Group Blog
 
All Blogs
 
ปี 196 AD

ปีเจี้ยนอัน ที่ 1 196 AD
(17 กุมภาพันธ์ 196 – 4 กุมภาพันธ์ 197)

ในฤดูใบไม้ผลิ เดือนแรก วันที่ 23 กุมภาพันธ์ มีการประกาศนิรโทษกรรม ปีรัชกาลถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเจี้ยนอัน

ตังสินและเตียวเอี๋ยงต้องการนำตัวฮ่องเต้กลับลกเอี๋ยง แต่เอียวฮองและลิงักไม่เห็นด้วย เหล่าแม่ทัพพากันสงสัยซึ่งกันและกัน

ในเดือนที่สอง หันเซียมโจมตีตังสินจนต้องถอยกลับไป Yewang หันเซียมตั้งค่ายที่Wenxi ขณะที่โฮจ๋ายและเอียวฮองไปที่ Wuxiang โฮจ๋ายต้องการโจมตีหันเซียม แต่ฮ่องเต้สั่งห้ามไว้

โฮงีและพวกนำโจรผ้าเหลืองจำนวนมากจากเองชงและยีหลำ เพื่อมารับใช้อ้วนสุด โจโฉเข้าโจมตีพวกเขาพ่ายแพ้ไป

เตียวเอี๋ยงส่งตังสินไปบูรณะวังหลวงที่เมืองลกเอี๋ยงและเตียวกี ชักจูงให้เล่าเปียวส่งคนมาช่วยก่อสร้าง ขบวนคาราวานเพื่อซ่อมแซมมากันเป็นจำนวนมา

ในหน้าร้อนเดือนที่ห้า วันที่ 15 มิถุนายน ฮ่องเต้ส่งสารถึงเอียวฮอง ลิงักและหันเซียม เพื่อขอให้พวกเขาอารักขาพระองค์ไปลกเอี๋ยง เอียวฮองและพวกทำตามราชโองการ

ในเดือนที่หก วันที่ 14 กรกฎาคม ฮ่องเต้เสด็จถึงWen Xi

อ้วนสุดโจมตีเล่าปี่หวังยึดมณฑลชีจิ๋ว เล่าปี่ส่งเตียวหุยไปรักษาการณ์แห้ฝือ ตัวเขานำกำลังเข้าสู้กับอ้วนสุดที่ Xuyi และ Huaiyin พวกเขาสู้รบกันทั้งเดือนแต่ไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะ

โจป้านายอำเภอแห้ฝือ ลูกน้องเก่าของโตเกี๋ยม ทะเลาะกับเตียวหุย เตียวหุยเลยฆ่าเขา จึงเกิดการจราจลขึ้นในเมือง อ้วนสุดจึงเขียนจดหมายถึงลิโป้ แนะให้ลิโป้โจมตีแห้ฝือ และสัญญาว่าจะส่งเสบียงอาหารให้ ลิโป้ดีใจมาก เขานำทัพไปทางตะวันออก Xu Dan ลูกน้องคนหนึ่งของลิโป้เปิดประตูรับเขาเข้าเมือง เตียวหุยพ่ายแพ้และหนีไป ลิโป้จับตัวภรรยาและบุตรเล่าปี่และครอบครัวแม่ทัพและขุนนางของเขา

เมื่อเล่าปี่กลับมาและรู้ข่าวเข้า ในเวลานั้นกองทัพของเขาเหลือจำนวนเพียงน้อยนิด เขาจึงรวบรวมกองทัพที่เหลืออยู่ เดินทางไปตะวันออกโจมตีเมืองกองเหลง ต่อสู้กับอ้วนสุด แต่ก็พ่ายแพ้ จึงต้องถอยไปตั้งค่ายที่ Haixi กองทัพของเล่าปี่นั้นหิวโหยและสิ้นหวัง จนทหารของเล่าปี่เริ่มจะกินเนื้อคน บิต๊กลูกน้องของเขาจึงช่วยเหลือให้อาหารแก่กองทัพโดยใช้ทรัพย์สินส่วนตัว

เล่าปี่ร้องขอยอมจำนนต่อลิโป้ ลิโป้ทะเลาะกับอ้วนสุดเพราะว่าอ้วนสุดไม่ส่งเสบียงอาหารให้ตามสัญญา เขาจึงยอมรับเล่าปี่เป็นลูกน้องและแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการมณฑลอิจิ๋ว พวกเขารวมกองทัพกันต่อสู้อ้วนสุด ลิโป้ส่งเล่าปี่ไปตั้งค่ายที่เสียวพ่าย ลิโป้แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ครองมณฑลชีจิ๋ว

หลันเป้งลูกน้องของลิโป้ก่อกบฏต่อลิโป้ ลอบโจมตีเขาในยามค่ำ ลิโป้หนีทั้งที่ยังไม่ได้ใส่เครื่องป้องกันหรือเสื้อผ้าอันใด หลบไปที่ค่ายของโกซุ่นลูกน้องเขา โกซุ่นนำกำลังไปที่ค่ายของลิโป้แล้วโจมตีหลันเป้ง จนเขาพ่ายแพ้หนีไป และเมื่อถึงตอนเช้า หลันเป้งก็ถูกโจเส็งลูกน้องของเขาฆ่าตาย

ในวันที่ 19 กรกฎาคม เอียวฮองและหันเซียมอารักขาฮ่องเต้กลับไปตะวันออก เตียวเอี๋ยงส่งเสบียงอาหารสำหรับเดินทางมาให้

ในฤดูใบไม้ร่วง เดือนที่เจ็ด วันที่ 12 สิงหาคม ฮ่องเต้มาถึงลกเอี๋ยง เขาพักอยู่ในจวนของเตียวต๋ง (10 ขันที) วันที่ 25 สิงหาคม มีการประกาศนิรโทษกรรม

ในเดือนแปด วันที่ 18 กันยายน ฮ่องเต้เสด็จไปจวนหยางอันตอนใต้ของวังหลวง เพราะเตียวเอี๋ยงรู้สึกว่าการพาฮ่องเต้กลับลกเอี๋ยงเป็นความชอบของเขา เขาจึงตั้งชื่อจวนเหล่านี้ว่าหยางอัน

เตียวเอี๋ยงพูดกับเหล่าขุนนางอื่น ๆ ว่า "หน้าที่รับใช้องค์ฮ่องเต้นั้นควรที่จะเป็นของทุกคนในแผ่นดิน ในเมื่อภายในราชสำนักมีขุนนางน้อยใหญ่มากมาย ข้าจะออกไปจัดการปัญหาภายนอก" เขาจึงกลับไป Yewang ขณะที่เอียวฮองตั้งค่ายที่เลียงจิ๋ว หันเซียมและตังสินอยู่กับเขาด้วยทำหน้าที่รักษาเมืองหลวง (Yewang อยู่ทางตอนเหนือของลกเอี๋ยง เลียงจิ๋ว เป็นเมืองทางใต้ ทั้งสองเมืองเป็นเหมือนเมืองหน้าด่านของลกเอี๋ยง)

ในวันที่ 20 กันยายน แม่ทัพพิทักษ์ความสงบของแผ่นดินเตียวเอี๋ยงถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ไท่เว่ย เอียวฮองเป็นแม่ทัพดูแลราชรถและทหารม้า หันเซียมได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพดูแลกองทหารภายใน ทั้งหมดได้สัญลักษณ์และขวานแทนพระองค์ สามารถตัดสินคดีความและสังหารคนตามกฏกองทัพโดยไม่ต้องแจ้งให้ฮ่องเต้ทราบ

ในเวลานั้นวังหลวงและบ้านเรือนราษฎรถูกเผาทำลายทั้งหมด ขุนนางใหญ่น้อยต่าง ๆ จึงต้องจัดการเก็บกวาดเศษซากต่าง ๆ และอาศัยในซากปรักหักพังพวกนั้น ทั้งมณฑลถูกควบคุมโดยทหารที่โหดร้าย ไม่มีการส่งเสบียงอาหารมาให้ ขุนนางพากันหิวโหย จนขุนนางระดับอาลักษณ์และระดับต่ำกว่าต้องออกไปหาเมล็ดข้าวป่ามาทำเป็นอาหารกินด้วยตนเอง ขุนนางบางคนก็อดตายท่ามกลางเศษซากของบ้านเมืองที่พังพินาศนั้น และหลายคนก็ถูกฆ่าโดยทหาร

ในช่วงนั้นมีคำทำนายว่า คนที่มาจะแทนราชวงศ์ฮั่นนั้นจะเป็น “ถนนสูง” อ้วนสุดอ้างว่าชื่อรองของตัวเองนั้นเข้ากับคำทำนายได้เป็นอย่างดี (ชื่อรองของอ้วนสุดแปลว่า ถนนสาธารณะ) ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลอ้วนอ้างว่าตระกูลตนสืบเชื้อสายมาจากรัฐเฉิน ซึ่งเป็นลูกหลานของฮ่องเต้ Shun และสีเหลืองก็จะแทนที่สีแดงตามลำดับขั้นของวังวนแห่งพลัง (ตระกูลอ้วนนั้นอ้างว่าตัวเองเป็นลูกหลาน Yuan Taotu ซึ่งเป็นชนชั้นผู้ปกครองแคว้นเฉิน ซึ่งมีเป็นลูกหลานของฮ่องเต้ Shun ได้ปกครองแคว้นนี้ตอนต้นของราชวงศ์โจว ซึ่งใช้สีเหลืองแทนพระองค์ ส่วนราชวงศ์ฮั่นนั้นใช้สีแดงแทนสัญลักษณ์ราชวงศ์ ในความเชื่อเรื่องวังวนแห่งพลังทั้งห้า ไฟให้กำเนิดดิน ซึ่งหมายถึงสีแดงของไฟเป็นผู้บุกเบิกให้กับสีเหลืองของดิน โจรผ้าเหลืองเองก็ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์เช่นกัน ก๊กวุยและก๊กง่อก็ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์) ดังนั้นอ้วนสุดจึงวางแผนสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ก่อกบฏต่อราชวงศ์ฮั่น

เมื่อเขารู้ว่าซุนเกี๋ยนเจอตราหยกแผ่นดิน อ้วนสุดจึงจับตัวภรรยาซุนเกี๋ยนไว้เป็นตัวประกันและเอาตราหยกมาจากซุนเกี๋ยน หลังจากนั้นเมื่อเขาได้ข่าวการพ่ายแพ้ของฮ่องเต้ที่ตำบลตังกั๋ง เขาจึงเรียกประชุมขุนนางหารือเรื่องสถาปนาเป็นฮ่องเต้

ในตอนแรกไม่มีใครกล้าออกมาคัดค้าน แต่เอียมเซียงออกมาคัดค้านบอกว่า "ในอดีตนั้นราชวงศ์โจว ก่อนจะปราบดาภิเษก ได้สะสมคุณงามความดีต่าง ๆ มากมายตั้งแต่สมัยHou Jiถึงสมัยโจวเหวินอ๋อง พวกเขาครองดินแดนกว่าสองในสามของแผ่นดิน แต่ยังยอมรับใช้ราชวงศ์Yin"

ครอบครัวของท่านประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมาหลายชั่วรุ่น แต่ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับความสำเร็จของราชวงศ์โจวได้เลย แม้ว่าราชสำนักฮั่นจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่สามารถเปรียบได้กับความโหดร้ายของราชวงศ์ Yin อ้วนสุดจึงนิ่งเงียบไป

อ้วนสุดส่งเทียบเชิญให้แก่ Zhang Fan บัณฑิตผู้มีชื่อและไม่เคยรับใช้ใครมาก่อน Zhang Fan ปฏิเสธ แต่ส่ง Zhang Cheng น้องชายเขามาแสดงความขอบคุณ อ้วนสุดกล่าวกับ Zhang Cheng ว่า "ข้าครอบครองดินแดนกว้างใหญ่ มีประชาราษฎร์และทหารมากมายในปกครอง ข้าต้องการประสบความสำเร็จเฉกเช่นฉีหวนกง หรือฮ่องเต้ฮั่นโกโจ ท่านคิดว่าข้าสามารถทำได้หรือไม่"

"ประสบความสำเร็จแน่นอน" Zhang Cheng ตอบ "ไม่เกี่ยวกับเรื่องอำนาจแต่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม ถ้าท่านประพฤติตัวเป้นคนดีและตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ แม้ว่าท่านจะเป็นเพียงคนทั่วไปไม่มีความสามารถอันใด ก็จะสามารถประสบความสำเร็จเช่นอ๋อง hegemon ได้ แต่ถ้าท่านต้องการยึดครองราชบัลลังค์เป็นของตัวเอง ท่านก็ต้องต่อสู้กับผู้อื่นที่ยังคงภักดีในราชวงศ์ฮั่น และผู้คนของท่านจะก็ละทิ้งท่านไป ในกรณีนั้นท่านไม่มีความหวังจะสำเร็จได้แน่" อ้วนสุดได้ฟังก็คำตอบของ Zhang Cheng ก็รู้สึกไม่พอใจ

เมื่อซุนเซ็กรู้ข่าว เขาจึงเขียนจดหมายไปหาอ้วนสุดว่า "เมื่อ Cheng Tang โจมตี Jie เขาสามารถอ้างได้ว่า ผู้ครองเมือง Xia ทำความชั่วไว้มากมาย เมื่ออ๋อง Wu ตั้งกองทัพขึ้นต่อต้านราชวงศ์โจว เขาก็สามารถอ้างได้ว่า ราชวงศ์ Yin ทำความผิดไว้มากมาย ทั้งสองคนล้วนประกอบคุณงามความดีไว้มาก และในช่วงเวลานั้นฮ่องเต้ได้ละเลยการประพฤติปฏิบัติที่ดี ทั้งสองเลยสามารถอ้างความชอบธรรมล้มล้างพวกเขา"

"แต่สำหรับองค์ฮ่องเต้ พระองค์ไม่ได้ประพฤติสิ่งใดผิดต่อแผ่นดิน เป็นเพราะพระองค์ยังทรงพระเยาว์และอ่อนแอ และตกอยู่ในเงื้อมมือขุนนางที่ชั่วช้า นี่จึงต่างจากสมัย Tang และ Wu"

"ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าตั๋งโต๊ะจะชั่วร้าย หยิ่งยโส เผด็จการ และไม่รู้จักยับยั้งความทะเยอทะยานของตัวเอง แต่ตั๋งโต๊ะเองก็ยังไม่กล้าที่จะยึดราชบัลลังค์เป็นของตัวเอง อย่างไรก็ดีคนทั้งแผ่นดินก็พากันเกลียดชังตั๋งโต๊ะ นี่ควรจะเป็นตัวอย่างให้แก่คนที่คิดจะเอาอย่างหรือคิดที่จะประพฤติเลวร้ายยิ่งกว่า"

"ข้าได้ยินมาว่าองค์ฮ่องเต้นั้นชาญฉลาดและปรีชาสามารถ และทรงมีคุณธรรมยิ่งนัก แม้ว่าในตอนนี้ราชสำนักยังไม่ถูกปกครองโดยพระองค์ แต่พสกนิกรต่างซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ตระกูลอ้วนนั้นต่างก็ประกอบคุณงามความดีมาห้าชั่วคน และหนึ่งในนั้นเคยเป็นถึงไจเสี่ยง ได้รับความดีความชอบเกินกว่าผู้ใดจะสามารถเปรียบเทียบได้ ท่านควรจะแสดงความจงรักภักดี โดยการแสดงความซื่อสัตย์ต่อราชสำนัก แล้วท่านจะมีชื่อเสียงเหมือนโจวตันกง และจ้าวชิกง แล้วทั้งแผ่นดินจะพากันยกย่องสรรเสริญท่าน"

"ผู้คนมากมายในเวลานี้พากันคล้อยตามคำทำนายและพยายามที่จะทำการโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม คิดแต่เพียงให้เจ้านายของตัวเองพอใจ พวกเขาไม่ใส่ใจในความเป็นไปของบ้านเมือง นี่เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองทั้งหลายในอดีตและปัจจุบันควรจะหลีกเลี่ยง ท่านจะควรจะคิดให้รอบคอบอีกครั้ง"

"คำพูดที่จริงใจอาจไม่ถูกใจผู้ฟัง ความคิดที่ตรงกันข้ามอาจนำพาความเป็นศัตรู แต่ถ้าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์แก่ความดีและชื่อเสียงของท่าน ข้าไม่กล้าที่จะเก็บคำพูดเอาไว้"

ก่อนหน้านั้น อ้วนสุดเชื่อว่าเขาควบคุมดินแดนตอนใต้ของฮวยไว้ ขณะที่ซุนเซ็กควบคุมดินแดนตอนใต้ของแยงซีและพร้อมที่จะสนับสนุนเขา เมื่อเขาได้รับจดหมายฉบับนี้ เขาเสียใจและหดหู่จนล้มป่วยในที่สุด เขาไม่สามารถรับการโต้แย้งนี้ได้ และซุนเซ็กก็ตัดขาดจากเขา

โจโฉอยู่ที่เมืองฮูโต๋เขาวางแผนที่จะรับตัวฮ่องเต้มา แต่หลายคนแย้งว่า "ดินแดนทางตะวันออกนั้นยังไม่สงบ หันเซียมและเอียวฮอง นั้นประสบความสำเร็จมาหลายครั้งจึงมองความสามารถของศัตรูต่ำไป เราไม่ควรที่จะจัดการกับพวกเขาเร็วนัก"

ซุนฮกตอบว่า "ในอดีตเมื่อจิ้นเหวินกงได้รับตัวโจวเซียงอ๋อง เหล่าผู้ครองเมืองทั้งหลายต่างชื่นชมและรับใช้เขา ฮั่นโกโจแห่งฮั่นไว้อาลัยให้ฮ่องเต้เฉพาะกาล ผู้คนทั้งแผ่นดินก็ภักดีต่อเขา (ฮ่องเต้เฉพาะกาลเป็นตำแหน่งของ Xin ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ ถูกตั้งเป็นหัวหน้าเหล่ากบฏต่อต้านราชวงศ์ฉิน ปี 206 ก่อนคริสต์ศักราช เซี่ยงหวี่หรือฌ้อป้าอ๋องมอบตำแหน่งนี้ให้แก่เขา แต่เซี่ยงหวี่ก็ฆ่าเขาในเวลาต่อมาไม่นาน เมื่อหลิวปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจรู้เรื่อง จึงประกาศไว้อาลัยสามวันและประกาศเป็นศัตรูกับเซี่ยงหวี่) เมื่อก่อนฮ่องเต้ทรงหลบหนีจากเมืองหลวง ท่านก็เป็นคนกลุ่มแรกที่คิดตั้งกองทัพธรรมช่วยเหลือพระองค์ แต่ทัพพันธมิตรต่างขัดขวางซึ่งกันและกันและไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้นำ ท่านจึงไม่สามารถช่วยเหลือพระองค์ได้"

"แต่เวลานี้ฮ่องเต้เสด็จกลับเมืองลกเอี๋ยงแล้ว แต่เมืองลกเอี๋ยงร้างผู้คนมานาน เหล่าคนที่ต้องการกอบกู้ราชสำนัก และคนที่ทุกข์ใจกับอดีตที่ผ่านมา ถ้าท่านอาศัยโอกาสนี้สนับสนุนฮ่องเต้และทำตามความคาดหวังของผู้คน ถือว่าท่านได้ทำตามลิขิตสวรรค์"

"กระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความยุติธรรมและกอบกู้ราชสำนัก เป็นแผนการที่ยิ่งใหญ่ สนับสนุนกิจการของราชสำนัก เรียกคนดีมีฝีมือเข้ารับราชการ ถือเป็นความชอบที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะมีกบฏและทรราชย์อยู่ทุกแห่ง แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ ใยจึงให้คนอย่างหันเซียมและเอียวฮอง มารบกวนแผนการใหญ่ของท่าน"

"ท่านควรรีบดำเนินการโดยทันที เพราะเจ้าเมืองทั้งหลายอาจทะเยอทะยานคิดการใหญ่และเหตุการณ์อาจเปลี่ยนไป แม้ว่าท่านจะทำการแผนนี้อีกภายหลัง แต่โอกาสอาจไม่มีซ้ำสอง"

ดังนั้นโจโฉจึงส่งโจหองนำทัพไปตะวันตกเพื่อรับตัวฮ่องเต้ แต่ตังสินและพวกได้ป้องกันจนโจหองไม่สามารถทำได้

ตังเจี๋ยวสังเกตว่า แม้เอียวฮองจะมีทหารมากมาย แต่เขามีคนสนับสนุนในราชสำนักน้อยนิด เขาเขียนถึงเอียวฮอง ในนามของโจโฉว่า "ตัวข้ารับรู้ชื่อเสียงและชื่นชมความสามารถของท่านมานาน ข้าขอเสนอความจริงใจอย่างที่สุดของข้าแก่ท่าน ท่านปกป้องฮ่องเต้จากความยากลำบากมากมายและนำตัวพระองค์กลับสู่เมืองลกเอี๋ยง ความสำเร็จของท่านช่างวิเศษยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดเทียบได้"

"ในเวลานี้มีคนโฉดชั่วมากมายก่อความวุ่นวาย ทั้งแผ่นดินไร้ความสงบ ราชสำนักถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด งานของเราคือการถวายการอารักขาและสนับสนุน"

"เวลานี้คนดีมีความสามารถควรที่จะช่วยสนับสนุนราชสำนัก แต่งานนี้ยากลำบากเกินกว่าที่ใครจะทำได้เพียงลำพัง เหมือนดังอวัยวะของคนเรา ล้วนแต่พึ่งพากันและกัน หากขาดสิ่งใดไป ที่เหลือย่อมทำงานได้ไม่เต็มที่ ท่านเองเป็นคนอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะเป็นพันธมิตรของท่านอยู่ภายนอก ข้ามีเสบียงอาหาร ท่านมีกองทัพ เราทั้งสองจะเติมเต็มซึ่งกัน ไม่ว่าเป็นหรือตาย ขอให้ข้าและท่านอยู่ด้วยกัน"

เอียวฮองได้รับจดหมายและรู้สึกยินดี เขากล่าวกับลูกน้องว่า "กองทัพมณฑลกุนจิ๋วใกล้กับเมืองฮูโต๋ มีทั้งทหารและเสบียงอาหาร นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงต้องการ" พวกเขาจึงร่วมกันแนะนำให้แต่งตั้งโจโฉเป็นแม่ทัพผู้รักษาความสงบตะวันออก และได้รับตำแหน่งพระยาหมู่บ้าน Bi ซึ่งเป็นตำแหน่งเก่าของพ่อเขา

หันเซียมชอบโอ้อวดความสำเร็จของตัวเองและทำตัวหยิ่งยโส ตังสินไม่ชอบใจตัวเขา จึงส่งสารลับไปหาโจโฉ โจโฉจึงนำทหารมาลกเอี๋ยง เมื่อเขามาถึงก็ยื่นบันทึกความผิดของหันเซียมและเตียวเอี๋ยง ด้วยความกลัวว่าตัวเองจะถูกลงโทษ หันเซียมหลบหนีเพียงลำพังไปหาเอียวฮอง แต่เพราะหันเซียมและเตียวเอี๋ยงทำความดีความชอบในการอารักขาฮ่องเต้หลบนี้ ฮ่องเต้จึงสั่งห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก

ในวันที่ 28 กันยายน โจโแถูกแต่งตั้งเป็นขุนพลประจำเมืองหลวงและอำนาจในการควบคุมขุนนาง เขาสั่งสังหาร Feng Shi และขุนนางอีกสองคนที่กระทำความผิดทันที โจโฉแต่งตั้งตังสินและพวกอีกสิบสองคนเป็นพระยา ตอบแทนความดีของเขา และแต่งตั้ง Ju Jun เป็นเจ้าเมืองฮองหลงและขุนพลกองทัพธนู เพื่อการเสียสละชีวิตที่มีเกียรติของเขา

โจโฉเชิญตังเจี๋ยวมาปรึกษาและว่า "เวลานี้ข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว มีแผนใดที่ข้าควรทำต่อไป"

ตังเจี๋ยวตอบว่า "ท่านควรจัดตั้งกองทัพที่จงรักภักดีราชสำนักเพื่อลงโทษเจ้าเมืองที่เหี้ยมโหดและไม่เชื่อฟังราชสำนัก และท่านต้องซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้และช่วยเหลือราชสำนัก นี่เป็นงานของ hegemon ทั้งห้า แต่เหล่าแม่ทัพนายกองที่นี่ล้วนแต่มีความคิดของตนเอง พวกเขาต้องไม่ยอมรับใช้ท่านโดยง่าย ถ้าท่านยังอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง สิ่งที่ควรทำคือการย้ายองค์ฮ่องเต้ไปประทับที่เมืองฮูโต๋"

"แต่อีกนัยหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงไร้ที่อาศัยและร่อนเร่อยู่นาน เพิ่งจะเสด็จกลับลกเอี๋ยงได้ไม่นาน ผู้คนทั่วแผ่นดินต่างรอคอยเวลานี้ ความหวังที่จะอยู่อย่างสงบสุข ถ้าเราย้ายองค์ฮ่องเต้อีกครั้ง ย่อมเป็นการยากที่จะเอาชนะใจราษฎร"

"แต่ในที่สุด ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับท่าน ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ท่านต้องตัดสินใจให้ดีที่สุด"

"การพาฮ่องเต้เสด็จไปเมืองฮูโต๋ เป็นความตั้งใจของข้าแต่แรก แต่เอียวฮองนั้นอยู่ใกล้เมืองเลียงจิ๋ว และข้าได้ยินมาว่า เขามีกองทัพที่แข็งแกร่งนัก ท่านไม่คิดว่าเขาจะสร้างปัญหาให้แก่ข้าหรือ"

ตังเจี๋ยวตอบว่า "เอียวฮองไม่มีเพื่อนในราชสำนัก และเขาเป็นพันธมิตรของท่าน เขาจัดการให้ท่านได้รับตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์ความสงบตะวันออกและตำแหน่งพระยา ส่งพลนำสารพร้อมสมบัติล้ำค่าไปขอบคุณเขา จะทำให้เขาพอใจในท่าน แล้วพูดกับเขาว่า เมืองหลวงไม่มีเสบียงอาหาร ท่านจึงคิดนำฮ่องเต้ไปประทับที่เมือง Luyang ชั่วคราว เพราะว่าเมือง Luyang ใกล้กับเมืองฮูโต๋ การขนส่งเสบียงก็จะทำได้สะดวก แล้วจะไม่มีการล่าช้าในการขนส่งหรือขาดเสบียง แม้ว่าเอียวฮองจะกล้าหาญแต่เขาไม่ฉลาดนัก เขาจะไม่สงสัยสิ่งใดและยอมรับแผนการนี้ เขาจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอน"

"วิเศษมาก" โจโฉพูดชมขึ้น แล้วโจโฉจึงส่งพลนำสารไปหาเอียวฮอง

วันที่ 7 ตุลาคม ฮ่องเต้เสด็จไปตะวันออกผ่านด่าน Huanyuan และเมืองหลวงถูกย้ายไปที่เมืองฮูโต๋

ในเดือนที่เก้า วันที่ 16 ตุลาคม ฮ่องเต้เสด็จถึงค่ายของโจโแ แต่งตั้งให้โจโฉเป็นแม่ทัพใหญ่ และตั้งเขาเป็นพระยาแห่งบู่เพ่ง วังหลวงและแท่นบูชาถุกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกของเมืองฮูโต๋

ซุนเซ็กวางแผนยึดเมืองห้อยแข เงียมแปะฮอและผู้นำคนอื่นของง่อตั้งค่ายอยู่ในหลายพื้นที่ แต่ละคนมีทหารมากกว่าหมื่น ลูกน้องของซุนเซ็กเรียกร้องให้เขาโจมตีเงียมแปะฮอและพวกก่อน แต่ซุนเซ็กพูดว่า "เงียมแปะฮอและพวกไม่ต่างอะไรกับกลุ่มโจร พวกเขาไม่มีความคิดอะไร และสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายได้ เขาจึงนำทหารข้ามแม่น้ำ Zhe"

ยีหวนขุนนางเมืองห้อยแข พูดกับอองลองว่า "ซุนเซ็กเป็นแม่ทัพที่ฉลาดหลักแหลมในการบัญชาการศึก ควรที่จะหลบหนีไป อย่าพยายามสู้ดีกว่า" แต่อองลองไม่เห็นด้วย เขานำทัพไปสู้กับซุนเซ็กที่ Guling

ซุนเซ็กพยายามที่จะข้ามแม่น้ำหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ซุนเจ้งจึงบอกกับเขาว่า "อองลองอาศัยกำแพงเมืองป้องกันการโจมตี เป็นการยากที่จะเอาชนะได้ แต่ห่างไปสิบกว่าลี้ทางใต้ มีทางเรียกว่า Zhadu นำทหารอ้อมไปทางนั้นแล้ววกเข้าตีจากด้านหลัง เจ้าจะสามารถโจมตีเขาตอนที่เขาไม่ระวังตัวว่าจะถูกโจมตีจากทางนี้"

ซุนเซ็กทำตามคำแนะนำซุนเจ้ง เขาจุดคบไฟมากมายตอนกลางคืนแกล้งเสมือนว่ามีทหารอยู่ที่นี่ครบ และส่งทหารไปถนน Zhadu ต่อสู้กับค่ายอองลองที่ Gaoqian อองลองตกใจ เขาส่งจิวซิ่นเจ้าเมืองตันเอี๋ยงคนเก่านำทัพไปต้านทาง ซุนเซ็กเอาชนะพวกเขาและสังหารจิวซิ่น ส่วนอองลองหลบหนีไป

ยีหวนอารักขาอองลองกลับไปถึงค่ายแล้วข้ามทะเลไป Dongye

ซุนเซ็กตามโจมตีจนเอาชนะพวกเขา อองลองยอมแพ้ในที่สุด

ซุนเซ็กแต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้าเมืองห้อยแข เขาตั้งตำแหน่ง ยีหวน เป็นขุนนางตามเดิมและปฏิบัติต่อเขาเหมือนเพื่อน

ซุนเซ็กชอบเข้าป่าล่าสัตว์ แต่ยีหวนห้ามเขาบอกว่า "ท่านมักจะชอบออกไปโดยไม่มีองครักษ์ และผู้ติดตามของท่านก็ไม่มีเวลาพอที่จะเตรียมการให้พร้อม คนของท่านกังวลเรื่องนี้มา ผู้ปกครองที่ไม่ใส่ใจจะสูญเสียอำนาจ ดังเรื่องมังกรขาวที่ปลอมตัวเป็นปลาและถูก Yu Ju ทำร้าย (เรื่องเล่าที่ว่า มังกรขาว ปลอมตัวมาเป็นปลา และถูก Yu Ju ที่เป็นชาวประมงยิงธนูเข้าที่ตา มังกรขาวร้องขอการแก้แค้นจากสวรรค์ แต่สวรรค์ไม่อนุญาต บอกว่า เป็นเรื่องปกติที่ชาวประมงจะทำร้ายปลา ถ้าเขาไม่ปลอมตัวเป็นปลา เขาก็จะไม่ได้รับอันตราย) และงูขาวที่ประมาทจนถูก Liu Ji ฆ่าตาย (Liu Ji ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นหลิวปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ Liu Ji เมามากและต้องการข้ามหนองน้ำ แต่ได้มีงูวิเศษตัวหนึ่งมาขวางทางไว้ Liu Ji จึงฆ่างูนั้น งูตัวนั้นเป็นลูกชายของเซียนขาว Liu Ji เลยใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเขา กล่าวว่า เพราะงูที่เขาฆ่าเป็นลูกชายเซียนขาว คนที่ฆ่าก็คือลูกชายของเซียนแดง) ได้โปรดพิจารณาด้วย"

"ท่านพูดมาถูกต้องยิ่งนัก ซุนเซ็กเห็นด้วย แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขา"

ในเดือนที่เก้า สามขุนนางชั้นสูง Chunyu Jia เอียวปิวและ Zhang Xi พ้นจากตำแหน่ง

ทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จไปตะวันออก เอียวฮองพยายามชิงตัวฮ่องเต้จากมณฑลเลียงจิ๋ว แต่ไม่สำเร็จ ในฤดูหนาว เดือนที่สิบ โจโฉเป็นศัตรูกับเขา เอียวฮองหนีลงใต้ไปหาอ้วนสุด และโจโฉยึดค่ายเขาที่เลียงจิ๋ว

มีราชโองการไปหาอ้วนเสี้ยว ตำหนิเขาว่า "แม้ว่าท่านจะครอบครองที่ดินกว้างใหญ่และมีทหารมากมาย แต่ท่านทำทุกสิ่งเพื่อตัวท่านเอง เราไม่เคยได้ยินว่าท่านเป็นผู้นำเพื่อช่วยเหลือฮ่องเต้เลย เราได้ยินแต่ว่าท่านแก่งแย่งอำนาจและโจมตีผู้อื่น"

อ้วนเสี้ยวจึงส่งสาร แก้ข้อกล่าวหาเขาทุกข้อหา

ในเดือนที่สิบเอ็ด วันที่ 14 ธันวาคม อ้วนเสี้ยวถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ (ไท่เว่ย) และได้รับตำแหน่งพระยาแห่งเงียบกุ๋น

อ้วนเสี้ยวรู้สึกลำบากใจและไม่พอใจที่เขาได้รับตำแหน่งต่ำกว่าโจโฉ เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า "มีหลายครั้งที่โจโฉตกอยู่ในอันตรายเกือบตาย ข้าก็เร่งรีบไปช่วยเหลือเขา เวลานี้เขาใช้ฮ่องเต้มาออกคำสั่งกับช้า เขาจึงส่งสารไปปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง โจโฉกังวลใจมาก จึงขอตำแหน่งแม่ทัพสูงสุด (ต้าเจียงกุน) ให้อ้วนเสี้ยว"

ในวันที่ 2 มกราคม โจโฉได้รับแต่งตั้งเป็นซือคงและมีอำนาจเหมือนแม่ทัพราชรถและทหารม้า

โจโฉแต่งตั้งซุนฮกเป็นขุนนางเข้าร่วมในท้องพระโรงพร้อมหน้าที่หัวหน้าอาลักษณ์ โจโฉสอบถามซุนฮกถึงบัณฑิตที่มีความสามารถวางแผน ซุนฮกจึงแนะนำลูกของลูกพี่ลูกน้องของเขา ซุนฮิวเจ้าเมืองจ๊ก และกุยแกแห่งเองชง

โจโฉเรียกตัวซุนฮิวมาเป็นขุนนางอาลักษณ์ หารือกับเขาและประทับใจในตัวเขาพูดว่า "ความสามารถของซุนฮิวนั้นพิเศษจริง เวลานี้ข้าสามารถวางแผนการกับเขาได้ จะมีงานราชสำนักใดยากอีก" เขาแต่งตั้งซุนฮิวเป็นที่ปรึกษากองทัพ

ก่อนหน้านั้น กุยแกไปพบอ้วนเสี้ยว ผู้ซึ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างดี หลังจากสองสามอาทิตย์เขาพูดกับซินเป๋งและกัวเต๋า ลูกน้องอ้วนเสี้ยวว่า "คนฉลาดล้วนเสาะหานายดี เพื่อที่จะไม่เป็นอันตรายและสามารถสร้างชื่อเสียงที่ดีได้ ท่านอ้วนเสี้ยวนั้นพยายามเลียนแบบโจวกง โดนการทำตัวสุภาพอ่อนน้อมต่อผู้มีความสามารถ แต่เขากลับไม่เข้าใจการนำจุดเด่นของลูกน้องเอามาใช้ เขามีความคิดต่าง ๆ มากมาย แต่น้อยนักที่มีประโยชน์ เขาชอบที่จะวางแผนแต่ไม่เคยตัดสินใจใด ๆ เลย"

"พวกท่านปรารถนาที่จะทำงานกับท่านอ้วนเสี้ยว เพื่อช่วยกอบกู้ราชสำนักในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ และช่วยเขาสร้างความมั่นคงในราชวงศ์ฮั่น อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ข้าตั้งใจที่จะเริ่มต้นใหม่โดยการหานายคนใหม่ พวกท่านจะมาร่วมกับข้าหรือไม่"

ทั้งสองตอบว่า "อ้วนเสี้ยวแสดงคุณงามความดีและความใจกว้างต่อทุกคน ผู้คนมากมายล้วนแต่เข้ามารับใช้อ้วนเสี้ยว ยิ่งไปกว่านั้น อ้วนเสี้ยวยังมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในเวลานี้ ถ้าเราจากเขาไป เราจะไปรับใช้ใคร" กุยแกรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีทางเข้าใจ เขาจึงจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

โจโฉเชิญกุยแกมาพบและปรึกษาหารือกับเขา เขายินดีมากและพูดว่า "นี่คือคนที่จะช่วยข้ารวบรวมแผ่นดิน กุยแกเมื่อออกมาก็ดีใจและพูดว่า นี่คือคนที่ข้าคู่ควรจะรับใช้" โจโฉแต่งตั้งเขาเป็นผู้ช่วยซือคง

โจโฉแต่งตั้งหมันทองแห่ง Shanyang เป็นนายอำเภอเมือง Xu ลูกน้องของโจหองหลายคนได้ทำผิดกฏหมาย หมันทองจับกุมพวกเขาและลงโทษ โจหองเขียนจดหมายไปขู่เขา แต่หมันทองไม่สนใจ โจหองจึงบอกโจโฉ โจโฉจึงเรียกประชุมขุนนางของ Xu หมันทอง รู้ว่าโจโฉต้องการยกโทษให้ขุนนางเหล่านั้น เขาจึงสังหารพวกเขาในทันที โจโฉชอบใจและพูดว่า "ท่านช่างมุ่งมั่นในหน้าที่จริง ๆ"

ขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ เป็นคนที่เย่อหยิ่งและทะเยอทะยานที่จะปราบความวุ่นวาย เขามักจะมีความคิดที่ไม่แน่นอนและใช้การอะไรไม่ได้ ในที่ทำการของเขามักเต็มไปด้วยคำพูดที่โอ้อวดเกินจริงเกี่ยวกับการสอบที่แท้จริง พวกเขาสนใจในการตัวอักษรและการเขียนพู่กันอย่างสละสลวย และชอบที่อ่านสิ่งเหล่านั้นดัง ๆ ด้วยความพอใจ แต่การปรึกษาหารือเรื่องบ้านเมืองกลับละเลยเสีย

แม้ว่าตัวเขาจะมีอิทธิพลในวงกว้าง แต่กลับไม่สามารถดึงดูดผู้คนไว้ได้ ในตอนแรกมีผู้คนมากมายเข้ารับใช้เขา แต่พวกเขาก็อยู่ไม่นาน ในการแต่งตั้งขุนนาง ขงหยงชอบคนที่แปลกและไม่เหมือนใคร ขุนนางมากมายของเขาจึงเต็มไปด้วยคนที่ฉาบฉวยไร้ประโยชน์ มีความสามารถน้อยนิด

ขงหยงเคารพในตัว เต้เหี้ยนบัณฑิตที่มีชื่อเสียงมาก ปฏิบัติต่อเขาเหมือนตัวเขาเองเป็นบุตรหรือหลาน และเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านของ เต้เหี้ยนเป็น หมู่บ้านของท่านเต้ แต่พอบัณฑิตที่มีชื่อเสียงอย่าง Zuo Chengzu และ Liu Yixun ไปเยี่ยมเขา เขากลับไม่ปรึกษาปัญหาบ้านเมืองใด ๆ เลย ขงหยงบอกว่า นี่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและผู้คนจับตาพวกเขาอยู่ ข้าต้องไม่ทำลายชื่อเสียงของเขา

เมื่อโจรผ้าเหลืองออกปล้นชาวบ้าน ขงหยงนำทัพออกสู้และพ่ายแพ้ เขาจึงอพยพหนีไป Duchang

ในตอนนั้น อ้วนเสี้ยว โจโฉและกองซุนจ้านได้ตั้งแนวป้องกันร่วมกัน กองทัพของขงหยงนั้นอ่อนแอและมีเสบียงอาหารเพียงเล็กน้อย ตั้งทัพอยู่โดดเดี่ยวไม่ติดต่อกับพวกเขา Zuo Chengzu แนะให้ขงหยงไปพึ่งคนที่มีอำนาจมากกว่า แต่ขงหยงไม่ฟังและได้ฆ่าเขาเสีย Liu Yixun จึงไปจากเขา

อ้วนถำผู้ตรวจการมณฑลเฉงจิ๋วโจมตีขงหยง พวกเขาสู้กันตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อนจนทหารของขงหยงเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ลูกธนูพุ่งใส่ค่ายเขาเต็มทั่วท้องฟ้า แต่ขงหยงยังนั่งเอนกายศึกษาตำรา พูดและหัวเราะกับคนอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมืองถูกยึดจากการโจมตีในยามกลางคืน ขงหยงหนีไปทางเนินเขาตะวันออก แต่ภรรยาและบุตรของเขาถูกจับตัวได้

โจโฉซึ่งรู้จักกับขงหยงมาก่อน เชิญเขามาอาศัยอยู่ด้วยและแต่งตั้งเป็น Court Architect

เมื่ออ้วนถำมาถึงมณฑลเฉงจิ๋วครั้งแรก เขตแดนตะวันตกทางแม่น้ำแยงซีของเขาติดกับเพงง้วนก้วน เขาจึงขยายเขตไปทางเหนือสู้กับเต๊งไก๋ และทางตะวันออกเขาได้ชัยชนะเหนือขงหยง เขาจึงมีชื่อเสียงมากและผู้คนพากันเคารพเขา

หลังจากนั้น เขาได้หลงเชื่อคนชั่วและแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง เขามีความทะเยอทะยานมากไปและทำความผิดรุนแรงหลายครั้ง ชื่อเสียงของเขาจึงตกต่ำลง

ตั้งแต่สมัย Zhongping ราชสำนักได้แตกแยกและเกิดความวุ่นวาย ชาวบ้านละทิ้งการทำไร่นา เจ้าเมืองต่าง ๆ ตั้งกองทัพต่อสู้กับ และทั้งหมดขาดแคลนเสบียงอาหาร ไม่มีใครที่มีเสบียงอาหารเกินหนึ่งปี เมื่อผู้คนหิวโหยพวกเขาจึงออกปล้นและทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ชาวบ้านจึงอดอยากหิวโหยร่อนเร่พเนจรและตายด้วยภัยธรรมชาติเป็นจำนวนมาก

อ้วนเสี้ยวอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำแยงซี ทหารของเขากินผลของต้นหม่อน อ้วนสุดอยู่ทางแยงซีและ Huai ทหารของเขากินหอยจำพวกหอยกาบเป็นอาหาร ชาวบ้านหลายคนกลายเป็นพวกกินเนื้อคน ทุกตำบลต่างโดดเดี่ยวและตัดขาดจากกัน

เมื่อ Zao Zhi ร้องขอให้มีการจัดตั้งไร่นาเพื่อการเกษตรกรรม โจโฉจึงจัดตั้งขึ้น เขาแต่งตั้งให้ Zao Zhi เป็นคนควบคุมดูแลไร่นา และตั้งให้ ยิมจุ๋น เป็นคนควบคุมการทำเกษตรกรรม เขานำคนจำนวนมากมาทำไร่นา ในเมืองฮูโต๋ สามารถผลิตข้าวได้หลายล้านถ้วยตวง มณฑลและหัวเมืองอื่นจึงเริ่มจัดตั้งฟาร์มเพาะปลูกตาม ๆ กัน จนยุ้งฉางเต็มไปด้วยเมล็ดข้าว โจโฉจึงสามารถยกทัพไปทุกทางโดยปราศจากความกังวลเรื่องเสบียงอาหาร เขาจึงสามารถเอาชนะศัตรูเขาได้ทุกคน

เรียกได้ว่าความรุ่งเรืองของกองทัพโจโฉและแผ่นดินเริ่มโดย Zao Zhi และถูกทำให้สำเร็จโดย ยิมจุ๋น

อ้วนสุดนั้นเกรงกลัวว่า ลิโป้จะหันมาโจมตีเขา ดังนั้นเขาพยายามเชื่อมความสัมพันธ์โดยให้ลูกชายของเขาแต่งงานกับลูกสาวลิโป้ ลิโป้ตกลงโดยดี

อ้วนสุดส่ง กิเหลงนำทัพสามหมื่นเข้าโจมตีเล่าปี่ เล่าปี่ขอความช่วยเหลือจากลิโป้ ลูกน้องของลิโป้พูดกับลิโป้ว่า "ท่านต้องการสังหารเล่าปี่มาตลอด เวลานี้ท่านปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอ้วนสุดได้"

ลิโป้ตอบปฏิเสธ เขาบอกว่า "ถ้าอ้วนสุดเอาชนะเล่าปี่ได้ เขาจะเข้าร่วมกับผู้นำกองโจรของภูเขาไท้ซาน ทางตอนเหนือ และข้าเองก็จะถูกล้อม ดังนั้นข้าต้องช่วยเล่าป"ี่ เขาจึงนำทหารพันกว่าคนเดินทัพไปห้ามทัพทั้งสองฝ่าย

เมื่อกิเหลงรู้ว่าลิโป้ยกทัพมา เขาจึงจัดการกองทัพเตรียมการป้องกัน ลิโป้ตั้งค่ายที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ไพก๊ก และส่งลูกน้องเขาไปเชิญกิเหลงและแม่ทัพคนอื่นมา กิเหลงและลูกน้องส่งเทียบเชิญกลับ ลิโป้ไปหาพวกเขา ทั้งหมดดื่มกินร่วมกับเล่าปี่

ลิโป้พูดกับกิเหลงและพวกว่า "เล่าปี่นั้นเป็นเสมือนน้องชายของข้า ตอนนี้เขามีเรื่องบาดหมางกับท่าน ข้าจึงต้องมาช่วยเขา ข้าไม่ใช่คนประเภทที่ชอบหาเรื่องบาดหมางกับใคร จริง ๆ แล้ว ข้าชอบที่จะสร้างความสงบสุขมากกว่า"

ลิโป้จึงสั่งนายทหารของเขานำ ขวานปลายหอกไปตั้งไว้ที่ประตูค่าย เขาโก่งคันธนูมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "พวกท่านจงมองดูข้ายิงหนามเล็ก ๆ ของหอกนี้ ถ้าข้ายิงโดน พวกท่านจงถอยทัพกลับทั้งสองฝ่าย ถ้าข้ายิงพลาด พวกท่านสามารถตั้งทัพต่อสู้กันต่อได" ลิโป้ยิงธนูออกไปและยิงโดนกึ่งกลางของหนามนั้น

กิเหลง และคนอื่นทึ่งในความสามารถลิโป้มาก พวกเขาพูดว่า "ท่านแม่ทัพ ตัวท่านได้พรจากสวรรค์เป็นแน่แท้" วันต่อมาพวกเขาก็มาพบเพื่อดื่มกินกันอีกครั้ง หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็ถอยทัพกลับ

เล่าปี่รวบรวมคนสร้างกองทัพ จนมีทหารมากกว่าหมื่นคน ลิโป้กังวลมาก จึงนำทหารโจมตีเล่าปี่ เล่าปี่พ่ายแพ้และหนีไปหาโจโฉ

โจโฉต้อนรับเล่าปี่อย่างดี และแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ครองมณฑล อิจิ๋ว แต่โจโฉพูดกับลูกน้องว่า "เล่าปี่นั้นมักใหญ่ใฝ่สูง ถ้าไม่วางแผนจัดการเขา เขาต้องกลับมาสร้างปัญหาภายหลังแน่"

โจโฉถามความเห็นกุยแกเรื่องนี้ "กุยแกตอบว่า ท่านควรกำจัดเล่าปี่ แต่อีกนัยหนึ่ง ท่านรวบรวมกองทัพผู้จงรักภักดีเพื่อกำจัดขุนนางชั่ว ท่านประพฤติตนซื่อสัตย์และอยู่ในศีลธรรมอันดีเพื่อดึงดูดคนดีมีฝีมือให้มาเข้าร่วมกับท่าน ข้ากลัวว่าเวลานี้ท่านยังไม่สำเร็จในเรื่องนี้"

"เวลานี้ เล่าปี่มีชื่อเป็นวีรบุรุษ ถ้าเขามาขอความช่วยเหลือเราแล้วเราฆ่าเขาเสีย ชื่อเสียงของเราจะด่างพร้อยไปด้วยเพราะการฆ่าคนดี เราควรจะทำเช่นนั้นหรือ บัณฑิตที่ชาญฉลาดและขุนนางทั้งหลายจะรู้สึกไม่มั่นใจและตัวท่านและรู้สึกว่าพวกท่านเลือกนายผิด แล้วใครจะอยู่ช่วยท่านกอบกู้แผ่นดิน แม้ว่าท่านสามารถกำจัดศัตรูที่คุกคามท่านได้หนึ่งคน แต่ท่านทำให้คนทั้งหลายผิดหวังในตัวท่าน นี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ขอท่านได้โปรดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน"

โจโฉหัวเราะชอบใจพูดว่า "ท่านพูดถูกต้องแล้ว" โจโฉจึงมอบทหารให้เล่าปี่และให้เสบียงอาหาร ส่งเขาไปตะวันออกที่เมืองไพก๊ก เพื่อรวบรวมกองทัพที่แตกพ่ายของเขาและวางแผนโจมตีลิโป้

เมื่อเล่าปี่อยู่ที่มณฑลอิจิ๋วก่อนหน้านั้น เขาได้แนะนำ Yuan Huan ให้เป็น Abundant Talent ตอนนี้ Yuan Huan เป็นลูกน้องของลิโป้ ลิโป้ต้องการให้เขาเขียนจดหมายด่าเล่าปี่ Yuan Huan ปฏิเสธ ถึงสามครั้ง ลิโป้ขู่เขา แต่ Yuan Huan ก็ยังยืนกรานไม่ยอมทำตาม

ลิโป้โกรธมาก เขาแกว่งดาบไปมาต่อหน้า Yuan Huan พูดว่า "ถ้าท่านยอมทำตามข้าท่านก็รอดชีวิต ถ้าท่านปฏิเสธท่านก็ต้องตาย"

Yuan Huan หัวเราะและตอบว่า "ข้าเคยได้ยินมาว่า มีเพียงคนดีเท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้อื่นละอายได้ ข้าไม่เคยได้ยินว่าคนสามัญทำให้คนอื่นละอายได้ ถ้าเล่าปี่เป็นสุภาพชน เขาย่อมไม่ละอายในสิ่งที่ท่านพูด ถ้าเขาเป็นคนทั่วไป เขาก็ส่งจดหมายนั้นกลับให้ท่าน ถ้อยคำด่าทอในจดหมายก็มาอยู่กับท่าน ไม่ใช่เขา นอกจากนี้ ข้าเคยรับใช้ท่านเล่าปี่มาก่อน ตอนนี้มารับใช้ท่าน ถ้าข้าจากที่นี่ไปและด่าสาบแช่งตัวท่าน สิ่งนั้นจะถูกต้องหรือ" ลิโป้ละอายแก่ใจ ล้มเลิกความคิดเขา

เตียวเจนำกองทัพเขาโจมตีเมือง Rang ชายแดนของมณฑลเกงจิ๋ว เขาโดนลูกธนูถึงแก่ความตาย ชาวเมืองเกงจิ๋วเสนอให้มีการฉลอง แต่เล่าเปียวบอกว่า "เตียวเจมาที่นี่เพราะว่าเขาต้องการเสบียง และเราในฐานะเจ้าบ้านกลับละเลยธรรมเนียมอันดี เตียวเจย่อมไม่ต้องการให้ลูกน้องเขาไม่พอใจที่ขาดเสบียง เขาสมควรได้รับการแสดงความเสียใจไว้อาลัย ไม่ใช่การเฉลิมฉลอง"

เล่าเปียวส่งคนของเขาไปเชิญกองทัพเตียวเจเข้าเมือง เมื่อทหารกองทัพเตียวเจรู้ข่าว ทั้งหมดต่างยินดีและมอบหัวใจให้แก่เล่าเปียว เตียวสิ้ว ญาติของเตียวเจรับอำนาจควบคุมกองทัพเตียวเจ เขานำทัพไปตั้งค่ายที่อ้วนเซีย

ก่อนหน้านั้น หลังจากที่ฮ่องเต้ออกจากเมืองเตียงอั๋น กาเซี่ยงมอบตราตั้งตำแหน่งของเขาคืนและไปอยู่กับตวนอุยที่ Huayin

กาเซี่ยงนั้นมีชื่อเสียงมาจากความสำเร็จของเขาในอดีต และเป็นที่ชื่นชมของกองทัพตวนอุย ดังนั้นตวนอุย จึงปฏิบัติต่อเขาอย่างดียิ่ง แต่กาเซี่ยงลอบวางแผนไปอยู่กับเตียวสิ้วอย่างลับ ๆ มีคนพูดกับเขาว่า "ตวนอุยเลี้ยงดูท่านอย่างดี ทำไมท่านจึงคิดจากไป"

กาเซี่ยงจึงบอกว่า "ตวนอุยเป็นคนขี้สงสัย และมักสงสัยว่าข้าต้องการทำอะไร แม้ว่าตอนนี้เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างดี แต่ไม่ช้าเขาต้องทำร้ายข้าแน่ ถ้าข้าจากไปในตอนนี้ เขาย่อมยินดี และเขาหวังว่าข้าจะสามารถหาพันธมิตรที่ดีให้แก่เขาได้ เขาจะต้องเลี้ยงดูภรรยาและบุตรข้าอย่างดี"

"เตียวสิ้วนั้น ไม่มีผู้ใดวางแผนให้แก่เขา เขาต้องยินดีที่ได้ตัวข้า ดังนั้นทั้งครอบครัวและตัวข้าก็จะปลอดภัย เมื่อกาเซี่ยงไปหาเตียวสิ้ว เตียวสิ้วจึงเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดีและตวนอุย ก็ดูแลครอบครัวเขาอย่างดี"

กาเซี่ยงสนับสนุนให้เตียวสิ้วเข้าร่วมกับเล่าเปียว เตียวสิ้วก็ตกลงทำเช่นนั้น กาเซี่ยงเดินทางไปหาเล่าเปียวเพื่อบอกเรื่องนี้ เล่าเปียวปฏิบัติต่อเขาอย่างดี แต่กาเซี่ยงได้พูดว่า "ในเวลาที่บ้านเมืองสงบสุข เล่าเปียวมีความสามารถเพียงพอที่จะเป็นสามขุนนางชั้นสูงได้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าบ้านเมืองอยู่ในภัยพิบัติ ไม่สนใจที่จะตัดสินใจทำการใด เขาย่อมไม่ประสบความสำเร็จในยุคบ้านเมืองเป็นเช่นนี้"

เล่าเปียวรักประชาชนและเอาใจใส่ในบัณฑิต เขายังปกครองบ้านเมืองอย่างดี ไม่มีเหตุวุ่นวายเกินขึ้นในเขตปกครองของเขา บัณฑิตมากมายจากตะวันตก จากมณฑลกุนจิ๋วและอิจิ๋ว พากันมาหาเขานับเป็นจำนวนหลายพันคน

เล่าเปียวจัดตั้งโรงเรียนสอนประวัติศาสตร์ เขายังสั่งให้ Du Kai แต่งเพลงสำหรับพิธีการ เมื่อวงดนตรีฝึกซ้อมพร้อมแล้ว เล่าเปียวก็ปรารถนาให้ที่จะได้ฟัง แต่ Du Kai บอกว่า ตัวท่านไม่ใช่ฮ่องเต้ การบรรเลงเพลงนี้นั้นทำในวังหลวง นี่เป็นการไม่สมควรที่จะเล่นให้ท่านฟังที่นี่ เล่าเปียวจึงเลิกล้มความคิดไป

ยีเอ๋งแห่งเพงง้วนก้วน เป็นนักพูดฝีปากเองตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขาหยิ่งยโสโอหัง ขงหยงแนะนำเขาให้แก่โจโฉ แต่ยีเอ๋งได้ด่าทอโจโฉ โจโฉโกรธมากและพูดกับขงหยงว่า "ยีเอ๋งช่างโง่เง่านัก ข้าสามารถปลิดชีวิตเขาง่ายเหมือนฆ่านก ฆ่าหนูตัวเล็ก ๆ แต่ว่า ยีเอ๋งพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง มันจึงไม่สมควรที่จะฆ่าคนดีมีความรู้ ถ้าข้าฆ่าเขาตาย ผู้คนทั่วแผ่นดินจะพูดว่าข้าใจแคบยิ่ง"

โจโฉจึงส่งยีเอ๋งไปหาเล่าเปียว เล่าเปียวต้อนรับเขาอย่างดี ยีเอ๋งสรรเสริญเล่าเปียวเป็นอันมาก แต่เขาล้อเลียนและดูถูกขุนนางของเล่าเปียว ลูกน้องของเล่าเปียวจึงใส่ร้ายเขากับเล่าเปียว

เพราะว่าลูกน้องของเล่าเปียวรู้ความประพฤติของยีเอ๋งในอดีต เขาจึงบอกกับเล่าเปียวว่า "ยีเอ๋งสรรเสริญความเมตตากรุณาของท่าน พูดว่าเจ้าเมืองตะวันออกไม่มีใครเทียบท่านในเรื่องนี้ได้ แต่เขาเชื่อว่าท่านเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ ในที่สุดท่านต้องพบกับหายนะ" แม้ว่ายีเอ๋งจะไม่เคยพูดสิ่งนี้ แต่มันก็เป็นการวิจารณ์ตัวเล่าเปียวอย่างถูกต้อง

เล่าเปียวโกรธมาก และรู้ว่าลูกน้องของเขา หองจอเจ้าเมืองกังแฮ เป็นคนอารมณ์ร้อน เขาจึงส่งยีเอ๋งไปหาเขา หองจอปฏิบัติต่อยีเอ๋งอย่างดี แต่เมื่อยีเอ๋งด่าทอเขาในที่สาธารณะ หองจอจึงฆ่าเขา


Create Date : 18 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 12 กรกฎาคม 2549 18:49:18 น. 0 comments
Counter : 556 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kazama
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add kazama's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.