พระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ดำรงอยู่นาน, พระองค์ใดไม่ดำรงอยู่นาน
พระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ดำรงอยู่นาน, พระองค์ใดไม่ดำรงอยู่นาน


 พระสารีบุตร : พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน.
     
พระพุทธเจ้า :
- พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี, พระนามสิขี ,และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
- ของพระผู้มีพระภาคพระนาม กกุสันธะ ,พระ นามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.

 

พระสารีบุตร : อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี, พระนามสิขี ,และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

พระพุทธเจ้า: ดูกรสารีบุตร 

1. พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี, พระนามสิขีฐ และพระนามเวสสภู
 ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
2. สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง 3 พระระองค์นั้นมีน้อย 
3. สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ 
4. ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก 
5. เพราะ อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง ยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน 
_____________________________________
ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลมย่อมกระจาย ขจัด กำจัด ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นได้ ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร 
-เพราะเขาไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ฉันใด 

-เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
 เหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน
 ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับ
 พลัน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรง
 กำหนดจิตของสาวกด้วยพระหฤทัย แล้วทรงสั่งสอนสาวก.


 

พระสารีบุตร: อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ, พระนามโกนาคมนะ,พระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

พระพุทธเจ้า : ดูกรสารีบุตร 

พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ 
1. มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
2. สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน  อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มี พระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก 
3. สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ 
4. ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก 
5.เพราะ อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง ดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน 
___________________________________

ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่านั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร 
- เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด 

เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ ตลอดระยะกาลยืนนาน ฉันนั้น เหมือนกัน.

      ดูกรสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค
 พระนามกกุสันธะ, พระนามโกนาคมนะ, และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน.


 
ที่มา - พระวินัยปิฎก เล่ม ๑  มหาวิภังค์ ปฐมภาค


 



Create Date : 12 กันยายน 2562
Last Update : 12 กันยายน 2562 10:36:21 น.
Counter : 564 Pageviews.

0 comment
สาเหตุที่เป็นเปรต
สาเหตุที่เป็นเปรต

1.เคย เป็นคนส่อเสียดอยู่ในพระนครราชคฤห์
-  มีขนเป็นเข็ม ลอยไปในเวหาส์ เข็มเหล่านั้นของมัน
 ทิ่มเข้าไปในศีรษะ-> ออกทางปาก
 ทิ่มเข้าไปในปาก ->ออกทางอก 
ทิ่มเข้าไปในอก->ออกทางปาก 
ทิ่มเข้าไปในปาก ->ออกทางอก 
ทิ่มเข้าไปในอก ->ออกทางท้อง 
ทิ่มเข้าไปในท้อง ->ออกทางขาทั้งสอง
 ทิ่มเข้าไปในขาทั้งสอง->ออกทางแข้งทั้งสอง
 ทิ่มเข้าไปในแข้งทั้งสอง->ออกทางเท้าทั้งสอง เปรตนั้นร้องครวญคราง ...


2. เคยเป็น ผู้พิพากษาโกงชาวบ้าน อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ...
- ได้เห็นกุมภัณฑเปรตชาย-> มีอัณฑะโตเท่าหม้อ-> ลอยไปในท้องฟ้า
เดินไปยกอัณฑะขึ้นพาดบ่าเดินไป, นั่งบนอัณฑะ,ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่ง เปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง ...

3. เคยเป็นชู้กับภรรยาของชายอื่น อยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ...
- เห็นคูถนิมุคคเปรตชาย จมอยู่ในหลุมคูถท่วมศีรษะ ...

4. เคยเป็นหญิงประพฤตินอกใจสามีอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ..
- เห็นนิจฉวิตถีเปรตหญิง ไม่มีผิวหนัง ลอยไปในเวหา ,ฝูงแร้ง เหยี่ยว และ
 นกตะกรุม พากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตหญิงนั้นอยู่ไปมา
 ,เปรตหญิงนั้นร้องครวญคราง ...

5. เคยเป็นภิกษุผู้ลามก ในศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ...
-เห็นภิกษุเปรตลอยไปในเวหา สังฆาฏิ บาตร ประคตเอว และร่างกายของมัน
 ถูกไฟติดลุกโชน เปรตนั้นร้องครวญคราง ...
 
ที่มา พระไตรปิฎก -พระวินัยปิฎก เล่ม 1   มหาวิภังค์ ปฐมภาค วินีตวัตถุ
     

 
      




 



Create Date : 12 กันยายน 2562
Last Update : 12 กันยายน 2562 9:56:19 น.
Counter : 255 Pageviews.

0 comment
อานิสงส์ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร  

1. ไปที่ไหนๆ ย่อมมีอาหารมากมาย คนเป็นอันมากย่อมอาศัยผู้นั้นเป็นอยู่ 
2. ไปยังเมืองใดๆ ชนทั้งหลายในเมืองนั้นๆ ย่อมบูชา 
3. โจรทั้งหลายไม่ข่มเหง 
4. พระมหากษัตริย์ ก็ไม่ทรงดูหมิ่น  
5. ผู้นั้นย่อมข้ามพ้นศัตรูทั้งปวงได้ 
6. ผู้นั้นไม่ได้โกรธเคืองใครๆ  มายังเรือนของตน  ย่อมเป็นผู้อันมหาชนยินดีต้อนรับในสภา  
7. เป็นผู้สูงสุดในหมู่ญาติ 
8. ผู้นั้นสักการะคนอื่นแล้ว ผู้อื่นย่อมสักการะตอบ 
9. เคารพคนอื่นแล้ว ผู้อื่นย่อมเคารพตอบ 
10. เป็นผู้อันบุคคลกล่าวสรรเสริญเกียรติคุณ 
11. บูชาผู้อื่น  ย่อมได้บูชาตอบ  
12. ไหว้ผู้อื่น ย่อมได้ไหว้ตอบ
13. ย่อมถึงอิสริยยศและเกียรติยศ  
14. ผู้นั้นย่อมรุ่งเรืองเหมือนกองไฟ ย่อมไพโรจน์เหมือนเทวดา 
15. เป็นผู้อันสิริไม่ละแล้ว
16. โคของผู้นั้นย่อมเกิดมากมูล
17. พืชในนาย่อมงอกงาม ผู้นั้นย่อมได้บริโภคผลที่หว่านลงแล้ว 
18. พลาดจากภูเขา หรือพลาดตกจากต้นไม้ ย่อมได้ที่พึ่ง
 19.  ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่ข่มขี่ผู้นั้น 
เหมือนต้นไทรที่มีรากหยั่งลงมั่นแล้ว ลมประทุษร้ายไม่ได้ฉะนั้น.


 
    ที่มา - พระไตรปิฎกเล่มที่ 28   ข้อ 401



Create Date : 03 มิถุนายน 2562
Last Update : 3 มิถุนายน 2562 9:53:38 น.
Counter : 680 Pageviews.

1 comment
อายุเทวดา




อายุของเหล่ามนุษย์ = ประมาณ ๑๐๐ ปี ต่ำกว่าบ้าง เกินกว่าบ้างก็มี

1.อายุของเหล่าเทวดาชั้นจาตุมมหาราช = ๕๐๐ ปีทิพย์
๕๐ ปี ของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้นจาตุมมหาราช
นับอย่างปีมนุษย์ = มีประมาณ ๙ ล้านปี

2. อายุของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ = ๑,๐๐๐ ปีทิพย์
๑๐๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์
นับอย่างปีมนุษย์ = ๓ โกฏิ ๖ ล้านปี

3. อายุของเหล่าเทวดาชั้นยามา= ๒,๐๐๐ ปีทิพย์
๒๐๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้น
ยามา
นับอย่างปีมนุษย์ = ๑๔ โกฏิ ๔ ล้านปี
------------------------------------------------------------------
4. อายุของเหล่าเทวดาชั้นดุสิต = ๔,๐๐๐ ปีทิพย์
๔๐๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้นดุสิต
นับอย่างปีมนุษย์ = ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี

5. อายุของเหล่าเทวดาชั้นนิมมานรดี =๘,๐๐๐ ปีทิพย์
๘๐๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้นนิมมานรดี
นับอย่างปีมนุษย์= ๒๓๐ โกฏิ ๔ ล้านปี

6. อายุของเหล่าเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี = ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์
๑,๖๐๐ ปีของมนุษย์ นับเป็นวันหนึ่งและคืนหนึ่งของเหล่าเทวดาชั้น
ปรนิมมิตวสวัตตี
นับอย่างปีมนุษย์ = ๙๒๑ โกฏิ ๖ ล้านปี

พวกเทวดากามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น เพียบพร้อมไปด้วยกามคุณทั้งปวง
อายุของพวกเทวดากามาวจรสวรรค์ ๖ ชั้น นับรวมกันทั้งหมดเป็นเท่าไร เป็น
๑๒๒๘ โกฏิ ๕ ล้านปี โดยนับอย่างปีมนุษย์
-----------------------------------------------------




1. ผู้เจริญปฐมฌานได้อย่างสามัญ -> ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นพรหมปาริสัชชา
อายุของเทวดาเหล่านั้น = มีประมาณเท่าส่วนที่ ๓ ที่ ๔ แห่งกัปป์ [คือ ๑ ใน ๓ หรือ ๑ ใน ๔
แห่งกัปป์]

2. ผู้เจริญปฐมฌานได้อย่างกลาง=ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นพรหมปุโรหิตา
อายุของเทวดาเหล่านั้น = มีประมาณกึ่งกัปป์

3. ผู้เจริญปฐมฌานได้อย่างประณีต =ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นมหาพรหมา
อายุ ๑ กัปป์
------------------------------------------------------------

4. ผู้เจริญทุติยฌานได้อย่างสามัญ = ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นปริตตาภา
อายุ ๒ กัปป์

5. ผู้เจริญทุติยฌานได้อย่างกลาง = ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นอัปปมาณาภา
อายุ ๔ กัปป์

6. ผู้เจริญทุติยฌานได้อย่างประณีต =ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นอาภัสสระ
อายุ ๘ กัปป์
-----------------------------------------
7. ผู้เจริญตติยฌานได้อย่างสามัญ = ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นปริตตสุภา
อายุ ๑๖ กัปป์

8. ผู้เจริญตติยฌานได้อย่างกลาง = ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นอัปปมาณสุภา
อายุ ๓๒ กัปป์

9. ผู้เจริญตติยฌานได้อย่างประณีต = ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นสุภกิณหะ
อายุ ๖๔ กัปป์
-------------------------------------------------------
10. ผู้เจริญจตุตถฌาน

- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาเหล่าอสัญญสัตว์ = มีประมาณ ๕๐๐ กัปป์
- บางคน ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นเวหัปผลา = มีประมาณ ๕๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นอวิหา = มีประมาณ ๑,๐๐๐ กัปป์
- บางคน ไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นอตัปปา = มีประมาณ ๒,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นสุทัสสา = มีประมาณ ๔,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นสุทัสสี = มีประมาณ ๘,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาชั้นอกนิฏฐะ = มีประมาณ ๑๖,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ = มีประมาณ ๒๐,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนภพ = มีประมาณ ๔๐,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนภพ = มีประมาณ ๖๐,๐๐๐ กัปป์
- บางคนไปเกิดเป็นพวกเทวดาผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ = มีประมาณ ๘๔,๐๐๐ กัปป์

เพราะอารมณ์ต่างกัน เพราะมนสิการต่างกัน เพราะฉันทะต่างกัน เพราะปณิธิต่างกัน
เพราะอธิโมกข์ต่างกัน เพราะอภินิหารต่างกัน เพราะปัญญาต่างกัน


-------------------------
เหล่าสัตว์ที่มีอำนาจแห่งบุญส่งเสริม ไปแล้วสู่กามภพ และรูปภพ หรือ
แม้ไปสู่ภวัคคพรหม ย่อมกลับไปสู่ทุคติอีกได้ เหล่าสัตว์มีอายุยืนถึงเพียงนั้น
ก็ยังจุติเพราะสิ้นอายุ

ภพไหนๆ ชื่อว่า เที่ยง ไม่มี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ได้ตรัสไว้อย่างนี้

เพราะฉะนั้นแล เหล่านักปราชญ์ผู้มี
ปัญญาเฉลียวฉลาดรอบคอบ คำนึงถึงความจริงข้อนี้ จึงเจริญมรรคอันอุดมเพื่อพ้น
จากชรามรณะ ครั้นเจริญมรรคอันบริสุทธิ์สะอาด ซึ่งมีปกติยังสัตว์ให้หยั่งถึงพระ
นิพพานแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน เพราะกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง
ฉะนี้แล

------------------------------------------------------
ที่มา : พระอภิธรรมปิฎก เล่ม ๒ วิภังคปกรณ์- อุปปาทกัมมอายุปมาณวาร











Create Date : 28 สิงหาคม 2561
Last Update : 28 สิงหาคม 2561 19:02:21 น.
Counter : 2066 Pageviews.

0 comment
อาการ ๑๖ อย่างของผู้เป็นมิตรและมิใช่มิตร



    บุคคลผู้ทำกรรมอย่างไรจึงจะรู้ได้ว่า ผู้นี้ไม่ใช่มิตร

1. บุคคลผู้มิใช่มิตร เห็นเพื่อนๆ แล้ว ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส 
2. ไม่ร่าเริงต้อนรับเพื่อน 
3. ไม่แลดูเพื่อน 
4. กล่าวคำย้อนเพื่อน.

5. บุคคลผู้มิใช่มิตร คบหาศัตรูของเพื่อน 
6. ไม่คบหามิตรของเพื่อน 
7. ห้ามผู้ที่ กล่าวสรรเสริญเพื่อน 
8. สรรเสริญผู้ที่ด่าเพื่อน.

9. บุคคลผู้มิใช่มิตร ไม่บอกความลับแก่เพื่อน 
10. ไม่ช่วยปกปิดความลับของเพื่อน 
11. ไม่สรรเสริญการงานของเพื่อน 
12. ไม่สรรเสริญปัญญาของเพื่อน.

13. บุคคลผู้มิใช่มิตร ยินดีในความฉิบหายของเพื่อน 
14. ไม่ยินดีในความเจริญของเพื่อน
15.  ได้อาหารที่ดีมีรสอร่อยมาแล้ว ก็มิได้นึกถึงเพื่อน 
16 . ไม่ยินดีอนุเคราะห์เพื่อนว่า อย่างไรหนอ เพื่อนของเราพึงได้ลาภจากที่นี้บ้าง.


-----------------------------------------------------------------------------

อาการของผู้เป็นมิตร

1. บุคคลผู้เป็นมิตรนั้น ย่อมระลึกถึงเพื่อนผู้อยู่ห่างไกล 
2. ย่อมยินดีต้อนรับเพื่อนผู้มาหา ถือว่า เป็นเพื่อนของเราจริง 
3. รักใคร่จริง 
4. ทักทายปราศรัยด้วยวาจาอันไพเราะ. 

5. คนที่เป็นมิตร ย่อมคบหาผู้ที่เป็นมิตรของเพื่อน 
6. ไม่คบหาผู้ที่ไม่ใช่มิตรของเพื่อน 
7. ห้ามปรามผู้ที่ด่าติเตียนเพื่อน 
8. สรรเสริญผู้ที่พรรณนาคุณความดีของเพื่อน.

9. คนที่เป็นมิตร ย่อมบอกความลับแก่เพื่อน 
10. ปิดความลับของเพื่อน
11.  สรรเสริญการงานของเพื่อน 
12. สรรเสริญปัญญาของเพื่อน.

13. คนที่เป็นมิตร ย่อมยินดีในความเจริญของเพื่อน 
14. ไม่ยินดีในความเสื่อมของเพื่อน 
15. ได้อาหารมีรสอร่อยมาย่อมระลึกถึงเพื่อน 
16. ยินดีอนุเคราะห์เพื่อนว่า อย่างไรหนอ เพื่อนของเราจะพึงได้ลาภจากที่นี้บ้าง.



ที่มา - มิตตามิตตชาดกที่ 10
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 






Create Date : 22 กรกฎาคม 2561
Last Update : 22 กรกฎาคม 2561 9:47:25 น.
Counter : 377 Pageviews.

0 comment
1  2  

Kat_kine
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]