยไม่มีเงื่อนไข เพื่อที่ผมจะได้มีค่ากับใครสักคน และพบสิ่งที่ผมต้องการสักที"

บางที ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตของเขา มันอาจจะทำให้เข้าใจเขามากขึ้น คีอานูโตขึ้นที่ Toronto, Canada โดยแม่ชาวอังกฤษ ส่วนพ่อชาวฮาวายนั้นทิ้งเขาไปตั้งแต่อายุสองขวบ เจ้าหนูคีอานูได้รู้จักวงการบันเทิงมาตั้งแต่เล็ก เพราะแม่ของเขามีอาชีพเป็นช่างเย็บเสื้อผ้าให้ ร็อคสตาร์ อย่าง Aerosmith และ Alice Cooper ผู้ซึ่งรายหลังนั้น ยังรับอาสาเป็นพี่เลี้ยงและปลูกฝังความต้องการเล่นดนตรี ให้คีอานูน้อย ผู้ซึ่งถูกเรียกว่า"ไอ้หนูน่ารักผมดำ"อีกด้วย

ชีวิตที่โรงเรียนของคีอานู ก็ไม่ดีนัก เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นdyslexic และนั่นเป็นข้ออ้างที่ทำให้ เขาหันมาเอาดีทางด้านกีฬา มากกว่าจะสนใจห้องเรียน เขาพัฒนาทักษะด้านร่างกายจนเป็นหนึ่งในทีมยุวชน ฮอคกีน้าแข็ง ในฐานะประตู ผู้ได้สมญาว่า "เดอะ วอลล์ เจ้ากำแพง" แต่อย่างไรก็ตาม อาจารย์ที่โรงเรียนคาทอลิค(รวมทั้งหมด สี่โรงเรียน ที่คีอานู เข้าๆออกๆ) ยังคงไม่นับว่าเขาสามารถรับประกาศนียบัตรใดๆได้ เนื่องจากสอบตกรวดทุกวิชา เว้นแต่ภาษาลาติน ซึ่งเป็นวิชาเดียวที่คีอานูชอบ
"ผมมันขี้เกียจ" เขาเล่า "ผมรู้ว่า ผมอยากแสดง แล้วโรงเรียนก็เลยไม่สำคัญ"

การจบมหาวิทยาลัย จึงไม่ใช่ทางเลือก เมื่ออายุ 19 เขาเก็บข้าวของใส่รถเก่าๆมุ่งหน้ามาฮอลลีวูด และอย่างที่เรารู้ การตัดสินใจครั้งนั้นประสบความสำเร็จ คีอานูน่ารัก และไม่เหมือนใคร ผู้คัดตัวนักแสดงเห็นเขาแล้วรู้ได้ทันที ว่านี่คือ "ไดนาไมท์ลูกใหม่ของบ็อกซ์ ออฟฟิศ ที่ต้องทำให้ สาวๆคลั่ง"

คีอานูรับบทย่อยๆหลายเรื่องในยุคแรกๆ และมาประสบความสำเร็จอย่างแรงในหนังวัยรุ่นงี่เง่าอย่าง Bill and Teds excellent Adventure เขารับบท เท็ดจอมทึ่มในวัย ไฮสคูล (ทั้งที่ตอนนั้น เขาอายุ 23) ที่เดินทางย้อนเวลาไปพร้อมกางเกงขาสั้น และรอยยิ้มโง่ๆ เล่นกีตาร์อากาศ ผมเผ้ายาวยุ่งเหยิง และมีประโยคติดปากแสนฮิตว่า "Excellent dude!"

ภาพพจน์แบบ sex-symbol ปรากฏชัดในหนังของ ผู้กำกับหญิงKathryn Bigelowซึ่งจับเขาใส่ เว็ทสูทใน Point Break ปี1991 คู่กับPatrick Swayze ภาพของเขาในท่วงท่าโต้คลื่น ซัดใส่หัวใจสาวๆทั่วโลก ที่พร้อมยกย่องเขาขึ้นเทียบเคียงกับ รุ่นพี่อย่างJohnny Depp และ Brad Pitt.

รีฟส์สร้างตำนานอีกครั้ง ในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของSpeed ในปี 1994 บทนายตำรวจJack Travenที่ทำให้เขาติดกลุ่มนักแสดงเกรด เอ แต่นั่น ยังไม่ทำให้ คีอานูคิดว่า เขาประสบความสำเร็จ เขายังคงไม่มีความสุข

ความจริงข่าวซุบซิบที่ลือไปทั่วฝั่งตะวันตกก็คือ เขาเป็นนักแสดงที่จริงจัง เขาอยากเป็นศิลปิน ไม่อยากเป็นคนดัง เหมือน แฮมเล็ต บทที่เขาแสดงบนเวทีที่ วินิเป็ก แคนาดา เขาปฏิเสธช่วงเวลาโกยเงินทองจากการออกโชว์รายการทีวี เพื่อไปเล่นละครเวทีให้คนที่อื่นดู เหตุผลของคีอานูคือ

"เพราะการแสดงละครคือ สิ่งนั้น"

"ผมค้นหา ความเป็นละครภายใน หรือ ความสับสนวุ่นวายในตัวตนของเรา ที่บทของผมจะต้องมี เพื่อที่จะแสดงมันออกมา"เขาว่า

"และนั่นคือ สิ่งที่ทำให้งานใดๆน่าสนใจสำหรับผม ผมอยากดำดิ่งลงไปค้นให้เจอมัน ชีวิตผมมันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะฉะนั้น ผมไม่รับเล่นหนังที่มีบทคล้ายชีวิตจริงของผมหรอก น่าเบื่อแย่เลย"

"ผมไม่มีลักษณะแบบเดียวกับBrad Pitt หรือTom Cruise ไม่เหมือนกันเลย พวกเขาเป็นนักแสดงที่ได้รับการยอมรับ และมีงานดีๆมากมาย แต่ว่า สำหรับผม ผมเห็นการแสดงเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นเส้นหนึ่ง แล้วแถมมันเป็นทางส่วนตัวของผมด้วยสิ มันเหมือนการค้นหา และมันต้องสามารถสร้างสรรค์ ผมหาว่าอะไรอยู่ในตัวผม ลองเค้นและพยายามคิดถึงสถานการณ์ตามท้องเรื่อง เพื่อให้เกิดการแสดงที่สุดยอด"

มองจากสายตาภายนอก การค้นหาของคีอานูค่อนข้างสะเปะสะปะ โดยเฉพาะในด้านรายได้ มันดูจะห่างไกลความสำเร็จของSpeed ออกไปทุกที ทั้งใน Little Buddha หนังเรื่องที่นำความสว่างมาให้ชีวิตคีอานู (ยกเว้นเรื่องความสำเร็จในตารางหนังทำเงิน) และความเป็นละคร ที่เขาค้นหาในหนังของ Dracula ของFrancis Ford Coppola แม้เขาจะดูดีในคอสตูมย้อนยุค ในบท Jonathan Harkerที่นอนให้แวมไพร์สาวสามตัวดูดดื่ม นั่นก็ไม่ทำให้นักวิจารณ์คิดว่า มันน่าปลาบปลื้มเท่าไร

งานที่ไม่สร้างรายได้ ยังมีต่อมาใน A Walk in the Clouds และ Johnny Mnemonic และแม้ว่าจะเป็นงานทุนสร้างสูงอย่างChain Reaction ที่เขารับบทนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ แต่มันก็เป็นอีกเรื่องที่ แป้ก แถมยังโดนสับเสียเละ ไม่เป็นชิ้น

จนถึงบัดนี้ คีอานูยังไม่เลิกค้นหา ล่าสุด เขารับเล่นFeeling Minnesota ที่พยายามเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นชายที่หน้าตาแย่ และอ้วน เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ดึงดูดสายตา โชคร้ายที่มันทำยากนะ คีอานู ในหนังเรื่องถัดมาThe Last Time I Committed Suicide ซึ่งเพิ่งออกฉายในสหราชอาณาจักร เมื่อเร็วๆนี้ เขารับบทเป็นนักเลงการพนันบ้าหญิงที่ต้องเป็นขี้เหล้าเผละๆ ด้วยการดื่มเบียร์เป็นถัง กินไข่ และตบท้ายด้วยสก็อตวิสกี้ เพื่อเพิ่มน้ำหนัก สามสิบปอนด์
"ผมอ้วน เผละ เละ และมันเยิ้ม สนุกดีจัง" เขาเล่า "มันส์ดีเหมือนกัน การเป็นนักแสดงที่ไม่น่าภูมิใจเนี่ย"

"ถ้าผมสามารถเลือกแสดงอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจ ว่าหนังมันจะทำรายได้หรือเปล่านะ" เขาเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง,"ผมคงทำงานได้หลากหลายกว่านี้"

และแม้ว่า "งานหลากหลาย" มันจะยังไม่มา ชีวิตของคีอานูก็ไม่เลวร้ายนัก เขายังมีวงร็อคเอาไว้เล่นในนามDogstar.

"เราไม่ได้กะว่า จะเป็นเรื่องจริงจังอะไรนักหรอกครับ" เขาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นนักดนตรีร็อค เมื่อคุยถึงเรื่องนี้
"ผมเล่นดนตรีเอามันส์ เพราะว่า ดนตรีเป็นสื่อที่เข้าถึงคนฟังได้อย่างฉับพลัน มันยอดไปเลยที่เรากระตุ้นคนดูได้ทันทีที่เราเล่น หนังมันไม่ใช่แบบนี้ ต่างกันไปอีกแบบ เวลาเล่นหนัง เราต้องหลับตานึกเอาว่าจะเอาฉากนี้มาต่อฉากนู้น แล้วมันจะเป็นอารมณ์นี้ๆๆๆ แต่เพลงนี่สิ มันแน่นอนกว่า มันสดๆทุกคืนเลยครับ"

ถามเขาเรื่องการตัดสินใจปฏิเสธภาคต่อของ Speed 2 แม้จะได้รับการเสนอเงิน $11ล้าน เขากลับบอกว่า
"มันก็ดี ที่จะได้ร่วมงานกับSandraอีกครั้งนึง" "แต่บทมันห่วยน่ะคุณ ผมไม่อยากถ่ายภาคต่อ เพียงเพราะแค่อยากได้เงินหรอก"

และสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือการร่วมงานกับ Al Pacino ใน Devil's Advocate ซึ่งได้ค่าตอบแทนเพียง$8 ล้าน อืมม นี่มันแปลว่าอะไรกันนั่น เขาว่า โอกาสที่จะได้แสดงกับ ปาชิโน มีค่ามากกว่าเงินส่วนที่หายไปน่ะสิ "ตอนผมรู้ว่า เขารับเล่น เลือดผมวิ่งกระฉูดเลยล่ะ" เขาเล่า"Pacino คือผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้ทำงานด้วย"

และแม้จะมีข่าวลือเรื่องความไม่ลงรอยของทั้งสองคนงั้นรึ"มันไม่มีเรื่องใหญ่อะไรระหว่างผมกับเขานะ แค่การถกกันในบท ผมรู้ว่า ผมได้อะไรๆมากเลยจากเขา และเมื่อถ่ายทำเสร็จ ผมว่าผมได้บางอย่างไม่น้อยเลย ที่ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่เก็ท"

Devil's Advocate เป็นเรื่องของทนายจากแดนใต้ Kevin Lomax ผู้มีความโลภ และได้รับการชักนำมา นิวยอร์ค แล้วโดนปั่นหัวโดยPacino

หนังประกอบไปด้วยฉากการร่วมรักกับ Charlize Theron ผู้รับบทภรรยา ในสภาพเกือบเปลือย ระหว่างการถ่ายทำฉากนี้ คีอานู สารภาพว่า

"มันจี้ไหมคุณ ที่จะ เมคเลิฟกับเมีย โดยที่เธอเปลือยเปล่า แล้วผมยังใส่กางเกงอยู่เนี่ย ?" ส่วนTheron เล่าว่า ทำงานกับคีอานู สนุกมากเพราะว่าเขา "ทำตัวง่ายๆกับร่างกายของเขา"

อืมม, ฟังดูชีวิต คีอานูก็ไม่เลวร้ายเท่าไรนี่นะ แต่ว่า ก่อนจะจากลากัน เขาก็ทิ้งคำคมเบื่อโลกไว้ให้เราอีกจนได้


"Life isn't a bowl of cherries
and I don't consider myself a happy person."









หมายเหตุ : แองจีอ่านบทความชิ้นนี้ ในเย็นวันหนึ่ง ที่เบื่อโลก ดูๆไป ชีวิตเราก็คล้ายกันดีนะคะพี่คีอานู คือ ดูจากภายนอก มันก็เหมือนว่า ทุกอย่างมันก็ดูดีแล้ว แต่เราก็ยังค้นหา"อะไร" ที่เราเองก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่ามันยังหาไม่พบ ไม่รู้ว่า เราสองคน ใครจะไปถึง ธงลิบๆที่ปลายแสงสว่างนั่นได้ก่อนกัน หรือว่า บางที ปลายทางของเราสองคน อาจเป็น "กันและกัน" ก็เป็นได้ จริงไหมคะ พี่คีอานู อิๆๆๆๆๆๆๆๆ เอิ๊กส เพ้อๆๆๆๆๆ อีกแล้วฉาน มะเปงไร ความฝันทำให้ยิ้มหวาน และมีความสุข ทีสำคัญ มันไม่ได้ทำร้ายใคร อิๆๆ




 

Create Date : 19 มกราคม 2549    
Last Update : 16 ตุลาคม 2551 13:38:49 น.
Counter : 1328 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

angy_11
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 39 คน [?]




ปุกาด

ข้อความในบล็อก เป็น คหสต ของข้าพเจ้า ซึ่งเป็น ความจริง*บางส่วน*+การปรุงแต่ง, จึงไม่อนุญาตให้ใช้อ้างอิงในแง่อื่นๆนอกจากเพื่อความบันเทิงที่อาจจะยกระดับจิตใจ

เนื่องจาก บล็อกเริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.2005 จึงอาจมี *ความผิดพลาดจากเรื่องจริง* หลายส่วน หากพาดพิงท่านใด กรุณาติดต่อให้แก้ไขด้วย

ไฟล์ภาพ หลายชิ้น จะไม่สามารถเปิดได้ เนื่องจากข้าพเจ้าไม่จ่ายเงินค่าแขวนภาพในเว็บโฮสท์ ขออภัยในความไม่สะดวก
***
เดิมแบ่งหมวดหมู่บล็อกเป็น5กรุ๊ป
ปัจจุบัน บล็อกใหม่ จะอยู่ที่
กรุ๊ป **ข่าว** เท่านั้น
*********
แองจี้เป็น
หนึ่ง-ใน-แอดฯ
ของเพจเฟสบุค
v
v

แต่ส่วนใหญ่ งานในเพจ จะเป็นความสามารถและความขยัน ของ แอดมินอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเธอจะเรียกตัวเอง ว่า "แอดมน" ขอบคุณที่อ่าน ค่ะ
LastBlogs


2023

22:09:66 :Swiz Pizza
23:08:66 :theHat
20:08:66 :HBD 59
21:06:66 :JW4 in 3 mth
07:03:66 :KR AMA 2023
27:02:66 :KwNeverS2theMachines

2022

01:09:65 :HBD58
06:07:65 :KR&TheKid

2021

12:12:64 :Tools=M.Resurrections
23:11:64 :EsqNov2021
09:11:64 :HAGAKURE
16:09:64 :HowCome
02:09:64 :HBD*57
18:6:64 :HairExtention
23:4:64 :JW4 Preparing
2020
26:8:63 :WhatIf...HBD
22:4:63 :SocialDist
6:2:63 :92nd Oscar
8:1:63 :ถ้ารัก อย่าล้ำเส้น

2019
5:11:62 :KeaLexandra
14:10:62 :Dad'sFuneral
12:09:62 :Japan Adv
01:09:62 :HBD*55*
24:07:62 :NicestGuy
03:06:62 :Meme in ABMM
16:05:62 :#AskJohnWick
12:05:62 :JW3's coming
16:04:62 :ยาวไป ยาวไป
16:03:62 :Sandwich

2018

19:12:61 :FakeKeanu
02:09:61 :HBD*54
14:08:61:DestinationWedding
20:07:61 :MySiberiaReview
18:04:61 :จีมา-ปริก-

2017

01:09:60 :HBD 53
22:08:60 :ADC'sBook
09:08:60 :ToTheBone
15:06:60 :JRain
01:06:60 :KRphenomenon
26:05:60 :JW3 will do
26:04:60 :K hates S.media
21:02:60 :C=Wick
08:02:60 :หัวใจน่ากอด

2016

27:12:59 :HNY 2017
02:09:59 :HBD 52
31:08:59 :SwedishD
10:08:59 :Replicas#1
11:07:59 :Rally Car
12:05:59 :M Figaro
31:03:59 :To the Bone
23:03:59 :TWT@tokyo
28:01:59 :ฉงฉานครีนู
26:01:59 :Exposed

2015

04:05:58 :my KnKn
18:11:58 :10/10KnKn
12:11:58 :moreJW2
05:11:58 :JW2 shooting
09:10:58 :@Kimmel 8Oct
30:09:58 :Mrs.Wick
17:09:58 :The-R-Files
07:09:58 :Cinder-K-ella
01:09:58 :HBD- 51
21:08:58 :ARCH - VF
13:08:58 :How Pick
05:08:58 :indie KR
31:07:58 :KRGT-1
15:07:58 :Where's K
28:06:58 :mystery woman
17:06:58 :K miss theP
29:05:58 :TLB 4 Nepal
28:05:58 :No หนวด
18:05:58 :KnKn stills
13:05:58 :K NewLook
09:05:58 :Hide his face
24:04:58 :The New K
20:04:58 :K is funny
12:02:58 :Gauguin Event
06:02:58 :The Neon Demon
26:01:58 :Travelling Actor

2014

17:12:57 :I'm going to start a family again
08:12:57 :Passenger Update !
24:11:57 :I have no time for Amore
31:10:57 :#IMDbAskKeanu
30:10:57 :Welcome back
22:10:57 :JW on KM Live
20:10:57 :JW the best act mov
16:10:57 :Rddt AMA KR#1
14:10:57 :NYC JohnWick
09:10:57 :Miami airport
29:09:57 :ทำไมถึงไม่แต่ง งาน
24:09:57 :2วัน2รอบ !
23:09:57 :STACEY
22:09:57 :obsessive fan
01:09:57 :HBD 50
19:08:57 :J.Rain T.V. Series
14:08:57 :R.day of JW
08:08:57 :K@LAX
01:08:57 :K & Israel PM
16:07:57 :KR bachelorette party
07:07:57 : Clean shaven
24:06:57 :TheWholeTruth
9:06:57 :SandyAward
6:06:57 :GuyChAward
25:05:57 :ARCH on the road
12:05:57 :ปิดกล้องKnockๆ
04:05:57 :K in Chile
15:04:57 :1stPict KnkKnk
08:04:57 :KnockKnock
02:04:57 :K on eBay
20:03:57 :PostponePassenger
06:03:57 :Indi Spirit Awards
25:02:57 :Passenger'll be do
11:02:57 :German gay
31:01:57 :K @ Uru
25:01:57 :more JW
17:01:57 :1st look JW
4:01:57 :Kai Diaster

2013
29:12:56 :X'mas Keanu
26:12:56 :Kai & Keanu
24:12:56 :My 47R review
13:12:56 :cutie K
11:12:56 :47R aud rate
20:11:56 :47R Pr Con
13:11:56 :47R intview
31:10:56 :Bhind 47R
29:10:56 :J.Wick
21:10:56 :KR Reddit AMA
14:10:56 :Apple Store
12:10:56 :47Ronin more
30:09:56 :Nicest guy ever
25:09:56 :Fantastic fest
21:09:56 :John Wick
11:09:56 :@TIFF
10:09:56 :@Toronto
09:09:56 :Fat with Muscle
02:09:56 :HBD 49
30:08:56 :Exercise is Good
28:08:56 :Cute Clip
06:08:56 :47โรนิน ตัวอย่าง
05:08:56 :สาวลึก ลับ
24:07:56 : รายได้ MOTC
17:07:56 :บทความในสิงคโปร์
16:07:56 :18 กค นี้ MOTC ในไทย
10:07:56 :LongLong dragon
09:07:56 :หนังสั้น17mins w VW
20:06:56 :Kid&K on MOTCpromo
11:06:56 :Arch Motorcycle
22:05:56 :MOTC Cannes
10:05:56 :GenUm LA
22:04:56 :Trailer of MoTC
11:04:56 :Delay of MoTC
22:03:56 :Suicide in Cinema
07:03:56 :@ฺBJ CloudAtlas
06:02:56 :FB page
06:02:56 :K's Home
22:01:56 :MOTC releaseDate
11:01:56 :K's back 2 BJ

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add angy_11's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.