Earth Man From Odeon Magazine November/December 2008. Thanks>Jena@ClubKeanu Star of The Matrix trilogy Keanu Reeves is back in The Day The Earth Stood Still, a science fiction film with a message.. Q :คุณเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ A :ผมเคยคุยกับคนที่เคยพบมนุษย์ต่างดาว, พวกเขาเอาหลักฐานที่น่าเชื่อถือหลายอย่างมาให้ผมดูด้วย แต่ผมก็ยังคงสงสัย ถ้ามนุษย์ต่างดาวมีตัวตนจริง ทำไมจึงไม่ทำอย่างในหนังเรื่องนี้สักที, เอายานอวกาศมาลงจอดที่เซ็นทรัลปาร์คให้เห็นกัน จะ-จะ ไปเลยดิ Q :แล้วทำไมคุณเลือกแสดงหนังรีเมคอย่างThe Day The Eart Stood Still A :ผมเคยดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมจึงถามคำถามเดียวกับคุณนี่เลย,กับทีมสร้างที่ติดต่อมา แต่หลังจากผมได้คุยกับผู้กำกับฯ-สก็อตต เดอริคสันและเดวิด สการ์ปา-ผู้เขียนบท ผมก็รู้สึกขึ้นมาทันทีเลยว่า คนพวกนี้รู้ดีว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร พวกเขาทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมการสร้างหนังขาว-ดำในปี1951ให้เป็นภาพยนตร์สมัยใหม่ของปี2008จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เราไม่ได้เปลี่ยนแค่การเติมสีสันลงในฟิลม์ แต่เรานำเรื่องที่เป็นอันตรายในปัจจุบันมาเล่าผ่านโครงเรื่องเก่าที่ทุกคนเข้าใจง่าย มนุษยชาติกำลังยืนบนทางแยก พวกคุณจะยอมสูญพันธ์หรือจะคิดแก้ไขเรื่องร้ายที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ตัวละครของผมชื่อ"คลาทู"เป็นผู้มาจากดาวอื่นเพื่อตัดสินใจเลือกหนทางให้คุณ เขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่างดาวในร่างมนุษย์ เขาต้องการเก็บดาวเคราะห์โลกไว้ให้พ้นอันตรายจากพวกมนุษย์ Q :เราจะได้เห็นมนุษย์ต่างดาวตนนั้นไหม A :คุณไม่ได้เห็นเขาหรอก, แต่ก็ไม่เชิง ตอนต้นเรื่อง คลาทูมองลงไปที่ฝูงชนที่ยืนล้อมรอบเขา แล้วหันมองตัวเองเพื่อพยายามยอมรับว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในร่างแบบนี้ล่ะเพื่อปฏิบัติงานใหญ่ครั้งนี้ Q :อะไรคือเนื้อหาหลักที่นำคลาทูมาพบเราอีกครั้ง A :ไม่ใช่สงครามนิวเคลียร์และสงครามเย็นเหมือนเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ตอนนี้เรามีปัญหาเกี่ยวกับพลเมืองล้นโลก ความไม่สมดุลของการใช้ทรัพยากร มลพิษในสิ่งแวดล้อม และความเสียหายของธรรมชาติที่เป็นผลข้างเคียงจากเทคโนโลยี ตัวละครหลักของภาพยนตร์เป็นผู้มาจากที่อื่นแล้วมองเข้ามาที่เรา ดังนั้นผู้ชมจะเห็นอีกมุมมองหนึ่งที่ต่างไปจากตัวเอง คุณจะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ และรับรู้ความตั้งใจของคลาทูที่ว่า "เพราะพวกคุณไม่แคร์อะไร คุณจึงทำร้ายบ้านของตัวเองอย่างนี้ และด้วยความหวังดีจากคลาทู แทนที่จะดูพวกคุณฆ่าตัวตาย ผมจะฆ่าพวกคุณเอง" ตลอดความยาวของภาพยนตร์ คุณจะเห็นตัวละครของเจนนิเฟอร์ คอเนลลีพยายามจะเปลี่ยนความตั้งใจที่จะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ของคลาทู Q :ช่างเป็นหนังที่ฟังแล้วเครียด ซะ จัง A :อาจจะฟังเป็นเรื่องใหญ่ แต่เราทำให้เข้าถึงง่าย ผู้ชมจะได้รู้จักมนุษย์ต่างดาวตนหนึ่งที่มาเยือนโลกอย่างมีเป้าหมาย หนังเรามีหุ่นยนต์กอร์ตให้เด็กๆด้วย กอร์ตเป็นเครื่องจักรกลอัจฉริยะที่มาพร้อมคลาทู มีของเล่นเยอะแยะเลยในตัวกอร์ต มันดึงดูดใจและสามารถนำกลับไปคิดเล่นต่อที่บ้านได้ แต่ไม่ใช่แบบหุ่นของหนังเรื่องทรานสฟอเมอร์ Q :พล็อตของหนังมาในแนว อนุรักษ์โลก A :ประเด็นหลักก็คือ ถ้ามนุษย์ไม่คิดจะเปลี่ยนบางสิ่งซะตั้งแต่ตอนนี้ เราอาจจะสูญเสียโลกไปในวันใดวันหนึ่งก็ได้ คลาทูพูดว่า "พวกคุณเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิเศษ แต่คุณไม่เหมาะที่จะอยู่บนโลก" Q :แล้วตัวคุณเองดูแลโลกดีแค่ไหน เชียว A :ถ้าคะแนนเต็มสิบ ผมประเมินว่าตัวเองได้หกหรือเจ็ดล่ะ ไม่ว่าอะไรที่คนเมืองจะช่วยโลกได้ผมก็ทำมาหมดแล้ว ผมไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีแต่ก็ดูแลโลกมากเท่าที่จะทำได้ Q :นี่เท่ากับว่าคุณย้อนกลับมาแสดงหนังไซ-ไฟอีกแล้วสิ, หนังแบบที่ทำทั้งเงินและกล่องให้คุณเสมอ A :ผมชอบหนังไซ-ไฟ ดูทีไรก็สนุก แล้วไซ-ไฟไม่ดีตรงไหนล่ะครับ? ถ้าบทที่เสนอทำให้ผมชอบได้ ผมไม่สนหรอกว่ามันเป็นประเภทไหน ที่สำคัญส่วนใหญ่ไซ-ไฟเป็นหนังดีนะ ไม่ว่า2001, Blade Runner, Solaris หรือแม้แต่The Matrixเอง ผมก็ว่ามันไม่เลวเท่าไร Q :ลำบากใจไหมในการทำงานกับสก็อต เดอริคสันในโปรเจ็คที่ใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกของของผู้กำกับคนนี้ A :ผมเป็นนักแสดงที่ว่าง่ายของผู้กำกับเสมอ ผมไม่เคยใช้ตัวเองเข้าไปตัดสินทุกอย่าง ผมฟังว่าเขาคิดอย่างไรแล้วทำตามนั้นจนพิสูจน์ได้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผู้กำกับคิด แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะฟังแนวทางของผมบ้างแล้วเราก็จะได้งานที่ดีออกมา โดยธรรมชาติแล้วผมเป็นคนทำงานง่าย เมื่อได้พบกับเดอริคสันที่เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ เล่าเรื่องเก่ง ทุกอย่างก็ราบรื่น ผมคุยกับเขาและผู้เขียนบทก่อนเปิดกล้องนานถึงห้าสัปดาห์ หลังจากนั้นก็ปรับแก้บทอีกสองสัปดาห์ กว่าเจนนิเฟอร์จะตกลงเล่นด้วย เราก็คิดทุกอย่างจนแทบไม่ต้องขัดเกลาสคริปท์อีกเลยเมื่อลงมือถ่ายทำจริง Q :เวลาต้องแสดงในหนังทุนสร้างใหญ่อย่างนี้ คุณเครียดไหม A :มันเป็นหนังทุนสร้างใหญ่ของสก็อตต, เมื่อสมัยที่ผมแสดงThe Matrix สตูดิโอคาดหวังไว้สูงกว่าเรื่องนี้มาก ดังนั้นในเรื่องความเครียด ผมว่าหนังเรื่องนี้มันแค่ ชิลด์-ชิลด์ เองครับ anGy's Comment : -แองจิ๊เลือกแปลชิ้นนี้เพราะว่า เป็นคอลัมน์ที่สั้นและได้ใจความสำคัญครบ นั่นคือทำไมคีอานูคิดอยากแสดงหนังไซไฟ-รีเมค, ความรับผิดชอบที่เขามีกับโปรเจ็คนี้ และทัศนคติที่ให้เกียรติคนและไม่ยกตัว(ขอคะแนนรักษ์โลกแค่หกเต็มสิบเอง...น่ารักซะ) รวมทั้งความcompromiseในเวลาทำงาน อ่านแล้วมัน ปลื้มๆ-ล้นๆ จนอยากเผยแพร่ กรุณาอ่านกันหน่อยนะคะ......พี่....น้อง Credit : Jena&Chicks @ CK   Create Date : 02 ธันวาคม 2551     Last Update : 2 ธันวาคม 2551 9:34:45 น. Counter : 1136 Pageviews.   30 comment Share Tweet

If The Earth dies You die, If you die The Earth servives ในที่สุด,หนังตัวอย่างชิ้นแรกของเดอะรีเมค ออฟ“The Day the Earth Stood Still,”ก็ออกสู่สายตาประชาชนแล้ว หากกำหนดฉายไม่เปลี่ยนแปลง เราจะได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในวันที่ 12 ธันวาคม “The Day the Earth Stood Still” คือหนังคลาสสิคซึ่งสร้างเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว โดยมีพล็อตเรื่องว่า ขณะที่มนุษย์โลกกำลังแบ่งฝ่ายทำสงครามกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ทันใดนั้นก็มียานลึกลับลงจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า..เอร๊ยยย..มะใจ้..จอดหน้าทำเนียบรัฐบาลอเมริกา ในยานนั้นมีมนุษย์ต่างดาวหน้าตาเหมือนมนุษย์ออกมาแนะนำตัวเองว่า ตนคือ"Klaatu"เป็นผู้นำสารจากดาวไกลโพ้น มาบอกมนุษย์ว่า หากเราไม่หยุดเล่นของเล่นอันตรายซึ่งอาจทำให้ดาวเคราะห์ดวงที่สามของสุริยะจักรวาลเสียหายแล้ว มนุษย์จะถูกทำลายจนหมดโลก ไม่ได้พูดเพียงปากเปล่า กลาทูโชว์การทำลายด้วยแสงเลเซอร์ของหุ่นยนต์"Gort"ที่โดยสารมาด้วยกัน ก่อให้เกิดความวุ่นวายในรัฐบาลสหรัฐอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องโลกจากพรรคพวกของกลาทู โปรเจ็คท์“The Day the Earth Stood Still 2008” สร้างในความดูแลของผู้กำกับScott Derrickson และมอบบท"ท่านทูตต่างดาว"ให้กับคีอานู รีฟส์ ซึ่งเขากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่มีนาคม ปีที่แล้วว่า "หนังเรื่องนี้สร้างจากต้นฉบับที่คลาสสิคมาก ข้อความหลักที่หนังอยากบอกคือการพูดถึงโลกที่เราอาศัยอยู่และทำร้ายมันไม่ว่าเราจะมีเจตนาหรือไม่ แต่เราปรับปรุงบทไปหลายอย่างเพื่อทำหนังให้เหนือกว่าเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติทั่วไป" "Klaatuคนแรกเกิดในยุควิกฤตนิวเคลียร์ที่ตึงเครียด เขามาที่โลกแล้วบอกว่า ถ้ามนุษย์ไม่หยุดความรุนแรง เราจะเป็นผู้หยุดมันเอง เป็นหนังที่เหมาะกับความเป็นไปของโลกในขณะนั้น" คีอานูกล่าว "เวอร์ชันใหม่ที่ผมแสดงนี้ มีมากกว่าการห้ำหั่นกันของคนกับคนในสงครามนิวเคลียร์ เราพูดถึงสงครามที่คนทำกับธรรมชาติ ผมอยากให้ทุกคนหยุดดูตัวเองว่ากำลังทำร้ายโลกแค่ไหน เราเป็นเพียงเผ่าพันธุ์หนึ่งในหลายสปีชีของดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้นแต่เราใช้ทรัพยากรมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้ตัวบทจะพัฒนาไปจากเดิมแต่เราไม่เคยคิดจะตัดบทของหุ่นยนต์Gortทิ้งไป ผมย้ำกับทางสตูดิโอว่าหุ่นกระป๋องตัวนั้นคือไอคอนคลาสสิคของเรา แต่จะให้ใช้Gortตัวเดิมก็คงไม่เหมาะเท่าไร เราก็เลยอัพเกรดให้เขาซะหรูเลย" "Klaatuของผมค่อนข้างโหดเหี้ยม ผมไม่ได้ทำเหมือนคนก่อนที่ทิ้งคำถามไว้ว่า“The decision rests with you,” แต่ผมบอกว่า "If the Earth dies, you die. If you die, the earth survives. ผมอยากเห็นโลกคงอยู่ มากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์" กลาทูคนนี้ไม่เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนเอาซะเลยนะ" เขาหัวเราะเบาๆ อย่างไรก็ดี คีอานูบอกว่าเขายังคงพูดสิ่งที่กลาทูเคยพูดไว้ด้วยภาษาต่างดาวว่า“Klaatu barada nikto.”(แปลว่าอะไรหว่า หวังว่าคงไม่ใช่ กลาตู้รักแองจีนะ, เพราะแองจีร๊ากคีอ๊านู-รีฟส์ ตะหาก,กร๊ากกก) ชมหนังตัวอย่าง เชิญคลิก หลังเทรลเลอร์หนังแพร่ออกไปเพียงชั่วคืน เสียงวิจารณ์ก็กระหน่ำไปทั่วไซเบอร์สเปซ เว็บMTVก็เลยคว้าไมค์ไปถามผู้กำกับ Scott Derrickson ดังใจความ(ราวๆ)นี้ Q: นอกจากพระเอกอย่างคีอานู รีฟส์ เทรลเลอร์นี้ยังให้เราเห็นภาพแว่บหนึ่งของGortด้วยนะ A: "ทั้งหมดที่คุณเห็นคือความตั้งใจของผม" "ผมใช้เวลาไตร่ตรองการรีเมคหนังเรื่องนี้นานมาก แน่นอนว่าความคิดที่จะเดินเรื่องตามต้นฉบับก็เป็นตัวเลือกหนึ่งของผมเช่นกัน แต่ผมอยากจะบอกบางสิ่งที่มากกว่านั้น โลกเราเปลี่ยนไปไม่น้อยหลังจากหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ทำไมเจ้ามนุษย์ต่างดาวตัวนี้ถึงเลือกจะมาหาเราในรูปแบบที่เราคุ้นเคยในร่างของมนุษย์ ผมว่าเราสร้างมาตรฐานใหม่ลงไปแม้ผมจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังเรื่องนี้ก็ตาม แต่ผมยังคงลักษณะเด่นของGortเอาไว้แม้เราจะออกแบบเขาให้แปลกไปจากเดิมเล็กน้อย แต่Gortก็คือGort, เป็นการแสดงคารวะต่อหุ่นยนต์ตัวเดิมที่เรารู้จัก" Q: ในฉากที่กลาทูถูกจับมาทดสอบ ทำไมท่าทางของคีอานูถึงดูแข็งๆแบบนั้นล่ะ หน้าเขาเครียดตลอดเลยนะ A: "นั่นเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ เราไม่รู้ว่าผู้ชมจะรับแนวคิดหลักของมันได้ทั้งหมดหรือเปล่า ซึ่งคงต้องคอยดูผลของยอดรายได้ แต่สิ่งที่ผมหวังคือ ถ้าทุกคนgetสิ่งที่ผมบอก คุณจะเห็นว่าคีอานูเป็นนักแสดงที่เก่งมากๆคนหนึ่ง บทของเขาไม่ใช่มนุษย์แต่ไม่ใช่สัตว์ประหลาด กลาทูเป็นผู้มาจากโลกอื่น แน่นอนว่า,คีอานูไม่ได้แสดงกริยาแปลกๆหรือพฤติกรรมประหลาดออกมาเพื่อเล่นบทมนุษย์ต่างดาว แต่ผมบอกได้ว่า ตลอดเวลาที่ผมเห็นเขาทำงานนี้ เขารู้ว่าตัวเองควรแสดงอย่างไรในทุกความเคลื่อนไหวและทุกขณะจิต เขาไม่ได้ทำอย่างที่Jeff Bridgesทำใน ‘Starman.’ เขาไม่ได้ใช้ร่างกายทำกริยาใดๆที่จะให้มันผิดเพี้ยนไปจากมนุษย์ แต่ยังคงมีบางสิ่งที่เรารู้สึกได้ถึงความแตกต่าง เรารู้สึกว่าเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลก และทำให้เรานึกเกรงอยู่ตลอดเวลาว่าเขาต้องการอะไรกันแน่" Q: นางเอกของคุณก็ต่างไปจากเรื่องเดิมด้วยนะ คุณทำให้เฮเลนเป็นผู้ตามหากลาทูไปซะแล้ว A: "เฮเลนเป็นศาตราจารย์สาขาmicrobiologistที่Princeton University เธอถูกเรียกตัวไปหาวิธีจัดการเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัวก่อน บทของเฮเลนขยายไปจากเดิมมาก ผมจึงเจาะจงให้Jenniferรับบทนี้ตั้งแต่แรก ผมคิดว่าเธอเป็นนักแสดงที่เก่ง และผมก็ไม่ผิดหวังเลย" ความเห็นของangy_11 ว่ากันที่ตัวหนัง ทั้งพล็อตและนักแสดงก็น่าดูอยู่แล้ว ยิ่งเห็นช็อตซีจีอลังการเช่นนี้ แองจีคิดว่ายอดรายได้คงจะเข้าเป้าได้ไม่ยาก แต่เรื่องแก่นสารที่อยากให้คนดูคิดเปลี่ยนใจมาช่วยอนุรักษ์โลกเนี่ย...ดิ ไม่ทราบว่ามันจะเป็นไปได้เพียงใด .... ก็ถ้า....โลกไม่อยู่ในวิกฤตอะไรเลย .... เราก็ไม่เห็นมนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆสักที ดิ จริงไหม Credit :แองจีตัดแต่งบทความนี้จากสองหน้าตามลิงค์ด้านล่าง //moviesblog.mtv.com/2008/03/21/keanu-reeves-brings-different-message-with-him-in-day-the-earth-stood-still //moviesblog.mtv.com/2008/07/04/the-day-the-earth-stood-still-trailer-is-here/   Create Date : 08 กรกฎาคม 2551     Last Update : 8 กรกฎาคม 2551 9:25:18 น. Counter : 1288 Pageviews.   46 comment Share Tweet

สูญญากาศของคีอานู หลังเสร็จงานแสดงในภาพยนตร์เรื่องThe Lake House กลางปี 2005 คุณรีฟส์ไม่ได้เล่นเป็นตัวละครใดเลยตลอดเวลา 2 ปี จนเริ่มเคาะสนิมในงานชิ้นแรกเมื่อรับบทนักสืบทอม ลัดโลว์ในStreet Kings คีอานูเล่าว่า เขาใช้ชีวิตในช่วงอายุ 39 ถึง 41 ทำเฉพาะสิ่งที่อยากทำ "..ในปีแรก ผมใช้เวลาทั้งหมดดูแลจิตใจตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำในปีถัดมาด้วย เพราะแม้จะเข้าปีที่สอง ผมก็ยังไม่อยากเล่นเป็นตัวละครตัวไหน รวมทั้งไม่ได้สนใจด้วยว่า, ใครอยากให้ผมแสดงอะไร" "แต่ไม่ได้แปลว่าผมว่างนะ, ผมมีเพื่อนๆและครอบครัวที่อยากใกล้ชิดกัน เวลาว่างของผมหมดไปกับพวกเขา ในขณะเดียวกัน ผมก็พยายามหาวิธีที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แบบว่า มันน่าจะเป็นไปได้ที่เราจะมีชีวิตที่ดีไปพร้อมๆกันทั้งสองด้าน เป็นคนธรรมดาที่มีอาชีพการแสดง" ชีวิตดีๆของคีอานูเคยมีวงดนตรีที่ออกทัวร์รอบโลกชื่อDogstarเป็นส่วนประกอบ แม้ปัจจุบันวงร็อค,วงนี้ จะแยกย้ายกันไปนานกว่าห้าปีแล้ว แต่ก็ยังมีแฟนๆจำนวนมาก อยากเห็นคีอานูเล่นเบสส์บนเวที เมื่อถูกถามว่าเมื่อไรเราจะเห็นDogstarเปิดการแสดงสดอีกครั้ง เขาหัวเราะก่อนตอบว่า "มันจบไปแล้วครับ" "ด็อกสตาร์คือเราสามคน ไม่ว่าจะมีความสุขแค่ไหน ทุกวงดนตรีก็ต้องมีช่วงเวลาคลาสสิคนั่นคือวันที่เราไม่รู้จะแชร์อะไรกันอีก ทุกอย่างจึงต้องจบ, แต่เรายังเป็นเพื่อนกันเสมอ วันไหนที่ว่างเรามักนัดกันที่ห้องพักของโรเบิต-มือกลอง บางที,ผมก็แวะไปดื่มไวน์ที่นั่น" โชคดีที่แผนต่อไปของรีฟส์คือการโชว์เสียงร้องในหนังเพลง เขากล่าวเหมือนมั่นใจว่า"ผมร้องเพลงได้นะ, คุณไม่คิดงั้น หรือ?" เมื่อถามถึงความรู้สึกที่มีต่อซิดนีย์ เมืองที่เขาเคยมาใช้ชีวิตอยู่สองปีขณะถ่ายทำthe Matrix trilogy เขาตอบว่า "ในความคิดของผม, ซิดนีย์เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม" "เมืองนี้สร้างแรงบันดาลใจให้โปรดิวเซอร์ มอบความประทับใจให้ทีมงาน และนักแสดงทุกคนก็ตื่นเต้นที่ได้มาถ่ายหนังที่นี่ ดังนั้นซิดนีย์คือเมืองที่ยอดเยี่ยมสำหรับการสร้างภาพยนตร์" (แองจี คิด) ผู้ชายหน้าตาดี ปากหวาน และมีเหตุผลนั้น อันตรายมาก, เวลาเขารัก เขามีหลายเหตุผลชื่นชมเราจนใจอ่อน, แต่ยามที่เขาจะตีจาก เหตุผลคลาสสิกที่ว่า"ไม่มีอะไรจะแชร์กันอีกแล้ว" ก็ชัดเจนจนโต้เถียงมิได้ เช่นกัน Credit : Story :ตัดตอนและดัดแปลงโดย angy_11 จากบทความชื่อ Man on the Street โดย Claire Sutherland จาก Hit Magazine out of the Sydney Herald Sun 4/17/08 Picture :from the Cancer Ad in New YorK   Create Date : 09 มิถุนายน 2551     Last Update : 9 มิถุนายน 2551 15:11:43 น. Counter : 2251 Pageviews.   51 comment Share Tweet

Keanu Reeves: I relish being an antihero The Independent Film and TV : London, UK :15 April 2008 "คุณถามผมว่า เราควรอนุญาตให้คนทั่วไปมีอาวุธหรือไม่, งั้นหรือ? ทำไมถึงไม่ควรล่ะ? ผมไม่ต่อต้าน หากใครสักคนนึกอยากจะพกปืนสักกระบอก เพียงแต่จะถามว่าคุณคิดดีแล้วหรือ การใช้อาวุธแก้ปัญหามันไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนะ โดยส่วนตัวแล้ว, ผมเองก็ยังไม่เคยมีปืนเลย" "ในสายตาผมStreet Kingsเป็นหนังที่ต่างจากภาพยนตร์แนวนี้ทั่วไป ที่การนำเสนอด้านต่างๆของตำรวจออกมาตามตรง ทุกตัวละครแสดงความเห็นของพวกเขาออกมาโดยที่เราไม่ได้ตัดสินว่าเขาเป็นคนเลวหรือดี พวกเขาล้วนเป็นผลิตผลของสังคม ผมว่าเดวิดใส่ความซับซ้อนลงไปในทุกตัวละคร ถ้าเทียบกับLA Confidential, คุณจะเห็นต้นแบบของหนังที่มีการแบ่งแยกตัวละครเป็นฝ่ายมารหรือฝ่ายเทพ ผมว่าStreet Kingsไม่ใช่หนังแบบนั้น มันเหมือนข่าวที่เราพบในสังคมมากกว่านิยาย" ในConstantine รีฟส์เคยเล่นบทตัวเอกที่มีลักษณะของantiheroมาแล้ว เขายอมรับว่า "ผมสนุกกับการเป็นแอนตี้ฮีโร ผมสงสัยว่าพวกเขามองหาอะไร? ทำไมชีวิตพวกเขาจึงเป็นแบบนั้น บางทีพวกเขาก็ทำเรื่องที่เสียสละ หรือทำสิ่งที่ไม่มีใครอยากทำ แม้จะด้วยวิธีที่ไม่เจ๋งเท่าไร แต่เขาก็ทำ นั่นทำให้เขาเป็นแบบนั้น มีชีวิตหม่นหมองแบบแอนตีฮีโร แต่ว่า,วิถีทางที่พวกเขาเดินก็มีเรื่องราวที่สนุกสนานกว่าคนธรรมดา และคุ้มค่าที่จะเผยแพร่" เช่นเดียวกับชีวิตจริงของนักแสดงผู้นี้ ที่เผชิญความสูญเสียมาแล้วหลายรูปแบบ "ถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าเมื่อเราเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝัน ชีวิตต้องการ การชดเชยด้วยความเข้มแข็งของจิตใจ" เขากล่าว "คุณไม่มีทางหนีความทุกข์ได้ พวกมันจะเปลี่ยนหน้าเข้ามาท้าทายเรา แต่ในเมื่อชีวิตไม่สิ้น มันก็ต้องดิ้นกันไป, จริงไหมครับ" ถามคีอานูว่าเขาชอบผลงานเรื่องไหนของตนเอง เขาประกาศว่า "วันนี้ ผมขอเลือกLittle Buddha" "เพราะเป็นงานที่ผมประทับใจจากการได้เรียนรู้จากยอดฝีมืออย่างBernardo Bertolucci และ Vittorio Storaro ที่สำคัญกว่านั้นคือการเล่นบทที่ผมไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองจะทำได้ รวมทั้งการได้เห็นภูฏานและกัตมันฑุ" "ทุกอย่างจากการทำงานในหนังเรื่องนี้ สอนให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมได้ลิ้มรสปรัชญา ศาสนา และวิถีของชีวิตที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้พบธรรมะที่เป็นเสาหลักแห่งพุทธศานา รู้จักความไม่เที่ยงและบ่อเกิดทุกข์ รู้จักปัจจุบันขณะของชีวิต ทั้งหมดทำให้ผมรู้สึกเบิกบาน" แม้เขาจะขอ"งดแสดงความเห็น" ต่อกรณีความไม่สงบในทิเบต โดยอ้างว่าตนเองไม่ใช่ชาวพุทธ แต่คีอานูยังย้ำว่า "การฝึกจิตให้เมตตาผู้อื่น เป็นไอเดียที่วิเศษมาก" เมื่อถามเกี่ยวกับคดีที่เขาเป็นจำเลยในคดีขับรถเฉี่ยวปาปารัสซีคนหนึ่งจนได้รับบาดเจ็บ เขาตอบว่าตนเองทำใจได้ กับการถูกล่วงล้ำชีวิตส่วนตัว "ผมรู้ และเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงสนใจเรื่องของผมกันนัก, แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็มีความเห็นที่ต่างไป มันไม่ใช่แค่การอยากมีพื้นที่ส่วนตัวตามสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่เพราะผมทำงานที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เวลาผมแสดงเป็นตัวละครในภาพยนตร์ ผมหวังให้คนดูสัมผัสตัวละครเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ ไม่ใช่ขาดสมาธิเพราะเปรียบเทียบชีวิตจริงของผมกับตัวละครที่ผมเล่น" งั้น เขาคิดจะย้ายบ้านหนีปาปารัสซี หรือความทรงจำเลวร้ายในลอสแองเจลิสอย่างดาราบางคนไหม รีฟส์ส่ายศรีษะแล้วตอบว่า "ไม่หรอกครับ เมืองนี้แสนวิเศษ ผมมีความสุขที่นี่ เราจะหาแคลิฟอร์เนียที่มีแสงแดดอบอุ่นอย่างนี้ได้ที่ไหน ถ้าผมสามารถปรับปรุงอะไรบางอย่างให้เมืองได้ ผมคงขอแค่...ได้แสงดาวยามค่ำเพิ่มขึ้นอีกสักนิดนึง ทิวทัศน์ตอนกลางคืนก็จะสวยกว่านี้มาก" Credit : Lesley O'Toole :keanu-reeves-i-relish-being-an-antihero แองจี บ่น: -ตัดตอนเฉพาะบางส่วนของคอลัมน์ (เกรงคนอ่านจะเหนื่อย) -คุณพี่คี เนี่ย โมแรนติค ซะ คนถามเขาอุตส่าห์เปิดโอกาสให้ด่า ปะปารัสซี พี่แกดันไปตอบเรื่องแสงดาวแสงเดือนอะไรไม่รุ เฮ้อ...รึ ว่า แกจะทำใจ แผ่เมตตาได้แล้วจริงๆ -แจ้งความคืบหน้าเรื่องคดี อันเนื่องมาจากฝั่งของนายอลิสันได้ปล่อยคลิปวิดิโอวันเกิดเหตุออกมาในสื่อสารมวลชนบางแห่ง จนเกิดการวิพากย์วิจารณ์แบบช็อต-บาย-ชอตแล้วเกิดกระแสตีความกันว่า คีอานูมีเจตนาทำร้ายนายอลิสันหรือไม่ ทนายความของคีอานูจึงได้ส่งคำร้องให้ศาลสั่งงดการกระทำดังกล่าวนี้ เพราะเป็นผลเสียกับจิตใจและรูปคดี ทีมกฏหมายที่ทำงานให้คีอานูนี้คือOzeran's firmของDavid J. Ozeranที่เพิ่งทำคดีให้Lindsay Lohanชนะคดีเกี่ยวกับการจราจรเมื่อไม่นานมานี้   Create Date : 20 พฤษภาคม 2551     Last Update : 20 พฤษภาคม 2551 14:31:47 น. Counter : 1195 Pageviews.   55 comment Share Tweet

แองจี..พาไปฟัง4นักแสดงจากStreet Kings..คุยจุ๊กจิ๊ก ก่อนอื่นขอแนะนำขาเม้าท์ทั้งห้า เริ่มต้นจากคนเปิดประเด็นคุณเอ็มมานุเอล ไอเตียร์ อาชีพFilm Editorและเว็บคอลัมนิสต์ สมาชิกอีกสี่ คือนักแสดงจากภาพยนตร์Street Kings ประกอบด้วย(เรียงซ้ายไปขวา) -คุณจอห์น คอเบ็ท-ผู้โด่งดังมาจาก My Big Fat Greek Weddingและเป็นนักแสดงผู้รับบทของนักสืบดังเต เดอมีล -คุณอมัวรี โนลาสโก-นักแสดงผิวเข้มที่โด่งดังจากซีรีย์Prison Breakในบทนักสืบคอสโม ซานโตสที่มี"ปม"กับพระเอกทอม ลัดโลว์มากกว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งหมด -ผู้รับบทพระเอกฮีโร่ของStreet Kingsนักสืบทอม ลัดโลว์-...คุณคีอานู รีฟส์ -และสุดท้าย-นักแสดงผิวขาวที่มักโผล่ในบทตลกมากกว่าแอ็คชันคุณเจย์ มอร์-ผู้รับหน้าที่เป็นจ่าไมค์ เคลดี ยกแรก : เอ็มฯเปิดประเด็นว่า"พวกคุณทั้งสี่คิดกับหน่วยLAPDยังไง ก่อนและหลังเล่นหนังเรื่องนี้" อมัวรีชิงเล่าก่อนว่า "แม้ผมจะมีปัญหากับทางการบ่อยๆ แต่กับพวกเครื่องแบบสีน้ำเงินเหล่านี้ผมเคารพพวกเขามาก ผมว่า, สังคมคาดหวังกับพวกเขามากเกินไป ยิ่งมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผมยิ่งรู้ว่าทุกคนที่อยากเป็นตำรวจล้วนฝันจะเป็นที่พึ่งของประชาชนทั้งนั้น ไม่มีใครคิดจะอยากเป็นตำรวจเพราะอยากคอรัปชันหรอก แต่ว่าในที่สุดปัญหาของพวกเขาก็คือ เขาเป็นคนธรรมดาซึ่งต้องกินต้องใช้ มันก็เลยอาจจะเปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นพวกรับสินบนไปได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าตำรวจทุกคนจะโกง ยิ่งได้ทำงานกับตำรวจในหนังเรื่องนี้ผมก็ยิ่งเคารพพวกเขา" ในขณะที่อมัวรีพร่ำชมตำรวจ เจย์ มอร์กล่าวสั้นๆว่า "ผมยังคงเป็นคนเดิมก่อนเล่นเป็นตำรวจอยู่ดีล่ะ" คีอานูเสริมว่า "ผมได้แง่มุมใหม่จากการรับบทนี้ ผมว่าอาชีพนี้เครียดมากเลยอะ งานของพวกเขามันหนักแล้วก็ค่าตอบแทนไม่มาก แต่เครียดจนอาจสูญเสียครอบครัวได้ ผมเองก็ต้องระวังตัวเองเหมือนกันที่จะแยกชีวิตส่วนตัวออกจากงานให้ได้ ผมไม่อยากเก็บงานกลับไปเครียดที่บ้านแน่" (อุ...แหม..แค่นี้ก็ควานหาตัวยากยังกะ อะไร คุณพี่คียังจะแยกให้เด็ดขาดกว่านี้อีกหรือฮะ) ถึงคราวของจอห์น คอเบ็ทบ้าง เขาเล่าว่า "พวกคุณไม่เชื่อแน่ว่า ผมเคยสมัครฝึกเป็นตำรวจอยู่ปีหนึ่งตอนปี1982 แต่สุดท้ายดันไม่ผ่านการทดสอบ ก็เลย,อดเป็นตำรวจเยย ตอนเราถ่ายฉากงานฝังศพ ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผม เขาเล่าว่า เวลาที่เข้าเวรแล้วเรียกรถที่ผิดกฏจราจรให้จอด เขาจะมองเข้าไปในรถซะก่อน ถ้ามีเด็กนั่งอยู่ก็จะไม่ให้ใบสั่ง เขาว่า, เขาทำแบบนี้เพื่อภาพพจน์ของกรมตำรวจ คิดดูสิ ถ้าคุณให้ใบสั่งคุณพ่อที่กำลังหงุดหงิด เด็กต้องฟังพ่อด่าตำรวจไปตลอดทางแน่ๆ แต่ถ้าไม่ใช่, พ่อเด็กก็จะชมให้ลูกฟังว่า ตำรวจก็ดีนะลูก อะไรงี้ ผมว่ามันก็จริงของเขานะ" ยกสอง : เอ็มฯถามว่า"ผมอยากฟังพวกคุณพูดถึงดารานำชายออสการ์ปีที่แล้ว ซึ่งพวกคุณร่วมงานด้วยครั้งนี้,Forest Whitaker คราวนี้ เจย์มอร์ ขอเปิดหัวเรื่องด้วยการแสดงท่าเลียนแบบการพูดของฟอเรสท์ "ทำงานกับป่าฟอฯเป็นเรื่องมหัศจรรย์สุดขีด เวลาเขาแอ็คท์ มันช่างเป็นธรรมชาติ เวลาผมอยู่ในฉากด้วย ผมถึงกับหลุดคิวเลย อะ ตอนที่ซ้อมถ่ายฉากที่ฟอเรสท์ตะคอกใส่คีอานู ผมดันพูดว่า "โอ้มายก่อด" แล้วต่อด้วยคำว่า "โอ้มายก่อด ผมลืมบท" (หัวเราะ) เวลาเขาขู่ตะคอกมันน่ากลัวมาก ผมต้องคอยบอกตัวเองว่า เฮ้ย นี่แกกำลังดูออสการ์ปีที่แล้วอยู่นะ อะไรงั้น" คีอานูเห็นด้วย "ใช่ครับ ฟอเรสท์คือสุดยอด ผมคิดเหมือนกับเจย์เปี๊ยบบ, เวลาอยู่ในฉาก เขาไม่เหมือนนักแสดงสักนิด มันเหมือนเขาคือคนๆนั้นไปเลยมากกว่า ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำสั่งว่า"แอคชัน"จะเปิดสวิทช์คนอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้(หัวเราะ) ผมว่าเขาเจ๋งมากเลย" อมัวรีพยักหน้ารับ "จริงครับ ผมก็ว่างั้น" เจย์มอร์ ทำตาระยิบก่อนพูดว่า "ให้ผมเล่าอะไรให้คีอานูฟังหน่อยได้ไหม ตอนที่ถ่ายฉากในหลังร้านน่ะนะ ฟอเรสท์มาถามผมว่า เขาควรจะกระชากคีอานูหรือไม่" คีอานู : "อะฮะ! งั้นเลยรึ?" เจย์มอร์ : "เอออ ดิ เขาลากเราไปถามว่า "คุณว่าผมผลักคีอานูดีไหม คุณเข้าใจใช่ไหม, ทำแรงๆกับคีอานูน่ะ" ผมก็งงดิ "คุณเป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์ปีที่แล้ว เนี่ยนะ, มาถามผมเรื่องการแสดงงั้นหรือ ผมมันพวกเดี่ยวไมโครโฟน ผมไม่รู้หรอกค้าบ"หลังฟังเราพูดแบบนี้ เขาก็เลยไม่ผลักนายล่ะ" คีอานู : "โอ้โห ต้องขอบใจนายนะเนี่ย" ยกสาม : เอ็มฯถามว่า"แล้วการทำงานกับผู้กำกับDavid Ayerล่ะ พวกคุณว่ายังไง" เจย์ มอร์ : "ผมชอบทำงานกับเดวิด จริงๆแล้วผมชอบนายจ้างทุกคนนั่นแหละ" อมัวรี : "ผมต้องขอประกาศเลยว่า ผมมีโอกาสเยี่ยมที่สุดที่ได้งานนี้ ผมเคยดูHarsh Timesแล้วโค่ดชอบ ไม่นึกฝันว่าวันหนึ่งจะได้รับการติดต่อให้มาแคสบท แล้วได้พบตัวเป็นๆของเดวิด ที่สำคัญเขาพูดเสปนที่เป็นภาษาแรกของผมได้ด้วย เขาให้โอกาสพวกเราเล่นตามบทแบบที่เราคิด แล้วเขาจะบอกมุมของเขา เราถึงได้งานดีๆออกมา สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ความเพอร์เฟ็ก แต่เป็นความสมดุล" จอห์น คอเบ็ท : "ผมอยู่ในSanta Barbaraยี่สิบปี และผมเห็นทุกอย่างที่อยู่ในหนังเรื่องนี้แบบชีวิตจริง ไม่น่าเชื่อว่าเดวิดจะถ่ายทอดมันออกมาได้ดีขนาดนั้น เขารู้รายละเอียดทุกอย่างเรื่องอาวุธ หากเราวางนิ้วบนปืนผิด เขาก็รู้ก่อนเราซะอีก ผมทึ่งเขามากๆ" คำถามสุดท้าย : กลับมาที่คีอานู รีฟส์ เอ็มมานุเอล :มีคนบอกผมว่า ตลอดเวลาถ่ายหนังเรื่องนี้ จะมีทีมงานบางคนเข้ามาถามปริศนาThe Matrixกับคีอานูเสมอ คุณคิดไหมว่า หนังเรื่องนี้มันจะหลอนคุณไปทั้งชีวิต และอาจเป็นสิ่งที่ใครๆนำมาเปรียบเทียบกับงานไซ-ไฟชิ้นต่อไปของคุณก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งThe Day The Earth Stood Still ที่กำลังจะออกฉายปลายปีนี้ คีอานู :โอ้โห...คงไม่ขนาดนั้นมั้ง..ผมหวังว่า คงไม่ เอ็มมานุเอล :คุณคิดว่า ชีวิตคุณมีสองด้านหรือเปล่า คีอานู :ใช่ครับ จริงๆแล้วผมเป็นทูตวัฒนธรรมของหนังThe Matrixทั้งสามภาค หน่วยงานของเราตั้งอยู่ที่...(โอ้โห คุงพี่คีเล่นjoke...ฝืดด ด้วยแหละ แหะ) เอ็มมานุเอล :คุณพอบอกได้ไหมว่าคุณวัดความสำเร็จในอาชีพได้อย่างไร โดยอันดับในตาราง หรือว่าเงินที่หนังทำได้ คีอานู :ผมไม่เคยคิดแบบนั้น ผมวัดความสำเร็จจากการได้ยินคนพูดว่าเขาดูหนังแล้วชอบ มากกว่าเรื่องอันดับหรือรายได้ Credit : Story >>//www.buzzine.com/contentengine/publish/buzzine/interviews/article_3216.html Edit>>>Me>>angy_11   Create Date : 29 เมษายน 2551     Last Update : 29 เมษายน 2551 14:21:42 น. Counter : 7416 Pageviews.   44 comment Share Tweet

• ไร้ระเบียบ
• ข่าว
• บทความ
• งาน
• คลิป
• ไม่เกี่ยวกับเขา

• Webmaster - BlogGang

• BlogGang.com