Group Blog |
หลวงปู่ฟัก สันติธมฺโม เล่าเรื่องลูกศิษย์
สวัสดีค่ะ คราวนี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่ฟักเคยเล่าให้ฟังนะคะ ซึ่งพิมพ์ในหนังสือสันติธมฺโมบูชา เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นปัจจุบัน ขอสรุปให้ฟังนะคะ
แค้นข้ามชาติภพ - 2549 คุณชิษ มีปัญหาคดีอาญา ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 50 ปี -คุณชิษได้ไปอธิษฐานจิตที่วัดอโศการามกับท่านพ่อลีว่า ขอให้พบคนที่จะให้ความช่วยเหลือ -> ต่อมาลูกค้าบริษัท(เป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี) อาสาพามากราบพระอาจารย์ฟัก- คุณชิษได้เรียนท่านว่า ตนเองไม่ได้รู้จักโจทก์คดีนี้ เป็นการใส่ร้ายป้ายสี - ท่านรับปากจะช่วย แต่มีเงื่อนไข 1. ต้องรักษาศีล5 อย่างเคร่งครัด 2. ต้องท่องคาถาท่านพ่อลี "อะระหัง พุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง" - ผล : 1 สัปดาห์ ตำรวจเปลี่ยนคณะสอบสวนใหม่ และพยานกลับคำให้การทั้งหมด - เมื่อสวดคาถาท่านพ่อลีไป 1 ปี -2550 มีคนพาไปพบอ.มงคล(เคยบวชกับท่านพ่อลี) ฆราวาสผู้พยากรณ์ช่วยเหลือคน -ได้หาอาสาสมัครหญิงที่มาปฏิบัติธรรมที่นั้นยอมให้วิญญาณเข้าร่างได้ ซึ่งไม่รู้เห็นเรื่องใดๆ-.....อยู่ๆเธอก็ร้องไห้ฟูมฟาย น้ำเสียงคนละคน "แค่ต้องการมีเมียใหม่ ทำไมต้องใส่ร้ายข้าว่าทำเสน่ห์ ทำให้ถูกจองจำอย่างอัปยศตรมใจตายอย่างอนาถในนั้น" - คุณชิษถามอย่างตื่นๆว่า "คุณชื่ออะไร" - "แม่นางคำแก้ว" และถามนามสกุล เพื่อจะแผ่ส่วนกุศลไปให้ถูก นางนิ่งไม่ตอบ เพราะสมัยนั้นไม่มี - สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ผ่ายชายอดีตชาติเป็นข้าราชบริพาร ได้ป้ายสีภรรยาว่าทำเสน่ห์จนถูกจองจำประจาน - นางนั้นพอจะมีชาติมีตระกูล จึงรู้สึกอัปยศและคั่งแค้นมากจนตรอมใจตายในคุก จิตจึงผูกพยาบาทนานจนบัดนี้ - คุณชิษขออโหสิกรรม โดยจะทำบุญไปให้ - ดวงจิตนั้นไม่ยอม เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ - แม้แต่บอกจะบวชให้ นางก็ยังร้อง - จนคนที่นั่งข้างหลังได้ส่งดอกไม้ธูปเทียนแพให้คุณชิษกล่าวขออโหสิกรรม และสัญญาจะบวชและปฏิบัติธรรมให้ 1 ปีเต็ม โดยบวชเมื่อจัดการภาระเรียบร้อยแล้ว - นางว่า "ให้เราเห็นผ้าเหลืองๆนะ" ย้ำหลายหน - อ.มงคลจึงกล่าวว่า "ครูบาอาจารย์ก็อยู่เป็นพยานให้ สบายใจเถอะ" - คดีนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมูล เหมือนเกิดจากลมปากเด็กจรจัดเล็กๆที่นั่งคุยกันสัพเพเหระ - อยู่ๆครูอาสาสมัครก็มาได้ยินแล้วจับมาเป็นประเด็นให้เป็นเรื่องถึงตำรวจ ขึ้นโรงขึ้นศาล - ทั้งที่คุณชิษไม่ได้อยู่สถานที่เกิดเหตุเลย - คดีนี้ดูไม่น่าเป็นเรื่องเป็นราวถึงขั้นนี้ได้ - แม้แต่ละขั้นตอน ผู้เกี่ยวข้องกับคดีรู้ว่าน่าจะถอนออก แต่ทุกคนติดขัดขยับอะไรไม่ได้เลย = เหมือนกับหญิงผู้นั้นได้ถูกป้ายสีจากเรื่องที่ไม่มีมูลเลย พิสูจน์เอาความจริงไม่ได้ - ถ้าเป็นตามศาลตัดสิน คุณชิษมีสิทธิ์ถูกติดคุกจนตายในห้องขังแน่นอน--> คุณชิษจึงบวชให้ตามสัตย์ที่ให้ไว้ - รุ่งขึ้น พระอ.ฟักมากรุงเทพพอดี คุณชิษเลยไปกราบท่าน- เมื่อเห็นหน้าเท่านั้นท่านก็ชวนว่า "บวชไหม" - คุณชิษรีบรับคำทันที พร้อมเล่าเหตุการณ์ให้ทราบ - ท่านบอกได้รับมอบหมายให้หาชายมาบวช 10 คนในงานฉลองพระธุตังคเจดีย์ที่วัดอโศการาม เดือน พค.2550 - เพิ่งจะมีคุณชิษคนแรกที่รับปาก - แต่ภาระทางบ้านไม่เรียบร้อย จึงขอบวชเพียง 15 วัน - ท่านบอกว่า "ดี ครั้งนี้ให้ถือว่าเป็นการจ่ายดอกเบี้ยกรรมไปก่อน" -ภายหลังคุณชิษบวชอีกครั้ง 1 ปี จำพรรษาที่วัดเขาน้อย และอุปัฏฐากใกล้ชิดพระอ.ฟักอยู่ระยะหนึ่ง- สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คุณชิษเชื่อเรื่องกรรม และความศักดิ์สิทธิ์คาถาท่านพ่อลี เครื่องสอนใจ : หลายๆ ท่านที่กำลังเผชิญความไม่ถูกต้อง ,ถูกกระทำโดยไม่รู้สาเหตุ -แต่จริงๆแล้ว เหตุมีมาก่อนแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้จริง ____________________________________________________ บุญกุศลมีอยู่จริง - กำนันฉลวย โดนยิงเสียชีวิต - หลังจากนั้นพี่ชายได้นำเงินมาถวายท่านพระอ.ฟัก 4,000 บาท เพื่อฝากทำบุญอุทิศให้กับกำนัน- ท่านได้นำเงินนั้นไปถวายแก่หลวงตามหาบัว, หลวงปู่ขาว,หลวงปู่ฝั้น, คุณแม่ชีแก้ว องค์ละ 1,000 บาท โดยไม่ได้บอกญาติกำนัน -ไม่นาน กำนันมาเข้าร่างญาติ ร้องไห้บอก - ทำไมใจดีขนาดนี้ เค้าจะพาไปลงนรกแล้ว พอดีมีคนประกาศให้มารับส่วนบุญพี่ชายทำบุญมาให้ 4,000 บาท บอกชื่อชัดเจนด้วยว่ารูปไหนได้รับบ้าง = ตรงกับที่พระอาจารย์ฟักถวาย และยังบอกด้วยว่าเป็นพระอรหันต์หมดทุกองค์ - นอกจากนี้มีลูกศิษย์ท่านพระอ.ฟักได้ทราบเรื่องการเสียชีวิตของกำนัน ได้ทำบุญถวายแก่ท่านพระอ.ฟัก เพื่ออุทิศให้กำนันไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกำนันก็บอกว่าได้รับเช่นกัน ______________________________________________________________ - ท่านสอนวิธีแผ่เมตตาว่า "ให้ตั้งจิตน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และขอเอาบารมีพระรัตนตรัยมาเป็นสื่อส่งผ่านบุญกุศลที่ได้ทำไว้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย- อาตมาก็ใช้วิธีนี้เวลาแผ่เมตตา" - การขออัญเชิญบารมีคุณพระรัตนตรัยมาเป็นสื่อส่งนำนี้ จะทำให้กระแสบุญ มีแรงส่งไปดีขึ้น - 2548 ครูบาประพาส พระอุปัฏฐากเวลานั้น เป็นเนื้องอกที่ลูกนัยน์ตา ขออนุญาตพระอ.ฟักไปหาแพทย์ - แต่ท่านกลับบอกว่า ขอให้ท่านลองเป่าดูก่อน - หลังเป่าไม่นาน อาการดีขึ้น - คุณยายวีอายุ 80 มาขอให้ท่านช่วยเป่ารักษาตาพร่ามัวให้ เพราะมองหนังสือสวดมนต์ไม่ชัดแล้ว - ท่านเป่าให้อาการดีขึ้น - ลูกศิษย์ป่วยเส้นเอ็นอักเสบ กำลังจะไปให้แพทย์ผ่าตัด ท่านก็เป่าให้พร้อมให้ใช้คู่กับน้ำมันไพล - อาการดีขึ้นจนหาย จึงนำสูตรน้ำมันไพลทำแจกหมู่ลูกศิษย์ด้วย - ปลายปี 2548 ใครต้องการเป่าจะต้องรับบัตรคิว มีคนมารอคิววันละหลายร้อยคน - ท่านจะเป่าเรื่อยๆจนครบ ไม่ว่าจะดึกดื่นเทียงคืนขนาดไหนก็ตาม - ศิษย์นำน้ำให้ท่านทำน้ำมนต์ให้ ท่านพระอาจารย์ย้ำเสมอ - ในน้ำมนต์มีทั้งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และสังฆคุณ ครบทั้ง3 - เวลาน้ำน้ำมนต์ไปใช้ต้องระวังเคารพรักษา, อย่าวางต่ำกับพื้น, ห้ามมีอะไรข้าม, เวลาเทน้ำมันต์ลงในภาชนะแล้ว ห้ามเทน้ำอย่างอื่นซ้อนลงไป เพราะเป็นการไม่สมควร - ผู้ป่วยโรคที่ยากจะรักษา เช่นมะเร็ง ท่านจะให้พักที่วัด เพราะต้องเป่าหลายครั้งจึงจะดีขึ้น - ที่วัดท่านเต็มไปด้วยญาติโยมที่เจ็บป่วยจำนวนมาก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร -หลายคนหาย - บางคนมาขณะอาการมากเกินเยียวยา ท่านจะบอกญาติตรงๆว่ายาก - รายที่ว่า"ยาก"กลับจากไปอย่างไม่ทรมาน ที่มา - หนังสือสันติธมฺโมบูชา คำสอนหลวงปู่ฟัก สันติธมฺโม
สวัสดีค่ะ
ต่อจากประวัติหลวงปู่ฟักคราวที่แล้วนะคะ คราวนี้เป็นคำสอนของหลวงปู่ฟัก มาจากหนังสือ "สันติธมฺโมบูชา" ค่ะ ส่วนตัวเคยพบท่าน 2 ครั้ง ท่านเมตตาใจดีมากๆ สั่งสอนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยทั้งที่ท่านก็เจ็บป่วย รู้สึกประทับใจท่านมาก ขอนำคำสอนท่านในหนังสือ มาสรุปให้ฟังนะคะ - หมอ ช่างคนนี้ถึงแม้เขาจะสร้างบ้านให้คนอื่นได้ละเอียดดีเพียงไร แต่เขาจะสร้างบ้านให้หมอได้ดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับบารมีของหมอเองนะ - ให้บวชด้วยความศรัทธา -ถ้าไม่มีศรัทธาอย่าไปขืนนะ ไม่คุ้ม จะไปเป็นหนี้บุญคุณชาวบ้านเขาหมด - ทำข้อวัตร ตักน้ำ หาบน้ำ เดินบิณฑบาต ปัดกวาดก็เหมือนกัน ความเพียรภายในไม่มีขาด ต่อเนื่องไปโดยลำดับ สืบต่อโดยลำดับ _________________________________________________________ - อาจารย์ลีพูดถึงกายทิพย์เป็นพันเป็นหมื่นที่ถ้ำขาม มีเยอะมาก แต่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้นทรมานได้หมดแล้ว สบายอยู่สบาย -นี่ท่านเล่าให้ฟัง อาจารย์ลีมีภูมิธรรมสูงตั้งแต่อยู่ด้วยกัน เช่น บ้านตาด ปี2505 ปี2506 ก็ไปเจอกันอีกที่ถ้ำขาม หลังจากนั้นปี 2514 ไปเจอที่บ้านตาดไปหาท่าน ท่านก็เทศน์ให้ฟังเป็นชั่วโมง - พวกเราสมัยนี้เป็นอย่างไรบ้าง หาได้น้อย แต่ก็ยังมีผู้ตั้งใจดีอยู่บ้าง -เพราะฉะนั้นให้พยายามตั้งจิตตั้งใจ ทำให้มากเจริญให้มาก ให้เกิดให้มีขึ้น ให้ได้อย่างครูอาจารย์ท่านพาดำเนินมา -ข้อวัตรปฏิบัติให้พากันใส่ใจ อย่าประมาทปล่อยปละละเลย ___________________________________________________________ - ให้นั่งนึกพุทโธไว้ภายในใจ เอาบุญด้วย ไม่ทิ้งพุทธานุสติ - นอกจากมีธุระพูด จึงค่อยพูด ไม่มีก็พุทโธไว้ภายในใจทุกคน - ไม่ได้บุญเพียงแค่การเอาอาหารมาถวายพระอย่างเดียว -สติกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เนี่ยบุญ ไม่ทราบฟังกันหรือเปล่า - ทิ้งพุทโธ ขาดจากพุทโธหรือเปล่า ลืมพุทโธหรือเปล่า - ธัมโม สังโฆ ย่อมาแต่พุทโธอันเดียว นี่ละบุญ จึงว่าสร้างสติ ดูแลจิต ด้วยการระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เนี่ยเป็นบุญ เป็นมงคล ผีไม่เข้า - นานๆเจอ ก็มีการคุยๆกัน เสียเวลาเปล่าๆ -พูดได้ทักทายๆต่างๆได้สักพัก แล้วก็พุทโธ นั่งเฉยดูใจเจ้าของ นั่งอยู่ก็พุทโธ - เห็นไหมกระดูกในโกศน่ะ กระดูก เราจะต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ___________________________________________________ - หลวงตามหาบัวนั่นระดับหนึ่ง ชั้นหนึ่ง หาเทียบยาก - พอเทศน์ไปคนฟังก็เงียบกริบ พอกระแอมแผล็บเดียวเงียบหมด - เพราะได้ฝึกปฏิบัติมา สร้างแต่บุญ สร้างแต่กุศล บุญส่งเสริมความฉลาดให้เกิดขึ้นภายในใจ - ถ้านอนกรนๆ มันก็ยาก - โดยเฉพาะพระเณรนี้ อย่าไปคลุกคลีกับใครที่เป็นเพศตรงข้ามคือมาตุคาม ท่านว่ามาตุคามอย่าใกล้ชิดเกินไป - มาวัดมาวามาทำบุญเอาแต่ข้าวต้มขนมมาอย่างเดียว - ลืมนึกว่า เมื่อเราไม่มีวัตถุทานมาวัดทำบุญก็ได้ มาวัดได้ ทำบุญได้ มาอบรมจิตใจ มาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา - นั่งอยู่เฉยๆ แต่สร้างแต่บุญ สร้างแต่พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ภายในใจ - เนี่ยประโยชน์สมบูรณ์ เป็นยอดของบุญ - ท่านพูดอะไรให้เงี่ยหูฟัง พอรู้เข้าใจแล้ว ทิ้งทางโลกไปเลย - ถ้าหากว่าท่านเป็นธรรมก็พยายามติดตามฟัง - ถ้าหากเป็นโลก ทิ้งไปเลย รกหัวใจ - ถวายทานเป็นบูชาคุณองค์ท่าน ความดีก็เป็นของเรา เป็นไปเพื่อความมั่งมีศรีสุข เกิดขึ้นเมื่อเราให้ทาน จิตใจปีติอิ่มในการให้นาน นอกจากนั้นโภคะจะตามมาในวันเวลาข้างหน้าเพราะทาน ________________________________________________________ - ให้หมั่นสวดคาถาท่านพ่อลี - อะระหัง พุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง - เอาสัก3 รอบหรือ 5 รอบ ถ้าเวลาไม่พอเอารอบเดียวเป็นนิจศีลนะ- แล้วจึงนั่งสมาธิ 5 นาทีหรือกว่านั้น แล้วแต่เวลา - แล้วแผ่บุญตามแบบแล้วจึงค่อยนอนนะ - ความเป็นมงคลกลับมาหาเราหมด, ความดีนี้กลับมาหาเราหมด ไปที่ไหนมีแต่ความสุข - การมัธยัสถ์ตระหนี่ไปไหนไม่รอด น่าเสียดาลกาลเวลาผ่านไป อย่าประมาท - ข้าวปลาอาหารต้องทานทุกวัน ถ้าไม่ทานก็หิว - ใจต้องเสพธรรมมะ ได้เข้าไปให้ใจมีความรู้เพิ่มเติม และมีความอิ่มปีติในความรู้ - เหมือนเรียนหนัง มีความรู้เพิ่มเติมทุกวัน - ลูกหลาน ญาติผู้เสียชีวิต ไม่ลืมบุญคุณของพ่อผู้ที่เสียชีวิต ให้ความอุปการะลูกหลานมาเก่าก่อน เรียกว่าบุพการี - เมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้ว บัณฑิตนักปราชญ์ ควรแสดงกตัญญูกตเวทีรู้คุณความดีของทานที่มีแก่เรา - ควรทำบุญอุทิศให้ในเวลาอันสะดวกพร้อม _______________________________________ - เราไปด่านาย ก. นาย ข. ไม่ควร - เพราะเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ เพราะเขาไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน เขาไม่ใช่ผู้ที่เคารพนับถือเรา ไม่ได้ - ถ้าหากเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูเป็นอาจารย์นั่นได้ ถึงแม้ทิฐิมานะยังมีก็ตาม - แต่ส่วนเคารพนับถือ นั่นพ่อ นั่นแม่ ครูอาจารย์ฝังอยู่ในใจ - *ถ้าลูกศิษย์มีธรรมะ ไม่กล้าสู้อาจารย์หรอก - เรามาปฏิบัติธรรมโดยเดินจงกรม นั่งสมาธิ ปัญญาธรรมจึงจะเกิดขึ้นมา -ไม่นอนหลับทับสิทธิ์ ตอบแทนบุญคุณปัจจัย4ที่มาจากผู้ให้ เขาเอามาให้เยอะแยะหมด - เด็กโป่งน้ำร้อน วันนั้นมา หลวงปู่สอนให้สวดมนต์ทุกคืนประจำ เจริญธรรมประจำ ใช้น้ำมนต์ - ไม่ใช่เพือธุรกิจขายเหล้าขายเบียร์ ขอโทษนะ ขอบิณฑบาตอย่าเลย บาปหนักเข้าไปอีก มีเจตนาเสริมบาป - สมบัติมันเกี่ยวกับทานบารมีในอดีต, การเสียสละในปัจจุบันด้วย - ปิสุณาวาท คือเก็บเรื่องคนนั้นไปบอกคนนี้ ทำให้แตกแยกความสามัคคี ผิดทั้งหมด - มันเรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเรา - อยู่เปล่าๆปลี้ๆ เอามือไปหยิบจับไฟเข้าปาก ไปเอาไฟเข้าไปให้ร้อน - จริงอยู่ ผู้ทำไม่รู้สึกตัวหรอก แต่วิบากผลก็จะได้รับเหมือนกัน - ผรุสวาท นั้นพูดคำหยาบ ด่าพ่อคนโน้นคนนี้ให้เจ็บช้ำน้ำใจ - นอกจากลูกหลานหรือลูกศิษย์ลูกหา ดุด่าด้วยความหวังดี แต่ไม่ใช่ดุด่าด้วยความเกลียดชัง - ดุด่าด้วยความหวังดี เช่นพ่อแม่สอนลูก, พี่สอนน้อง, ครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ก็แบบเดียวกันนี่ ท่านอนุญาต ไม่ห้าม - นอกนั้นผิดหมด - สัมผัปปลาปวาท ก่อความรำคาญให้ผู้อื่น -เวลาพระแสดงธรรม พูดคุยกัน นี่แหละบาป, ทำลายพระศาสนา, ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า, ไม่เคารพองค์ท่านด้วย, แล้วไม่ให้โอกาสคนที่เขาตั้งใจฟังด้วย เขาตั้งใจจะฟัง - ถ้าเป็นพระภิกษุต้องอาบัติไป เพราะรบกวนผู้หนึ่งที่ต้องการท่องหนังสือ แล้วพูดคุยเสียงดัง, ผู้หนึ่งนั่งภาวนาอยู่ก็เหมือนกัน = ผิดศีล ผิดพระวินัยภิกษุ - ถึงเป็นฆราวาส ก็เสียมรรยาท - เรียกว่าทำลายธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า, ทำลายธรรมความดีของผู้ตั้งใจเรียนธรรมะ โดยท่องสวดสาธยายตาม หรือตั้งใจรับฟังเทศนานี้ไปด้วย - ข้างหนึ่งตั้งใจฟังอย่างดี - อีกข้างหนึ่งก็กระซิบกระซาบ = นั่นแหละ สร้างนรกใส่ใจตัวเอง, สร้างทุกข์ให้แก่ผู้ฟัง- ทุกข์นั้นจะต้องกลับมาที่เราแน่นอน ไม่ต้องห่วง - อย่างน้องสาวป่วยหนักที่รพ. รักษาหาโรคไม่เจอ ใช้น้ำมนต์ลองดู ปั๊ปเดียวได้ผล - เลยสอนให้ตั้งสัจจะว่าจะรักษาศีล8 บูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายาย ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้เป็นที่พึง อนุโมทนาในคุณความดีของตัวเอง รักษาศีลพรหมจรรย์ ศีล8 เป็นนิจศีล - จะมีอะไรมาทดแทนสิ่งที่เหลวไหลไร้สาระ - สิ่งที่มีอำนาจมากคือบุญ การปฏิบัติดีทั้งกาย วาจา จิต ทั้งความประพฤติ ทั้งเสียสละวัตถุข้าวของเงินทองเท่าที่เราจะเสียสละได้ ที่มา - หนังสือ "สันติธมฺโมบูชา" หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม- วัดเขาน้อยสามผาน #2
- ท่านพ่อลี เสมือนพ่อผู้ให้กำเนิดท่านอ.ฟักในทางธรรม เพราะแรงบันดาลใจและแรงศรัทธาที่มีต่อท่านพ่อลี จึงทำให้ท่านยอมบวช และอยากปฏิบัติดี
- หลวงตามหาบัว เป็นเสมือนครูอาจารย์องค์สำคัญ ที่ช่วยขัดเกลา และผลักดัน ส่งต่อให้เข้าถึงอริยทรัพย์อันทรงค่าหาประมาณมิได้ และเป็นหนทางที่ยากเย็นแสนเข็ญต้องใช้แรงส่งที่มีพลัง จึงจะไปถึงได้ - ท่านทั้งสองจึงเป็นที่รักเคารพเทิดทูนไว้เหนืออืนใดในชีวิตของพระอ.ฟัก - หลวงตามหาบัวเคยกล่าวว่า "ท่านฟักเหรอ เจอเราวิ่งตามเราเลย" __________________________________________________ - พระอ.เจี๊ยะได้นิมนต์หลวงตามหาบัวมาพำนักที่วัดใกล้สถานีทดลองการเกษตร สี่แยกน้ำตกพลิ้ว จ.จันทบุรีในปี 2498 มีพระอ.สิงห์ทอง, พระอ.เพียร วิริโย, พระอ.บุญเพ็ง เขมาภิรโต, พระอ.ลี กุสลธโร ตามท่านมาหลายรูป - ครั้งนั้นพระอ.ฟักยังเป็นฆราวาส ก็ได้พามารดาไปกราบท่านที่วัดนี้ - พระอ.ฟักขณะเป็นฆราวาส เคยเป็นผู้ถือบริขารของหลวงตามหาบัวเมื่อครั้งท่านมาพักบนเขาน้อยสามผาน พร้อมทั้งมาอุปัฏฐากรับใช้ รุ่งเช้าคอยถือย่ามตามเพื่อนำทางว่าควรไปโปรดญาติโยมทางไหน- พระอ.ฟักและโยมพ่อโยมแม่ผูกพันให้ความเคารพหลวงตามานานก่อนพระอ.ฟักบวช ______________________________________________________________ - พระอ.ฟักเข้าสู่วัดป่าบ้านตาดพร้อมกับพระอ.แสวง โอภาโส ซึ่งอุปสมบทเป็นคู่นาคซ้ายขวา และมาอยู่พร้อมกันที่วัดป่าบ้านตาด และไปบุกเบิกสร้างวัดเขาน้อยสามผาน กับพระอ.ฟัก - ก่อนพระอ.ฟักถึงวัดป่านบ้านตาดไม่กี่วัน พระอ.มหาบัวได้ถามคุณแม่ชีน้อม ซึ่งพูดภาษาภูไท พระอ.มหาบัว - เมื่อคืนฝันผิเร่อ (ฝันอะไร) คุณแม่ชี - ฝันว่าได้ครกตำบักหุ่ง (ตำมะละกอ) จากจันทบุรี ผิวนอกอุยุอะยะ(ขรุขระ) แต่ผิวในเนียนเรียบ พระอ.มหาบัว - "เลี้ยงพระได้ทั้งวัดบ่" คุณแม่ชีน้อม - "เลี้ยงได้ทั่วอยู่" พระอ.มหาบัว - "ได้เบิ่ง(ดู)ข้างในไหม" คุณแม่ชีน้อม - "จิตเพิ่น(พระอ.ฟัก) ผ่องใสดี" หลายปีผ่านมา คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำระลึกถึงเรื่องนี้จึงเอ่ยปากว่า ความฝันของคุณแม่น้อมนั้น "แม่นแท้" และเล่าความฝันให้พระอ.ฟักฟัง - เมื่อพระฉันเสร็จ ท่านอ.ฟักจะนำบาตรหลวงตาไปล้าง และนำอัฏฐบริขารท่านกลับไปเก็บที่กุฏ จะไม่พูดคุยกันเด็ดขาด และแยกย้ายเดินจงกรม- พระอ.ฟักมักมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหลวงตา จึงไม่ค่อยได้พูดคุยกับหมู่คณะ - พระอ.สนิท จิรสนิทโธ ซึ่งขณะนั้นเป็นเด็กวัดป่าบ้านตาด แต่ภายหลังได้ติดตามพระอ.ฟักมาสร้างวัดเขาน้อย และบวชเป็นพระถึงปัจจุบัน - พระอ.ฟัก ไม่นิ่งดูดาย มีน้ำใจกว้างขวาง ทำให้เป็นที่รักนับถือ - ยิ่งต่อครูอาจารย์หรือพระผู้อาวุโสกว่า ท่านจะอ่อนน้อม แสดงความเคารพ และเต็มเปียมไปด้วยความรู้คุณกตัญญู + ความมีปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาด รอบคอบ + มี ความรับผิดชอบ = เป็นลักษณะเด่นของผู้ประสานที่ดี เป็นที่พึ่งของหมู่ได้ - หลวงตามหาบัวจึงมอบให้เป็นผู้คอยดูแลอุปัฏฐาก และมอบภาระหลายอย่างให้ปฏิบัติแทน - หน้าที่พระอุปัฏฐากมารับบาตร และเตรียมอัฐบริขาร หลวงตาเคยสั่งให้มาตี4 พระอ.ฟักก็ปฏิบัติเคร่งครัดหลายเดือน -วันหนึ่งหลวงตารออยู่แล้ว พระอ.ฟักมาตามกำหนด ปรากฎถูกดุว่า ไม่ให้มายุ่งกับองค์ท่านอีก ของเพียงแค่นี้ถือเองได้ - พระอ.ฟักก็สงสัยว่าทำตามสั่งทำไมถูกดุ และใคร่ครวญพบว่า ฤดูกาลเปลี่ยน พระอาทิตย์มีช้ามีเร็วเปลี่ยนไปด้วย คำสั่งที่ว่าตี4 เหมาะกับเวลานั้น แต่เวลานี้ไม่เหมาะแล้วในฤดูใหม่ - วันต่อๆท่านจะมา 1ชั่วโมงหรือกว่านิดหน่อยก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และก็ไม่เคยโดนดุเรื่องนี้อีกเลย = อุบายฝึกลูกศิษย์ของหลวงตา เพื่อให้มีไหวพริบและความละเอียดรอบคอบ - *ถ้าครูอาจารย์ท่านดุเอา ให้ถือเป็นมงคล* _________________________________________________ - มีพระมาขออยู่วัดป่าบ้านตาด ถ้าหลวงตาบอก "กุฎเต็ม ให้ไปหาท่านฟักให้พิจารณา" พระมาพบพระอ.ฟัก พระอ.ฟักทราบความนัยทันทีว่าท่านปฏิเสธพระองค์นั้น จึงต้องหาวิธีพูดถนอมน้ำใจพระรูปนั้น เพือมิให้พ่อแม่ครูอาจารย์เสียไปด้วย ท่านจึงมักกล่าวว่า "ท่านมาเหนื่อยๆ นิมนต์พักที่ศาลาสักคืนก่อน แล้วไว้โอกาสหน้าเมื่อที่พักว่างค่อยมาใหม่"- วิธีนี้ได้ผลดีทุกฝ่าย ___________________________________________________ - พระอ.ปัญญา ซึ่งเป็นพระฝรั่งเดิมบวชมหานิกายจากวัดปากน้ำ มาใหม่ๆ ท่านชินกับการฉันขนมปัง ไม่สามารถฉันข้าวได้ หลวงตาจึงอนุญาตให้ท่านฉันโอวัลตินก่อนเที่ยงได้ - เมื่อพระอ.ฟักทราบว่าพระอ.ปัญญาฉันข้าวไม่ได้ จึงสั่งให้ดช.สนิทเก็บมะละกอมาถวายพระอ.ปัญญา อยู่เดือนกว่าๆจึงค่อยๆเริ่มฉันข้าวได้ โดยพระอ.ฟักคอยดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา - พระอ.ฟักมีความถนัดก่อสร้างมาก กำแพงวัดป่าบ้านตาดท่านเป็นหัวหน้าก่อสร้าง, ผู้ออกแบบคือท่านอ.ปัญญา ซึ่งเป็นวิศวกรชาวอังกฤษ, ผู้ควบคุมงานจะเป็นอ.ผู้ใหญ่ _________________________________________________ - คราวที่ซ่อมศาลาโรงฉันแม่ขาว หลวงตาสั่งให้ตอกตะปูต่อได้เลย แม้ตำแหน่งไม่ค่อยดี ช่างตอกบ้างแล้ว แต่พระอ.ฟักไม่อยากให้เสียเนื้อไม้ในการถอนตะปูออก เห็นว่ายังไม่ได้ฉาก เลยห้ามไว้ว่าอย่าตอก = ขัดคำสั่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ - ภายหลังเมื่อท่านอ.ฟักกลับมาพิจารณา ท่านรู้สึกเสียใจ -กลางคืนจึงเข้าไปขอขมาหลวงตาที่ท่านขาดความเคารพ ในวันประชุมสงฆ์ท่านคิดว่าหลวงตาคงตำหนิเรื่องนี้ -แต่ปรากฎว่าหลวงตากลับพูดว่า - "ท่านฟักนี่ เราเห็นใจ ทำอะไรไม่ให้ผิดแม้สักเซ็นต์เดียว ให้พึงรักษาปฏิปทานี้ไว้ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านชมนัก คนแบบนี้" ______________________________________________________ - กุฏิพระอ.ฟักกับกุฏิหลวงตาไม่ไกลกัน ต้องคอยสังเกตว่า พอหลวงตาส่องไฟเมื่อไหร่ ก็ได้เวลาต้องหยิบเอาเครื่องเล่นเทปไปคอยอัดเทปคำสอนแม่ขาว - พระอ.ฟักเคร่งธรรมวินัย พูดตรงไปตรงมา ละเอียด มีปัญหาอะไรต้องรีบแก้ ต้องหาคำตอบให้ได้ ไม่ปล่อยไว้- ท่านก็จะมาให้พระอ.ทอง (วัดอโศการาม) ซึ่งเคยจำพรรษาที่บ้านตาด2506 รับรองว่า ถูกธรรมถูกวินัยไหม -สมัยนั้น ท่านมาพบพระอ.ทองมาหารือกันที่กุฏประจำ เช่นถอดเทปแล้วตัวสะกดถูกไม่ถูก - คราวที่ท่านนั่งรถไปกับลูกศิษย์ แล้วเขาถามธรรมะกับท่าน แต่ท่านกลับนิ่งเฉยขณะรถวิ่ง -จนรถจอดสนิทถึงที่หมาย ลงจากรถ มานั่งแล้วท่านจึงตอบธรรมะข้อนั้น ท่านกล่าวว่า การกล่าวธรรมะต้องกล่าวในสถานที่ที่เหมาะสม เป็นการเคารพต่อธรรม _______________________________________________________ - ท่านอ.ฟัก ไม่ใช่แต่เป็นผู้อุปัฏฐาก หลวงตายังมอบวัดให้พระอ.ฟักดูแลด้วย เหมือนให้ท่านฝึกงานบริหาร, การปกครอง,งานก่อสร้าง - การที่ท่านจะมอบหมายให้ใครทำอะไร ต้องพิจารณาแล้วมีความสามารถและสติปัญญาทำได้ และต้องมีการประสานงานที่ดีระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ = ฝึกสอนให้แก้ไขปัญหา และปูรากฐานการเป็นผู้นำหมู่คณะ เหมือนต้องการเตรียมท่านให้พร้อมรับผิดชอบงานที่หนักยิ่งขึ้นต่อมา - กลางวันท่านกรำงานหนักเรื่องก่อสร้าง, ปรนนิบัติองค์หลวงตา, ปฏิบัติข้อวัตรต่าง,- กว่าจะมีเวลาพักผ่อนมักเลย2ยาม หลายครั้งถึงตี2 และตื่นก่อนตี4 เพื่อไปเตรียมบาตร - พระอ.ฟักจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด 6 พรรษา บางคราวกราบลาหลวงตาออกไปวิเวกบ้างที่ถ้ำระฆัง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งท่านพ่อลีเคยไปภาวนา กันดารน้ำมาก ต้องรองน้ำจากหินที่หยดลงมาเพื่อใช้ดื่ม ,บางครั้งไปภาวนาที่วัดถ้ำขาม , วัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร ____________________________________________________ -ช่วงไม่ได้ไปวิเวก ท่านจะขออนุญาตหลวงตาไปเยี่ยมโยมบิดามารดา ขอหลายครั้งมาก แต่หลวงตาไม่อนุญาต - จนวันหนึ่งพระอ.ฟักได้มีโอกาสเผาบาตร และอธิษฐานจิตว่าถ้าหลวงตายอมใช้บาตรนี้ ขอให้ท่านสามารถขอไปเยี่ยมโยมพ่อแม่ได้สำเร็จ -หลวงตายอมใช้บาตรนั้น ท่านจึงไปขออนุญาต หลวงตายอมให้ท่านได้ไป - องค์หลวงตาเคยกล่าวว่า "ท่านฟักเป็นพระวัดป่าบ้านตาด แต่ลาไปเยี่ยมพ่อบ้าง เยี่ยมแม่บ้าง จนกลายเป็นสมภารวัดเขาน้อยไป" "ท่านฟักพอจะตั้งไข่ได้แล้ว ทางจันทบุรียังไม่มีใครให้กลับมาพัฒนา" ________________________________________________ - เขาน้อย - ครั้งหนึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งทำศึกกู้ชาติ ได้มาอธิษฐานจิต ณ ที่แห่งนี้ - คนจึงเชื่อว่าผู้ที่ได้มาอยู่ที่นี้ ต้องมีบุพกรรมร่วมกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย - ท่านพ่อลีได้พยากรณ์ที่แห่งนี้ไว้ตั้งแต่ 2499 ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะกลายเป็นวัด และมีการสร้างพระเจดีย์ขึ้น โดยระบุชัดว่าเจดีย์จะถูกสร้างที่ตำแหน่งไหน ต้นไม้ใหญ่ต้นไหน - และท่านพ่อลีฝากพระพุทธรูปเนื้อดินให้โยม 10 องค์ เพื่อบรรจุลงเจดีย์ - 2528 พระอ.ฟักได้ดำริสร้างอุโบสถ โดยมีเจดีย์อยู่ยอดอุโบสถ ตำแหน่งที่สร้างใกล้เคียงทีท่านพ่อลีกำหนดไว้ จนงานเสร็จสิ้น 2538 โดยประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสำคัญ 10 องค์ของท่านพ่อลีด้วย - หลวงปู่ชอบ เคยค้างที่เขาน้อยท่าแฉลบ ขากลับนั่งรถผ่านทางเข้าสำนักสงฆ์เขาน้อยสามผาน ท่านรีบสั่งคนขับว่า "ซื่อนี่ๆ" (เลี้ยวนี่ๆ) - พอรถวิ่งตาม ท่านว่าต่อ "ซื่อนี่ๆ" (เลี้ยวนี่ๆ) - จนรถจอดเทียบทางขึ้นเขา -พระอ.ฟักได้ลงมาต้อนรับท่านด้วยความประหลาดใจยิ่ง เพราะเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ชอบมาที่นี่ - พระอ.ฝั้น เมื่อมาเยือนเขาน้อย กล่าวว่า "เขาน้อยนี่ น้อยแต่ชื่อนะ ในภาคตะวันออกนี้ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่" - พระอ.มหาบัวเคยพูดว่า "ใครว่าพวกกายทิพย์ไม่มีจริง มาดูนี่ ที่เขาน้อยนี่เต็มไปหมดเลย" _________________________________________________ - 2510 พระอ.ฟักเจอวิกฤตใหญ่4ประการ 1. ท่านต้องจากหลวงตามหาบัวทั้งที่ยังไม่พร้อม 2. โยมพ่อ โยมแม่ป่วย 3. ชาวบ้านรู้สึกเหมือนท่านเป็นพระลูกพระหลาน- ถ้าท่านสั่งสอนชี้แนะก็คงฟัง แต่ไม่เชื่อ เพราะเห็นว่าเคยเป็นเด็กบ้านนี้ และเป็นพระบวชไม่กี่ปี -พระอ.ฟักเคร่งข้อวัตรปฏิบัติมาก หาคนมาประเคนอาหารให้พระในวัดแทบไม่มี 4. ขณะนั้นมีกุฏชั่วคราว 2-3 หลัง ท่านไม่มีปัจจัยมาก จะขยับขยายอะไรก็ยากลำบาก - พระอ.ฟักลำบากมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยหลับตาแล้วภาวนา "พุทโธ" อย่างเดียวไปเรื่อยๆ จนอะไรๆก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พุทโธ เป็นหลักพึ่งพาได้จริงๆ ท่านมักสอนศิษย์ที่ลำบากว่า ให้หมั่นพุทโธไว้เสมอๆ ______________________________________________________ - พระอ.ฟักและพระอ.แสวง เริ่มก่อสร้างสิ่งจำเป็นเชน ห้องน้ำ บันได ที่พักสงฆ์โดยลงมือทำเอง -มีโยมมาเห็น จึงไปบอกสภากาแฟว่า "ครูบาฟักให้หวยแม่น องค์ที่นั่งทำบันไดขึ้นอยู่น่ะ มีอยู่องค์เดียว" และโยมก็ย้อนกลับมากราบเรียนท่านให้ทราบพร้อมบอกว่า "เดี๋ยวพวกมันมา ครูบาก็แก้ไขเอาเองแล้วกัน ผมสงสาร เห็นทำอยู่องค์เดียว" - ชาวบ้านไปช่วย รอขอหวย และช่วยทำบันได - ท่านได้บอกพวกเขาตรงๆว่า "ให้หวยไม่เป็น" -แต่บางคนตีความเองว่า ขนไม้กี่ท่อน หินกี่ก้อน ไปแทงหวย - บางคนเห็นเศษกระดาษหล่นก้อนหินที่ท่านชี้บอกให้ไปนั่งกินข้าว ก็เอาเลขในกระดาษ - ถูกกันจริงๆ บันไดก็เสร็จ- ภายหลังท่านต้องมานั่งแก้ความเชื่อชาวบ้านที่ว่าท่านให้หวยแม่นอยู่อีกพักใหญ่ เขาถึงเลิกมาขอหวย - ช่วงก่อสร้างวัด ท่านได้รับการสนับสนุนอุปถัมภ์ดูแลจากองค์หลวงตามหาบัวตลอดเวลา _________________________________________________ - ช่วงฉันน้ำร้อน 4 โมงเย็น ท่านเทศน์อบรมพระเณร เน้นข้อวัตร พระธรรมวินัย - วินัยการปฏิบัติต่อพระอาคันตุกะ - เมื่อมีพระอาคันตุกะมาต้องรับบาตรและจีวรของพระอาคันตุกะ พาไปพักที่จัดไว้ - ในที่พักต้องมีของใช้จำเป็นจัดเตรียมให้พร้อม, ต้องเรียนพระอาคันตุกะทราบว่าห้องน้ำอยู่ไหน, ข้อวัตรวัดนี้เป็นอย่างไร- เน้นวัตร14 วิธีดูแลห้องน้ำ โรงไฟ ทำอย่างไรให้สะอาดเสมอ - หากพระรูปใดป่วย รูปไหนหายไป ท่านจะถามหาทุกครั้ง - ถ้ารูปที่กุฏิใกล้กัน แต่ไม่ทราบหมู่หายไปไหน จะโดนดุทันที -ถือว่าไม่ใส่ใจหมู่คณะ - หลังสวดมนต์ทำวัตรเย็น จะเปิดเทปหลวงตามหาบัวให้ฟังทุกคืน สงสัยให้ถามท่านเลย - พากันนั่งภาวนาถึง 4-5 ทุ่ม บางครั้งเที่ยงคืน - ช่วงเข้าพรรษาท่านจะให้พระอ่านบุพพสิกขาวัณณนา หนังสืออธิบายพระวินัย อ่านทุกวัน วันละ 1ชม. - บิณฑบาตได้ของแปลกๆ มาก็ยกให้เอาไปแบ่งให้รูปนั้นรูปนี้ได้ฉันกัน - เวลาพระเณรรูปใดจะลาสึก มักต้องไปขอลาสึกไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง เพราะท่านจะรั้งไว้เสมอ - ศิษย์รูปหนึ่ง เคยขอลาสึกพระอาจารย์ฟัก - พอกราบเรียนเท่านั้น สีหน้าท่านราวกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในองค์ท่านกำลังจะขาดหรือหลุดออก - และท่านเริ่มพูดอธิบายหตุผลด้วยน้ำเสียงต่ำๆเศร้าๆราวกับองค์ท่านเจ็บปวดมาก ท่านพูดจนถึงเช้าแล้วก็ครองผ้าไปบิณฑบาต - ศิษย์รูปนี้ก็ไม่กล้าสึกอีกเลย เพราะกลัวท่านเสียใจ - ท่านหนุนศีรษะด้วยกระป๋องยาเส้นหรือบุหรี่, กระโถน หมอนไม้ที่คลุมผ้า เวลาพลิกตัวได้รู้ ฝึกสติไม่ให้เผลอไผล, ผ้าปูนอนจะเป็นผ้าเก่าๆที่เคยเช็ดบาตรมาก่อน _________________________________________________ - โยมพ่อสร้างทางจงกรมให้ 5 แห่ง ถ้าไม่มีกิจธุระใดจะเดินจงกรมเสมอ นานหลายชั่วโมง - สมัยอยู่วัดอโศการาม พระอ.ฟักจะใช้อานาปานสติ และการเดินลมแบบท่านพ่อลี - ท่านพ่อลีเคยกล่าวว่า - คนเรานั้นขาดอาหารก็ไม่ตายทันที, ขาดน้ำ ขาดยาก็อาจตายเร็วหน่อย, แต่ถ้าขาดลมหายใจนี่เร็วที่สุด- ท่านเลยกำหนดลมหายใจให้เป็นงานของกรรมฐาน - โดยกำหนดสติกำกับจิต ให้รู้ลมเข้าลมออก - เมื่อจิตสงบแล้วจึงเกิดมีความรู้ภายในเรียกว่าญาณทัสสนะ, จิตสงบอย่างยิ่งจึงรู้ชาติก่อนขององค์ท่านและผู้อื่น - ผู้ภาวนาท่านใด ถ้าเคร่งวินัยมากๆ จิตใจก็ไม่ฟุ้งซ่าน จะระมัดระวังองค์ - หลักบุพพสิกขา คือศีล - ศีลเป็นบาทฐานของการภาวนา -ถ้าศีลบกพร่องหรือด่างพร้อย จิตใจก็จะไม่สบาย ร้อนใจ การภาวนาไม่ดี - พระอ.ฟักตั้งแต่พรรษาน้อยๆ เมื่อนั่งมักจะตกภวังค์ ตัวโยกไปมา ท่านใช้วิธี"ข้างหน้าขนุน ข้างหลังทุเรียน" - เอาทุเรียนกับขนุนมาวางดักข้างหน้าและข้างหลัง ถ้าสัปหงกเป็นโดนเปลือกทิ่ม หน้าผากแดงให้ได้อับอายหมู่คณะไปเลย - เอาถังน้ำตั้งไว้ที่สูง ผูกเชือกที่ข้อมือ ถ้าหลับมือขยับออกเมื่อไร ถังน้ำจะตกลงมาทันที - เคยผ่อนอาหารจาก 16 คำต่อวัน จนเหลือ 4 คำ , เคยอดข้าวได้ถึง 16 วัน - ท่านฉันในบาตรจริงๆ ของหวานคาวใส่ในบาตรหมด แม้แต่นม หลวงปู่ฟักก็เทใสลงในบาตรด้วย ____________________________________________________ - เมื่อศรัทธาแน่นหนาขึ้น ท่านก็เมตตาโยมโดยการพาปฏิบัติไม่ให้เสียโอกาสของความเป็นมนุษย์ เมื่อ 2523-2535 -ทำวัตรเย็นเสร็จ 2 ทุ่ม ท่านพานั่งภาวนา 2 ชม.ขึ้นไปจนบางทีเลย 2 ยามถึงเลิก - ถ้าวันเข้าพรรษา,วันวิสาขบูชาฯลฯ ท่านพาภาวนาถึงสว่าง ใครลุกไปท่านก็ไม่ว่า- ถือว่าปากภาชนะย่อมกว้างไม่เท่ากัน ใครรับได้มากก็รับ รับได้น้อยก็ไม่ว่าให้หมดกำลังใจ - แต่ถ้ากลับบ้าน ปากภาชนะหุบเอง ด้วยข้ออ้าง "ไม่ค่อยว่าง " ท่านจะพูดอย่างทอดถอนใจว่า "สมบัติค้างโลก ทำไมทำได้ทั้งวันทั้งคืน สมบัติที่ติดตัวไปแค่ 2 ชั่วโมงทำไมทำไม่ได้" _______________________________________ - 2516 โยมบิดาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หลังตัดเป็นมากกว่าเก่า ท่านพาโยมบิดาตระเวนรกษาที่ต่างทั้งเพชรบุรี ระยองฯลฯ กลับไปตรวจศิริราชอีกครั้ง โยมพ่อหายได้ - ครั้งหนึ่งโยมมารดากล้ามเนื้อเกร็ง โดยแขนจะเกร็งกอดกับตัว เหมือนโดนมัดอยู่ - ท่านว่า "แม่เคยต้มปูมาก่อน" - ท่านจึงให้ไปซื้อปูในตลาดมาปล่อย อาการโยมแม่ก็ดีขึ้น - 2533 อาการกำเริบหนัก มีไข้สูง -พอดีหลวงตามหาบัวที่วัดเขาน้อยสามผาน ท่านได้เมตตามาเยี่ยมที่บ้าน ท่านให้คนช่วยจับโยมมารดาให้นั่งตรงข้ามหลวงตา - รุ่งขึ้นไข้ลดลง อาการดีขึ้นจนแพทย์แปลกใจ - เมื่อบิณฑบาตได้ ก่อนฉันท่านจะให้เอาภาชนะมาแบ่งอาหารดีๆจากบาตรท่าน ให้คนยกลงมาให้โยมพ่อโยมแม่ได้ทานก่อน - โยมบิดามีความรู้เรื่องแพทย์แผนโบราณอย่างดี, เคยบวชเรียน 2 พรรษา , เป็นทหารเสนารักษ์ 2 ปี ก่อนออกมาเป็นหมอพื้นบ้านช่วยชาวบ้าน ท่านอยากจะเห็นหมู่บ้านท่านมีโรงพยาบาล - หลายปีต่อมา พระอ.ฟักได้ทุ่มเทกำลังสืบสานปณิธานนี้จนก่อตั้งรพ.สองพี่น้องได้สำเร็จ - จริงๆโยมแม่ท่านหมดอายุขัยไปนานแล้ว แต่พระอ.ฟักคอยทำบุญต่ออายุให้ เพราะต้องการให้แม่ได้อยู่ร่วมบุญฉลองอุโบสถ แต่ท่านก็ต้องยอมปล่อยให้โยมแม่ไปก่อนอุโบสถสร้างเสร็จ 3 ปี - หมอดูเคยทำนายคุณพ่อสังข์ว่า "จะมีลูกคนเดียว แต่พึ่งได้" ซึ่งพระลูกชายก็พึ่งเป็นพึ่งตายได้จริงๆ _______________________________________________ -2536 พระอ.ฟักอาพาธด้วยโรคเส้นเลือดสมองแตกซีกขวา - ทำให้อัมพฤกษ์ซีกซ้าย เข้ารักษา รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี - หลวงตามหาบัวได้เมตตามาเป่า และขากเสลดใส่บนกระหม่อมพระอ.ฟัก -> อาการดีขึ้น ออกรพ.ต้องใช้ไม้เท้าพยุง และน้ำเสียงแหบแห้งไม่ชัดเจน - เสียงท่านแหบตั้งแต่ 2516 เพราะคอท่านกระแทกเข้าคอนโซลรถ - เพราะบุพกรรมเยาวว์วัย ขณะอยู่ในน้ำท่านเห็นเป็ดน้ำบินต่ำๆเป็นฝูง -ด้วยความคะนอง ท่านเอาสันมีดตั้งขวางรอไว้ -แล้วเป็ดฝูงใหมโฉบมา 1ในนั้นถูกสันมีดเต็มๆที่คอ ร่วงทันที- ท่านเข้าไปดู พอประคองมันขึ้น ก็นึกเสียใจ "โอ้ นี่เราทำผู้ที่เขาไม่มีทางสู้" - เพราะท่านเห็นว่าเป็ดตัวนั้นเพิ่งผลัดขน ขนอ่อน ซึ่งช่วงนี้จะอ่อนแอ เขาต้องเจ็บมากแน่ๆ ถึงไม่ตาย -> ทำให้เสียงท่านรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ____________________________________________________ - เมื่อหลวงตามหาบัวดำริจัดทำผ้าป่าช่วยชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่พระป่าจะออกจากความเงียบสงัดมาสู่มหาชน = ชาติต้องอยู่ในช่วงวิกฤติ --> เมื่อท่านออกมา มีผลให้พระป่าเกือบทั้งประเทศที่เคยอยู่วิเวก ต้องขยับตัวออกมาช่วยองค์หลวงตาผู้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ทรงคุณประเสริฐ - ลูกศิษย์อย่างพระอ.ฟัก ไม่มีวันยอมให้พ่อแม่ครูอาจารย์ต้องเหนื่อยอยู่องค์เดียว -ท่านรวบรวมจัดผ้าป่าช่วยชาติหลายครั้งที่วัดเขาน้อยสามผาน รวมเงินและทองคำทั้งหมดได้กว่า 100ล้านบาท - ท่านต้องเมตตาคนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าทุกข์เพราะติดหนี้,ทุกข์เพราะโรค, ทุกข์เพราะบริวาร อันตรายต่างๆ - ท่านจึงนำเอาคาถาท่านพ่อลีเผยแพร่ - "อะระหัง พุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง" สวด 108 จบ- 3รอบ,5รอบ,9 รอบ - และต้องรักษาศีล5 เคร่งครัด -ผู้คนตั้งใจถือศีล สวดมนต์จริงจัง - พระอ.ฟักเห็นศีล สมาธิได้เกิดขึ้นบ้างในใจศิษย์ เหมือนประกายไฟเล็กๆ ถูกจุดขึ้นในที่มืด ถ้าทำต่อเนื่องจะยิ่งสว่างขึ้น - เมื่อมีศรัทธา วิริยะก็ตามมา ผลที่ต้องการก็ตามมา - มีคนมาเล่าว่า สวนของเขาถูกพายุพัดเข้าเต็มๆ เสียหายมาก- พระอ.ฟักสงสาร เลยบอกให้เอาสายสิญจน์ท่านไปลองล้อมส่วนที่พายุชอบพัดเข้า แล้วอธิษฐาน ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง -> พายุลมแรงที่เคยพัด กลับเฉออก - ชาวบ้านคนอื่นเอาอย่างบ้าง เกิดเหมือนกัน - สวนข้างๆ ไม่ได้ล้อมสายสิญจน์กลับโดนลมกระหน่ำเข้าไปเต็มๆ - ชาวสวนสามผานเชื่อการใช้น้ำมนต์ มากกว่ายาฆ่าแมลง - ท่านรณรงค์ให้พวกเขาเลิกใช้สารเคมีในเรือสวนไร่นาตั้งแต่ปี 2519 - ท่านว่าการทำมาหาเลี้ยงชีพต้องไม่เบียดเบียนกัน ถ้าใช้ยาฆ่าแมลง ก็ไม่รู้มีสัตว์กี่มากน้อยตายไป - ขอให้โยมเลิกใช้ยาปราบศัตรูพืช ซึ่งเบียดเบียนชีวิตตนและสัตว์อื่น เพราะทำให้ผู้ใช้เจ็บป่วย ผู้บริโภคได้รับอันตราย - ท่านให้เอาน้ำมนต์ไปรดต้นผลหมากรากไม้แทน -ได้ผลจริงๆ - พระอ.ฟักเริ่มเป่ารักษาพระอุปัฏฐากปี 2548 ซึ่งอาพาธเป็นเนื้องอกที่ลูกนัยน์ตา -ได้ผล - คนทราบก็หลั่งไหลให้ท่านเป่ารักษาโรคต่างๆ วันหนึ่งหลายร้อยคน จนต้องแจกบัตรคิว - แม้เหนื่อยแต่ท่านก็มีความสุขกับการช่วยคน - พระอ.ฟักเคยเปรยว่า "พระในประเทศไทยไม่มีใครเหมือนเรา มีที่ไหนเปิดโทรศัพท์มือถือ 24 ชั่วโมง เราน่ะสงสารเขานะ" รูปหลวงปู่ฟักเป่าถวายการรักษาหลวงตามหาบัว 2553 ___________________________________________________ - 2536 ท่านพระอ.ฟักอาพาธโรคเส้นเลือดสมองแตกซีกขวา ทำให้อัมพฤกษ์ซีกซ้าย - รักษาเบื้องต้นที่รพ.พระปกเกล้า จันทบุรี -หลวงตามหาบัวได้เมตตามาเป่า ขากเสลดบนกระหม่อมให้ท่านพระอาจารย์ -ต่อมาได้ส่งท่านรักษาต่อที่รพ.จุฬา เป็นผู้ป่วยใน - 2542 เป็นโรคเยื้อหุ้มสมองอักเสบ ส่งต่อที่รพ.ศิริราช อาพาธครั้งนี้ถ้าได้รับการวินิจฉัยไม่ทัน อาจได้รับอันตรายถึงชีวิต - ท่านมักปรารภว่า เหตุที่ท่านได้รับการดูแลอย่างดีนี้ คงจะเป็นผลบุญจากการที่ชอบเอื้อเฟื้อญาติโยม หรือเพื่อนพระเรื่องสุขภาพมาโดยตลอด - 2546 โรคข้อเข่าเสื่อม ได้รับยาเสริมกระดูกอ่อน - 2548 ท่านเหนื่อย หายใจไม่เต็มอิ่ม -2550 หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ (Atrial fibrillation) -2551 ต่อมน้ำลายข้างซ้ายอักเสบ - 2552 ไอมาก มีไข้ - มิย 2553 มีเส้นเลือดสมองแตกขนาดใหญ่เกือบครึ่งสมอง และแตกจุดสำคัญที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย - ท่านพระอ.ฟัก มักพูดบ่อยๆว่า "แม้ปู่ไม่อยู่แล้ว แต่เมตตาของปู่ยังอยู่ - 9 มิย 53 พระอ.มหาบัวสั่งก่อนหน้าแล้วว่า ถ้าไม่ไหวให้นำท่านกลับวัด ความดันเริ่มตกช่วงเที่ยง ,14.00 สัญญาณชีพจรท่านหยุดลง ที่มา - หนังสือ "สันติธมฺโมบูชา" หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม- วัดเขาน้อยสามผาน
สวัสดีค่ะ
เคยพบหลวงปู่ฟัก 2 ครั้งที่กรุงเทพและปทุม ประทับใจท่านมากๆๆ ท่านสั่งสอนนานมาก -แนะนำให้สวดคาถาท่านพ่อลี, ไม่ให้ใช้ผงชูรส ฯลฯ ได้เห็นท่านเป่ารักษาโรคให้ญาติโยม และทำน้ำมนต์ รู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก หนังสือหลวงปู่ฟักเล่มนี้ได้มาจากหลวงพ่อบุญช่วย วัดป่าภูริทัตต์ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากๆ อ่านแล้วอ่านอีก ผู้จัดทำทำหนังสือได้ดีมาก ชอบหลายๆตอน อยากจะมาสรุปแบ่งปันให้อ่านด้วยค่ะ _________________________________________________________________ - บทเทศน์หลวงตามหาบัวที่พระอาจารย์ฟักชื่นชอบมาก ถึงกับขอหลวงตาให้เป็นลิขสิทธิ์ส่วนองค์ และลงมือถอดเทปด้วยลายมือท่านเองทั้ง 2 กัณฑ์ 1. ความโง่และความสงสัย - 27 มีค.2507 http:www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1978&CatID=9 2. ทางแก้วัฏวน - 6 พย. 2529 จากหนังสือศาสนธรรมทำให้โลกร่มเย็น _________________________________________________________________ - จันทบุรี : สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องการปลุกใจทหารเพื่อเข้าตีเมืองจันทบุรีให้ได้ - ท่านมิได้กล่าวแก่ทหารว่าเพื่อกอบกู้เอกราช = เพราะพวกเขาจะสู้แค่ระดับหนึ่งและรู้สึกเป้าหมายไกลสุดเอื้อม --> ท่านจึงใช้วิธี "ทุบหม้อข้าวหม้อแกง แล้วไปกินข้าวมื้อต่อไปในเมือง" -ทหารรู้สึกว่า "ต้องชนะให้ได้ " เพราะเป็นเรื่องปากท้องของตน - พระอ.ฟัก ต้องการให้คนสู้เพื่อเอาชนะกิเลสทั้งปวง -แทนที่ท่านจะสอนให้ทำความเพียรเพื่อการหลุดพ้น = หนทางยากและอีกยาวไกล ผู้คนท้อถอยไม่อยากทำ --> ท่านจึงใช้วิธี ชาญฉลาดคล้ายกัน - ถ้าอยากรักษาหรือเพิ่ม"หม้อข้าวหม้อแกง"ของตัวเอง ให้สวดมนต์มากๆ,ทำสมาธิ, รักษาศีล5เครงครัด = เป็นชัยชนะใกล้ตัว จับต้องได้ คนมีกำลังใจปฏิบัติ ->ที่จริงผลการปฏิบัตินำไปไกลสู่เส้นทางที่ใหญ่กว่า คือการประกาศอิสรภาพจากอาสวกิเลส สู่ทางมรรคผล ___________________________________________________ - พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม - นามเดิม สุขจิตร์ พูลกะสิ - เกิด 11 ตค.2478 ปีกุน -ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จันทบุรี - จบประถม4 เรียนเก่งได้ที่ 1 มาตลอด โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ - ครั้งหนึ่งครูให้ทำโจทย์เลขยากมากข้อหนึ่ง ท่านหาคำตอบได้คนเดียว - เวลาใครจะซื้อขายที่ดิน หรือต้องการคำนวนที่ดินมักมาหาท่าน เพื่อให้ช่วยคิดว่า ถ้าเป็นวาแล้วจะออกมากี่ไร่ - ท่านเห็นถังเก็บน้ำ 1 คู่ สั่งให้ลูกศิษย์คำนวณว่ามีปริมาตรเท่าไร - ลูกศิษย์คำนวณเอาเป็นเอาตายด้วยสูตรพายอาร์ยกกำลัง... - ท่านคิดเสร็จก่อน ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงสูตรสมัยใหม่ - ท่านเป็นเด็กว่าง่าย ดูซื่อ แต่มีปัญญาตั้งแต่เด็กๆ -ท่านเคยชวนกำนันเสวกไปเก็บลูกคุย -ผลขาว ช่อแดง -และตกลงกับกำนันเสวกว่า "พวกร่วงๆ กูเอาเอง ช่อๆกูให้มึง" -เหมือนพี่ ใหญ่เสียสละให้น้อง - พอขึ้นไปเก็บมาแบ่งกัน ของท่านได้เยอะมาก ส่วนกำนันได้ไม่กี่ช่อ - ท่านกลัวผีมากๆ ถ้าไปไหนค่ำๆมืดๆจะต้องมีเพื่อน, - ชอบจับปลาตอนค่ำ ท่านจับปลาเก่งมาก ปลาที่ได้แจกญาติ - ภายหลังท่านบวชแล้ว ท่านจึงขอให้โยมพ่อเอาอุปกรณ์ไปเผาทิ้ง คราวใดท่านนึกถึงกรรมนี้ ท่านจะให้คนไปซื้อปลาเป็นๆในตลาดที่กำลังรอถูกฆ่า นำมาปล่อย และบอกบุญให้ผู้ที่เคยร่วมทำกรรมนี้กับท่าน ให้พวกเขาร่วมปัจจัยซื้อปลาคนละเล็กละน้อย - ท่านชอบดูลิเกตอนกลางคืน - คุณยายระเวงหรือญาติต้องเดินมารับท่านที่บ้าน -มิฉะนั้นคุณพ่อสังข์จะไม่ยอมให้ไป -ขากลับต้องมาส่งที่บ้าน รอคุณแม่เจนถือตะเกียงออกมารับจึงกลับได้ = พ่อแม่ดูแลเอาใจใส่ท่านมาก ไม่ให้ไปเที่ยวกับคนที่ไม่รู้จัก - ท่านชอบเล่นพนันน้ำเต้าปูปลา พนันเอาเงิน - อยู่ๆตำรวจก็กรูมาจับพวกเล่นพนัน -พอผู้กองบุญฤทธิ์รู้ว่าเป็นลูกของเพื่อน ก็มาไว้ในห้องรอให้พ่อรับตัวกลับ - คุณพ่อสังข์รู้ว่าลูกถูกจับพนัน โมโหมาก แต่รักและห่วงลูกมากกว่า -จึงชวนพวกญาติๆกลุ่มใหญ่เดินออกจากบ้าน 10 กว่ากม- เดินเที่ยงคืนยันตี3 ถึงโรงพัก โดยตลอดทางพ่อตะโกนด่าลูกรักไม่ขาดปากให้ได้ยินกันทั่ว- แต่เท้ารีบจ้ำก้าว - ขากลับก็เดินเอ็ดลูกเสียงดังตลอดทาง จนใกล้ 6โมงเช้าถึงบ้าน - ท่านจึงต้องเลิก - ท่านชอบชกมวย ขี่จักรยานไปถนนลูกรังตลอด 10กว่ากม.เพื่อดูชกมวย ภายหลังคุณพ่อสังข์ขอร้องให้เลิก เพราะดูแล้วทำให้ใจเราลำเอียง "เลือกข้าง"อคติตกับอีกฝ่ายที่เราไม่ได้เชียร์ - ท่านไม่กินเหล้า แต่สูบบุหรี่เก่ง, ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใคร, เอาพี่เอาน้อง มีน้ำใจ,ชอบช่วยเหลือคน- เคยใส่เสื้อขาดที่หลัง ขี่จักรยานไปตลาดกับเพื่อน ถึงตลาดเจอเพื่อนฝูง- เงินท่านไม่มีจึงให้เพื่อนๆนั่งรอ ส่วนท่านไปยืมเงินมาเลี้ยงเพื่อน - ท่านทำงานตลอดปี หมดงานสวน ท่านจะพากันถีบรถไปเหมาผลไม้จากเจ้าของสวน ขายพ่อค้าคนกลาง, ถีบรถไปซื้อขายขี้ยาง - ท่านละเอียดมาก มีเงินไปรับซื้อของเป็นพันบาท พอทำบัญชี ถ้าพบว่าเงินขาดไปแม้สลึงเดียวก็ต้องหาให้เจอ ว่าใครเอาไปซื้อขนม หรือใช้อะไรที่ไหน ต้องบอกหมด - ท่านซื่อสัตย์มาก -เวลาไปรับซื้อยาง แล้วขายได้ราคาดี -> ท่านจะแบ่งกำไรส่วนที่ได้มากเกินปกติคืนให้เจ้าของสวนเพื่อไม่เอากำไรเกินควร - ท่านว่าแบ่งกำไรกัน คราวหน้าใครๆ ก็อยากขายให้ท่าน, การรับซื้อเงาะ เหมาขายเป็นพันๆลูก เกินนิดหน่อยเขาจะแถม - ท่านคำนวณคืนเขาไปเสมอ - ถ้าท่านไปซื้อขี้ยางที่เขาพันหินซุก พอเอาไปขาย คนซื้อไปนำมาคืน-> ท่านต้องกลับมาคัดหินออกทั้งหมด ไม่ยอมหลอกขายต่อ = เป็นการค้าที่จะอยู่ได้ยั่งยืน ผูกคู่ค้าไว้เหนียวแน่น - การค้าขายด้วยความซื่อสัตย์และมีศีล -ท่านนำมาสอนลูกศิษย์ที่ค้าขายเสมอๆ- คราวหนึ่งท่านถามโยมว่า พระอ.ฟัก - ค้าขายต้องโกหกไหม โยม - ต้องโกหกสิหลวงปู่ ไม่งั้นขายไม่ได้ พระอ.ฟัก - ถ้าเราขายพุทรา คนซื้อมาถามว่าพุทรามีหนอนไหม? เราจะตอบว่า "น่าจะมี แต่ฉันจะเลือกให้" --> ในเมื่อเราไม่โกหก แทนที่เขาจะซื้อน้อย กลับจะขายได้มากกว่าตอบไม่จริง - เรื่องศีลท่านย้ำมาก การจะรักษาศีลให้บริบูรณ์ต้องใช้ปัญญาช่วย - ก่อนบวชท่านต้องไป ค้างบ้านน้าเขยซึ่งมีอาชีพฆ่าหมู พอถึงเวลาฆ่า ท่านทราบ แต่แกล้งหลับไม่ยอมตื่น - ท่านนอนฟังเสียงหมูร้องขณะถูกเชือดรู้สึกสงสารจับใจ - พอเขาฆ่าเสร็จ ถึงยอมลุกมาช่วยชำแหละ - ถูกน้าเขยดุว่าเกียจคร้าน ซึ่งก็ยังดีกว่าทำผิดศีลเสียเอง - พอหมดหน้าผลไม้,ยาง - ท่านไปทำงานงานช่างไม้ ฝึกงานกับช่างปิ๋นซึ่งฝีมือดีที่สุดของหมู่บ้านสมัยนั้น (ช่างที่สร้างโบสถ์วัดสามผาน) - ท่านจึงเป็นช่างไม้ฝีมือดี รับค่าจ้างวันละ ไม่ต่ำกว่า 20-25 บาท (ช่างตัดเสื้อได้ตัวละ3บาท, ก๋วยเตี๋ยวชามละ50สต.) ท่านจึงมีงานทำตลอดปี - ท่านตั้งใจจะบวชให้โยมบิดา 7วันและจะออกมาแต่งกับสาวท่าใหม่ - สุภาพสตรีท่านนั้นแต่งงานไปแล้ว เคยพาสามีมากราบทำบุญกับท่าน- ท่านทักทายว่ามาจากไหน -เธอจึงกราบถามท่านว่า จำกันไม่ได้หรือ- ท่านนิ่งคิดนานมากจึงจะระลึกได้ _____________________________________________________ - ท่านบวชเมื่ออายุ 22 ปี เพราะบุพการีที่คอยรบเร้าให้ท่านบวช แต่ท่านตั้งใจไว้แค่ 7 วัน และบวชเพราะแรงศรัทธาต่อท่านพ่อลี วัดอโศการาม- ท่านพ่อลีต้องการจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาล เป็นพุทธบูชา ซึ่งถือศีล บวชพระ บวชชี - ท่านพ่อลีมักมาโปรดชาวบ้านเขาน้อยสามผาน- ทุกครั้ง คุณพ่อสังข์จะพาลูกชาย(พระอ.ฟัก)ตั้งแต่ยังไม่บวช ให้มาคอยดูแลปรนนิบัติท่านอย่างเต็มใจ - บิดาท่านฟักศรัทธาและผูกพันกับท่านพ่อลีมาก ถ้าทราบว่าท่านพ่อลีมา โยมสังข์จะทิ้งงานทิ้งการที่ทำอยู่ไปต้อนรับทันที - มีคนถามท่านพ่อลีว่าทำไมโยมสังข์ถึงผูกพันกับท่านพ่อเหลือเกิน -ท่านพ่อตอบว่า "ก็สังข์เคยเป็นน้องชายเรามาก่อน" ________________________________________________________ - รุ่งขึ้นหลังบวช บาตรและฝาบาตรของท่านที่ติดชื่อไว้ เกิดหาย - ปกติถ้าทำบาตรเสียหาย พระองค์นั้นจะอาบัติองค์ท่านเอง พระทุกรูปจึงระวังรักษาบาตรดี ล้างเช็ดเก็บระวังที่สุด - ท่านต้องใช้กะละมังฉันแทนบาตร รู้สึกอับอายมาก หดหู่ และคิดว่าตัวนี้ไร้วาสนาบารมี แค่บาตรใบเดียวยังรักษาไม่ได้ - และท่านถามพระอื่นที่พรรษามากกว่า ซึ่งพระรูปนั้นกลาวว่า "บาตร บริขารที่อุปัชฌาชย์มอบให้นั้น ถ้าหายไปย่อมไม่เป็นมงคล จะอดอยาก" -ท่านจึงบอกโยมบิดาว่า ไม่ต้องรอ 7 วันแล้ว ขอสึกเลยดีกว่า - โยมบิดากล่าวว่า "ถ้าท่านหนูสึก ผมเสียใจ" - โยมพ่อพาไปกราบหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งมาร่วมงานฉลองกึ่งพุทธกาลด้วย - หลวงตาเมื่อได้ฟังแล้ว จึงเทศน์ให้เห็นว่า - "แค่บาตรและบริขารหาย สามารถซื้อหามาใหม่ได้ แต่การที่พระจะสึก อะไรจะสำคัญกว่ากัน... บาตรหายก็ให้คิดเสียว่า ได้ทำทานบารมีเพิ่ม" - พระอาจารย์ฟัก จิตพลิกกลับขึ้นเห็นความสว่าง - 7 วันแรกท่านได้นั่งสมาธิแล้วเกิดจิตรวมมีพลัง ทำให้เกิดปัญญา ถึงกับอุทานในจิตว่า "ช่วงชีวิตที่ผ่านมาไร้สาระ เป็นโมฆะ" - จิตตั้งมั่นว่าจะไม่ยอมสึกเป็นอันขาด _____________________________________________ - การสวดปาติโมกข์ ต้องสวดให้มีจังหวะ วรรคตอบถูกต้อง และต้องผ่านการทดสอบจากพระอาจารย์ที่สอน - ก่อนท่านพ่อลีจะสั่งให้ส่งไมค์ให้พระอ.ฟัก ท่านได้พูดออกตัวว่า "เออ..พระเราใหม่น่ะ" -ขณะพระอ.ฟักสวดปาติโมกข์ เสียงท่านมีพลัง เสียงดังฟังชัดเจนจนไม่ต้องใช้ไมค์ -ท่านพ่อลีกล่าวชมว่า "สวดได้ถูกอักขระดีมาก" - การสวดปาติโมกข์ หลวงตามหาบัวได้กล่าวชมไว้ 3 รูป -1. พระอ.บุญเพ็ง 2.พระอ.อุ่นหล้า 3.พระอ.ฟัก ว่าสวดได้ถูกต้อง อักขระฐานกรณ์ และมีจังหวะจะโคนดี - ที่วัดอโศการาม ท่านพ่อลีจะบิณฑบาตในวัด - พระจะมารวมกันที่ศาลาอเนกประสงค์ (ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม) - - 9.30น.ทำวัตรเช้า - ท่านพ่อลีว่า ฉันอิ่มแล้วจะง่วง ให้มาสวดมนต์กันหลับ - แล้วแยกภาวนา -16.00 ทำวัตรเย็น และปัดกวาดเช็ดถูแล้วแยกย้าย - 20.00 พระ ชี โยมสวดมนต์ร่วมกัน และมีครูบาอาจารย์เทศน์ ท่านพ่อลีเป็นหลัก หมุนเวียน เลิก 4 ทุ่ม แยกย้ายไปตามที่พักภาวนาต่อ - ก่อนวันพระ 1 วันจะตีระฆังมารวมกัน 15.00 อบรมและแสดงธรรมโดยท่านพ่อลี หรือลูกศิษย์อาวุโส จนถึง 17.00 ตารางเหล่านี้ท่านพ่อลีเป็นผู้กำหนดเอง ___________________________________________________ - ช่วงที่พระอ.ฟักอยู่วัดอโศการาม ท่านต้องกลับไปเยี่ยมโยมพ่อที่จันทบุรี แต่ท่านพ่อลีไม่อยู่ มีกิจเชียงใหม่ - ท่านจึงกราบเรียนขออนุญาตพระผู้ใหญ่รูปอื่น และกลับมาให้ทันก่อนท่านพ่อลี กลับ - พอท่านพ่อลีกลับมา พระอ.ฟักเข้าไปกราบท่าน แต่ยังไม่ทันได้เรียนเรื่องใด ท่านพ่อก็ถามขึ้นมาก่อนว่า "โยมสังข์สบายดีหรือ" - เมื่อตอบ ท่านพ่อก็ถามถึงคนจันทบุรีอีกหลายคน ถามแม้แต่ถนนสายที่กำลังสร้างอยู่ไปถึงไหนแล้ว เสร็จหรือยัง - ท่านพ่อลีทราบความเป็นไปของท่านอย่างดี- ทำให้ท่านรู้สึกสำนึกในความเอาใจใส่และความเมตตาของท่านพ่อลีที่มีต่อศิษย์ - ซึ่งภายหลังท่านอ.ฟักก็เมตตาต่อลูกศิษย์ท่านแบบเดียวกัน - ผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์นั้น แม้จะมากด้วยทานนับหมื่นนับแสนครั้งก็ตาม แต่ไม่อาจพ้นนรกได้ ต้องรักษาศีลกำกับด้วย (เทศนาพระอ.ลี) - อย่าคลุกคลีกับหมู่คณะเกินควร จะเสียเวลานั่งสมาธิ - ภัยของการคลุกคลีกับหมู่คณะคือ ถ้าปฏิบัติไม่เสมอกัน ย่อมทำให้เกิดปฏิฆะ -ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ย่อมทำให้เกิดเถียงกัน อันนำมาซึ่งกิเลสกรรม - ถ้าจำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในหมู่คณะ จำเป็นต้องรู้จิตใจและมรรยาทซึ่งกันและกัน ต้องหมุนให้กลมกลืนกัน ต้องรู้จักกาลเทศะอันควรไม่ควร (เทศนาท่านพ่อลี) - หมู่คณะที่พระอ.ฟักอยู่ร่วมด้วยขณะนั้น- พระอ.ทอง, พระอ.ปิ่น, พระอ.บุญกู้ ฯลฯ _________________________________________________ - พระอ.ฟักเคร่งครัดพระธรรมวินัยมาก- ครั้งนั้นมีการผูกพัทธสีมาโบสถ์วัดอโศการาม ต้องสวดถอดถอนพัทธสีมาเพื่อขึ้นโบสถ์ใหม่ - เพราะพื้นที่นี้ อดีตกาลอาจมีการสร้างโบสถ์อยู่ก่อนแล้ว แต่อาจถูกกาลเวลาฝังใต้ดิน - ดังนั้น ก่อนขึ้นโบสถ์ใหม่ทุกครั้ง พระวินัยจึงกำหนดให้มีการสวดถอดถอนพัทธสีมาเก่าเสียก่อน ซึ่งต้องประชุมพระทั้งวัดให้ครบทุกองค์ แล้วมาสวดพร้อมกัน -หากไม่ครบ = "บริษัทวิบัติ" - สวดยาวเป็นชั่วโมง - พอสวดจบ พระอ.ฟักทราบว่าพระอ.ตุ๋ยไม่ได้เข้าร่วม เพราะนั่งสมาธิที่ใต้โบสต์ จึงปรึกษาพระอาวุโสกว่า "ครูบาๆ ท่านตุ๋ยไม่ขึ้นมา มันกรรมวิบัตินี่ ผมอ่านวินัยมา มันผิดนะ" ท่านรูปนั้นก็ว่า "ยุ่งน่า มันเสียเวลาน่ะ" - พระอ.ฟักแม้พรรษาน้อย แต่ไม่ยอมรับ เพราะไม่ถูกธรรมวินัย จึงปรึกษาพระอีกรูป พากันไปกราบเรียนท่านพ่อลี- ท่านได้เรียกทั้งหมดมาซักถาม พอพบว่าไม่ครบที่ประชุมจริง จึงให้ถือว่าการสวดเป็นโมฆะ ต้องสวดกันใหม่ - โบสถ์วัดอโศการามต้องสวดถอดถอนพัทธสีมาถึง 2 ครั้งในวันเดียวกัน - พระอ.ฟักแยกแยะชัดเจนมากกับคำว่า "ปล่อยวาง" และ "ปล่อยปละ" ___________________________________________ - ที่วัดอโศการาม 2503 ท่านเคยฟังเทศน์หลวงตามหาบัว รู้สึกจับจิตจับใจมาก จนทำให้รักและเคารพเทิดทูน ยกเป็นครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ถัดจากท่านพ่อลี - พอฟังเทศน์จบ ท่านพบหลวงตาบัว จึงเข้าไปเรียนถาม พระอ.ฟัก - "กระผมฟังเทศน์แล้วยังมีข้อสงสัย่" หลวงตามหาบัว - "สงสัยอะไร สงสัยอะไร" พระอ.ฟัก - "กระผมสงสัยว่า องค์เทศน์เมื่อสักครู่จะมิใช่พระธรรมดาขอรับ" - หลังเทศน์ครั้งนั้น ท่านก็ไปกราบขออนุญาตท่านพ่อลี ขอไปอยู่กับหลวงตา แต่ท่านพ่อลีขอยับยั้งไว้ก่อน - พระอ.ฟักและคณะได้พึ่งใบบุญท่านพ่อลีจนกระทัง คืน25 เมษายน 2504 ท่านปิดประตูลงกลอน เข้าที่ภาวนา รุ่งเช้าท่านไม่ออกจากกุฏิ ศิษย์จึงเปิดหน้าต่างเข้าไปดู ท่านมรณภาพเสียแล้ว - ท่านพ่อหมดอายุ เหมือนโพธิ์ก้านใหญ่สาขาใบดก ทำให้พระอ.ฟักหมดเรี่ยวแรง บ่ายหน้าไปหาพระอ.มหาบัวที่วัดบ้านตาด อุดรธานี ปี 2504 _________________________________________________ ที่มา - หนังสือ "สันติธมฺโมบูชา" |
Kat_kine
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?] |