KatieKat... Let's share your thought
 
 

Meet Baba and Nyonya in Singapore (3)

วันที่ 3 สัมผัสปอดแห่งสิงคโปร์ที่สะพานลอนคลื่น Henderson wave

เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทางซะแล้ว เช้าวันนี้เราตื่นนอนแบบไม่ค่อยยอมตื่นกันซักเท่าไหร่ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ (ได้ข่าวว่าเธอไม่อาบน้ำตอนเช้าไม่ใช่เหรอยะ) เราก็เก็บสัมภาระเตรียมเช็คเอ้าท์ แต่ยังไม่เช็คเอ้าท์นะคะ ยังกองของไว้ที่ห้องก่อน เดี๋ยวจะกลับมาเช็คเอ้าท์อีกทีตอนเที่ยงค่ะ เรียบร้อยแล้วประมาณ 8 โมงสิบห้าก็ออกเดินทางกัน เช้านี้เราเลือกที่จะไม่กินอาหารเช้าของหมีดี แต่จะไปลิ้มลองขนมปังสังขยาสไตล์สิงคโปร์อันเลื่องชื่อที่ Yakun Kaya Toast กัน ร้านขนมปังสังขยานี้มีอยู่มากมายหลายสาขาในสิงคโปร์แม้กระทั่งสาขาในต่างประเทศก็ยังมี แสดงว่าของเค้าแน่จริงๆ แต่สาขาที่เป็นสาขาดั้งเดิมอยู่ที่แถวไชน่าทาวน์ใกล้กับที่พักของเรานี่เอง เดินออกจากโฮสเทลไปจนสุดถนน Pagoda ที่ตัดกับถนน South bridge จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปตามถนน South bridge ประมาณ 100 เมตรจนเจอสี่แยกที่ตัดไปถนน Cross ได้ ให้เลี้ยวขวาข้ามสี่แยกไปถนน Cross เดินตรงไปเรื่อยๆประมาณ 200 เมตร จะเจอถนน China อยู่ทางซ้าย ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปอีกหน่อยไม่ถึง 100 เมตร ร้านจะอยู่ทางขวามือค่ะ


พอหาที่นั่งได้ปุ๊บ คุณอาแปะบริกรประจำร้านก็ออกมารับออเดอร์ ตอนแรกอาแปะแกนึกว่าพวกเรามาจากฮ่องกง ก็เลยเล่นภาษาจีนเป็นชุด แต่พอรู้ว่ามาจากไทยแลนด์เท่านั้น อาแปะแกก็ปรับโหมดได้อัตโนมัติ จ้อภาษาไทยใส่เราทันที โอ้ววว เริ่ดดดด อาแปะยังแนะนำเมนูให้อีกด้วย แกบอกว่ามา 6 คนต้องสั่งอันนี้เท่านั้น อันนั้นเท่านี้ พวกเราก็พยักหน้าหงึกๆ ว่าไงว่าตามกันลุง จัดมาเลย ในที่สุดพวกเรา 6 คนก็เลยได้ลิ้มรส ขนมปังแผ่นปิ้งสอดไส้เนยก้อนและสังขยา 2 จานจานละ 4 คู่ กินคู่กับไข่ลวกคนละฟอง และ....อืม เค้าเรียกอะไรอ่ะ เป็นเหมือนขนมปังชุบไข่ทอด เสิร์ฟพร้อมสังขยาอีก 1 จาน (8 ชิ้น) ส่วนเครื่องดื่มก็เป็นชาเย็นคนละแก้ว สังขยาของที่นี่ทั้งสีและหน้าตาไม่ค่อยเหมือนของบ้านเราเท่าไหร่ สีจะออกเขียวตุ่นๆปนเหลืองๆ เนื้อของสังขยาก็ไม่เนียนเท่าบ้านเรา แต่รสชาติก็หวานอร่อยดี เพียงแต่มันไม่เหมือนเมืองไทยอ่ะ รสชาติดีนะคะ อร่อยจริง กินคู่กับเมนูที่คุณอาแปะสั่งให้มาแล้วเข้ากั๊น เข้ากันทีเดียว อิ่มกำลังดีด้วย แนะนำว่าต้องมาลองค่ะ เป็นมื้อเช้าที่อัดแน่นด้วยพลังงาน (และแคลอรี่สูง ;P) เนื่องจากสาขาของ Yakun Kaya Toast มีอยู่เยอะแยะมากมายทั่วสิงคโปร์ เช็คสาขาที่ไปสะดวกได้ที่ https://www.yakun.com/

ระหว่างที่กินอาหารเช้า เราก็มองเห็น 7-11 อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกัน ภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการมาสิงคโปร์ก็คือการได้มาชิมมันบดในร้าน 7-11 ที่เค้าว่ากันว่าอร่อยนักอร่อยหนา ว่าแล้วน้องที่ไปด้วยกันก็เลยตรงไปที่ 7-11 (หลังจากที่ลองพยายามมา 2 ที่เมื่อวันก่อนหน้านี้แล้วแต่ไม่สำเร็จ ที่หนึ่งเครื่องเสีย อีกที่หนึ่งคาดว่าเราจะทำเสียเอง) แต่น แต๊นนนน คราวนี้การทำมันบดสำเร็จแล้ว วิธีทำก็คือ 1. ให้วางถ้วยมันบดใต้เครื่อง 2. กดปุ่ม “Mashed Potato” หนึ่งครั้ง มันบดไหลจะออกมา รอสักครู่น้ำเกรวี่ก็จะไหลตามออกมา จากนั้นก็ไปจ่ายตังค์ที่เคาท์เตอร์ รอสักแป๊บนึงให้มันบดแข็งตัวซักนิด ก็จะกินได้แล้ว จากที่กดมา 2 ถ้วย ถ้วยหนึ่งเป็นรสดั้งเดิม อีกถ้วยหนึ่งเป็นซอสบาร์บีคิว รสชาติก็อร่อยใช้ได้ทั้ง 2 รสนะคะ แต่แอบชอบรสดั้งเดิมมากกว่า ถือว่าเป็นของทานเล่นที่อร่อย หากินง่ายและไม่แพงด้วย แค่เหรียญเดียวเท่านั้นเอง

เติมพลังด้วยมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายที่สองของวันนี้ก็คือสะพาน Henderson wave สะพานไม้สูงจากพื้นดินกว่า 30 เมตร มีการออกแบบที่เก๋ไก๋ให้โค้งงอเหมือนลอนคลื่นซะด้วย วิธีไปจากร้าน Yakun Kaya ก็คือเดินย้อนกลับไปเส้นทางเดิมที่เรามาไปทางถนน China จนถึงสี่แยกถนน Cross ข้ามถนนมายังถนน South bridge แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนน Upper cross เดินตรงมาเรื่อยๆจะเจอป้ายรถเมล์ เรารอรถเมล์สาย 124 ซึ่งที่ป้ายรถเมล์จะมีบอกว่าตอนนี้เราอยู่สถานีอะไร รหัสหยุดอะไร (ทุกป้ายรถเมล์จะมีรหัสหยุดประจำป้าย 5 หลัก เช่นป้ายที่เรารอนี้ชื่อว่า Opp Hong Lim Cplx รหัสหยุด 05131) รถเมล์จะมาทุกกี่นาทีและไปจอดที่สถานีไหนบ้าง วิธีที่จะไม่ให้หลงก็คือให้ถ่ายรูปตารางเดินรถสายที่เราจะขึ้นไว้ พอขึ้นบนรถเมล์ก็เปิดดูจากกล้องดิจิตอลว่าตอนนี้เราถึงป้ายไหนแล้ว รหัสหยุดอะไร อีกกี่ป้ายถึง เวลาดูต้องดูดีดีนิดนึงเพราะรถเมล์จะจอดป้ายเฉพาะป้ายที่มีคนเรียกขึ้นหรือกดกริ่งลงเท่านั้น ถ้าไม่มีคุณคนขับก็จะขับผ่านไปเลย เพราะฉะนั้นอย่าลืมนับป้ายที่ไม่ได้จอดด้วยนะคะ ไม่งั้นเลยป้ายแน่ๆ



จากป้ายรถเมล์ที่เราขึ้น ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีก็ถึงป้าย Bef Telok Blangah Hts ป้ายที่อยู่ใต้สะพานเฮนเดอร์สันเวฟแล้ว ลงจากรถเมล์ เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นสะพานโค้งเป็นลอนคลื่นอยู่ข้างบนเลย แต่กว่าจะขึ้นไปถึงบนสะพานเฮนเดอร์สันก็ต้องเหนื่อยกันหน่อย (เค้าว่าไม่หน่อยนะ) ต้องเดินขึ้นบันไดเกือบร้อยขั้นน่าจะได้ แล้วก็ขึ้นเนินเขาอีกนิดหน่อย แต่ระหว่างที่ขึ้นบันไดไปนั้น จริงๆแล้วตั้งแต่ตอนที่นั่งรถเมล์ใกล้ๆจะถึงป้ายแล้วล่ะ บรรยากาศรอบๆสองข้างทางนั้นดีมากมาย ทำให้เราเห็นความแตกต่างกับในตัวเมืองสิงคโปร์ที่เราเพิ่งผ่านมาได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็ม 2 ข้างทางตลอด ยิ่งพอเดินขึ้นบันไดจะไปถึงสะพานเฮนเดอร์สันเวฟ ต้นไม้ก็ยิ่งมากขึ้นจนเป็นป่าได้เลย เสียงแมลงตัวเล็กๆ แข่งกันร้องเสียงดังเต็มไปหมด เหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าเลย บรรยากาศร่มรื่นมากๆ ผู้คนก็มาออกกำลังกายกันที่นี่เยอะแยะ บางคนก็วิ่งจ๊อกกิ้ง บางคนก็ขี่จักรยานเสือภูเขา ดูแล้วเพลินไปเลย เดินขึ้นเขามาสักพักก็ถึงตัวสะพานพอดี สะพานเฮนเดอร์สันเวฟนี้เป็นสะพานที่มีความสูง 36 เมตรเหนือถนนเฮนเดอร์สัน นับว่าเป็นสะพานคนข้ามที่มีความสูงที่สุดในสิงคโปร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมระหว่างสวนสาธารณะบนเขา 2 ลูกคือ Mount Faber และ Telok Blangah Hill (ข้อมูลจากป้ายที่ติดที่สะพานเฮนเดอร์สันเวฟ) ที่บอกว่าสะพานนี้เป็นลอนคลื่น ได้โปรดอย่างเข้าใจผิดนะคะว่าเดินบนสะพานแล้วมันจะขึ้นๆลงๆเหมือนคลื่น ที่ว่ามันเป็นคลื่นเนี่ยความจริงมันเป็นการออกแบบเฉพาะส่วนขอบของสะพานอ่ะค่ะ ออกแบบให้ดูเป็นรูปคลื่น แล้วส่วนที่เป็นคลื่นนี่ก็จะโค้งมาคลุมบางส่วนของกลางตัวสะพานทำให้เกิดร่มเงาด้วย ตัวสะพานทำจากแผ่นไม้ต่อเรียงกันเป็นระแนง จึงทำให้มีช่องว่างเล็กๆระหว่างแผ่นไม้เป็นช่องลมให้ลมผ่านเข้ามา เพราะฉะนั้นตลอดทางเดินบนสะพานเฮนเดอร์สันเวฟจึงไม่ร้อนเลย ยิ่งถ้านอนบนม้านั่งระแนงไม้ที่มีอยู่เป็นระยะๆก็จะสัมผัสได้ถึงแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามาตามช่องว่างเล็กๆนั้นตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเย็นสบายจนอาจจะเผลอหลับไปได้เลย พวกเราสนุกสนานกับสะพานเฮนเดอร์สันเวฟนี้กันมากมาย กระโดดโลดเต้นกันใหญ่ ทั้งๆที่คนสิงคโปร์ที่มาที่นี่เค้ามาพักผ่อน มาออกกำลังกาย มาปิคนิค แต่อิพวกนี้มันมาส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายแถมกระโดดเด้งดึ๋งๆเหมือนจิงโจ้ตลอดเวลา ตอนนั้นทำก็ไม่อายเนอะ แล้วจะมาด่าตัวเองตอนนี้ทำไม 55+ ระยะทางแค่ 300 เมตรบนสะพาน เดินจริงๆก็ไม่ถึง 5 นาที แต่กลับทำให้พวกเรารู้สึกมีความสุขยาวนานเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว สำหรับคนที่อยากมาชมสะพานเฮนเดอร์สันเวฟในบรรยากาศที่ต่างออกไป ก็สามารถมาชมสะพานเฮนเดอร์สันเวฟในยามค่ำคืนได้ เพราะตั้งแต่เวลาหนึ่งทุ่มจนถึงตีสองของทุกวัน สะพานเฮนเดอร์สันเวฟจะเปิดไฟ LED ทั้งสะพาน ทำให้สะพานกลายเป็นสีทองอร่าม ส่องสว่างทั่วทั้งสะพาน ดูจากรูปถ่ายที่หลายๆคนรีวิวไว้ในพันทิปแล้วอิจฉามาก เพราะว่ามันสวยม้ากมาก สวยจริงๆ




เราเดินขึ้นสะพานเฮนเดอร์สันจากฝั่ง Telok Blangah Hill แล้วข้ามมาลงที่ฝั่ง Mount Faber ตอนแรกกะว่าจะรอรถเมล์สาย 124 สายเดิมที่ฝั่ง Mount Faber ย้อนกลับไปโฮสเทล แต่คุณลุงคนนึงที่มารอรถเมล์เหมือนกันกลับบอกว่าให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วขึ้นสาย 145 ไปลงไชน่าทาวน์ดีกว่า ใกล้กว่ากันเยอะ เราก็เลยเชื่อคุณลุง แต่กลับกลายเป็นว่าสาย 145 ของลุงอ่ะไกลกว่านะคะ หนูเทียบค่าโดยสารแล้วมันแพงกว่าง่ะ ลุงมั่วนิ เซ็ง แต่พอนั่งไปแล้วก็ต้องขอบคุณคุณลุง เพราะรถเมล์สาย 145 นี้มันผ่านวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วที่เราผ่านแว้บๆเมื่อวันแรกแต่ยังไม่มีเวลาได้เข้าไปเยี่ยมชม วันนี้เห็นว่าพอมีเวลาเหลือก่อนกลับไปเช็คเอ้าท์ก็เลยลงที่ป้ายแถวๆวัด วัดพระธาตุเขี้ยวแก้วหรือ Buddha Tooth Relic Temple เป็นทั้งวัดและพิพิธภัณฑ์ในสถานที่เดียวกัน สร้างขึ้นเมื่อปี 2002 ตามข้อมูลจากเว็บไซต์บอกไว้ว่าวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระศรีอาริยเมตไตร หรือพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ด้วยวิสัยทัศน์เพื่อเป็นศูนย์รวมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ดีที่สุดในภูมิภาค (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของทางวัดฯ https://www.btrts.org.sg/Index_Eng.html) ภายในเป็นอาคารสูง 4 ชั้น มีชั้นลอยและชั้นใต้ดิน โดยชั้นที่ 4 เป็นสถานที่เก็บพระธาตุเขี้ยวแก้ว ตอนที่เราไปนั้นเป็นเวลา 11 โมงกว่า ที่ห้องโถงชั้นที่ 1 กำลังมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพอดี มีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนมากกำลังสวดมนต์และประกอบพิธีกรรมร่วมกันอยู่ ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นดาดฟ้าบนยอดเจดีย์ มีสวนเล็กๆและวงล้อยักษ์เหมือนระฆังอันใหญ่ๆแต่หมุนรอบได้ ไม่รู้เรียกอะไรเหมือนกัน น่าเสียดายที่เวลาของพวกเราค่อนข้างจำกัดมาก กลัวว่าเดี๋ยวจะกลับไปเช็คเอ้าท์ไม่ทันเที่ยง จะซวยต้องโดนปรับอีกต่างหาก ก็เลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปดูส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เท่าที่เห็น วัดนี้มีอะไรให้น่าชมน่าดูอีกมากเลย รูปร่างหน้าตาภายนอกก็สวยงามดี คงเป็นเพราะเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่ถึง 10 ปีเท่านั้น ตัวอาคารและงานสถาปัตยกรรมก็เลยยังดูใหม่และสะอาดสะอ้านอยู่มาก น่าเสียดายจริง บริหารเวลาไม่ดีเลยทริปนี้



ภายในวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว


ใกล้เที่ยงเต็มที เราเลยต้องรีบเดินกลับไปที่โฮสเทล ระยะทางจากวัดพระธาตุเขี้ยวแก้วไปโฮสเทลนั้นก็แสนจะใกล้ เดินไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้น เพราะถ้าดูตามแผนที่ก็จะเห็นว่าวัดพระธาตุฯ นี่อยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องๆกับ Maxwell food court ที่เรามากินข้าวกลางวันมื้อแรกที่สิงคโปร์นั่นล่ะ หลังจากเช็คเอ้าท์ที่โฮสเทลหมีดีแล้ว เราก็ยังขออาศัยพื้นที่ของหมีดีใช้ฝากกระเป๋าของเราไว้ก่อน ก่อนที่เราจะกลับมาเอาอีกทีประมาณ 4 โมงเย็น ซึ่ง ณ จุดนี้คุณสต๊าฟก็ใจดีมากมาย เหมือนรู้อยู่แล้ว เพราะว่านักท่องเที่ยวคนอื่นเค้าก็ทำกัน บางคนมาฝากของไว้ก่อนเวลาเช็คอิน ในขณะที่บางคนเช่นพวกเราก็ฝากของไว้หลังเช็คเอ้าท์ ทางโฮสเทลก็ใจดีรับฝากโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

MRT Chinatown อยู่หน้าบ้านโฮสเทลเลย


บ๊ายบายพี่หมี @ A Beary Good Hostel


กลางวันนี้เราเลือกที่จะหาของกินที่ไชน่าทาวน์นี่ล่ะ เพราะตั้งแต่มานี่ นอนพักแถวนี้ ก็ยังไม่ได้มีโอกาสลิ้มลองอาหารย่านนี้เลย สำหรับถนนสายอาหารในไชน่าทาวน์นั้นก็มีหลายถนน แต่ถนนที่น่าจะมีร้านค้ามากที่สุดน่าจะเป็นถนน Smith เท่าที่ทำการบ้านจากรีวิวของคนอื่นๆ ร้านอาหารหรืออาหารที่ขึ้นชื่อของย่านนี้ก็คือติ่มซำ บะหมี่ บัวลอย และสะเต๊ะ มื้อกลางวันนี้ก็เลยมาลงเอยที่ร้านติ่มซำ Takpo ซึ่งลักษณะการขายและเมนูอาหารก็เหมือนกับร้านติ่มซำอื่นๆทั่วไป เราลองสั่งทั้งเมนูพื้นๆเช่น ขนมจีบ ฮะเก๋า ก๋วยเตี๋ยวหลอด เผือกทอด ซาละเปา ปอเปี๊ยะทอด ขนมผักกาด แล้วก็มีเมนูที่แปลกขึ้นมาหน่อยก็คือเป็นของทอดที่ข้างในเป็นไส้กล้วยเกือบทั้งลูก ข้างนอกห่อด้วยเส้นหมี่ทอด คล้ายๆหมูสะโหร่ง แต่เปลี่ยนจากไส้หมูเป็นไส้กล้วยแทนและชิ้นใหญ่กว่ามากถึง 3 เท่า สั่งมากินกันแบบแทบจุก รสชาติก็โอเคเลย ก๋วยเตี๋ยวหลอดอร่อยมาก ราคาก็รับไหว ไม่ผิดหวัง ยังมีร้านติ่มซำอีกร้านหนึ่งแถวๆนั้นที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือร้าน Yumcha อยู่ที่ถนน Trengganu บริเวณที่ตัดกับถนน Temple หน้าร้านสวยดี



ถนน Smith และถนน Temple ในไชน่าทาวน์


หลังจากอิ่มแล้ว เราก็เดินเล่นดูของในไชน่าทาวน์อยู่แป๊บนึง แล้วก็เดินกลับมาขึ้น MRT หน้าโฮสเทลหมีดีเหมือนเดิมเพื่อจะไปจุดหมายต่อไปคือสถานี Bugis ให้นั่งสายสีม่วงไปลงที่ Outram Park แล้วเปลี่ยนเป็นสายสีเขียวไปลงที่ Bugis ที่สถานี Bugis นี่ พอโผล่ขึ้นมาจาก MRT ก็จะเป็นห้างขายของเลย บริเวณย่านนี้เค้าว่าเปรียบเสมือนสวนจตุจักรบ้านเรา มีของขายสารพัดอย่างในราคาย่อมเยาว์ คนเยอะมากทีเดียว คงเพราะว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันคึกคักเต็มไปหมด แต่จุดประสงค์ในการมาเยือนย่านบูกิสของพวกเรามันไม่ได้อยู่ที่การมาช้อปปิ้งนี่น่ะสิ แต่มันอยู่ที่การมาหาสัญลักษณ์หนึ่งในย่านนี้ สัญลักษณ์ที่ใครได้เห็นในรีวิวไหนๆก็ต้องอยากมา นั่นก็คือ....แต่น แตน แต๊นนนนน บันไดหนีไฟสีรุ้ง 55+ 55+ 55+ ขอหัวเราะเป็นภาษาเปอรานากัน เค้าจะมาดูบันไดหนีไฟไปทำไมกันเนี่ย แต่ก็นะ เห็นจากในรูปที่มีคนถ่ายไว้แล้วมันดูอาร์ตดี ต้องขอลองมาพิสูจน์ของจริงซักหน่อย เดินงมๆอยู่พักนึงก็เจอเจ้าบันไดหนีไฟหลากสีนี่จนได้ (อยู่ซอยข้างๆ Bugis Village) ความจริงแล้วมันก็คือบันไดวนหนีไฟธรรมด๊า ธรรมดานี่ล่ะ ก็ไม่รู้ว่ามันจะไปพิสดารได้ตรงไหนไง แถมเป็นบันไดหนีไฟที่อยู่บนตึกที่อยู่ข้างๆตรอกมีรถตู้และรถขยะจอดเต็มไปหมดอีกต่างหาก จะไม่ธรรมดาอย่างเดียวก็ตรงที่ว่าบันไดหนีไฟของแต่ละตึกมันทาสีไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง พอถ่ายรูปออกมาก็เลยดูสวยแปลกตาไปบ้าง

ออกจากบูกิส เราเดินต่อไปเรื่อยๆผ่านถนน Rocher จนเจอสี่แยกที่ตัดกับถนน Serangoon เพื่อเข้าสู่ย่าน Little India ใช้เวลาเดินนานนิดนึงประมาณเกือบ 20 นาที (เดินด้วยสปีดขาลาก สภาพหมดแรงสะสม) เราเดินเข้าสู่ถนน Dunlop เพื่อหา Abdul Gaffoor Mosque มัสยิดสำคัญแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ แวะถนน Kerbau เพื่อดูบ้านสไตล์จีนหลังสุดท้ายในลิตเติ้ลอินเดีย Residence of Tan Teng Niah บ้านหลังนี้ถูกท่าสีสันสดใสสลับไปมาทั้งหลัง ตามป้ายประวัติที่อยู่หน้าบ้าน บ้านหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1900 มิสเตอร์ตันผู้ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวจีนสร้างให้กับภรรยาของเค้า ตอนนี้บ้านหลังนี้มีคนอื่นมาเช่าต่อแล้วรู้สึกจะทำเป็นร้านขายของพวกอาร์ตแกลอรี่อะไรทำนองนี้


Residence of Tan Teng Niah บ้านสไตล์จีนหลังเดียวในลิตเติ้ลอินเดีย


เราเดินออกจากถนน Kerbau มาจนสุดจะเจอถนน Race Course มาตัด ตรงนั้นจะเป็นสถานี MRT Little India นั่ง MRT มาลงที่สถานี Dhoby Ghaut แล้วเปลี่ยนเป็นสายสีแดงนั่งไปลงที่สถานี Orchard เพื่อเข้าสู่ถนนช้อปปิ้งหลักของสิงคโปร์ ที่ออชาร์ดนี้มีห้างสรรพสินค้ามากมายเป็นสิบห้าง ขายของแบรนด์เนมราคาประหยัด ราคากลางๆ จนถึงราคาระดับพรีเมี่ยม ได้ข่าวว่าสมัยที่ร้าน Zara ยังไม่มาเปิดที่เมืองไทย ซาร่าที่นี่ก็ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ถึงขณะนี้ก็ยังน่าจะยังเยอะอยู่นะ เพราะรู้มาว่าซาร่าที่สิงคโปร์นี่จะราคาถูกกว่าเมืองไทยนิดหน่อย แต่สำหรับพวกเราแล้ว การช้อปปิ้งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของทริปนี้ เราก็รีบๆจ้ำเดินดูบรรยากาศเล็กๆน้อยๆบนถนนออชาร์ด แล้วเก็บเวลาที่เหลืออันน้อยนิดไปที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของทริปนี้กันดีกว่า... พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์ National Museum of Singapore

จาก MRT Orchard นั่งมาลงที่สถานี Dhoby Ghaut อีกครั้ง ออกจาก MRT เดินตรงมาตามถนน Orchard เรื่อยๆ ถ้ามองจากแผนที่เหมือนจะดูไกล แต่จริงๆมันใกล้กว่าที่คิดมาก ระหว่างทางจะผ่าน YMCA และป้ายบอกทางไปสวน Fort Canning Park ให้มองทางขวาไว้ค่ะ พอเจอสี่แยกที่ตัดกับถนน Stamford ก็นั่นเลย พิพิธภัณฑ์อยู่ทางขวา โดมใหญ่เห็นเด่นเป็นสง่า มองจากภายนอกพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์นี้สวยมากเลยทีเดียว วันที่เราไปมีการจัดงานแต่งงานที่นี่ด้วย เจ้าสาวกับชุดขาวในอาคารโดมขาวใหญ่อลังการมากมาย เหมือนกับเจ้าหญิงในเทพนิยายยังไงยังงั้น เนื่องจากเวลาในสิงคโปร์ของเราได้นับถอยหลังร่นมาเรื่อยๆ ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดตึ๊ดตื๋อ เสียงฟ้าร้องดังเปรี้ยงปร้างถี่ขึ้นเรื่อยๆ เราก็เลยต้องอดเข้าไปดูนิทรรศการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ไปตามระเบียบ แต่เท่าที่เห็น (อีกแล้ว) พิพิธภัณฑ์นี้น่าดูมากๆ เผลอๆจะมากกว่า Asian Civilisations Museum ซะอีก พิพิธภัณฑ์แบ่งส่วนจัดแสดง 2 ส่วนคือ Singapore History Gallery เปิดทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น และ Singapore Living Gallery เปิดทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม (เข้าฟรี 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม) ค่าเข้าชมคนละ 10 เหรียญ แพงเอาเรื่องอยู่ เพราะฉะนั้นเดาว่าข้างในน่าจะมีของดีแน่ๆ


และแล้วทริปสิงคโปร์ในครั้งนี้ก็ต้องปิดท้ายที่ National Museum พร้อมกับสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งหลังจากที่เรากลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โฮสเทล และขึ้น MRT Chinatown เพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบินชางฮี สิงคโปร์... ประเทศเล็กๆที่แข็งแกร่งทั้งในด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรมนุษย์ ถึงแม้ว่าสิงคโปร์จะเทียบกับประเทศไทยเราไม่ได้สักนิดในเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ยาวนาน สิงคโปร์ไม่มีความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติก็มีอย่างจำกัด แต่สิงคโปร์ก็รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างน่าทึ่ง รู้จักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีอย่างไม่หยุดยั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แม้ว่าเราจะเคยมาสิงคโปร์มากกว่า 3 ครั้ง แต่สิงคโปร์ในวันนี้ก็ต่างจากสิงคโปร์เมื่อ 17 ปืที่แล้วที่ได้มาเยือนครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง และคิดว่าสิงคโปร์ในอีก 5 ปีข้างหน้าก็คงแตกต่างจากวันนี้เช่นกัน สิ่งที่แตกต่างไป เรามั่นใจว่าคงไม่ใช่ความแตกต่างในทางที่แย่ลง แต่เป็นความแตกต่างในทางที่พัฒนายิ่งๆขึ้น แตกต่างที่จะยิ่งเรียนรู้และเข้าใจเป้าประสงค์ของการพัฒนาประเทศและพัฒนาศักยภาพของคนในชาติมากขึ้นเรื่อยๆ อีก 5 ปีข้างหน้าสิงคโปร์คงจะมีสิ่งใหม่ๆ สถานที่เที่ยวใหม่ๆ หรือแม้แต่นวัตกรรมใหม่ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้มาค้นหาอีกแน่... จนกว่าจะถึงวันนั้น

สำหรับทริปหน้า เจอกันแน่ปลายปีนี้ คราวนี้ขอกลับไปบินยาวซัก 12 ชั่วโมงนะจ๊ะ




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:44:08 น.   
Counter : 2200 Pageviews.  


Meet Baba and Nyonya in Singapore (2)

วันที่ 2 กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งที่ Universal Studios Singapore

สภาพอากาศในเช้าวันที่ 2 เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะฝนตกปรอยๆตั้งแต่เช้ามืด เราก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันหยุดตกเร็วๆ โปรแกรมในการไปเที่ยว Universal Studios Singapore ในวันนี้จะได้คุ้มค่าที่สุด เราออกจากที่พักเวลาประมาณ 8 โมงเช้า นั่ง MRT สายสีม่วงจาก Chinatown ไปอีกแค่ 2 สถานีคือ Harbourfront ที่สถานี Harbourfront นี้จะมีห้าง Vivo City อยู่ ให้หาทางออกที่จะไป Vivo จริงๆจะมีป้ายบอกทางไป Sentosa Express ก็ให้ไปตามนั้นเลย ขึ้นไปที่ห้าง Vivo ชั้น 3 จะมีบริการรถไฟโมโนเรล (Sentosa Express) จากฝั่งตัวเมืองสิงคโปร์ไปยังเกาะเซนโตซ่าที่เป็นที่ตั้งของ Universal Studios Singapore เสียค่าบริการ 3 เหรียญ (ไป-กลับ) ตอนนี้สามารถใช้ Ez-link หักค่าบัตรได้ด้วย หรือจะซื้อบัตรผ่านหน้าเค้าท์เตอร์หรือผ่านเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติก็ได้ นอกจากโมโนเรลแล้ว เรายังสามารถข้ามไปยังเกาะเซนโตซ่าจากสถานี Harbourfront ได้ด้วยรถบัสสาย RW8 ที่หน้าป้ายรถเมล์ Harbourfront (2 เหรียญ) หรือกระเช้าลอยฟ้า (แต่ตอนที่เราไปนี้ปิดให้บริการ น่าจะเปิดอีกทีปลายปี 2553)


เรานั่ง Sentosa Express จากสถานี Harbourfront ไปลงที่สถานีแรกคือสถานี Waterfront ถ่ายรูประหว่างทางเข้า Universal Studios ไปเรื่อยๆจนใกล้เวลาเปิด 9 โมงเช้า ก็รีบไปต่อแถวเข้าเพื่อตรวจตั๋ว (ทั้งๆที่ตอนนั้นก็คนน้อยมากอ่ะนะ ไม่รู้จะรีบวิ่งไปทำไม) ลืมบอกไปว่าตั๋วเข้า Universal Studios นี้เราซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต ผ่านเว็บไซต์ของ Resort World Sentosa https://www.rwsentosa.com/Attractions/UniversalStudiosSingapore ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดและประหยัดเวลาได้มากที่สุด เพราะถ้าหากในอนาคตที่ Universal Studios เปิดเต็มรูปแบบหรือแม้กระทั่งวันเสาร์-อาทิตย์ในช่วงนี้ นักท่องเที่ยวคงเยอะมากๆ การที่จะไปต่อแถวซื้อตั๋วที่บูธคงทำให้เสียเวลาเล่นเครื่องเล่นและทำให้หงุดหงิดใจได้ไม่น้อย ราคาตั๋วในช่วงที่เราไปนี้ซึ่งเรียกว่าช่วง Soft opening คือยังเปิดทำการเพียงบางส่วน ยังมีเครื่องเล่นหลายชนิดที่ยังไม่พร้อมให้บริการ แต่ก็ยังไม่เห็นทางเว็บบอกว่าจะหมดช่วง soft opening นี้เมื่อไหร่นะ ราคาตั๋วจะแบ่งออกเป็นหลายประเภท แยกตามวันและจำนวนวันที่จะมาเที่ยวและยังแยกตามอายุของนักท่องเที่ยว โดยตั๋วที่คนส่วนใหญ่ซื้อก็คือ One Day Weekday หรือ Weekend Pass สำหรับผู้ใหญ่ คือเที่ยว 1 วัน ถ้าวันธรรมดาจันทร์-ศุกร์ ราคาใบละ 66 เหรียญ วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดวันสำคัญของสิงคโปร์จะราคาใบละ 72 เหรียญ ซึ่งการเที่ยวใน Universal Studios Singapore (USS) นี้ วันเดียวก็เพียงพอ ครบถ้วนแถมยังมีเวลาเล่นเครื่องเล่นบางเครื่องได้ตั้งหลายรอบเลย เพราะว่าช่วงที่เราไปนี่เป็น soft opening ทาง USS ก็เลยเหมือนจะเรียกว่าชดเชยที่เราไม่สามารถเล่นเครื่องเล่นบางเครื่องได้โดยการให้ meal voucher 10 เหรียญ และ retail voucher 5 เหรียญ ไปซื้ออาหารและของที่ระลึกภายใน USS ได้ ซึ่ง voucher นี้สามารถไปรับได้ทันทีที่ ห้องguest services หลังจากยื่นตั๋วผ่านเข้าไปใน USS แล้ว อยู่ทางซ้ายมือ สำหรับ meal voucher เราคิดว่าคุ้มมากกกก เพราะว่า 10 เหรียญนี่กินกันอิ่มอืดกันเลยทีเดียว ส่วน retail voucher เหมือนจะหาซื้อของให้พอกับเงิน 5 เหรียญนี่ลำบากมากเหลือเกิน ของที่ระลึกที่ดูพอจะเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้นี่แต่ละอันราคาก็ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเราก็ต้องเพิ่มเงินเองอีกพอสมควรเพื่อให้พอกับราคาของที่อยากได้ สร้างรายได้ให้ USS มหาศาลจริงๆ เพราะทุกคนที่ได้ voucher ก็เสียดายถ้าจะไม่ซื้อของและทิ้ง voucher 5 เหรียญไปฟรีๆ (ทั้งๆที่ voucher นี้มันก็ได้มาฟรีนะ อันนี้ก็งง แต่ตัวเองก็เป็น) ไอ่ครั้นจะหาของที่ถูกใจและราคาอยู่ใน 5 เหรียญนี่มันก็เรียกได้ว่าไม่น่าจะมีอ่ะ สุดท้ายก็อย่างที่บอก ต้องเพิ่มเงินกันแทบทั้งนั้น การตลาดเค้าใช้ได้เลย

พอรับ voucher เรียบร้อยแล้ว เราก็หยิบแผนที่ภายใน USS ที่อยู่ในห้อง guest services เหมือนกัน กางออกดูเพื่อวางแผนการเที่ยวทันที USS จะแบ่งเครื่องเล่น จุดแสดงโชว์และร้านค้าออกเป็นโซนๆ ตามการตกแต่ง สไตล์และธีมของภาพยนตร์ที่นำมาเป็นจุดขายของ USS โดยจะแบ่งออกเป็น 7 โซน (เดินวนทวนเข็มนาฬิกา) ตามนี้เลยค่ะ

โซน Hollywood – โซนนี้ไม่มีเครื่องเล่นอะไร มีแต่ร้านค้าขายของที่ระลึกแล้วก็จะมีตัวละครในหนังเดินออกมาให้พวกเราร่วมต่อแถวถ่ายรูปเป็นบางเวลา อย่างเช่นพี่ Frankenstein นกหัวขวาน Woody Woodpecker หรือ “โป” แพนด้ายักษ์จากกังฟูแพนด้า อ้อ! มีหนึ่งโชว์ที่สามารถเข้าไปดูได้ก็คือโชว์ MONSTER ROCK ที่ Pantages Hollywood Theatre โชว์ยาวประมาณ 20 นาที เปิดแสดงเป็นรอบๆ (เวลาแสดง 11.00, 13.00, 15.00 และ 17.00 น.) เป็นโชว์ออกแนวมิวซิเคิล ตัวละครเป็นสัตว์ประหลาดหรือผีฝรั่งที่ถูกปลุกออกมาแล้วก็มาร้องเพลงแนว rock-n-roll อะไรทำนองนี้ มีร้องและเต้นเพลง nobody เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษด้วย โดยรวมโชว์ก็โอเคนะ เสียงร้องพี่เค้าสุโค่ยมากกกก มากจริงๆ โดยเฉพาะคุณพี่ผีผู้หญิงตัวอ้วนๆ ใส่ชุดสีขาว เยี่ยมยอดเป็นที่ซู้ด ตอนแรกเกือบจะหลับละ เพราะเข้าไปดูโชว์รอบบ่ายสาม กำลังเหนื่อยได้ที่เลย พอเคลิ้มๆซักหน่อย คุณพี่อวบอ้วนคนนี้ร้องโชว์พลังเสียงยิ่งกว่าเคพีเอ็นอวอร์ดจี๊ดขึ้นมา เราก็เลยตาเหลือกมาดูพี่คนนี้ทันที หลับไม่ลง


โซน New York – โซนนี้ก็ไม่มีเครื่องเล่นเหมือนกัน แต่มีโชว์ที่น่าสนใจและน่าทึ่งมากๆโชว์หนึ่งก็คือ Lights, Camera, Action! สร้างสรรค์โดยคุณสตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นโชว์แสดงถึงพลังของสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กซ์ที่สมจริงมากๆ โดยเค้าจะจำลองสถานการณ์ที่พายุเฮอร์ริเคนกำลังเข้าถล่มเมืองนิวยอร์ก มีพายุกรรโชกแรง ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง น้ำท่วม บ้านเรือนเสียหาย เรือแตก เกิดระเบิด ส่งเสียงดังสมจริงมากๆจนผู้ชมที่เป็นเด็กน้อยคนนึงยืนอยู่แถวหน้าถึงกับร้องไห้ไม่หยุดเลย แถมผู้ชมแถวหน้าก็จะได้เปียกปอนเล็กๆน้อยๆตอนที่พายุมันซัดเข้าฝั่งด้วย สนุกน่าทึ่งดีจริงๆ

โซน Sci-Fi City – โซนนี้น่าจะเป็นไฮไลท์ของ USS เลยก็ว่าได้ แต่น่าเสียดาย น่าเสียใจ >_< ที่ช่วง soft opening นี้ สุดยอด 2 เครื่องเล่นไฮไลท์ยังไม่เปิดให้บริการซะงั้น คือเท่าที่เสิร์ชรีวิวในเน็ตก่อนจะไปสิงคโปร์ก็เหมือนว่าช่วงอาทิตย์แรกที่ USS เปิด เครื่องเล่น 2 เครื่องนี้คือ Battlestar Galactica CYLON (รถไฟเหาะตีลังกาแบบห้อยขา) และ HUMAN (รถไฟเหาะไม่ตีลังกา) มีการทดลองเปิดให้เล่นแล้ว แต่ไหงสุดท้ายตอนนี้ไม่เปิดแล้วก็ไม่รู้

โซน Ancient Egypt – โซนนี้เป็นธีมจากภาพยนตร์เรื่อง The Mummy ซึ่งก็จะมีเครื่องเล่นชนิดหนึ่งที่พวกเราชาวคณะโหวตกันแล้วว่าเป็นเครื่องเล่นที่มันส์ที่สุดในครั้งนี้นั่นก็คือ Revenge of the Mummy รถไฟเหาะภายในถ้ำอันมืดมิด ระหว่างทางคุณก็จะพบกับสิ่งลี้ลับในหนังเรื่องเดอะมัมมี่ รถไฟเหาะมีทั้งดึงเราขึ้นไปสูงสุดแล้วก็ทิ้งดิ่งลงจุดต่ำสุด แถมด้วยการเหวี่ยงซ้ายกระชากขวาตลอดเวลา ออกมาถึงกับมึนแต่ก็มันส์มากโดยเฉพาะรอบที่ 2 ที่เล่น เพราะว่ารอบแรกที่เรานั่งเนี่ยมันยังเช้าอยู่ ขบวนรถ 1 รอบจะนั่งได้ 4 แถวแถวละ 4 ที่นั่งรวม 16 คน แต่ขบวนของเรานี่มีคนนั่งอยู่แค่ 4 คน ด้วยความที่เป็นรอบแรก ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องไปเจออะไรบ้าง (ทางเดินเข้าเครื่องเล่นนี้ก็ไกล๊ไกล จนตอนแรกนึกว่าเอ่อนี่มันเป็นบ้านผีสิงแถมให้ด้วยรึฟระ) เพื่อนร่วมทางรอบนี้ก็น้อยเหลือเกิน พอตอนเล่นรอบแรกก็เลยแบบว่าหลับตาปี๋ กรี๊ดดดดนำทางตลอดเวลา ยอมรับว่ากลัวมากๆอ่ะ พอรถไฟกระชากทีงี้หัวใจจะหยุดเต้น ตอนขาออกทาง USS เค้ามีถ่ายรูปตอนเราเล่นเครื่องเล่นอยู่ไว้ด้วย เป็นภาพที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด แต่พอรอบที่สองที่เรากลับมาเล่นกันแบบครบทีมในตอนบ่ายแก่ๆ ช่วงนั้นคนที่เข้ามาใน USS ก็เยอะแยะมากมายแล้ว เลยทำให้รถไฟเหาะรอบสองนี้คนนั่งเต็มทั้ง 16 ที่ แล้วก็ดูเหมือนว่าทั้ง 16 คนนี้ได้เล่นเครื่องนี้มาแล้วอย่างน้อยรอบนึงด้วย เพราะจากภาพที่ถ่ายออกมารอบสองนี้ทุกคนพร้อมใจกันยกไม้ยกมือชูสองนิ้วตลอดแถมยังยิ้มหน้าตาระรื่นให้อีกตะหาก ย้ำว่าทั้ง 16 คนเป็นเหมือนกันหมด ฮาดีจริงๆ มีเด็กผู้ชายคนนึงในรอบของเราทำท่าเหมือนอุลตร้าแมนกำลังเหาะอยู่ด้วย น้องน่ารักมากๆ พอมองเหลือบไปดูรูปของคนรอบอื่นๆ มีอยู่รอบนึง คุณพี่ผู้ชายคนนึงแกแน่มาก คุณพี่แกสามารถรู้ว่ากล้องที่จับภาพอยู่ตรงไหน แกหันหน้าไปมองกล้องแล้วก็ชูสองนิ้วให้ด้วย คุณพี่คนนี้ได้โล่ไปเลย เก่งจริงๆ
นอกจากเครื่องเล่นหวาดเสียวแล้ว โซนอียิปต์นี้ก็ยังมีเครื่องเล่นสำหรับคุณหนูเด็กน้อยด้วยก็คือ Treasure Hunter เป็นรถจี๊ปให้นั่งวนรอบๆดูบรรยากาศในยุคอียิปต์ เหมือนกับว่าเป็นอินเดียน่า โจนส์ไปหาสมบัติอะไรประมาณนั้น

บรรยากาศภายใน Treasure Hunter


โซน The Lost World – โซนที่ตั้งชื่อตามภาคหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park มีเครื่องเล่นไฮไลท์หนึ่งที่เหมือนกับเครื่องเล่นชื่อเฮอร์ริเคนที่แดนเนรมิต (ถ้าคุณแก่พอ) ชื่อว่า Jurassic Park Rapids Adventure เป็นล่องแก่งแบบวงกลมนั่งได้รอบละ 9 คน นั่งล่องไปชมบรรยากาศภายในยุคจูราสสิก สุดท้ายก็จะพาเข้าถ้ำมืดๆแล้วยกเราขึ้นไปสูงๆ แหงนหน้าไปเจอไดโนเสาร์ยื่นปากมาจะงาบหัวเรา (กล้องจะถ่ายรูปช่วงนั้น อยู่ทางขวาถ้าหันหน้าตามไดโนเสาร์) จากนั้นล่องแก่งก็จะไหลลงมาเหมือนลงสไลเดอร์สู่พื้นน้ำเปียกปอนกันไปหมด เจ้าเครื่องเล่นนี้เราก็ได้เล่น 2 รอบเหมือนกัน รอบแรกนี่สุดยอดจริงๆ คือด้วยความที่ยังเช้าอยู่ ไม่มีคนขึ้น นั่งกัน 2 คน แถมนั่งติดกันอีก เดาว่าน้ำหนักมันก็เลยไม่สมดุล ดันหนักอยู่ข้างเดียว ตอนที่ล่องแก่งมันสไลด์ลงมากระแทกพื้นน้ำ น้ำก็เลยท่วมตัวเราแบบเต็มๆ อ๊ากกกกกกกก จะร้องไห้ เปียกแบบอาบน้ำกันเลยทีเดียว พอตอนรอบที่สองมีคนนั่งเต็ม 9 คน โชคดีหน่อยที่ไม่รู้ว่ามันขึ้นกับตำแหน่งที่นั่งตอนล่องแก่งมันสไลด์ลงมาด้วยมากน้อยแค่ไหน พวกเรานั่งกัน 4 คน มีคนอื่นอีก 5 คน พวกเราเปียกปอนไป 1 คนพร้อมกับอีก 5 คนนั้น ที่เหลืออีก 3 ปลอดภัยดี เปียกเล็กๆน้อยๆให้พอขำๆ
เครื่องเล่นอีกเครื่องหนึ่งที่ทำเอา (คนอื่น) หวาดเสียวก็คือ Canopy Flyer เป็นกระเช้าห้อยขา 2 ที่นั่งหันหลังชนกันรวมเป็น 4 ที่นั่ง แล้วก็เหาะไปตามราง ที่ว่าทำเอา (คนอื่น) หวาดเสียวก็คือระหว่างที่น้องที่ไปด้วยกันเค้ากำลังต่อแถวอยู่ก็เห็นว่าเครื่องเกิดค้างขณะที่มีคนกำลังเล่นอยู่ ซวยละสิ ทีนี้คนที่เล่นอยู่รอบนั้นก็ค้างเต่ออยู่บนกระเช้า จะลงก็ลงไม่ได้ ต้องรอเจ้าหน้าที่มาแก้ไขอย่างเดียว ซึ่งก็ต้องรออยู่บนนั้นนานเป็นสิบๆนาทีกันเลย น่าหวาดเสียวจิตตกกันมากๆ แต่สุดท้ายก็คงจะแก้ไขกันได้ล่ะ เพราะกลับมามองดูอีกทีเครื่องเล่นนี้ก็เล่นได้ตามปกติ คนก็ยืนต่อแถวกันพรึ่บเหมือนเดิม


นอกจากเครื่องเล่นแล้ว โซน The Lost World นี้ก็ยังมีโชว์ที่น่าตระการตาอีกโชว์หนึ่งนั่นก็คือ WaterWorld (เวลาแสดง 12.00, 14.00 และ 16.30 น.) เป็นโชว์ผาดโผน จำลองฉากในภาพยนตร์เรื่อง Water World มาแสดงให้ดูกัน เนื้อเรื่องก็เป็นแบบว่าอยู่ในเมือง Water World มีการแย่งชิงยิงกัน ระเบิดถังแก๊ส เตะต่อย ตีลังกาตกลงมาจากที่สูง สนุกมากๆ ยิ่งถ้าคนที่อยากมีส่วนร่วมเยอะๆ อยากเปียกมากๆ เค้าก็จะมีโซนบอกให้นั่งว่าถ้านั่งแถวเก้าอี้นี้นะจะเปียกโชก ถัดขึ้นมาจากแถวนี้ถึงแถวนี้จะเปียกแบบเบาะๆ หรือถ้าไม่อยากเปียกก็ให้นั่งแถวนี้เป็นต้นไป ก่อนหน้าที่จะเริ่มแสดง นักแสดงก็จะมีการคุยและแสดงร่วมกับผู้ชมเล็กๆน้อยๆก่อนด้วย ซึ่งคนที่นั่งแถวหน้าๆก็เปียกปอนกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มแสดงนี้เลย

โชว์ WaterWorld สุดตระการตา

โซน Far Far Away – โซนนี้เป็นโซนที่เรารอคอย อาจจะดูแอ๊บแบ๊ว แต่ก็เพราะว่าเราเองเป็นแฟนคลับเจ้ายักษ์สีเขียว Shrek ตัวยง ก็เลยอยากที่จะมาดินแดน Far Far Away ของหนังเรื่องนี้มาก ไฮไลท์ของโซนนี้อยู่ที่โชว์ Shrek 4-D Adventure สนุกกกกกกกกกมากกกกกกกก ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เข้าใจความรู้สึก แต่ชอบมากกกกกกกกกก คือเพิ่งรู้เพิ่งเข้าใจว่า 4D เป็นยังไงก็เมื่อได้ดูโชว์นี้ 4D ก็คือนอกจาก 3D ที่ให้คุณรู้สึกเหมือนว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าจะพุ่งออกมาให้คุณสัมผัสได้ D ที่ 4 ที่ทำให้เป็น 4D ก็คือสิ่งที่คุณเห็นในจอ มันออกมาสัมผัสตัวคุณจริงๆ คือสิ่งที่คุณเห็นในจอว่าเค้ากำลังทำอะไร คุณก็กำลังทำแบบเดียวกับเค้าอยู่นั่นเอง อย่างเช่นฉากที่เชร็คกับด๊องกี้นั่งรถม้า รถม้าก็ขย่มไปมา เบาะที่นั่งของเรามันก็ขย่มไปด้วย หรือตอนที่มีแมงมุมออกมาวิ่งพล่านเต็มพื้นไปหมด ก็มีเหมือนอะไรซักอย่างมาจับที่ขาของผู้ชมด้วย เหมือนว่าเป็นแมงมุมพวกนั้นมาเกาะที่ขา หรืออีกตอนที่ใครซักคนพ่นน้ำลายออกมา ก็มีน้ำออกมาโดนหน้าเราด้วย สนุกง่ะ สนุกที่สุด ชอบความรู้สึกเด็กๆอย่างงี้เป็นที่สุด แต่แนะนำว่าถ้าจะดู 4D หรือแม้กระทั่งแค่ 3D ให้สนุก ไม่ปวดเฮดเท่าไหร่ ก็ขอให้เลือกที่นั่งให้อยู่กลางโรงหนังหน่อย เพราะถ้านั่งริมมากๆ เอฟเฟ็กซ์ต่างๆพวกนี้บางทีมันจะทำให้มึนๆเอาได้ ในส่วนเนื้อหาของ Shrek 4-D Adventure ก็เป็นตอนต่อของภาคแรกที่เชร็คกับฟีโอน่ารักและรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของกันและกันแล้ว ทีนี้ก็มีเจ้าชายเมืองหนึ่ง (ใช่ป่าวหว่า) ที่ตอนแรกฟีโอน่าจะต้องแต่งงานด้วยอ่ะ เหมือนว่าตาแก่นี่จะตายเป็นผีไปแล้ว สุดท้ายผีเจ้าชายเนี่ยละก็มาหลอกหลอน มาราวีเชร็ค มาแย่งฟีโอน่าไป เลยเป็นเหตุให้เชร็คและด๊องกี้ต้องออกผจญภัยช่วยฟีโอน่ากลับมา (ในหนังไม่พูดถึงเจ้าแมว Puss In The Boots เลย แต่พอออกมานอกโรงหนังกลับมาคนแต่งชุดเจ้าแมวนี่เดินให้ถ่ายรูปกันใหญ่)
ในส่วนของเครื่องเล่นในโซนนี้ก็มี Enchanted Airways เป็นรถไฟเหาะสำหรับน้องๆหนูๆ ที่จะขี่เจ้ามังกรที่เป็นหวานใจของเจ้าลาด๊องกี้ในเรื่อง เหาะวนไปวนมาให้เพลิดเพลินได้




โซน Madagascar – โซนมาดากัสการ์ ชื่อตามภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่พูดถึงสัตว์ 4 ตัวในสวนสัตว์ในนิวยอร์กที่จับพลัดจับผลูหนีออกจากสวนสัตว์แล้วมาโผล่ที่เกาะมาดากัสการ์ โซนนี้เป็นโซนที่ยังไม่พร้อมให้บริการมากที่สุดน่าจะได้ เพราะเครื่องเล่นไฮไลท์ซึ่งมีขนาดใหญ่มากคือ Madagascar: A Crate Adventure ยังไม่เปิดให้เล่นเลย น่าเสียดายจริงๆ

มื้อกลางวันของเราใน USS วันนี้เป็นการใช้ meal voucher 10 เหรียญไปที่ Discovery Food Court ในโซน The Lost World ภายในฟู้ดคอร์ทจะขายอาหารพื้นเมืองของสิงคโปร์ซะส่วนใหญ่ เรา 6 คนก็เลยเลือกอาหารมาไม่ซ้ำแบบกันก็มีหลักซา (Lak Sa) - เป็นอาหารมาเลย์ คล้ายก๋วยเตี๋ยวผสมขนมจีน แต่รสชาติไม่เข้มข้น บักกุ๊ดเต๋ – น้ำซุปที่มีซี่โครงหมูอ่อนชิ้นโต กินกับข้าวสวย นาสิก เลอมัก (Nasik Lemak) – ข้าวมัน (อ่านหนังสือเจอว่าเอาไปหุงในน้ำกะทิด้วย) กินคู่กับไก่ทอดเครื่องเทศ ปลาเค็ม ถั่วลิสงทอด ไข่เจียว และอะไรซักอย่างที่รสชาติคล้ายๆห่อหมก ข้าวมันไก่ไหหลำ และไก่ทอดเครื่องเทศ

จากซ้ายไปขวา: ข้าวมันไก่ไหหลำ - บักกุ๊ดเต๋ - นาสิก เลอมัก - หลักซา

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญของการมาเที่ยวที่ USS ก็คือการฝากของในล็อคเกอร์ มีเครื่องเล่นหลายชนิดที่ไม่อนุญาตให้นำสัมภาระติดตัวไปด้วยระหว่างเล่น เช่น Revenge of the Mummy แล้วก็พวกรถไฟเหาะ CYLON กับ HUMAN เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีการฝากของกันไว้ในล็อคเกอร์ ล็อคเกอร์ที่ USS นี่มีทั้งที่ฟรีและไม่ฟรีนะคะ ก่อนฝากของก็ต้องอ่านดูกันนิดนึง โซนที่ฝากฟรี (30 นาที) จะอยู่ที่ใกล้เครื่องเล่น Revenge of the Mummy และเหมือนเคยอ่านเจอในรีวิวว่ามีที่ใกล้ๆกับ CYLON ด้วย ถ้าถึงเวลาที่ CYLON เปิดให้บริการจริง ก็สามารถฝากตรงนั้นได้ ส่วนล็อคเกอร์ที่ให้บริการที่โซนอื่นๆเช่นใกล้ๆกับ Jurassic Park Rapids Adventure อันนั้นจะต้องเสียเงิน ล็อคเกอร์ที่นี่หน้าจอเป็นระบบสัมผัส ดูไฮเทคไม่เบา วิธีใช้ก็คือจะมี kiosk ควบคุมการทำงานของล็อคเกอร์ประมาณ 20-30 ตู้หน้าจอของ kiosk จะบอกให้ตั้งรหัส 2 ชั้น หนึ่งคือวันเดือนปีเกิด สองคือเลือกสีที่ชอบ จากนั้นหน้าจอก็จะบอกหมายเลขล็อคเกอร์ที่ว่างอยู่พร้อมกับปลดล็อคให้ เราก็ใส่สัมภาระเข้าไปในล็อคเกอร์ ซักพักหน้าจอจะนับเวลาถอยหลังที่จะปิดตู้ ถ้าเรายังใส่ของไม่เสร็จก็ให้เลือกว่าขอต่อเวลาออกไป อย่าเพิ่งปิดตู้ แต่ถ้าไม่กด หน้าจอก็จะนับถอยหลังจนครบเวลาแล้วล็อคเกอร์ก็จะถูกล็อคอัตโนมัติ เวลาจะมาเปิดเอาของคืนก็แค่กดรหัส 2 ชั้นที่ให้ไว้ตอนฝากของที่หน้าจอของ kiosk เมื่อรหัสผ่านแล้ว หน้าจอก็จะบอกหมายเลขล็อคเกอร์ให้เรารู้พร้อมปลดล็อคให้ เราไม่จำเป็นต้องจำหมายเลขล็อคเกอร์เลยก็ได้ รู้สึกว่าที่หน้าจอจะบอกคำเตือนนิดนึงด้วยว่าถ้ากลัวว่าจะมาเปิดล็อคเกอร์เอาของคืนไม่ทันเวลา ให้เราพกพาสปอร์ตติดตัวไปด้วย เพื่อใช้กรณียืนยันวันเดือนปีเกิดกับรหัสในล็อคเกอร์ ทางเจ้าหน้าที่เค้าจะได้มีหลักฐานว่าเราเป็นเจ้าของสัมภาระในล็อคเกอร์นั้นจริง

ประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆ ฟ้าฝนก็เริ่มไม่เป็นใจอีกแล้ว ฟ้าร้องครืนๆ พวกเราเลยต้องรีบซื้อของที่ระลึกแล้วบอกลา USS ขึ้นรถไฟฟ้า Sentosa express กลับไปยังฝั่งสิงคโปร์ที่ชั้น 3 ของห้าง Vivo City ซึ่งบนชั้นนี้จะมีศูนย์อาหารขนาดใหญ่อยู่ชื่อว่า Food Republic สถานที่ที่เราจะฝากท้องมื้อเย็นในวันนี้ Food Republic เป็นศูนย์อาหารที่มีการตกแต่งที่สวยงามน่าชมมากมาย ออกเป็นแนวโอเรียนทอล วัสดุทำจากไม้ แล้วก็มีป้ายสลักภาษาจีนคล้ายๆแนวโรงเตี๊ยมอะไรทำนองเนี้ย สวยดีชอบๆ ที่นี่เราได้ลองกินบะหมี่ฮกเกี้ยนผัดใส่กุ้งใส่กระทงราคา 4.5 เหรียญ จานใหญ่มากกกก รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว แล้วก็ยังมีไอซ์กะจัง (Ice Kachang) เป็นขนมน้ำแข็งไส กินกับซุปข้าวโพด ถั่วแดง เยลลี่แล้วก็ราดน้ำหวานเขียว-แดง อิ่มอร่อยกันมากๆ


หลังจากอิ่มแปล้กันถ้วนหน้าแล้ว ฝนก็หยุดตกพอดี เราเลยออกจาก Vivo City จับ MRT Harbourfront ไปลงที่ Outram Park แล้วเปลี่ยนเป็นสายสีเขียวเพื่อไปลงที่สถานี Raffles Place สาเหตุที่ต้องกลับไปเดินแถวๆ Raffles Place อีกครั้งก็เพื่อที่จะไปเก็บตกพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่เราไม่ได้เข้าชมเมื่อวานนั่นก็คือ Asian Civilisations Museum (ACM) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับอารยธรรมของคนในภูมิภาคเอเชียแทบทั้งหมด ตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก รวมไปถึงเอเชียตะวันออกกลาง ถ้าใครเคยไปมิวเซียมสยามที่ถนนสนามไชยก็คงจะนึกภาพบรรยากาศออกทันที ที่ Asian Civilisations Museum นี้ก็มีการจัดแสดงในลักษณะคล้ายๆกัน สำหรับค่าเข้าชมที่ ACM นี้ปกติอยู่ที่ 8 เหรียญ เฉพาะค่ำวันศุกร์ ตั้งแต่ 19.00 - 21.00 น. ค่าเข้าชมจะลดราคาพิเศษเหลือเพียง 4 เหรียญเท่านั้น นี่ก็เลยเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราตัดสินใจมาเก็บตกที่นี่ในวันนี้ หุหุ ลดตั้ง 4 เหรียญเชียว

ออกจาก ACM เกือบ 3 ทุ่ม ตอนแรกตั้งใจว่าจะชะแว้บไปเดินเล่นที่ Orchard ซะหน่อย ไปดูแสงสียามค่ำคืน เพราะก็ไม่ได้จะช้อปปิ้งอะไรที่ออชาร์ดอยู่แล้ว ไม่สมฐานะพวกเรา (55+ กล้าพูดเนอะ) แต่พอถามสมาชิกคนอื่น ทุกคนก็ลงความเห็นว่าตอนนี้หมดสภาพกันถ้วนหน้า เพราะกำลังขาที่มีมันหมดไปกับการเที่ยวที่ USS ตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนใจขอไปเก็บตกเมอร์ไลอ้อนยามค่ำคืนแทน จาก ACM ให้เดินข้ามสะพาน Cavenagh ผ่านโรงแรม Fullerton ข้ามถนน ลอดใต้สะพาน ก็จะเจอเมอร์ไลอ้อนแล้ว

คืนนี้หลับสบายไร้กังวล ก่อนนอนมีสมาชิกบางคนได้ประลองฝีมือต่อยมวยกับเกม Wii ที่โฮสเทลด้วย

เล่น Wii กันอย่างเมามัน Credit: A Beary Good Hostel's Facebook




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:42:52 น.   
Counter : 1018 Pageviews.  


Meet Baba and Nyonya in Singapore (1)

วันที่ 1 Meet Baba and Nyonya in Singapore

สำหรับคนที่ได้ดูละครอิมพอร์ตสัญชาติสิงค์โปร์ที่กำลังฉายอยู่ช่วงหัวค่ำทางช่องไทยพีบีเอส คงจะคุ้นหรือเข้าใจความหมายของหัวข้อทริปในครั้งนี้เป็นอย่างดี Baba – Nyonya หรือบ้าบ๋า – ย่าหยา เป็นชาวเปอรานากัน (Peranakan) คือกลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน และสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการนำเอาส่วนดีระหว่างจีน และมลายูมารวมกัน โดยที่บ้าบ๋าและย่าหยาคือชื่อเรียกชายและหญิงชาวเปอรานากัน (คัดลอกมาจากวิกิพีเดีย) ชาวเปอรานากันในปัจุบันนี้อาศัยอยู่ทั้งในจ.ภูเก็ต ประเทศไทย มาเลเซียและในสิงคโปร์อันเป็นต้นเหตุในการเลือกชื่อทริปในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดจริงๆแล้วเราก็ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนถึงถิ่นที่ชาวเปอรานากันในสิงคโปร์ได้อาศัยอยู่จริงๆ แต่ก็ยังได้สัมผัสกลิ่นอายของบ้าบ๋าและย่าหยาผ่านอาหารบางมื้อที่เราได้ลิ้มลองกันที่สิงคโปร์

ทริปนี้ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 3 วัน 2 คืนในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ มีสมาชิกมากกว่าทริปที่ผ่านๆมา แล้วก็เป็นทริปที่จัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่มีสาเหตุและใช้เวลาเตรียมตัวน้อยที่สุด ด้วยความที่เซ็ททริปล่วงหน้าเพียงแค่ 1 เดือน ทางเลือกในการซื้อตั๋วเครื่องบินจึงมีไม่มากนัก เราเลือกใช้สายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติออสเตรเลียอย่าง Jetstar และเลือกราคาตั๋วที่ประหยัดที่สุดคือราคาที่ไม่สามารถนำสัมภาระเช็คอินเข้าใต้ท้องเครื่องบินได้ อนุญาตให้เฉพาะถือติดตัวขึ้นเครื่องด้วยน้ำหนักไม่เกิน 7 กก. และยังจำกัดด้วยขนาดของกระเป๋าที่จะต้องอยู่ในมิติ 56 x 36 x 23 ซม. ไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมเสียเงินเพิ่มอีกเที่ยวละ 700 บาทเพื่อจะสามารถโหลดกระเป๋าเก็บใต้ท้องเครื่องบินได้ (เรื่องอะไร เชอะ...) เครื่องบินของสายการบิน Jetstar เที่ยวบินที่ 3K 512 ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิเวลา 9.25 น. ใช้เวลาเดินทาง 2.15 ชม. ถึงท่าอากาศยานชางฮี สิงคโปร์เวลา 12.40 น. (เร็วกว่าไทย 1 ชม.)


หลังจากเสร็จพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้วเราก็จะต้องหาทางไปเช็คอินที่ที่พัก วิธีหนึ่งที่สะดวกที่สุดที่จะเข้าสู่ตัวเมืองสิงคโปร์ก็คือการขึ้นรถไฟใต้ดิน (MRT) จาก terminal 1 ที่เราอยู่ในขณะนี้ ให้มองหาป้ายที่เขียนว่า Skytrain to T2 เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าเชื่อมต่อไปยัง terminal 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานี MRT Changi เมื่อถึง MRT Changi ก็ให้ไปซื้อตั๋วรถไฟ สำหรับนักท่องเที่ยวแล้วตั๋วรถไฟที่เหมาะสมที่สุดมีอยู่ 2 ประเภทคือ Singapore Tourist Pass เป็นตั๋วที่คิดราคาค่าตั๋วเป็นรายวันวันละ 8 เหรียญ จำนวนวันท่องเที่ยวมากสุดคือ 3 วัน บวกกับค่ามัดจำค่าตั๋วอีก 10 เหรียญซึ่งสามารถนำมาขอคืนได้ภายใน 5 วันหลังจากซื้อบัตร Singapore Tourist Pass นี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟ รถเมล์ได้ไม่จำกัดเที่ยว เหมาะสำหรับคนที่จะเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะเยอะมากๆ หรือกลัวว่าจะหลง ในขณะที่บัตรอีกประเภทหนึ่งคือ Ez-link card เป็นบัตรสารพัดประโยชน์เหมือนกันคือสามารถใช้ขึ้นรถไฟ รถเมล์ ชำระค่าแท็กซี่ได้ ค่าบัตรขั้นต่ำสำหรับการซื้อครั้งแรกคือ 15 เหรียญ โดยเป็นค่าบัตร 5 เหรียญ (ไม่สามารถขอคืนได้) และค่าโดยสาร 10 เหรียญ เติมเงินขั้นต่ำครั้งละ 10 เหรียญ เราเลือกซื้อบัตร Ez-link card เนื่องจากคำนวณค่าใช้จ่ายตามแผนแล้วน่าจะคุ้มกว่า (ลองคำนวณค่าเดินทางได้จากเว็บ SMRT https://www.smrt.com.sg/main/index.asp)



เมื่อซื้อ Ez-link card แล้วก็ออกเดินทางได้ ที่พักของเรา A Beary Good Hostel อยู่ที่ MRT Chinatown เพราะฉะนั้นจะต้องนั่ง MRT สายสีเขียวจาก Changi ไปลงที่ Outram Park (อ่านว่าอูแทรม) แล้วต่อสายสีม่วงอีก 1 สถานีไปลง Chinatown ใช้เวลาประมาณ 50 นาที รถไฟจากสถานี Changi ทุกขบวนจะต้องไปจอดที่สถานี Tanah Merah ให้เราออกจากรถไฟแล้วไปรอรถไฟอีกขบวนที่จะไปต่อจากสถานี Tanah Merah เมื่อถึงสถานี Chinatown ให้ออกที่ Exit A ทางออกรถไฟฟ้าจะขึ้นมาโผล่กลางถนน Pagoda อันเป็นที่ตั้งของโฮสเทลหมีดีเลย นี่ถึงเป็นสาเหตุที่เราเลือกโฮสเทลหมีดี แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ โฮสเทลนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามากๆ เพียงแค่ 10 sheltered steps walk อย่างที่ในเว็บไซต์เค้าโฆษณาไว้จริงๆ โฮสเทลเพิ่งเปิดบริการเมื่อกลางเดือนก.พ. 53 นี้เอง จึงทำให้สภาพภายในโฮสเทลยังใหม่อยู่มาก การตกแต่งภายในก็ตกแต่งด้วยสีอันจัดจ้านเหมือนโรงเรียนอนุบาล จากสไตล์การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดไม่บอกก็รู้ว่ามาจาก IKEA เป็นโฮสเทลที่น่ารักน่าอยู่มากจริงๆ ห้องที่เราพักเป็น dorm สำหรับ 10 คน แต่เราเหมายกห้องทั้งๆที่มากันแค่ 6 คนเท่านั้น เพื่อแลกกับความเป็นส่วนตัว เพราะพอบวกลบคูณหารค่าห้องกับความสะดวกของการเดินทางมาโฮสเทลและความเป็นส่วนตัวแล้วก็ยังคุ้มอยู่มาก ราคาที่พักคืนละ 20 เหรียญต่อคนสำหรับคืนวันจันทร์-พฤหัส และ 23 เหรียญต่อคนสำหรับคืนศุกร์-อาทิตย์ ห้องพักที่เราทางโฮสเทลเลือกให้เป็นห้องที่อยู่ชั้น 2 หลังเค้าท์เตอร์ reception เลย ใกล้และปลอดภัยมากขึ้นไปอีก ห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่นี่เป็นห้องรวม มีห้องอาบน้ำ 3 ห้อง ห้องส้วม 1 ห้อง (ที่เป็นห้องอาบน้ำด้วย) ราคาห้องพักนี้รวมอาหารเช้าแบบง่ายๆแล้ว มีอินเตอร์เน็ตและ Wifi ให้เล่นฟรี แถมยังมีเกม Wii ให้เล่นด้วย สต๊าฟน่ารักและใจดีทุกคน ชอบๆ


บรรยากาศภายใน A Beary Good Hostel


เช็คอินและเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาหาข้าวกลางวันมื้อแรกของสิงคโปร์ที่ Maxwell food center ซึ่งเป็นศูนย์อาหารที่มีชื่อแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ ลืมบอกไปว่าอากาศที่สิงคโปร์ร้อนมากกกก และเป็นความร้อนแบบเหนอะหนะด้วย จริงๆก็เหมือนเมืองไทยนั่นล่ะ ดูแล้วเมืองไทยจะร้อนกว่าด้วยซ้ำ แต่ที่สิงคโปร์นี่มันเป็นเกาะไง เพราะฉะนั้นอากาศที่มันร้อนก็จะเป็นร้อนแบบฝนจะตก แล้วฝนมันก็จะตกจริงๆนั่นล่ะ เมื่อตอนลงจากเครื่องบิน แดดก็จัด ฟ้าก็สด แต่พอตอนนี้ท้องฟ้างี้อย่างครึ้มมม เมฆวิ่งแข่ง 4 x 100 กันเลยทีเดียว กลับมาที่ Maxwell ที่นี่เป็นศูนย์อาหารแบบเปิดโล่ง ทำให้เราต้องกินอาหารกลางวันแบบเคล้าเหงื่อ ร้านค้าตอนที่ไปนี่เปิดไม่ค่อยเต็มพื้นที่เท่าไหร่ อาจเป็นเพราะมันเป็นช่วงบ่ายสามโมงซึ่งไม่ใช่เวลากินข้าว ร้านอาหารแนะนำที่นี่ก็คือข้าวมันไก่ไหหลำเทียน เทียน เราสั่งบะหมี่แห้งหมูแดงก็อร่อยดีเหมือนกัน เส้นบะหมี่เล็ก เหนียวนุ่ม แล้วก็ยังมีขนมผักกาดที่ดูเหมือนหอยทอด รสชาติโอเค


อาหารมื้อแรกที่ Maxwell Food Center


ออกจาก Maxwell เราเดินตามถนน Maxwell ผ่าน Red dot design museum ซึ่งเป็นตึกยาวหลังสีแดง ภายในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานการออกแบบสมัยใหม่ที่ได้รับรางวัลจาก Red dot design ค่าเข้าชมคนละ 8 เหรียญ ปิดทุกวันพุธและพฤหัส (ซึ่งเราไม่ได้เข้าชม ต้องรีบทำเวลา) เดินต่อไปเรื่อยๆจะเจอสถานีรถไฟใต้ดิน Tanjong Pakar เราก็จับ MRT สายสีเขียวต่อไปยังสถานี City hall พอขึ้นมาโผล่บนดินเริ่มสู่การเดินทางเดินชมตึกรามบ้านช่อง สถานที่สำคัญของใจกลางสิงคโปร์ เริ่มจากให้หันรอบตัวมองหาโบสถ์สีขาวซึ่งก็คือโบสถ์ St Andrew’s เราเดินผ่านโบสถ์ไป เพื่อไปแวะที่ City hall และ Old supreme court เป็นที่แรก วันที่เราไปนั้นมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปแต่งงานที่นี่ด้วย ก็ที่นี่น่าถ่ายรูปอยู่จริงๆ ทั้ง City hall และศาลฎีกาเก่านี้เป็นอาคารโบราณสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป โดยที่ City hall นี่ก็สร้างมาตั้งแต่ปี 1929 แล้ว ระหว่างตึก City hall กับ Old supreme court จะมองเห็น Supreme court หลังใหม่อยู่ด้านหลัง ซึ่งตัวอาคารหน้าจะเหมือนจานบินยูเอฟโอมากมาย ไม่รู้ว่าได้แรงบันดาลใจแต่ใดมาเหมือนกัน ดูอวกาศมากๆ






เยื้องไปอีกฝั่งถนนตรงสามแยกจะเป็น The arts house at the old parliament ซึ่งอาคารหลังนี้มีความสำคัญสำหรับคนไทยทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะด้านหนึ่งของอาคารจะมีรูปปั้นช้างซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้สิงคโปร์ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2414 ที่ฐานของรูปปั้นมีคำจารึกเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษถึงที่มาของรูปปั้นรูปนี้ด้วย เดิมอ้อมมาทางซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆจนเจอแม่น้ำสิงคโปร์ขวางหน้าจะเป็นอนุสาวรีย์ของท่านเซอร์โทมัส สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ ผู้ที่เป็นที่รู้จักกันในนาม “บิดาแห่งประเทศสิงคโปร์” ท่านเซอร์เป็นผู้บริหารประเทศสิงคโปร์สมัยที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งเค้าว่ากันว่าบริเวณอนุสาวรีย์นี้เป็นบริเวณที่ท่านเซอร์มาเหยียบแผ่นดินสิงคโปร์บริเวณนี้เป็นที่แรก จึงเรียกบริเวณนี้ว่า Raffles’s landing site นั่นเอง (ข้อมูลจากวิกิพีเดียและคุณทนายเจ้าหนูนัทจากเว็บพันทิป)


จากอนุสาวรีย์ท่านเซอร์ เดินเลียบแม่น้ำสิงคโปร์ไปทางซ้ายจะเจอ Victoria theatre and concert hall ซึ่งเราได้แต่เดินผ่านอย่างรีบด่วน เพราะตอนนั้นฟ้าครึ้มสุดๆ แถมส่งเสียงร้องอีกต่างหาก คาดว่าฝนคงจะตกหนักในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราจึงต้องรีบเดินไปให้ถึงสะพาน Cavenagh ซึ่งตอนนี้เป็นสะพานคนเดินอย่างเดียวเพื่อข้ามไปยังฝั่งโรงแรม Fullerton โรงแรมเก่าแก่และสุดหรูแห่งหนึ่งของสิงคโปร์

เดินผ่านโรงแรม Fullterton มาทาง Esplanade Drive ข้ามถนนไป เดินลงสะพานแล้วเลี้ยวขวาก็จะเจอสัญลักษณ์สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของสิงคโปร์นั่นก็คือเจ้าเมอร์ไลอ้อน รูปปั้นครึ่งสิงโตครึ่งปลานั่นเอง ตอนที่เราไปนั้นฝนใกล้จะตกแบบสุดๆแล้ว พวกเราก็ต้องสวมวิญญาณปาปารัสซี่ รีบถ่ายรูปแชะๆๆ หาได้เล็งหามุมและการปรับแสงให้สวยงามไม่ คิดอยู่อย่างเดียวว่าขอให้ได้ถ่ายๆไปก่อน เดี๋ยววันที่เหลืออาจมีโอกาสได้มาถ่ายซ่อม

จากเมอร์ไลอ้อนนี้มองรอบๆแม่น้ำสิงคโปร์ก็จะเห็นตึกหนามทุเรียนหรือโรงละคร Esplanade รวมทั้งชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Singapore Flyer เด่นเป็นสง่าอยู่ฝั่งตรงข้าม พอรีบๆถ่ายให้เสร็จ ก็ได้เวลาประมาณ 5 โมงครึ่ง จุดมุ่งหมายต่อก็คือการได้กินอาหารเย็นกับเมนูสุดอร่อยตามคำร่ำลือ นั่นก็คือปูศรีลังกาผัดพริก (Chilli crab) เราเลือกร้าน No Signboard ที่อยู่ที่ Esplanade เพราะเห็นว่าใกล้และเหมาะสมกับแผนการเดินทางของเราเป็นที่สุด ว่าแล้วเราก็รีบข้ามสะพานที่เลียบ Fullerton Road และ Esplanade Drive ไปยัง Esplanade แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผนอย่างแรกของทริปนี้ก็เกิดขึ้น นั่นก็คือพอเราตามหาร้าน No Signboard ที่ Esplanade จนเจอ ก็กลับพบว่าร้านนี้เค้ามีเนมมากจริงๆ เพราะโต๊ะทุกโต๊ะถูกจองไว้หมดแล้ว แล้วเค้าก็ไม่รับลูกค้า walk-in ด้วย (ไม่รู้ว่าทุกเวลาหรือเปล่า แต่คิดว่าคงไม่ คงเฉพาะช่วงมื้ออาหารเท่านั้น) โต๊ะจะว่างอีกทีก็หลังสามทุ่มโน่น ณ จุดนี้ก็เลยเอิ่มมมมมม ซวยละ จะทำไงดีเนี่ย จะไปไหนก็ไม่ได้แล้ว ฝนตกกระหน่ำซะขนาดนี้ พวกเราเลยต้องมานั่งรอฝนและนั่งจิตตกอยู่พักนึงใน Esplanade สักพักก็เลยคิดและปรึกษากันได้ว่าเราจะต้องปรับแผนกันหน่อย ด้วยความที่ยังไง้ ยังไง (เราคนเดียว) ก็จะต้องกินไอ่ปูผัดพริกนี้ให้ได้ แล้วก็คงต้องร้านนี้ด้วย เพราะร้านอื่นมันไม่อยู่ในแผน ขี้เกียจหาในแผนที่ เราก็เลยตัดสินใจเดินกลับไปขอจองโต๊ะรอบสามทุ่มเอาไว้ แล้วสลับแผนหลังกินข้าวขึ้นมาก่อน ว่าแล้วเราก็จัดแจงไปจองโต๊ะและเดินออกจาก Esplanade (ฝนหยุดตกพอดี) มุ่งไปยัง Suntec city เพื่อไปดูน้ำพุแห่งความมั่งคั่งหรือ Fountain of wealth

Fountain of wealth เป็นน้ำพุที่สูงที่สุดในโลก เวลา 20.00 20.30 และ 21.00 น. ของทุกวันจะมีการแสดงน้ำพุพร้อมแสง สี เสียง น่าเสียดายที่พวกไปตอนหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว จะรอให้ถึงสองทุ่มก็กลัวว่าจะไป Singapore Flyer และกินข้าวตอนเวลาที่จองไว้ไม่ทัน ก็เลยได้แต่เข้าไปสัมผัสน้ำพุแล้วอธิษฐาน (ซึ่งมีช่วงเวลาเฉพาะที่อนุญาตให้สัมผัสน้ำพุเท่านั้นด้วยนะ นั่นคือเวลา 9.00-12.00, 14.00-16.00, 19.00-19.50 และ 21.30-22.00 น.) ตามป้ายเขียนไว้ว่าให้ใช้มือขวาสัมผัสน้ำพุ แล้วเดินเป็นวงกลม 3 รอบพร้อมอธิษฐาน คุณก็จะได้ตามคำขอ

ออกจาก Fountain of wealth เราเดินจาก Suntec city ต่อไปยังอีกหนึ่งไฮไลท์ประจำทริปและประจำวันแรกนี้ นั่นก็คือการได้นั่งชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ Singapore Flyer นั่นเอง สิงคโปร์ฟลายเออร์เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2551 การได้ขึ้นไปนั่งบนชิงช้าหรือแคปซูลที่สิงคโปร์ฟลายเออร์ด้วยความสูงถึง 165 เมตรนั้นจะทำให้เราได้เห็นทัศนียภาพของสิงคโปร์แบบ 360 องศา การซื้อตั๋วขึ้นสิงคโปร์ฟลายเออร์นั้นแนะนำให้ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตค่ะ เพราะสะดวกสบายและได้ลดราคาถึง 20% ด้วย สิงคโปร์ฟลายเออร์เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30 – 22.30 น. ไม่มีการระบุรอบ เพราะฉะนั้นเมื่อซื้อตั๋วแล้วเราจะมาใช้บริการในวันนั้นตอนกี่โมงก็ได้ 1 รอบในการนั่งแคปซูลใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากการนั่งชมวิวของสิงคโปร์บนสิงค์โปร์ฟลายเออร์แล้ว ที่สิงคโปร์ฟลายเออร์ก็ยังมีบริการดินเนอร์ระหว่างนั่งชมอีกด้วย โอ้ววว เก๋ เริ่ดดดด แต่ก็อ่านะ ก็ต้องเสียตังค์เพิ่มและเสียแพงเสียด้วย


เราเดินจาก Suntec ไปสิงคโปร์ฟลายเออร์น่าจะใช้เวลาจริงๆประมาณไม่เกิน 20 นาที แต่พวกเราใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะไปเดินงมๆตามแผนที่กันอยู่พักนึง ที่สำคัญขาเริ่มอ่อนแรงและกระเพาะเริ่มร้องโครกคราก ระหว่างทางขึ้นไปบนแคปซูลก็จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ เขียนบอกประมาณว่า Flight entrance, boarding อะไรทำนองนี้ ทำเหมือนจะขึ้นเครื่องบินยังไงยังงั้น ก็ขำๆกันไปดี การได้เห็นวิวทิวทัศน์ของสิงคโปร์ยามย่ำคืนผ่านสิงคโปร์ฟลายเออร์นั้นเป็นภาพที่น่าประทับใจมากเลยทีเดียว แสงไฟระยิบระยับทั่วเมืองไปหมด ถึงแม้จะทำให้ถ่ายรูปตัวเราเองยากซักหน่อย แต่รูปบรรยากาศภายนอกนั้นถ่ายมุมไหนก็สวย ทำให้ 30 นาทีที่อยู่ในแคปซูลผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน

สิงคโปร์ยามค่ำคืน เมื่อมองผ่าน Singapore Flyer


ออกจากสิงคโปร์ฟลายเออร์ปุ๊บ พวกเราก็รีบบึ่ง (เดินเร็ว) กลับไปที่ Esplanade อีกครั้ง ใช้เวลาเดินประมาณเกือบ 20 นาที แล้วเราก็ไปถึงร้าน No Signboard Seafood ร้านที่รอคอยอีกครั้ง เวลานั้น 21.00 น.พอดีเป๊ะ ลูกค้าภายในร้านยังเยอะอยู่เลย ถึงแม้จะไม่เต็มร้านก็เถอะ เราสั่งปูศรีลังกาผัดพริก (Chilli crab) คู่กับ bun หรือหมั่นโถวทอดเอาไว้กินคู่กับปูผัดพริก โดยให้เอาเจ้าหมั่นโถวนี่กวาดน้ำซอสของปูผัดพริกแล้วกินเข้าไป เค้าว่าเข้าก๊าน เข้ากัน นอกจากนั้นเราก็สั่งผัดผัก เต้าหู้น้ำแดง แล้วก็สั่งไก่ทอดผัดเปรี้ยวหวาน และโกยซีหมี่มากินด้วย ผัดผักน้ำแดงนี่อร่อยมากเลย มาวางเป็นจานแรกแล้วก็ได้ใจเราไปเต็มๆ ชอบฟองเต้าหู้จัง อร่อย อ้อ! ส่วนปูผัดพริกเนี่ย เวลาสั่งให้สั่งเป็นตัวนะคะ อันนี้คุณป้าที่มารับออเดอร์เป็นคนบอกค่ะ คือทางร้านเค้าขายเป็นกิโล กิโลละเท่านั้นเท่านี้ แต่เวลาเราสั่งให้สั่งเป็นตัว แล้วเค้าจะเอาปูไปชั่งกิโลคำนวณราคาออกมา ก็คงเหมือนกับที่บ้านเรานั่นล่ะเนอะ ปูตัวนึงน้ำหนักตกประมาณหนึ่งกิโลครึ่งค่ะ มากินกันหกคน ปูหนึ่งตัวกับอาหารหลักอื่นๆตามที่บอกก็อิ่มมากกกก แทบจะเรียกว่าอิ่มเกิ๊นนนนกันเลยทีเดียว สำหรับรสชาติของปูผัดพริกนั้นก็จะออกเผ็ดๆหวานๆ บวกกับความสดของปูก็ทำให้เมนูนี้อร่อยสมชื่อจริงๆ ตอนสุดท้ายพวกเรามีการดัดแปลงเอาเส้นหมี่จากโกยซีหมี่มาราดน้ำซอสของปูผัดพริก ได้เป็นขนมจีนน้ำยาด้วย เก๋ซะ หมดมื้อนี้พวกเราต้องคิดค่าเสียหายรวม 174.7 เหรียญ หาร 6 คนก็ตกคนละ 29.11 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็คนละประมาณเกือบ 700 บาท แพงเอาเรื่องอยู่ แต่ก็เป็นมื้อสุดหรูมื้อเดียวในทริปนี้ ยังอยู่ในงบ แถมรสชาติเป็นที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก กลับถึงโฮสเทลหมีดีถึงกับเกือบจะต้องตีลังกานอนกันเลยทีเดียว




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:38:34 น.   
Counter : 1441 Pageviews.  


Meet Baba and Nyonya in Singapore (0) เตรียมตัวก่อนเดินทาง

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ข้อมูลประเทศสิงคโปร์และคู่มือท่องเที่ยว
- Singapore Tourism Board: https://www.yoursingpore.com/
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวสิงคโปร์ ชั้น 2 อาคารยูไนเต็ด ถนนสีลม (พักกลางวัน 12.30-13.30 น.)
- เว็บไซต์แพคเกจทัวร์สิงคโปร์ ราคาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตัวอย่างทริป ข้อมูลเตรียมตัวการเดินทางอื่นๆ https://www.singaporepackage.com/
- Singpore Flyer: https://www.singaporeflyer.com/
- Resort World Sentosa, Universal Studios Singapore: https://www.rwsentosa.com/Attractions/UniversalStudiosSingapore
- บันทึกนักเดินทางชุด “กินไป เที่ยวไปในสิงคโปร์”: https://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/11/E7240760/E7240760.html
- รีวิวสิงคโปร์ (Singapore) สำหรับ first time visitor https://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8108735/E8108735.html
- Review : Singapore อีกครั้ง ก็ยังคงไม่เหมือนเดิม https://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/06/E7983108/E7983108.html
- รีวิวสิงคโปร์โดย ilovetogo.com: https://www.ilovetogo.com/WebboardDetail.aspx?mid=72&qid=1116
- Asian Civilisations Museum: https://www.acm.org.sg/home/home.asp
- National Museum of Singapore: https://www.nationalmuseum.sg/nms/nms_html/index.asp
- หนังสือ “สิงคโปร์ คู่มือเที่ยวตามใจชอบ” เล่มนี้ไม่ได้ใช้ แต่ได้มาหลังจากไปเที่ยวกลับมาแล้ว อ่านดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มาก อาจจะมีบ้างที่ไม่อัพเดท แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ครบถ้วน อ่านง่าย น่าซื้อ

แผนการเดินทาง


ตั๋วเครื่องบิน
- Jetstar (สายการบินโลว์คอสต์ของประเทศออสเตรเลีย): https://www.jetstar.com/th/th/index.aspx
- Tiger Airways (สายการบินโลว์คอสต์ของประเทศสิงคโปร์): https://www.tigerairways.com/th/en/
- Air Asia: https://www.airasia.com/th/th/home.html

พาสปอร์ต-วีซ่า
คนไทยที่จะเดินทางไปเกาหลีและพำนักอยู่ในสิงคโปร์ไม่เกิน 30 วัน ไม่ต้องขอวีซ่าค่ะ แต่ควรจะเตรียมหลักฐานการทำงานและหลักฐานทางการเงินไปด้วย เผื่อต.ม.เค้าขอดู จะได้ไม่ส่งตัวเรากลับบ้านซะก่อน

ระบบขนส่งสาธารณะ
- SMRT: https://www.smrt.com.sg/main/index.asp
- บัตร Ez-link: https://www.ezlink.com.sg/index.jsp
- บัตร Singapore Tourist Pass: https://www.thesingaporetouristpass.com/html/index.htm

แผนที่เมือง-แผนที่ไปที่พัก
- Google map: https://maps.google.co.th/
- แผนที่สิงคโปร์หยิบจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยงสิงคโปร์ที่เมืองไทยและที่สนามบินชางฮี

ที่พัก
- A Beary Good Hostel: https://www.abearygoodhostel.com/index.htm (HIGHLY RECOMMENDED)
- Bugis Backpacker Hostel: https://www.bugisbackpackers.com/
- Hostel และโรงแรมอื่นๆดูได้จากเว็บ https://www.singaporepackage.com/

เงินสิงคโปร์
แลกที่ไหนก็ได้ (มั้ง) เราก็เลยแลกที่สนามบินสุวรรณภูมินี่ละค่ะ ทริปนี้ใช้จ่ายไม่มาก เพราะค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับตั๋วเครื่องบิน ค่าเข้าชม ซึ่งได้จ่ายล่วงหน้าโดยบัตรเครดิตไปก่อนแล้ว ส่วนค่าที่พักก็จ่ายมัดจำ 10% ส่วนที่เหลือที่ใช้ในสิงคโปร์ก็จะเป็นค่าที่พักส่วนที่เหลือ ค่าเดินทางภายในประเทศ ค่ากิน และค่าจิปาถะอีกนิดหน่อยเท่านั้น ณ วันที่ 15 เม.ย. 53 อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ (SGD) เท่ากับ 23.58 บาท



สารบัญ
วันที่ 1: BKK – Singapore – City Hall – Supreme Court – The Arts House of The Old Parliament – Merlion – Fountain of Wealth - Singapore Flyer
วันที่ 2: Universal Studios Singapore – Asian Civilisations Museum
วันที่ 3: Henderson wave bridge – Buddha Tooth Relic Temple – Chinatown - Bugis – Little India – National Museum of Singapore - BKK




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 31 ตุลาคม 2560 14:31:03 น.   
Counter : 1868 Pageviews.  



katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com