KatieKat... Let's share your thought
 
 

ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 5/5)

เดือน 5 วันที่ 30

วันสุดท้ายของการเดินทาง เราทุกคนตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม รับประทานอาหารเช้าของโรงแรม เลยพบว่าคนไทยที่มาพักในโรงแรมนี้เยอะจริงๆ นั่งกินข้าวไปก็ได้ยินแต่ภาษาไทย เรา check-out ออกจากโรงแรมตอน 8 โมงครึ่ง ตรงไปยังเมืองนาริตะซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินนาริตะ สนามบินที่เราจะขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางเราแวะช้อปปิ้งส่งท้ายที่ห้างอิออน (Aeon) ซึ่งเป็นห้างที่แอร์โฮสเตสและนักบินมักจะมาเดินกันที่นี่ เนื่องจากใกล้กับสนามบิน ที่นี่ ฉันได้กินเครปที่ร้าน Rainbowhat เหมือนกับที่ขายที่กรุงเทพนั่นแหละ เป็นเครปนุ่มๆ ข้างในสอดไส้รสต่างๆตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นครีม ช็อกโกแลต กล้วยหอม สตรอเบอรี่ ไอศกรีมหรือถั่วแดงบด ที่ห้างอิออนนี้ยังมีร้าน 100 เยน ร้านซึ่งขายของตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ส่วนใหญ่จะราคาอยู่ที่ 100 เยนรวม vat อีก 5% เป็น 105 เยน แล้วก็มีร้านขายรองเท้าหลายๆยี่ห้อ หนึ่งในนั้นคือยี่ห้อ Onitsuka Tiger รองเท้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่ง คุณเต๋อกับคุณโต้เล่าให้ฟังถึงประวัติของรองเท้ายี่ห้อนี้ว่า นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเกิดหลงรักรูปแบบและดีไซน์ของรองเท้าสไตล์ sports wear ยี่ห้อ Asics ของสหรัฐอเมริกามาก จึงทำการติดต่อธุรกิจ ขอ re-brand และ rename เปลี่ยนชื่อเป็น Onitsuka Tiger เพื่อขายที่ญี่ปุ่น แล้วก็ขายได้ดีมาก ได้รับความนิยมสูง ตอนนี้โด่งดังไปทั่วโลกเลย แต่ในญี่ปุ่นจริงๆกลับหาไม่ได้ง่ายนัก มีเพียงไม่กี่ shop แต่ละร้านก็มีแบบ มีรุ่นที่ไม่เหมือนกัน (** หมายเหตุ แต่จากที่อ่านใน website ของ Ontisuka Tiger และ Asics เองมันไม่ใช่อย่างนี้ เท่าที่อ่านเขาจะบอกว่า ยี่ห้อ Onitsuka Tiger มีมาตั้งแต่เมื่อปี 1949 โดยเริ่มต้นจากการผลิตรองเท้าสำหรับใส่เล่นบาสเกตบอล ในปี 1977 Onitsuka Tiger ถึง merge รวมเข้ากับบริษัท GTO ผู้ผลิตชุดกีฬาและตาข่ายสำหรับกีฬาต่างๆและบริษัท Jelenk ผู้ผลิตเสื้อผ้าไหมพรม (Knit wear) แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Asics ซึ่งมาจากประโยคภาษาละตินที่ว่า Anima Sana In Corpore Sano แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า a sound mind in a sound body **) หมอนามองหารองเท้า Onitsuka Tiger ไว้ใส่เองสักคู่ แต่ก็ไม่ได้ที่ถูกใจและขนาดที่พอดี คนที่กลับได้คือฉันเอง แต่เป็นยี่ห้อ Asics น่ารักดี เป็นรองเท้ากีฬาแบบเปิดส้น สีขาวลายเส้นสีม่วงกับชมพู

นอกจากรองเท้าแล้ว เรายังได้แวะร้านมูจิ (Muji) ซึ่งแปลว่า ”ไม่มียี่ห้อ” เป็นร้านขายของหลายๆแบบ เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หมอน ของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงเครื่องเขียน ของใช้ส่วนตัวต่างๆ เน้นสีขาวและสี earth tone สินค้าจะไม่มีชื่อยี่ห้ออยู่ที่ตัวผลิตภัณฑ์เลย จึงเป็นที่มาของยี่ห้อ Muji ฉันได้ร่มมา 1 คันตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพื่อใช้แทนร่มคันเก่าที่กำลังจะเจ๊ง ซึ่งร่มคันเก่านี้มีคนซื้อให้จากญี่ปุ่นเหมือนกัน พอใช้แล้วก็รู้สึกประทับใจมาก มันทั้งอดทั้งทนลมฟ้าอากาศได้เป็นอย่างดี ผ่านมรสุมที่อังกฤษมานับครั้งไม่ถ้วน ใช้มานานมากกว่า 7 ปี ถึงเพิ่งจะเริ่มเจ๊ง ก็เลยประทับใจมาก กะว่ามาญี่ปุ่นคราวนี้ต้องซื้อร่มกลับไปให้ได้ ของอีกอย่างที่ได้จากร้าน Muji ก็คือเครื่องเล่นแผ่น CD แบบติดผนัง เก๋มั่กๆ แต่ต้องกลับไปซื้อตัวแปลงไฟจาก 110 volts เป็น 220 volts ที่เมืองไทยเอง (อันนี้คุณเต๋อ recommend ให้ซื้อเจ้าเครื่องนี้ แกบอกว่าแกซื้อไปใช้แล้ว ติดอยู่ในห้องน้ำ เก๋ดี ดูดีมีสไตล์)

12.15 น. เราออกจากห้างอิออนเพื่อไปยังร้านอาหารกลางวัน มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่นวันนี้เราไปที่ร้าน Shabu Shabu Baikinggu แปลว่าบุฟเฟ่ต์ชาบูชาบู อยู่บนชั้น 2 ของ Hanamasa discount supermarket ระหว่างทางผ่านจะไปสนามบินนาริตะ อาหารก็เหมือนตามชื่อคือเป็นบุฟเฟ่ต์ชาบูชาบูหรือจิ้มจุ่มสไตล์ญี่ปุ่นนั่นเอง อร่อยดี เนื้อที่นี่จะสไลด์เป็นชิ้นบางมากๆ พอจุ่มน้ำร้อนปุ๊บมันก็เรียกว่าแทบจะสุกทันทีเลย นอกจากจะมีเนื้อนานาชนิดให้เลือกรับประทาน ยังมีอาหารอื่นๆอีกเช่น ซูชิ เกี๊ยวซ่า ขนมจีบ สลัด ไอศกรีม ที่ข้างๆร้านอาหารมีร้านขายของมือสองร้านหนึ่งชื่อว่า B-style แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างชื่อว่า B-Kids ขายของมือสองสำหรับเด็ก ตั้งแต่เสื้อผ้า ของเล่น รถเข็น เครื่องใช้สำหรับเด็ก ชาวคณะหลายคนซื้อของกลับไปให้ลูกที่บ้านเยอะเลย ทั้งรถเข็น โต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้อย่างดี ราคาแค่ไม่กี่ร้อยเยน ส่วนชั้นบนจะเป็นของมือสองสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าซะเยอะ

สุดท้ายเราออกจากร้านอาหาร เดินทางสู่สนามบินนาริตะจริงๆเสียที ถึงสนามบินตอนเกือบบ่าย 3 โมง ฉันถูกตรวจรื้อของที่ถือขึ้นเครื่องด้วย เพราะเนื่องจากระเบียบใหม่ของทางสนามบินทั่วโลกเกี่ยวกับการพกพาของเหลวขึ้นบนเครื่องบิน แต่รู้สึกที่ญี่ปุ่นจะเริ่มใช้ก่อน เมืองไทยจะเริ่มใช้ 1 มิถุนายน ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ ฉันก็ลืมไปเสียสนิทว่าในเป้ที่หิ้วขึ้นเครื่องมีของเหลวเต็มไปหมด ทั้งน้ำเกลือ น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ ครีมกันแดด (เพิ่งซื้อที่ห้างอิออน) มาสคาร่า อายไลเนอร์ โลชั่นทาหน้า โชคดีที่พนักงานที่ตรวจเป็นผู้ชาย เด็กๆหน่อย ฉันก็เลยพูดญี่ปุ่นใส่เขาเป็นคำๆ เขาก็ไม่โกรธอะไรเท่าไร ออกจะสุภาพมากๆด้วยซ้ำ แต่ผู้หญิงที่ดูเหมือนหัวหน้าเขา หันมาถามว่า เครื่องจะออกกี่โมง พอรู้ว่าอีกไม่นานเครื่องจะออก ก็เลยหยิบถุงซิปของทางสนามบิน มาใส่ของเหลวทั้งหมดนั้นแล้วหันมาดุฉันว่า คราวหน้าต้องหาถุงมาใส่เองนะ คราวนี้เขาจะยอมให้ใช้ถุงของเขาก่อน !! เหงื่อตกไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไร ** ระเบียบเรื่องของเหลวที่ว่านี้กำหนดว่า ผู้โดยสารสามารถครอบครองวัตถุที่เป็นของเหลวขึ้นเครื่องบินที่ปริมาตรเกินไม่เกิน 100 mL ต่อ 1 ภาชนะบรรจุ และต้องใส่ถุงใสซึ่งเป็นถุงซิปขนาดบรรจุรวมไม่เกิน 1 Litre โดยของเหลวที่ว่านี้รวมถึงมาสคาร่า เครื่องสำอางแบบครีม แต่ยกเว้นน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ ซึ่งถือว่าเป็นยา ** ... เที่ยวบินของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 677 ออกจากสนามบินนาริตะเวลาบ่าย 4 โมง 55 นาที พาเรากลับสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง นับเป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นที่น่าประทับใจมากมาก ก่อนขึ้นเครื่องยังได้เห็นตู้ vending machine ขายไอศกรีมฮาเก้น-ดาซส์ด้วย แนว...จนหยดสุดท้ายจริงๆ

Vending machine

じゃ またね… แล้วเจอกัน




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:44:55 น.   
Counter : 2013 Pageviews.  


ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 4/5)

เดือน 5 วันที่ 29

ตั้งแต่ส่งหมอนาไปพิสูจน์ความกล้าในการอาบน้ำออนเซ็นเมื่อคืน ฉันก็ให้สัญญากับตัวเองว่า เอาล่ะ (เอาก็เอาวะ) ลองดูสักครั้ง ข้ามผ่านความอายไปให้ได้ เพื่อเข้าถึงวิถีชีวิตแบบที่คนญี่ปุ่นเขาทำกัน ถ้าไม่ลองดูครั้งนี้แล้วคงหาโอกาสได้ยากหรือไม่มีโอกาสอีกเลย ฉันก็เลยตื่นนอนตั้งแต่ก่อนตี 5 พอได้เวลาตี 5 เป๊ง ซึ่งเป็นเวลาที่ออนเซ็นเปิด ฉันก็ลงไปอาบน้ำเลย ด้วยความหวังที่ว่าคงไม่มีใครตื่นแต่เช้าขนาดนี้เพื่อมาอาบน้ำ จะได้ไม่เจอใครหรืออย่างน้อยก็เจอแต่คนต่างชาติ ไม่ใช่คนไทยก็ยังดี จะได้ไม่เขินเท่าไหร่ ... ห้องอาบน้ำรวมหรือโอะฟุโระ (แปลว่า อ่างอาบน้ำ) หรือออนเซ็น (แปลว่า น้ำพุร้อน) นั้นจะแบ่งแยกไว้สำหรับหญิงและชาย โดยสัญลักษณ์ของห้องผู้หญิงจะมีผ้าหรือป้ายสีแดงหรือสีชมพู ในขณะที่ห้องผู้ชายจะแสดงด้วยสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีที่ทั่วโลกนิยมใช้บ่งบอกเพศอยู่แล้ว ขั้นแรกก่อนเข้าออนเซ็นก็จะต้องสวมชุดยุคาตะทับด้วยฮะโอะริ พร้อมด้วยนำผ้าขนหนู 2 ผืน (ผืนใหญ่และผืนเล็ก) และเครื่องประทินโฉมส่วนตัวไปด้วย ภายในออนเซ็นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนด้านนอกซึ่งเป็นส่วนแห้ง สำหรับถอดและเปลี่ยนเสื้อผ้า กับส่วนด้านในซึ่งเป็นส่วนเปียก สำหรับอาบน้ำและแช่น้ำพุร้อน เมื่อเข้าไปถึงส่วนด้านนอกแล้ว ก็ให้เก็บข้าวของไว้ในตะกร้าที่มีให้ เขาจะแบ่งเป็นล็อกๆ บางที่ก็จะมีช่องเหมือนล็อกเกอร์ มีกุญแจให้ด้วย ในขณะที่บางที่ก็ไม่มี ที่โรงแรม Mifujien นี้เป็นแบบหลัง ซึ่งเป็นแค่ตะกร้าหวายวางแบ่งกันเป็นช่องๆเท่านั้น แต่เรื่องของหายคงวางใจได้ว่าไม่มีแน่นอน เมื่อวางของแล้ว ก็จัดแจงถอดเสื้อผ้า หยิบแค่ผ้าขนหนูผืนเล็กไปด้วย ปิดๆไว้หน่อยกันโป๊ (จริงๆประโยชน์มันไม่ใช่อยู่ตรงนี้หรอกนะ อันนี้มันแค่เป็น by product) เดินเข้าห้องอาบน้ำ ซึ่งจะแบ่งเป็นช่องๆ กั้นไว้ให้อาบน้ำถูสบู่ สระผมก่อนลงแช่ในโอะฟุโระ ในแต่ละช่องจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเหมือนกันก็คือ ฝักบัวปรับระดับและอุณหภูมิน้ำได้ สบู่เหลว แชมพูและเก้าอี้เล็กๆสำหรับนั่งอาบ เมื่ออาบเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะลงไปแช่ในโอะฟุโระเสียที ลืมบอกไปว่าตอนที่ฉันเข้าไปนั้น มีคุณป้าโอบ้าซัง 1 คนแช่โอะฟุโระอยู่แล้ว พอฉันกำลังอาบน้ำเสร็จ ป้าแกก็ลุกจากโอะฟุโระเดินโทงๆกลับไปห้องส่วนด้านนอก ทีนี้เลยเหลือฉันคนเดียวในห้องเลย อิอิ!! เสร็จเรา อ่างออนเซ็นที่โรงแรมนี้มี 2 อ่าง แบบหนึ่งเป็นอ่าง 4 เหลี่ยม หน้าตาเหมือนสระว่ายน้ำเด็กอนุบาล อีกอ่างหนึ่งเป็นอ่างกลมๆรีๆ ขอบอ่างทำด้วยก้อนหินกลมๆ ดูธรรมชาติกว่าอ่างแรก ห้องนี้สามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้อย่างชัดเจน เนื่องจากด้านหนึ่งเป็นแนวกระจกใสทั้งหมด สามารถเปิดกระจกออกไปสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกได้ด้วย ฉันเลือกลงไปแช่ออนเซ็นอ่างที่สอง ก้าวแรกที่แหย่เท้าลงไป ก็รู้สึกว่าร้อนๆนิดหน่อยพอรับได้ แต่พอเดินลงไปจุ่มทั้งตัวเท่านั้น ก็รู้สึกว่าเหมือนกำลังจะสุกเลย ตัวงี้แดงเชียว แต่สักพักก็เริ่มปรับสภาพได้เลยรู้สึกอุ่นๆ ร้อนนิดๆเท่านั้น สบายตัวดีเหมือนกัน ฉันมองออกไปนอกกระจก แสงสว่างเริ่มชัดเจนขึ้นแต่หมอกก็ยังมีอยู่ นั่งคิดว่าถ้าอากาศดีๆ มองจากมุมนี้ก็คงจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแน่ๆเลย ฉันแช่น้ำประมาณ 15 นาทีเห็นจะได้ ระหว่างนั้นก็มีคนญี่ปุ่นเดินเข้ามาอาบน้ำด้วย ฉันเลยตัดสินใจขึ้นเลยดีกว่า แล้วกลับมาห้องด้านนอก (จริงๆแล้วต้องล้างตัวอีกครั้งก่อนจะดีกว่า) เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ สวมยุคาตะ แล้วก็เป่าผมด้วยไดร์เป่าผมที่ทางโรงแรมมีไว้ให้ (ที่โรงแรมจะมีไดร์เป่าผม หวีและ cotton bud เตรียมไว้ให้) ก่อนกลับขึ้นห้องพัก... เสร็จสิ้นภารกิจก็รู้สึกว่าได้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจดี แต่จะให้ทำอีกในทุกที่ที่ๆได้ไปก็คงจะไม่โหยหาขนาดนั้น ถามว่าอาบแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สบายตัวอย่างไม่เห็นรู้สึกมาก่อนก็ต้องตอบว่าไม่ถึงขนาดนั้น เพราะจริงๆฉันก็ยังขจัดความอายไปได้ไม่หมดซะทีเดียว คิดว่าถ้าไม่รู้สึกว่าอายแล้ว แล้วได้แช่น้ำกับครอบครัว เพื่อนฝูง นั่งเม้าท์เรื่องอะไรต่อมิอะไรก็น่าจะสนุกกว่านี้แน่ๆ

อาหารเช้าแบบเบนโตะเซ็ต

7 โมงเช้า หลายคนออกไปเดินเล่นหน้าโรงแรม วันนี้หมอกลงพอสมควรเลยมองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิที่อยู่หน้าหลังทะเลสาบ เรารับประทานอาหารเช้าที่ห้องเดิมกับอาหารเย็นเมื่อคืน จากนั้นก็รวบรวมพลออกเดินทางกันต่อตอนประมาณ 8 โมงกว่าๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่มหานครโตเกียว ระหว่างทางผ่านจังหวัดยามะนาชิ (Yamanashi) คุณไกด์ทั้ง 2 ก็เพิ่มโปรแกรมให้เรากะทันหัน โดยให้แวะที่สวนเชอรี่ที่คนญี่ปุ่นปลูกไว้มากมายเรียงรายระหว่างทางในเมืองนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเที่ยวชมได้ ค่าเข้าชมประมาณคนละ 5,000 เยน เก็บกินผลไม้ได้ไม่อั้นภายในเวลาที่กำหนด (โดยปกติ 30 นาที) แต่เฉพาะภายในสวนเท่านั้นนะ ห้ามนำออกไปนอกสวนเด็ดขาด สวนที่คณะเราเข้าไปชมนั้นปลูกผลไม้มากมาย ทั้งเชอรี่ พีช องุ่น แอปเปิ้ล แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่เชอรี่กำลังเริ่มสุก คุณเจ้าของสวนบอกว่าเรามาเร็วไป 3 วัน แต่ก็พอมีบางส่วนที่สุกแล้ว เก็บกินได้บ้างแม้จะไม่งอมนัก ดูเหมือนว่าจะมีทัวร์ไทยมาเที่ยวที่นี่พอสมควร หรือไม่คุณเจ้าของสวนก็สนใจภาษาไทยเป็นพิเศษ แกเลยพูดภาษาไทยได้หลายคำเลย ทั้งสวัสดี ขอบคุณ สวย อร่อย ฯลฯ แกพูดภาษาอังกฤษใช้ได้เลยด้วยนะ แกสอนวิธีเด็ดเชอรี่จากต้นเสร็จก็หยิบเชอรี่ที่เพิ่งสาธิตวิธีเด็ดให้ฉันเลย เขิน!! วิธีเด็ดเชอรี่จากต้นที่ถูกต้องคือ เด็ดลูกให้หลุดจากขั้วโดยทิ้งก้านให้ติดต้นไว้ เพื่อให้ก้านนี้สามารถเจริญเติบโตได้ต่อไป ยกเว้นบางทีที่ทั้งลูกและก้านเชอรี่จะหลุดจากต้นเอง อันนี้ก็เก็บกินจากพื้นได้เลย เชอรี่ที่กินวันนี้ยังมีสีออกแดงๆไม่เต็มลูกดีนัก รสชาติของอาจจะยังไม่หวานนักเนื่องจากลูกยังไม่งอมดีเหมือนที่คุณเจ้าของสวนว่าไว้ แต่ก็นับว่าใช้ได้ ไม่จืดเหมือนที่ส่งมาถึงเมืองไทยทั้งๆที่สีเชอรี่ก็ม่วงจัดจนนึกว่าจะเน่าอยู่แล้ว นอกจากเชอรี่แล้ว เจ้าของสวนยังให้เราได้ลองชิมองุ่นไร้เมล็ดอีกด้วย ซึ่งทุกคนที่ได้ลิ้มรสแล้วลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อยมากที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย” ฉันก็ว่าอย่างนั้น อยากซื้อกลับไปกินบ้างแต่คุณเจ้าของสวนบอกว่าคงไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้มีเยอะ กล่องที่ให้ชิมนี้เขาเพาะเลี้ยงขึ้นพิเศษในห้องแอร์ ให้มันออกผลก่อนฤดูจริง
คุณเจ้าของสวนทั้ง 3 กับองุ่นสุดอร่อย

หลังออกจากสวนเชอรี่สักพักใหญ่ เราก็เข้าสู่โตเกียวจริงๆเสียที เราแวะกินข้าวกลางวันที่ย่านกินซ่าซึ่งเป็นย่านธุรกิจของญี่ปุ่น อาหารกลางวันมื้อนี้เป็นบุฟเฟ่ต์แนวปิ้งย่าง รสชาติอาหารก็พอใช้ได้ คุณเต๋อกับคุณโต้เตรียมน้ำจิ้มแจ่วและน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพี่ไทยให้ไว้ด้วยเหมือนเคยเผื่อใครต้องการ ย่านกินซ่านี้เป็นพื้นที่ของพระจักรพรรดิญี่ปุ่น คิดดูสิว่าจะเก็บรายได้มากมายมหาศาลแค่ไหน คุณโต้บอกว่าเคยมีมหาเศรษฐีคนหนึ่งมาถามซื้อที่ในกินซ่าว่า ถ้าเขามีเงินอยู่เท่านี้ (จำไม่ได้ว่าคุณโต้บอกว่าเท่าไหร่) จะซื้อที่ที่กินซ่าได้แค่ไหน คนขายบอกว่าจำนวนเงินเท่านี้สามารถเลือกซื้อเกาะไหนก็ได้ทั้งเกาะที่แอฟริกาใต้ แต่ซื้อพื้นที่ในกินซ่าได้แค่ ... เสื่อ (จำตัวเลขไม่ได้อีกแล้ว แต่น้อยมาก ไม่น่าเกิน 10) ซึ่ง 1 เสื่อในที่นี้หมายถึงขนาด 1 เสื่อทะทามิ (Tatami) เป็นเสื่อทีู่ปูนอนของญี่ปุ่น ใช้บอกขนาดพื้นที่ต่างๆ โดย 1 เสื่อมีขนาดเท่ากับความกว้าง 90 ซม. ยาว 180 ซม.

สถานที่สำคัญที่ต้องไปเมื่อเดินทางมาถึงโตเกียวก็คือวัดอาซะกุซ่า เปรียบเสมือนถ้าไปกรุงเทพก็ต้องไปไหว้สักการะศาลหลักเมืองหรือวัดพระแก้วเพื่อความเป็นสิริมงคล มีคุณหมอคนหนึ่งที่ร่วมทริปไปด้วยบอกว่า เหตุผลที่มาในครั้งนี้มีอย่างเดียวเท่านั้นคือมาแก้บนที่วัดอาซะกุซ่านี้ เนื่องจากประมาณ 2-3 ปีที่แล้วเขาได้มีโอกาสมาญี่ปุ่นแล้วก็มาบนขอลูกไว้ พอกลับเมืองไทยไม่นาน ภรรยาคุณหมอคนนี้ก็ตั้งท้องเลย คราวนี้ก็เลยต้องมาแก้บน ตามตำนานที่เล่าขานต่อกันมาเชื่อว่ามีพี่น้องชาวประมงคู่หนึ่งพบพระพุทธรูปทองคำขณะที่กำลังทำประมง ทั้งคู่จึงนำมาบูชา ต่อมามีพระธุดงค์ผ่านมา ชาวประมง 2 คนนี้ก็เอาพระพุทธรูปมาให้พระธุดงค์รูปนั้น เมื่อพระธุดงค์เห็นก็ทราบได้ว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมทองคำ ก็บอกกับชาวประมงว่าจะบูชาคนเดียวไม่ได้ ต้องให้ประชาชนคนอื่นได้ร่วมบูชาด้วย โดยต้องสร้างที่ประดิษฐานให้เจ้าแม่กวนอิม แต่เนื่องจาก 2 คนนี้ไม่มีเงิน เขาจึงไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อความทราบถึงโชกุน โชกุนจึงให้สร้างวัดอาซะกุซ่านี้ขึ้นเพื่อประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมทองคำดังกล่าว

ด้านหน้าวัดอาซะกุซ่ามีโคมไฟขนาดยักษ์ ให้นักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาได้จุดธูปบูชาเจ้าแม่กวนอิม มีความเชื่อที่ว่าหากเอาควันธูปมาลูบตัวจะสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ หลังจากไหว้พระแล้ว ด้านนอกวัดจะมีร้านรวงขนาบ 2 ฝั่ง ขายของฝาก ของกินทุกอย่าง ฉันได้แมวกวักเจ็ดเซียนมาจากที่นี่ด้วย คุณไกด์บอกว่าวิธีเลือกแมวกวักหรือเนโกะ (neko แปลว่าแมว) ที่ดีนั้น นอกจากจะต้องเลือกแมวกวักที่ทำจากเซรามิกเนื้อดี ลักษณะงานประณีตแล้ว ยังต้องเลือกตัวที่มีเซียนทั้ง 7 ประทับอยู่ด้วยคือที่หัว 3 องค์ แขน 2 องค์ และขา 3 องค์รวม 7 องค์ สำหรับตำนานของแมวกวักนั้นมีอยู่หลายตำนาน แต่ตำนานหนึ่งว่ากันว่านานมาแล้วมีร้านขายของอยู่ 2 ร้านติดกัน ร้านหนึ่งเจ้าของร้านเลี้ยวแมวไว้ มันก็นั่งอยู่หน้าร้าน คนเดินผ่านไปผ่านมาก็เห็นเจ้าแมวเหมียวนี่ ก็เกิดความเอ็นดู เข้าไปลูบหัวเล่นกับมันแล้วก็ซื้อของในร้านไปด้วย ทำให้ของของร้านนี้ขายดีกว่าร้านข้างๆ จึงทำให้เจ้าของคิดว่าแมวตัวนี้เป็นแมวนำโชค ก็เลยเกิดความเชื่อนี้ขึ้นมา บ้างก็ว่ามีคนๆหนึ่ง เลี้ยงแมวไว้และรักแมวมาก เมื่อเกิดขัดสนยากจนจนตัวเองไม่มีจะกิน แมวก็ไม่มีจะกิน เขาเลยต้องไปร้องขอให้ผู้มีฐานะคนหนึ่งรับเลี้ยวแมวของเขาไว้ เพราะกลัวว่าแมวจะอดตาย ในขณะที่เขายอมอดตายไม่มีจะกิน ผู้มีฐานะคนนั้น (รู้สึกว่าจะเป็นข้าราชการหรือขุนนางคนหนึ่งในสมัยนั้น) รู้สึกซาบซึ้งมาก จึงให้เงินทุนมาก้อนหนึ่งเพื่อลงทุนทำมาหากิน เจ้าของแมวคนนั้นก็นำเงินไปลงทุน กิจการเจริญรุ่งเรืองดี ก็เลยเกิดความเชื่อที่ว่าแมวเป็นผู้นำโชคมาให้
โคมไฟขนาดยักษ์หน้าวัดอาซะกุซ่า

เราอำลาวัดอาซะกุซ่าตอนประมาณบ่าย 3 โมง 45 เพื่อเดินทางต่อไปยังย่านชินจูกุ แหล่งบันเทิง ย่านธุรกิจและแหล่งช้อปปิ้งแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของโตเกียว เปรียบเทียบแล้วก็คล้ายๆกับสยามสแควร์บ้านเรานั่นเอง คุณไกด์ทั้งสองทิ้งลูกทัวร์ให้เพลิดเพลินกับการละลายเงินเยนในกระเป๋าถึงเกือบ 3 ชั่วโมง ที่ชินจูกุนี้เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นและเป็นแหล่งรวมข้าวของเครื่องใช้สารพัดชนิดตั้งแต่ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ accessories อื่นๆอีกมากมาย สนนราคาก็มีตั้งแต่แพงกว่าบ้านเรา ไม่ต่างกัน หรือถูกกว่าบ้านเรามากก็มี ซึ่งในแต่ละร้านราคาก็จะไม่ต่างกันเท่าไร ซื้อร้านไหนก็ได้ คุณเต๋อกับคุณโต้บอกว่าถ้าจะดูพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ให้เข้าไปที่ร้านซากุระยะ (Sakuraya) หรือร้านบิก คาเมร่า (Bic Camera) หรือร้านโยโดบาชิ (Yodobashi Camera) ถ้าจะซื้อเครื่องสำอาง อุปกรณ์ประทินโฉมต่างๆ ให้ไปดูที่ร้านมิตซึโมโตะ คิโยชิ (Mitsumoto Kiyoshi) ถ้าอยากดูของในห้างสรรพสินค้าไฮโซแบบพารากอน ก็เข้าไปดูได้ที่อิเซตัน (เจ้าของเดียวกับอิเซตัน ราชประสงค์บ้านเรา) หรือมารุอิ (Marui 0101) แต่เนื่องจากว่าฉันไม่มีเป้าหมายในการซื้อของอะไรพวกนี้เลย 3 ชั่วโมงของฉันก็เลยเป็นการเดินทอดน่องเสียมากกว่า เข้าร้านนั้นออกร้านโน้นแบบที่คุณเต๋อแนะนำให้ไป เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ถ้าจะซื้อต้องตรวจสอบดีดีว่ารองรับเมนูภาษาอังกฤษมั๊ย ไม่ใช่ว่ามีแต่ภาษาญี่ปุ่น เอาไปใช้เมืองไทยก็ยุ่งเลย หรือว่าระบบไฟที่ใช้เป็นแบบไหน ใช้กับบ้านเราได้หรือเปล่า หลายๆร้านเช่น Bic Camera พนักงานจะพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี เนื่องจากมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาอยู่เป็นประจำ ก็ทำให้สะดวกสบายในการสอบถามข้อมูลมากขึ้น ถึงจะเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายฉันก็ได้ซื้อของจนได้ เพราะว่าเดินผ่านร้านขายของ Sanrio ก็เลยได้ซื้อที่ห้อยมือถือรูป Hello Kitty อีกหลายอันเลย เนื่องจากอย่างที่บอกว่าแต่ละร้านแบบไม่ซ้ำกันเลย ร้านนี้ก็เหมือนกัน มีแบบที่เคยเห็นที่ร้านในเมืองอื่นแล้วอยู่แค่แบบหรือ 2 แบบเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นแบบที่ยังไม่เคยเห็น น่ารักมากๆ ยั่วน้ำลายเล่นได้ตลอด
บรรยากาศวุ่นๆในย่านชินจูกุ

หลังจากให้เวลาจับจ่ายใช้สอยอย่างสบายอารมณ์แล้ว ชาวคณะนัดเจอกันตอนทุ่ม 45 ที่หน้าร้าน ABC Mart ซึ่งเป็นร้านขายรองเท้าร้านใหญ่แห่งหนึ่งเปิดตลอด 24 ชั่วโมง หลายคนได้กล้องดิจิตอล คุณจุ่น District Manager ได้กล้องวีดิโอดิจิตอลกลับมาตามออเดอร์ของน้องชายที่เมืองไทย แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาซะมากกว่า เพราะตั้งแต่หนึ่งทุ่ม หลายคนก็มานั่งรอที่ร้านขายกาแฟ หรือนั่งบนที่นั่งพักข้างๆร้าน ABC Mart กันแล้ว เนื่องจากเหตุผลเดียวกันคือเมื่อยเพราะไม่รู้จะซื้ออะไร ... วันนี้เราไปกินอาหารค่ำที่ร้าน Kani อะไรซักอย่าง อยู่บนชั้น 8 ของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ที่ร้านนี้จะเน้นอาหารที่เป็นปู ปู ปู แล้วก็ปู บรรยากาศในร้านถูกตกแต่งให้เป็นสมัยญี่ปุ่นโบราณ (น่าจะสมัยเอโดะ) เมนูที่เรารับประทานกันมื้อนี้ก็เป็นปูทั้งหมด โดยทางร้านจะเสิร์ฟปูที่นึ่งหรือต้มแล้วมาให้ แต่ถ้าเราอยากทำให้เป็นปูย่างก็นำขึ้นเตาย่างซึ่งเขาเตรียมไว้ให้ได้ นอกจากนั้นก็มีมันปู สีเขียวๆ มีสลัดปู ตบท้ายด้วยข้าวผัดมันปูและแตงเมลอนเป็นของหวาน สำหรับปูที่ให้กินนี้ ที่ร้านก็จะมีน้ำจิ้มไว้ให้เหมือนกัน ลักษณะคล้ายซีอิ๊วเสียมากกว่า แต่เนื่องจากเวลาคนไทยกินปูก็ต้องกินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด คุณไกด์ คุณกุกและคุณจุ่นจึงเตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดไว้ให้เรียบร้อย ใครใคร่จิ้มอันไหนก็จิ้มได้เลย

ตั้งแต่ก่อนเดินทางไปวัดอาซะกุซ่าแล้ว คุณเต๋อได้ขออนุญาตเพิ่มโปรแกรมหลังจากรับประทานอาหารค่ำวันนี้ แกบอกว่าหลังจากที่พวกเราได้เห็นโลกที่สวยงาม มุมมองที่สวยงามของญี่ปุ่นตลอดทริปการเดินทางที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นโลกสีขาว คราวนี้ทีมงานของพาทุกๆท่านก้าวข้ามผ่านโลกสีขาวไปสู่โลกสีเทาของญี่ปุ่นบ้าง นั่นก็คือหลังรับประทานอาหารค่ำ จะมีการพาไปดูการแสดงโชว์แบบ Striptease (อันนี้ฉันเปรียบเทียบเอาเอง ตามที่คุณเต๋ออธิบาย) ผู้หญิงที่แสดงโชว์นี้จะเป็นระดับนางเอกหนัง AV ทั้งนั้น (หนังโป๊ในญี่ปุ่น) ไม่ใช่โนเนมทั่วๆไป ในคลับนี้จะไม่มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ชมที่เป็นแฟนคลับของนักแสดงคนไหน ก็สามารถเตรียมของขวัญเอาไว้ให้หน้าเวทีได้เลย บางคนให้ของใช้หรือเครื่องครัวประเภทกระทะ หม้อหุงข้าวก็มี ขำดี!! คุณเต๋อก็เลยถามว่าใครอยากจะไปชมบ้าง ถ้าคนที่ไม่ไป หลังกินข้าว เขาก็จะพากลับโรงแรมก่อน ปรากฏว่าก็มี 3 คนเท่านั้นที่ไม่ไป ก็คือคุณพี่คนท้อง หมอนาแล้วก็ฉัน ซึ่งจริงๆแล้วฉันก็อยากไปดูนะ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ไปดูเพื่อให้รู้เท่านั้น แต่หมอนาไม่ไปฉันก็เลยไม่ไปก็ได้ ดังนั้นหลังจากที่เรากินอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็กลับโรงแรมเลย โรงแรมที่เราพักกันในคืนนี้ชื่อว่าโตเกียวโดม (Tokyo Dome Hotel) เป็นโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยมาพักกันมากพอสมควร ทัวร์มาลงที่นี่เยอะ เนื่องจากว่าเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ใจกลางเมือง สร้างขึ้นเพื่อรองรับโตเกียวโดม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดการแข่งขันกีฬาสำคัญๆ รวมถึงคอนเสิร์ตใหญ่ๆระดับอินเตอร์มาแล้วหลายต่อหลายงาน ซึ่งเมื่อได้เข้าไปพักแล้วก็รู้สึกว่าดีสมคำร่ำลือ สะอาด ทันสมัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อม โรงแรมมีทั้งหมด 43 ชั้น ฉันพักอยู่ที่ชั้น 9 ห้อง 928

(... ยังมีต่อ つづく...)




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:43:59 น.   
Counter : 857 Pageviews.  


ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 3/5)

เดือน 5 วันที่ 28

ตื่นเช้าวันนี้ เพื่อเตรียมตัวเดินทางสู่เส้นทาง Japan alps เส้นทางไฮไลท์ของทริปนี้ อาหารเช้าที่โรงแรมยังคงเป็น International buffet เหมือนเคย ได้กินแตงเมลอนด้วย หวานฉ่ำอร่อยดีจัง ออกจากโรงแรมตอนประมาณ 8 โมง ใช้เวลานานถึงประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าเราจะเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทาง ต้องขอเล่าถึงความเป็นมาของเส้นทาง Japan alps นี้หรือที่เรียกเต็มๆว่า Tateyama Kurobe alpine route ก่อน เส้นทางนี้เสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 1971 เพื่อเชื่อมระหว่างเมืองโทยามะ ในจังหวัดโทยามะกับเมืองโอมาจิในจังหวัดนากาโนะ การเดินทางระหว่างสถานีทาเทยามะกับโอกิซาวะจะต้องใช้พาหนะที่จัดให้เท่านั้น โดยปกติแล้วเส้นทาง Japan alps จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตั้งแต่กลางเดือนเมษายน (โดยปกติคือวันที่ 17 เมษายน) ถึงเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น เพราะหลังจากเดือนพฤศจิกาไปแล้ว ญี่ปุ่นจะเข้าสู่ฤดูหนาวอันหฤโหด หิมะจะตกปกคลุมเทือกเขาสูงมากจนไม่สามารถเดินทางได้ จุดเด่นของการท่องเที่ยวในเส้นทางนี้อยู่ที่การได้เห็นความงามของเทือกเขาทาเทยามะเป็นระยะทางอันแสนยาวไกล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติชูบุ ซันกาคุ (Chubu Sangaku) นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสเห็นกำแพงหิมะที่ความสูงสูงสุดเกือบ 20 เมตรในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สำหรับในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง นักท่องเที่ยวก็จะได้ปีนเขาพร้อมกับชมความสวยงามของดอกไม้ที่ขึ้นบนเทือกเขา (ทั้งหมดนี้แปลมาจากเว็บไซต์ของ Japan alps)

จุดเริ่มต้นของเส้นทาง Japan alps ของเราอยู่ที่ทาเทยามะ จริงๆแล้วนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นสู่ Japan alps ได้ 2 เส้นทางหรือ 2 ฝั่งของภูเขานั่นเอง คือจากฝั่งทาเทยามะโดยการนั่งรถโดยสารหรือรถไฟจากเมืองโทยามะ หรืออีกทางหนึ่งจากฝั่งเมืองโอกิซาวะโดยการนั่งรถโดยสารมาจากเมืองชินาโนะ โอมาจิ เมื่อเรามาถึงทาเทยามะก็รู้สึกว่าอากาศเริ่มหนาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คณะทัวร์มากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเอเชียเพื่อนบ้านเราทั้งนั้น เจ้าบ้านญี่ปุ่นเองก็มาเที่ยวที่นี่เยอะเหมือนกัน คุณเต๋อให้พวกเราต่อแถวเข้าคิวเพื่อรอขึ้นรถราง ลองนึกภาพคณะทัวร์ต่างๆ คุณไกด์ของแต่ละคณะก็จะต้องมีไม้ ธงแบบเทศกาลกินเจหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คอยถือไว้เพื่อชูขึ้นให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ว่าคณะทัวร์ของเราอยู่นี่นะ ของเราก็มีเหมือนกัน แต่คุณเต๋อบอกว่าทำไมเราต้องเหมือนคนอื่น ว่าแล้วคุณเต๋อก็หยิบแท่งหนึ่งขึ้นมา หน้าตาเหมือนกับแท่งที่ผู้รายงานข่าวพยากรณ์อากาศในทีวีเขาใช้กันหรือ เหมือนกับเสาอากาศทีวีทั่วไปนั่นแหละ จากนั้นแกก็ดึงเจ้าแท่งนี้ให้ยาวขึ้น พร้อมกับโชว์ให้เราเห็นปลายของเจ้าแท่งนี้ซึ่งเป็นรูปมืออ้วนๆสีขาวกำลังกำอยู่และชูนิ้วชี้ขึ้นมา เหมือนเป็น pointer ชี้ให้เรามองเจ้านิ้วนี้ เท่านั้นล่ะ ทั้งคณะเราเองและอาซิ้ม อาซ้อคณะข้างๆต่างพากันหัวเราะ ขำในไอเดียอันบรรเจิดของคุณเต๋อมากๆ แกบอกว่าไอ้แท่งนี้ได้มาจากที่ญี่ปุ่นนี่แหล่ะ ฝากเพื่อนซื้อที่โตเกียว มีหลายคนอยากได้บ้างแต่คุณเต๋อแกไม่ยอมบอกที่ซื้อ บอกแค่ว่าฝากซื้อให้ได้ แอบหวงลิขสิทธิ์กับเขาเหมือนกัน

Pointer สุดฮา

ฉันรู้สึกชื่นชมในแนวคิดด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นอยู่มากทีเดียว อย่างเช่นเส้นทาง Japan alps นี้ เขาจะจัด route ไว้ต่อเนื่องเป็นแพ็คเกจเลย ว่าต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ ต่อไปยังจุดนี้ จากนั้นขึ้นพาหนะนี้ต่อไปที่นั่น เป็น step ไป ไม่ได้ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมั่วๆ เหมือนเป็นการบังคับอยู่กลายๆเลยว่านักท่องเที่ยวต้องแวะที่จุดไหนบ้าง ห้ามออกนอกเส้นทางที่เขาจัดไว้ เพราะถึงยังไงก็คงออกนอกเส้นทางไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเท่าที่ดูจากแผนที่ที่เขาให้มา ก็คือเราไม่สามารถขับรถเที่ยวเองเพื่อจอดแวะตามที่ต่างๆได้ แต่ละจุดจะต้องใช้พาหนะไม่ว่าจะเป็นรถกระเช้า รถรางหรือรถโดยสารของทางผู้จัดจัดไว้ให้เท่านั้น
เส้นทาง Tateyama Kurobe alpine

สำหรับการเดินทางสู่ Japan alps อย่างที่บอกว่าเราเริ่มต้นการเดินทางขึ้นสู่ Japan alps ที่ทาเทยามะ ที่นี่เราต้องนั่งรถกระเช้าไฟฟ้ารูปขั้นบันไดหรือ Tateyama cablecar ใช้เวลาประมาณ 7 นาทีก็จะถึงที่ราบสูงบิโจไดระ ที่สถานีนี้เราจะเปลี่ยนไปขึ้นรถโค้ชสายธรรมชาติเพื่อขึ้นสู่ดอยมุโรโดซึ่งอยู่ตีนเขาทาเทยามะ ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ระหว่างทางจะผ่านป่าสนดึกดำบรรพ์อายุกว่าพันปี ผ่านทุ่งราบต่างๆและน้ำตกเมียวโจซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น ตอนนี้เริ่มเห็นหิมะตามเส้นทางมากขึ้นเรื่อยๆ สักพักเราก็เริ่มมองเห็นเทือกเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่ราบต่างๆก็เต็มไปด้วยหิมะ และยังเห็นทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาตัดรับกับแสงอาทิตย์ นับว่าเป็นทะเลหมอกของแท้เลย สวยมากๆ เมื่อรถจอดที่สถานีมุโรโด เราก็ได้เห็นกำแพงหิมะแบบที่ในรูปโบรชัวร์โฆษณาไว้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สวยเก๋เหมือนในรูปก็เถอะ แต่ก็นับว่าใช้ได้เลยสำหรับความคิดในการสร้างกำแพงหิมะเพื่อใช้เป็นจุดขายการท่องเที่ยว เพราะที่จริงกำแพงหิมะนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นเพราะฝีมือของคนญี่ปุ่นที่ได้สำรวจแล้วว่าบริเวณตรงนี้เป็นจุดที่มีระดับหิมะปกคลุมเฉลี่ยสูงที่สุดของประเทศ เขาก็จะเอาเครื่องมาเป่าหิมะที่ตกบนพื้นขึ้นไปไว้ข้างๆให้เป็นเหมือนกำแพง 2 ฝั่ง ซึ่งก็จะได้กำแพงน้ำแข็งที่มีความสูงเป็น 10 เมตร สำหรับวันนี้ความสูงของกำแพงอยู่ที่ 14 เมตร (ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถึงนะ ดูเตี้ยกว่านั้นตั้งเยอะ) ส่วนอุณหภูมิอยู่ที่ 5 องศา นักท่องเที่ยวมากมายมาถ่ายรูปที่นี่กัน เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยหลายคนด้วย แบบว่าดูการแต่งตัวก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นพี่ไทย (แฮ่ะๆ ใส่เฟอร์นิเจอร์เยอะกว่าคนอื่นเขา) ประมาณเที่ยงกว่าเราก็กลับเข้าไปในสถานีเพื่อกินข้างกลางวันที่ร้านในสถานี เป็นเบนโตะเซ็ตเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าวาซาบิที่นี่จะเผ็ดมากกว่าที่อื่นเยอะเลย หลังกินข้าวฉันได้ซื้อ postcard ส่งกลับมาที่เมืองไทยด้วย ค่าแสตมป์อยู่ที่ 70 เยน หรือประมาณ 20 บาท ก็สมน้ำสมเนื้อนะ
ระหว่างรอ Tateyama cablecar

เส้นทางสู่ดอยมุโรโด

เส้นทางสู่ดอยมุโรโด

กำแพงหิมะสูง 14 เมตร?!?

Postcard จาก TateyamaPostcard จาก Tateyama

เวลาประมาณบ่ายโมง 25 นาที เราออกเดินทางต่อโดยขึ้นรถโค้ชไฟฟ้าไร้มลพิษ (เขาว่างั้น) ทะลุอุโมงค์ใต้ภูเขาทาเทยามะที่สูงถึง 3,015 เมตร สูงเป็นอันดับ 2 ในญี่ปุ่นรองจากภูเขาฟูจิ สู่ที่ราบไดคัมโบ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที บนที่ราบนี้จะมองเห็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตอยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ จากนั้นเราก็ขึ้นกระเช้าเพื่อข้ามเหวลึกสู่สถานีคุโรเบะไดร่า สลิงของกระเช้าจากต้นทางถึงปลายทางนี้ไม่มีเสาค้ำสลิงคั่นกลางเป็นทางยาวถึง 1,700 เมตร ซึ่งจัดได้ว่าเป็นทางกระเช้าที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความที่ไม่มีเสาค้ำสลิงอยู่เลย ทำให้วิวทิวทัศน์ระหว่างทางบนกระเช้านี้สวยมาก มองได้กว้างรอบตัว 360 องศาเลย คุโรเบะไดร่าเป็นสถานีแวะพักเพื่อมุ่งหน้าไปสู่เขื่อนคุโรเบะ เราได้ถ่ายรูปหมู่กันและได้ซื้อขนมเล็กๆน้อยๆ สักพักเราก็ขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้ารูปขั้นบันไดอีกครั้งเพื่อลดระดับผ่านอุโมงค์ลงสู่สันเขื่อนคุโรเบะด้วยเวลาเพียง 5 นาที เขื่อนคุโรเบะมีความยาวสันเขื่อนกว่า 800 เมตร สูง 186 เมตร ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่น ที่เขื่อนคุโรเบะนี้ยังมีบริการล่องเรือชมบริเวณรอบๆเขื่อนอีกด้วย เราต้องเดินเท้าผ่านสันเขื่อนนี้เพื่อไปขึ้นรถที่อีกฝั่งหนึ่ง ตอนที่มาถึงที่นี่ลมแรงมาก แดดจัด แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่ วิวบริเวณสันเขื่อนนี้สวยมากจริงๆ น้ำในเขื่อนเป็นสีเขียวมรกต ท้องฟ้าสีฟ้าจัด ตัดกับสีขาวของหิมะบนภูเขาที่เป็นฉากหลัง น่าประทับใจมากๆ ก่อนออกจากบริเวณเขื่อนนี้มีน้ำดื่มไว้บริการ เขาว่าเป็นน้ำดื่มที่มาจากน้ำที่ละลายมาจากน้ำแข็งบนภูเขา มีแร่ธาตุสูง หมอนาชิมแล้วบอกว่าจืด
Top view จากที่ราบไดคัมโป

ประมาณสามโมงครึ่ง เราขึ้นรถโค้ชไฟฟ้าปลอดมลพิษทะลุอุโมงค์ใต้ภูเขาอะกาซาว่าเป็นทางยาว 6.1 กิโลเมตร นาน 16 นาที มุ่งสู่สถานีโอกิซาวะซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของเส้นทาง Japan alps นี้ เรากลับขึ้นรถโค้ชของคณะเราเพื่อเดินทางไปยังโรงแรมที่พักในคืนนี้อยู่ที่บริเวณทะเลสาบคาวาคุจิโกะ ซึ่งเป็นทะเลสาบ 1 ใน 5 แห่งที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิ ระหว่างทางฉันเห็นสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจมาก ซึ่งความจริงไม่ใช่แค่ฉัน แต่ทุกๆคนก็ได้เห็น และไม่ใช่เพิ่งเห็นระหว่างเส้นทางนี้แต่เห็นมาตลอดทางที่ผ่านมาก็คือคนญี่ปุ่นจะปลูกข้าวที่ภายในพื้นที่อยู่อาศัยของตัวเอง หมายถึงข้างๆบ้านพักเลย ข้างๆจริงๆ เพื่อเอาไว้กินเอง ไม่ต้องซื้อจากที่ไหน เป็นพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ของแท้เลย แปลงนาก็เล็กๆ น่าจะประมาณไม่เกิน 30 ตารางเมตรเท่านั้น พอสำหรับปลูกเองกินเอง ที่น่าทึ่งก็คือเขาดำนาได้เป็นระเบียบมาก เรียงสวยไม่มีแตกแถวเลย เห็นแล้วก็ชื่นชมเหลือเกิน คิดว่าเมืองไทยน่าจะมีค่านิยมแบบนี้บ้าง
ตั๋วรถโค้ชไฟฟ้าจากเขื่อนคุโรเบะสู่สถานีโอกิซาวะ

ระยะทางจากโอกิซาวะไปถึงโรงแรมไกลเอาการอยู่ กว่าเราจะไปถึงโรงแรมก็ประมาณ 1 ทุ่ม โรงแรมชื่อ Hotel Mifujien เป็นโรงแรมแบบญี่ปุ่นขนานแท้หรือที่เรียกว่า “เรียวกัง” ที่นอนเป็นฟูก มีการจัดห้องแบบญี่ปุ่น กลางห้องจะมีโต๊ะเตี้ยๆสไตล์ญี่ปุ่นให้นั่งจิบชาที่วางอยู่ใกล้ๆ ด้านนอกสามารถมองออกไปเห็นทะเลสาบคาวาคุจิโกะ ถ้าดินฟ้าอากาศเป็นใจ ตอนเช้าเราจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ถัดออกไปจากทะเลสาบได้ ห้องนอนนี้ทำให้นึกถึงการ์ตูนโดราเอมอนขึ้นมาทันที เนื่องจากเหมือนห้องนอนของโนบิตะเดี๊ยะเลย ถึงแม้จะเป็นโรงแรมที่ดูไม่หรูหราแบบโรงแรมสไตล์ตะวันตก แต่อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่มีไว้บริการก็ไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เหมือนกับที่ได้รู้สึกชื่นชมกับความสะดวกสบายที่โรงแรมในญี่ปุ่นมีให้ตั้งแต่วันแรกของการเดินทางแล้ว ห้องส้วมก็ยังคงมีโถส้วมที่มีที่กดน้ำล้างก้นอยู่เหมือนเดิม (อิอิ! อันนี้ชอบเป็นพิเศษ)
ห้องนอนในเรียวกัง

อาหารเย็นวันนี้จัดที่ในโรงแรม ห้องอาหารก็เป็นโต๊ะเตี้ยๆ 1 คนต่อ 1 ตัวเรียงต่อกันยาวเป็น 2 แถวหันหน้าเข้าหากัน เว้นที่ตรงกลางไว้สำหรับให้บริกร (ป้าๆโอบ้าซัง) มาเสิร์ฟอาหาร อาหารก็ยังคงเป็นเบนโตะเซ็ตเช่นเดิม (รักเดียวใจเดียวไม่เคยเปลี่ยนจริงๆทริปนี้) อาหารที่ไม่เคยหายไปจากเบนโตะเซ็ตเลยสักครั้งเดียวก็คือ... ไข่ตุ๋น ชักเริ่มจะเอียนเข้าแล้วสิ สำหรับมื้อนี้พิเศษกว่ามื้ออื่นๆตรงที่ มื้อนี้คุณเต๋อกับคุณโต้บอกให้ลูกทัวร์ทุกคนเปลี่ยนชุดยุคาตะลงมากินข้าวเย็นด้วย รวมทั้งคุณไกด์ทั้งสองด้วย รู้สึกประทับใจมากเลย หลังกินข้าวพวกเราทั้งหมดได้ถ่ายรูปรวมกันหน้าห้องอาหารด้วย เมื่อกลับเข้าห้องนอน คืนนี้คุณ 2 ไกด์นัดแนะลูกทัวร์ไปอาบน้ำออนเซ็นกันอีกแล้ว หมอนาได้ฤกษ์ไปกับเขาด้วยเหมือนกัน
มื้อเย็นกับชุดยุคาตะ

(... ยังมีต่อ つづく...)




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:43:14 น.   
Counter : 1358 Pageviews.  


ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 2/5)

เดือน 5 วันที่ 27

ตื่นเช้าวันนี้มากินข้าวเช้าที่โรงแรมตอน 7 โมง เป็น International buffet มีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบยุโรป รสชาติพอใช้ได้ จากนั้นออกจากโรงแรม 8 โมงเพื่อเดินทางไปยังปราสาทนาโกย่า ระหว่างทางได้แวะจุดพักรถและซื้อขนมญี่ปุ่นมาหลายกล่อง ที่ขาดไม่ได้ก็คือที่ห้อยโทรศัพท์มือถือรูป Hello Kitty อย่างที่บอกไป ลายแต่ละที่ไม่มีซ้ำกันเลยจริงๆ เป็นแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยมมาก หากพลาดที่หนึ่งแล้วคุณก็อาจจะไม่สามารถหาได้จากที่อื่นอีกเลย เพราะฉะนั้นถ้าถูกใจแล้ว เจอปุ๊บต้องซื้อทันที ละลายทรัพย์ได้รวดเร็วดีแท้ ใน supermarket ที่จุดพักรถนี้มีกาแฟ Starbucks แบบพร้อมดื่มวางขายอยู่บน shelf ด้วย ปะปนกับยี่ห้ออื่นๆที่ทำหน้าตาและแพ็คเกจคล้ายกันเหลือเกิน คงไว้หลอกคนเบลอๆที่เผื่อจะหยิบผิดจาก Starbucks เป็นยี่ห้ออื่นที่อยู่ใกล้เคียงบ้าง

ปราสาทนาโกย่าตอนประมาณเกือบ 11 โมง หน้าตาเหมือนกับปราสาทโชกุนที่อยู่ในการ์ตูนอิคิวซังไม่มีผิด ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ปราสาทเดียวกันก็ตาม (ก็คงเหมือนที่ชาวต่างชาติมองว่าวัดไทยหน้าตาเหมือนกันทุกวัด หรือที่เรามองว่าโบสถ์ศาสนาคริสต์ก็หน้าตาเหมือนกันทุกที่ไป) ปราสาทนาโกย่านี้ถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของโชกุนเลยะสึ โตกุกาวะ (Leyasu Tokugawa) ผู้ถือได้ว่าเป็นผู้รวบรวมประเทศญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน หลังจากชนะการสู้รบที่เมือง Sekigahara ท่านได้มีคำสั่งให้ย้ายปราสาทจากเมืองคิโยะสึมาสร้างที่เมืองนาโกย่าในปี 1609 เพื่อที่จะรักษาอำนาจของตนในแถบโตไคโดะและเพื่อเป็นปราการป้องกันศึกจากฝั่งโอซาก้า การก่อสร้างห้องต่างๆเริ่มต้นในปี 1610 และเสร็จสิ้นลงในปี 1612 ปราสาทนาโกย่าถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของการสร้างปราสาทบนที่ราบ ผิดจากการสร้างปราสาทอื่นๆซึ่งมักจะสร้างบนที่สูงมากกว่าเพื่อป้องกันภัยจากข้าศึกศัตรู ขุนนางจากทางเหนือและทางใต้ของญี่ปุ่นเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างปราสาทนี้ คำจารึกเกี่ยวกับขุนนางรวมไปถึงทาสที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทยังคงมีให้เห็นอยู่ถึงทุกวันนี้บนกำแพงหินของปราสาท ปราสาทนาโกย่าเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นที่พำนักของเชื้อสายตระกูล Tokugawa อย่างน้อยๆถึง 3 รุ่นก่อนที่ยุคสมัยเมจิจะเริ่มก่อตั้งขึ้น ในสมัยเมจิช่วงต้น ปราสาทนาโกย่าถูกปกครองโดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพทหารแห่งนาโกย่า ภายหลังถูกส่งต่อให้ราชสำนักในปี 1893 ปราสาทจึงกลายเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ ในปี 1930 หลังเกิดการล้มล้างระบอบการปกครองโดยจักรพรรดิ ปราสาทนาโกย่าก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาลเมืองนาโกย่าและเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา สืบเนื่องจากการถูกโจมตีทางอากาศระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ห้องและอาคารหลายส่วนถูกเผา แต่ยังโชคดีที่ยังเหลืออาคาร 3 หลัง ประตู 3 บานและภาพเขียนอีก 1,047 ภาพบนประตูบานเลื่อนและบนผนังที่รอดพ้นจากการถูกไฟไหม้ และถูกยกให้เป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของชาติ ในปี 1959 ส่วนห้องและอาคารทั้งหมดรวมทั้งประตูใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ถูกบูรณะให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม (ทั้งหมดนี้แปลจากป้ายที่อยู่หน้าทางเข้าปราสาท) ปราสาทนาโกย่าสูงทั้งหมด 7 ชั้น บนยอดปราสาทมีปลามังกรตัวจำลองแต่ขนาดเท่าของจริงอยู่ ของจริงเขายกลงมาข้างล่างด้านในปราสาทเพื่อเก็บรักษาและให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชม ก่อนกลับมีคนญี่ปุ่นแต่งตัวเป็นทหารญี่ปุ่นเดินผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากขอถ่ายรูปด้วย ซึ่งเขาก็ยอมให้ถ่ายด้วยหน้าตายิ้มแย้ม น่าประทับใจดีเหมือนกัน

กระเบื้องปูพื้นถนนรูปปราสาทนาโกย่า

ปราสาทนาโกย่า

บัตรผ่านเข้าชมปราสาทนาโกย่า

ตัวปั๊มเตือนความทรงจำสำหรับนักท่องเที่ยว


อากาศที่ญี่ปุ่นช่วงนี้ดีมากจริงๆ ช่วงเช้าและเย็นอากาศเย็นสบายถึงเ็ย็นนิดหน่อย กลางวันแดดออกแต่ไม่ร้อนเลยสักนิด มีลมพัดเรื่อยๆช่วยเอาเหงื่อออกไป กว่าเราจะออกจากปราสาทนาโกย่าก็เที่ยงกว่าเพื่อไปกินข้าวกลางวันที่ร้านชาบุชาบุอะไรสักอย่าง (อ่านคันจิไม่ออกอีกแล้ว) เป็นเบนโตะเซ็ตคล้ายๆกับมื้อก่อนๆ แต่มื้อนี้คุณ 2 ไกด์โรยผงโรยข้าวหรือฟุริคาเกะรสวาซาบิกับรสเนื้อมัตซึตาเคะให้ลองกินกันด้วย อร่อยมากๆเลย หลายคนโน้ตไว้เลยว่าจะหาซื้อกลับไปกินที่เมืองไทยบ้าง หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราออกเดินทางต่อไปยังเมืองทาคะยามา ซึ่งแปลว่าภูเขาสูงนั่นเอง (ทาคะ = สูง, ยามะ = ภูเขา) ระยะทางจากนี้ไปเมืองทาคะยามาก็ไกลพอสมควร เป็นเส้นทางที่เริ่มขึ้นเขาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวสู่เขาทาเทยามะในวันพรุ่งนี้ ระหว่างทางเราก็ได้แวะจุดพักรถเหมือนเคย ทุกที่ที่แวะจะสังเกตเห็นถังขยะเรียงเป็นตับ แบ่งประเภทการแยกขยะไว้ชัดเจน มีอยู่ถังหนึ่งมีรูปบอกไว้ประมาณว่าถ้าจะทิ้งขวดของเหลว เช่นขวดน้ำ ต้อง rinse น้ำเปล่าแล้วเททิ้งก่อนค่อยทิ้งลงถังด้วย ละเอียดดีจริง เนื่องจากระยะทางไปค่อนข้างไกล คุณเต๋อจึงเปิดวีดีโอเรื่องแสบสนิทศิษย์ส่ายหน้าให้ดูด้วยครึ่งเรื่อง ขำมากๆ

เราเดินทางถึงทาคะยามาประมาณ 4 โมงครึ่ง ตรงต่อเข้าไปยังหมู่บ้านพื้นเมืองแห่งฮิดะ (Hida flok village; Hida no Sato) เป็นหมู่บ้านจริงซึ่งปัจจุบันได้จัดแสดงให้เป็นสถานที่ที่แสดงถึงความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นสมัยก่อน บ้านจริง เครื่องมือหากินจริง แต่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่แล้ว เขาอนุรักษ์ไว้ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในหมู่บ้านมีคุณยายมาสาธิตวิธีการทอผ้า มีคุณตามาสาธิตวิธีการผ่าฟืน ทำไม้สำหรับทำหลังคา บ้านเก่าแก่พวกนี้จะใช้หญ้าปูเป็นหลังคา ซึ่งมีน้ำหนักมาก ต้องใช้คนประมาณ 100 คนในการช่วยกันมุงหลังคา 1 หลัง เพราะฉะนั้นปีหนึ่งๆจะสามารถช่วยกันทำได้แค่ประมาณ 7 หลังเท่านั้น โอ้! อะเมซซิ่งมากๆ ก่อนกลับได้แวะซื้อของ ได้เห็นตัวตุ๊กตาที่ชื่อว่า “ซารุโบโบะ” ซึ่งหมายความเป็นภาษาอังกฤษว่า Happy monkey doll เป็นตุ๊กตาหรือของเล่นที่คนสมัยก่อนทำให้ลูกสาวหรือหลาน เพื่อให้ผู้รับมีความสุขและสุขภาพดี นอกจากนี้ผู้ให้ก็จะมีความสุขด้วยเช่นกัน ฉันก็เลยซื้อเจ้าตัวนี้แบบเป็นที่ห้อยมือถือมา 2 อันพร้อมกับซื้อขนมมาอีก 1 กล่อง
เส้นทางใน Hida no Sato


หลังจากออกจาก Hida no Sato ก็ตีรถไปที่โรงแรมที่พัก เย็นนี้เราจะกินข้าวเย็นที่โรงแรมกัน ระหว่างนั้นได้แวะที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง อากาศเริ่มหนาวขึ้น ลมแรงขึ้นจนต้องหยิบสเว็ทเตอร์มาใส่ ทำให้คิดถึงบรรยากาศที่ Nottingham มากๆ เวลา 6 โมงครึ่ง เราก็เดินทางมาถึงโรงแรมที่พักคืนที่ 2 ชื่อว่า Hotel Associa Takayama Resort เป็นโรงแรมสไตล์ยุโรป อาหารเย็นมื้อนี้ก็ยังคงเป็นเบนโตะเซ็ตเช่นเคย เริ่มจะกินไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อร่อย แต่เพราะว่ากับที่ให้มาในหนึ่งเซ็ตเนี่ยมากเหลือเกิน มื้อแรกๆก็อารมณ์ตื่นเต้น มีเท่าไหร่ยัดลงกระเพาะได้หมด แต่มื้อต่อๆมาเนี่ยยัดไม่ไหวแล้ว เลยเหลือเพียบเลย เนื่องจากโรงแรมนี้เป็นโรงแรมสไลต์ยุโรป จึงไม่อนุญาตให้ใส่ชุดยุคะตะเดินลงมาด้านล่างและออกไปนอกโรงแรม ผิดกับโรงแรมแรกที่อนุญาตให้ใส่ไปเดินในล็อบบี้ได้ ก่อนกลับห้องคุณเต๋อกับคุณโต้โฆษณาใหญ่เลยว่าออนเซ็นที่นี่เยี่ยมยอดมาก มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีที่นวดหลังขณะแช่น้ำ วิวสวย มองเห็นข้างนอกชัดเจน นัดแนะกับสมาชิกลูกทัวร์เสร็จสรรพ ให้ลูกทัวร์ผู้ชายเจอกันกี่โมง ลูกทัวร์ผู้หญิงเจอกับคุณกุกกี่โมง แต่ยังไงฉันก็ยังไม่กล้าพอที่จะเริ่มต้นอยู่ดี อ้อ!ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือเรื่องสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ โถส้วมแบบยุโรปที่นี่จะมีปุ่มกดอยู่ข้างๆเพื่อฉีดน้ำล้างก้นออกมาด้วย มีทั้งให้ปรับระดับความแรงและอุณหภูมิของน้ำที่ออกมา สบายอย่างบอกไม่ถูกเลย


(... ยังมีต่อ つづく...)




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:42:26 น.   
Counter : 699 Pageviews.  


ญี่ปุ่นจัง 日本さん (day 1/5)

ทริปญี่ปุ่นครั้งแรกของฉัน

เดือน 5 วันที่ 26
เราออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสู่เมืองนาโกย่า ด้วยเที่ยวบินที่ TG 644 เวลาเที่ยงคืนสิบนาที ครั้งนี้ไปกับบริษัทยา “ไทยเมจิ” ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของฉันอีกแล้วกับการไปทัวร์แบบมีสปอนเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทยา แล้วก็เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยตัวเองเหมือนครั้งอื่นๆที่ผ่านมา

เครื่องบินจอดที่สนามบินนาโกย่า (Nagoya Chubu Centrair International Airport) ตอน 7.35 น. หลังผ่านพิธีการสนามบินเรียบร้อยแล้ว ออกจากสนามบินตอนประมาณ 8.45 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่เที่ยวที่แรกกันเลย สนามบินนาโกย่านี้เป็นสนามบินแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อประมาณปี 2005 เพื่อต้อนรับงานแสดงสินค้า Aichi Expo เป็นสนามบินที่อยู่ติดทะเล ถึงจะใหม่แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะทั้งรถไฟ รถแท็กซี่ หรือรถบัส ทริปครั้งนี้เรามีมัคกุเทศน์ถึง 2 คน คือเป็นไกด์จากบริษัท treasure planet 1 คนชื่อคุณเต๋อ กับไกด์ท้องถิ่นชื่อคุณมาโกโตะ มิตซึโมโตะ (Makoto Mitsumoto) หรือคุณโต้ ซึ่งก็เป็นคนไทยเหมือนกันนั่นแหละ คือจริงๆแกเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น คุณพ่อเป็นญี่ปุ่น คุณแม่เป็นคนไทย แต่อยู่เมืองไทยตั้งแต่เกิด โตเมืองไทย แต่ก็ได้มาเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่น ทำให้พูดไทยก็คล่องปรื๋อ พูดญี่ปุ่นก็สบาย คุณเต๋อกับมาโกโตะดูจะทำงานร่วมกันมาหลายครั้ง เพราะพวกเขาพูดรับส่งมุขกันได้ดี แซวเล่นกันได้ขำๆ ไม่เคอะเขิน นอกจาก 2 คนนี้แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่จากไทยเมจิอีก 2 คน คือคุณจุ่น เป็น District Manager กับคุณกุก เป็น Product Manager ส่วนลูกทัวร์ในทริปนี้มีทั้งหมด 20 คนพอดิบพอดี เป็นหมอ 16 คน ผู้ติดตามอีก 4 คน

อากาศที่นาโกย่าวันนี้ถือว่าเย็นสบายดี ประมาณ 23 องศา (ในรถโค้ชมีที่วัดอุณหภูมิและความชื้นติดอยู่) แดดดี ไม่น่ามีทีท่าว่าฝนจะตก สถานที่แรกที่เราจะไปในวันนี้คือศาลเจ้าอิเซะ (Ise Jinguu) ที่เมืองอิเซะ เมืองเล็กๆไม่ไกลจากนาโกย่ามากนัก ระหว่างทางนั่งรถ ได้จอดแวะตามจุดพักรถ มีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางๆ (ใหญ่กว่าเซเว่นพอสมควร) มีห้องน้ำสะอาดๆ มีแผงขายผัก ผลไม้อยู่ด้านหน้า แล้วก็มีร้านขายทาโกะยากิ ไทยากิแล้วก็ไอติม ฉันจ่ายเงินเยนครั้งแรกไปกับไอติมรสนมผสมชาเขียวในราคา 300 เยน อร่อยดี

11.30 น. อาหารกลางวันมื้อแรกของเราอยู่ในร้านที่ชื่อว่า Myabi เป็นอาหารญี่ปุ่นชุด มีข้าวหน้าปลาไหล (อุ่นอยู่ในหม้อไฟเล็กๆ) เทมปุระ ซาซิมิ ไข่ตุ๋น ซุป ผักต้ม ตบท้ายด้วยชาร้อน คุณโต้บอกว่าคนญี่ปุ่นมักจะจัดอาหารแบบเบนโตะเซ็ต เพราะเชื่อว่าของแต่ละอย่างที่ดูเหมือนอย่างละเล็กละน้อยนั้น ล้วนแต่เป็นของที่มีประโยชน์ คำนวณแล้วว่าเมื่อกินทั้งหมดแล้วจะอิ่มพอดีพอดี และได้ประโยชน์คุณค่าทางอาหารครบถ้วน อีกอย่าง เวลากินปลาดิบหรือซาซิมินั้น คนไทยนิยมเอาวาซาบิทั้งก้อนใหญ่ๆละลายลงไปในโชยุ ซึ่งจริงๆแล้วผิดตำราคนญี่ปุ่นถนัดเลย ที่ญี่ปุ่นจะต้องหยิบวาซาบิปริมาณน้อยๆ วางบนปลาดิบ แล้วจึงค่อยจิ้มในโชยุ จะทำให้ได้รสชาติของวาซาบิที่เข้มข้น ไม่ละลายหายกลืนไปกับโชยุเหมือนที่คนไทยทำกัน ส่วนข้าวสวยเปล่าๆนั้น คนญี่ปุ่นก็จะต้องกินเป็นลำดับสุดท้ายพร้อมกับผักดอง หลังจากที่กินอาหารอย่างอื่นๆหมดแล้ว อืม... แปลกดี

เราเดินทางไปถึงศาลเจ้าอิเซะประมาณบ่ายโมงครึ่ง มองเห็นคนญี่ปุ่นสูงอายุทั้งหญิงและชายนุ่งขาวกันเป็นกลุ่มๆ คุณโต้บอกว่าพวกเขามาถือศีลกัน ศาลเจ้าอิเซะนี้เป็็นศาลเจ้าทางศาสนาชินโตที่มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ด้านหน้าทางเข้าจะเป็น arc ใหญ่ๆ เหมือนเป็นประตูทางเข้าสู่ภายในศาลเจ้า ระหว่างทางเราก็จะเดินผ่านลำธารน้ำใสแจ๋ว ต้นไม้ใหญ่มากมาย มีการจัดแสดงต้นไม้บอนไซแบบญี่ปุ่นอยู่ด้วย ต้นไม้ที่นี่หลายต้นเป็นแบบไม้ดัด ดัดให้คงรูปหยักไปหยักมา สวยดีเหมือนกัน ตามเอกสารแนะนำบอกไว้ว่า บริเวณศาลเจ้าแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนด้านนอก (Geku) ซึ่งเป็นที่เก็บของเสื้อผ้า อาหารและที่พัก กับส่วนด้านใน (Naiku) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่บูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ศาลเจ้าอิเซะนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโดยแท้ ปราศจากอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบเอเชียอื่นๆ เชื่อกันว่าส่วนศาลเจ้าด้านในถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 3 และส่วนด้านนอกถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5 ... โอ้โห!!!

Ojiisan-Obaasan มาถือศีล

ร้านขายขนมโมจิ อายุมากกว่า 300 ปีน้ำแข็งใสรสสตรอเบอรี่กับบ๊วย


เมื่อเดินออกมาจากศาลเจ้า คุณเต๋อและคุณโต้ก็แนะนำให้พวกเราลูกทัวร์เดินไปที่ชุมชนด้านข้างๆศาลเจ้า บริเวณนี้เรียกว่า Okage Yokocho เป็นชุมชนเล็กๆที่เต็มไปด้วยร้านค้า 2 ข้างทางสไตล์ญี่ปุ่นพื้นเมือง ขายสารพัดอย่างทั้งของกิน ของฝากรวมไปถึงของเล่น ฉันซื้อที่ห้อยมือถือรูป Hello Kitty หลายอัน ได้ฝึกฟังภาษาญี่ปุ่นบ้างนิดหน่อย (แต่พอตอบกลับ ได้แต่ตอบว่า “ไฮ่”) บริเวณ Okage Yokocho นี้มีร้านขายขนมโมจิอยู่ร้านหนึ่ง มีอายุเก่าแก่มากกว่า 300 ปี คนเต็มร้านเลย ฉันก็ได้ซื้อมาลองชิมกล่องหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีร้านขายน้ำแข็งใสอยู่ร้านหนึ่ง คนเยอะม้ากกกกก ต่อคิวกันยาวเหยียด คุณโต้ก็ไปรอต่อคิวซื้อน้ำแข็งใสมาให้พวกเราชาวคณะ (โอ้! ฟังเหมือนกำลังเล่นตลก) ...พวกเราลูกทัวร์กินกันด้วย น้ำแข็งใสรสสตรอเบอรี่กับบ๊วย (400 เยน) อร่อยใช้ได้เลย น้ำแข็งปั่นละเอียดมาก นุ่มเหมือนเกล็ดหิมะ ส่วนรสชาติของสตรอเบอรี่ผสมบ๊วยก็เปรี้ยวๆเค็มๆ อร่อยดี แต่คุณเต๋อบอกว่าน้ำแข็งใสบ้านเราอร่อยกว่า จากนั้นเราก็เดินดูของแถวนั้นไปเรื่อยๆ แวะร้านขายของเล่นโบราณ หมอซื้อกล้องดูดาวแบบหลอกเด็กมาหลายอันให้หลานๆ ส่วนฉันก็ซื้อที่ห้อยมือถือ kitty อีกหลายอัน ร้านที่แล้วกับร้านนี้มีลายไม่เหมือนกันเลย ผ่านร้านยิงปืน ให้ยิงปืนเพื่อล้มของในร้านแลกรางวัลเหมือนงานวัดทั่วไป เจอเด็กญี่ปุ่นหลายคนที่นี่ หน้าตาน่ารักแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ถ่ายรูปเก็บมาด้วยเยอะเลย

เด็กญี่ปุ่น หน้าตา typical มั่กๆ

บรรยากาศรอบๆ Okage Yokocho


บ่าย 3 โมง เราอำลา Okage Yokocho เพื่อออกเดินทางไปสู่สวนสนุก Espana-Shima Spain Village เป็นสวนสนุกที่จำลองบรรยากาศของประเทศสเปนไว้ภายใน จริงๆฉันคิดว่าโปรแกรมนี้คงเตรียมไว้เป็นทางผ่าน ฆ่าเวลาก่อนถึงอาหารเย็นเท่านั้นเอง เพราะเท่าที่อ่านจากอินเตอร์เน็ตก่อนมานี่ สวนสนุกนี้ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ แปลกกว่าที่อื่นๆตรงไหน จะให้เป็นข้อน่าคิดก็ตรงที่ว่า แม้ในเมืองเล็กๆในญี่ปุ่นก็ยังมีสวนสนุกขนาดใหญ่ เครื่องเล่นทันสมัย ระบบการจัดการได้มาตรฐานอยู่ แสดงถึงการกระจายความเจริญและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ เรามาถึงสวนสนุกนี้ประมาณเกือบ 5 โมง ได้เล่นเครื่องเล่น 2-3 อย่างคล้ายๆบ้านเรา ทั้งล่องแก่ง รถไฟเหาะ และรถไฟเหาะตีลังกาแบบ 360 องศา น่ากลัวมาก ฉันสาบานว่าจะไม่ขึ้นอีกแล้ว ตอนนั่งได้แต่หลับตาตลอดทาง ยังรู้สึกหวิวๆเสียวท้องจนต้องร้องออกมาหลายครั้ง เหมาะกับพวกชอบทรมานตัวเองจริงๆ เนื่องจากลูกทัวร์ทริปนี้เป็นหมอ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ความกล้าบ้าดีเดือดในการเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกนี้จึงมีไม่มากนัก เริ่มตั้งแต่แรก หลายคนก็เอาแต่ถ่ายรูปกับต้นไม้ ปราสาท ตึกรามบ้านช่องอะไรไปตามเรื่อง ในขณะที่อีกประมาณ 10 คน ไปเล่นล่องแก่งเป็นเครื่องเล่นแรก อันนี้ยังเด็กๆ ชิวๆ พอเครื่องเล่นที่ 2 เป็นรถไฟเหาะ สมาชิกเริ่มลดน้อยถอยลงเหลือไม่ถึง 10 คน ต่อมาก็ไปเล่นไวกิ้ง ก็เหลือน้อยลงไปอีก (อันนี้ฉันขอบาย เนื่องจากไม่ชอบเอาซะเลย มันเสียวท้องมากๆ เสียวนานด้วย อยากจะอ้วกทุกที) ต่อมาเป็นไฮไลท์คือรถไฟเหาะตีลังกาที่หมุนถึง 360 องศา อันนี้แหละสมาชิกใจป๊อดหดหายไปอีก เหลือแค่ประมาณ 7 คนเห็นจะได้ สุดท้ายหลังลงจากรถไฟเหาะตีลังกา ยังพอมีเหล่าผู้กล้าเหลือไปนั่งเครื่องเล่นอะไรซักอย่างที่หมุนรอบตัวเองแล้วยกตัวสูงขึ้นไปหลายสิบเมตรเพื่อชมบรรยากาศของสวนสนุกจากมุมสูง

เราออกจากสวนสนุกประมาณ 6 โมงกว่าเพื่อไปที่กินข้าวเย็นของวันนี้ ที่ร้านอะไรซักอย่าง อ่านคันจิไม่ออก เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนทั่วๆไป มีประมาณ 4 ชั้น เรานั่งกินอยู่ที่ชั้นที่ 4 ระหว่างทางที่รถโค้ชขับมาเที่ยวตลอดวันนี้ คดเคี้ยวเลี้ยวลดมากมาย คุณลุงคนขับก็แบบว่าไม่มีชะลอเลี้ยวเลย อยากเลี้ยวก็หักท่าเดียว ทำให้ลูกทัวร์หลายคนเกิดอาการเมารถอย่างเห็นได้ชัด นั่งเงียบ (เพราะพะอืดพะอม) ไปตลอดทาง หมอนาถึงกับได้ไปฝากรัก (อาเจียน) ที่ร้านอาหารมื้อเย็นนี่ โชคดีที่คราวนี้ฉันไม่เป็นไร คิดว่าเพราะได้นั่งริมหน้าต่างแล้วก็พยายามมองออกไปไกลๆตลอด อาหารเย็นมื้อนี้ เป็นอาหารญี่ปุ่นที่คุณเต๋อกับคุณโต้บอกว่าเน้นอาหารทะเล แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อาหารทะเลปิ้ง ย่าง เผา ยำแบบบ้านเรา แต่เป็นอาหารทะเลแบบดิบๆตามสไตล์พี่ยุ่นเขา อาหารเสิร์ฟทีละอย่าง เริ่มตั้งแต่สลัดปลาดิบ สลัดหัวไชเท้า เมนูนี้ชอบมากๆ เขาจะหั่นหัวไชเท้าเป็นเส้นๆ ราดด้วยน้ำสลัดแบบใส รสชาติเย็นๆ พอเคี้ยวปุ๊บ น้ำจากหัวไชเท้าก็จะออกมาหวานๆ อร่อยดีจัง ต่อด้วยปลาดิบ ปลาย่างซีอิ๊ว หมู 3 ชั้นในไชเท้าบดแกล้มด้วยมัสตาร์ด สลัดปูอัดเสิร์ฟกับแตงกวาและมะเขือเทศ กุ้งชุบแป้งทอดเสิร์ฟพร้อมซอสมายองเนส ปิดท้ายด้วยข้าวเปล่าพร้อมซุปและผักดองต่างๆ
สลัดหัวไชเท้า ... อร่อยดี


เราออกจากร้านอาหารและมาถึงที่พักชื่อโรงแรม Daiwa (Ise Royal) Hotel ตอนประมาณ 3 ทุ่ม โรงแรมตกแต่งอย่างค่อนข้างธรรมดามาก แต่ถึงกระนั้นเครื่องอำนวยความสะดวกก็ครบครันมากๆ มีแม้กระทั่งยางมัดผม ที่ขาดไม่ได้เพราะเป็นธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นก็คือชุดยุคะตะ เป็นชุดกิโมโนทำจากผ้าฝ้าย ใช้ใส่คลุมตอนจะไปอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อนรวมที่เรียกว่าโอะฟุโระหรือออนเซ็น ชาวญี่ปุ่นจะนิยมไปอาบน้ำที่ออนเซ็นมาก เพราะเชื่อว่าจะทำให้หลับสบายแล้วก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นพร้อมรับวันใหม่ ที่ชอบอย่างหนึ่งในโรงแรมคือสบู่ แชมพูที่มีจะบรรจุอยู่ในขวดฝา pump ไว้สำหรับ refill ได้ ประหยัดทรัพยากรกว่าสบู่ก้อนและแชมพูแบบใส่ขวดเล็กๆสำหรับไว้ให้แขกที่มาพักพกกลับบ้านได้ คืนนั้นหลายคนได้ลองไปอาบน้ำที่ออนเซ็นตามคำเชื้อเชิญของคุณไกด์ทั้งสอง ในขณะที่บางคนก็สลบไสลไม่รู้เรื่องจนถึงเช้า

(... ยังมีต่อ つづく...)




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2551   
Last Update : 13 ธันวาคม 2551 12:41:35 น.   
Counter : 1703 Pageviews.  



katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com