KatieKat... Let's share your thought
 
 

กลิ่นอายแห่งลมหนาวที่ศาลาเขาใหญ่ (SALA Khaoyai)

Scent of the winter @ SALA Khaoyai
30 พ.ย. – 1 ธ.ค. กลางสัปดาห์กับทริปโปรโมชั่นงานไทยเที่ยวไทย

มีโอกาสซื้อ voucher ของเครือศาลาอีกครั้งที่งานไทยเที่ยวไทยหลังจากไปศาลาภูเก็ตเมื่อกลางปี คราวนี้ถึงคราวรีสอร์ทน้องเล็กของเครือศาลารีสอร์ทกับศาลาเขาใหญ่กันบ้าง //www.salaresorts.com/khaoyai/default-en.html ราคาเต็มนั้นแสนแพงเกินเศรษฐฐานะ ราคาโปรโมชั่นสำหรับ weekend (คืนวันเสาร์) ก็ยังไม่มีปัญญา จึงมีแต่ราคาโปรโมชั่นสำหรับ weekday (คืนวันอาทิตย์ถึงศุกร์) ที่คุ้มค่าที่สุด ความจริงแล้วเราเลือกเดินทางช่วงวันที่ 10-11 พ.ย. ซึ่งตรงกับลอยกระทงพอดี แต่ช่วงนั้นปัญหาน้ำท่วมใหญ่ยังไม่คลี่คลาย ถึงแม้น้องน้ำแถวบ้านจะยังคงหยุดเยี่ยมคุณพ่อที่โพไซดอนแถวรัชดา แต่สถานการณ์ตอนนั้นก็ยังไม่น่าไว้วางใจจริงๆ แถมหนทางจะไปศาลาเขาใหญ่ก็ดูลำบากเกินทน เราจึงขอเลื่อนทางรีสอร์ทเป็นช่วง 30 พ.ย. – 1 ธ.ค. แทน ซึ่งหนทางไปรีสอร์ทก็ยังมีทางเลือกไม่มากนักเหมือนเดิม เราเลือกเส้นทางที่อ้อมแสนอ้อมคือเส้นทางมอเตอร์เวย์-บางนา ไปยัง 314 ฉะเชิงเทรา เลี้ยวขวาเข้า 304 ผ่านพนมสารคาม นาดี ปราจีนบุรี ก่อนเลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามวังน้ำเขียว ผ่านเวลาเวียน อ้อมแล้วอ้อมอีกกว่า 300 กม.จึงจะไปถึงศาลาเขาใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นสำหรับเส้นทางการเดินทางไปศาลาเขาใหญ่ในสภาวะไม่ปกติอย่างเช่นมีเหตุการณ์น้ำท่วมนี้เราจะไม่ไปกล่าวถึงมันอีกนะคะ ปวดใจ ปวดก้นมากๆ เพราะถ้าเป็นเส้นทางในสถานการณ์ปกติแล้ว แนะนำให้ใช้เส้นทางไปเขาใหญ่ โคราชแบบที่ในเว็บให้แผนที่ไว้จะดีที่สุดค่ะ



ศาลาเขาใหญ่ตั้งอยู่ที่ตำบลโป่งตาลอง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ถ้าเดินทางจากทางแยกขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านคีรีมายา ทอสคานาวัลเล่ย์ (อลังการงานสร้างมากมาย เหมือนยกแคว้นทัสคานีแห่งอิตาลีมาไว้ที่นี่เลย) ประมาณ 20 กว่ากิโลเมตร จนเจอที่ทำการอบต. โป่งตาลองอยู่ทางซ้ายมือ จะมีป้ายศาลาเขาใหญ่ตั้งอยู่ ให้เลี้ยวซ้ายตามป้ายประมาณ 1 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ตรงไปอีก 1.8 กม. ก็จะเจอป้ายทางเข้าศาลาเขาใหญ่ รีสอร์ทนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงจากถนนหลัก เป็นรีสอร์ทเล็กๆ และไพรเวทสุดๆ ราคาห้องพักและบริการต่างๆจึงไม่เล็กตามขนาด ศาลาเขาใหญ่มีห้องพักไว้บริการอยู่ทั้งหมดเพียง 7 ห้อง เรียงลำดับตามหมายเลข 1-7 จากลานจอดรถ เมื่อเดินขึ้นบันไดชันไปจะพบกับล็อบบี้ก่อน ภายในล็อบบี้ประกอบไปด้วยรีเซฟชั่น ห้องสมุด ห้องพักผ่อนย่อมสำหรับให้ลูกค้าหยิบยืมหนังสือและดีวีดีไปที่ห้องพักได้ บริเวณรับประทานอาหาร แบ่งออกเป็นส่วนในร่มและกลางแจ้ง หันหน้าออกจากล็อบบี้จะพบกับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งคุณพนักงานหนุ่ม (ผู้ซึ่งทำหน้าที่แทบทุกอย่างในรีสอร์ท ทั้งเด็กยกกระเป๋า แนะนำสถานที่ เสิร์ฟอาหาร ชงกาแฟ เก็บโต๊ะ รับโทรศัพท์ จะเหลือไว้ก็แต่หน้าที่ยามเฝ้ารถหน้ารีสอร์ทเท่านั้น) บอกว่าเป็นสระเกลือ มองไกลออกไปก็จะพบกับวิวทิวทัศน์ของเขาใหญ่ เนินเขาสูงลดหลั่นกันไป พื้นที่ส่วนใหญ่ที่คาดว่าเป็นไร่ข้าวโพด สามารถมองได้อย่างเพลิดเพลินสุดลูกหูลูกตา เป็นทัศนียภาพที่งดงามไม่น้อย มองได้ไม่เบื่อเลย


















ห้องพักจำนวน 7 ห้องของศาลาเขาใหญ่ประกอบไปด้วยห้อง deluxe room และ deluxe balcony room จำนวนรวม 3 ห้องซ่อนอยู่ใต้ส่วนล็อบบี้ ต้องเดินลงบันไดไป ห้องหมายเลข 4-7 จะอยู่บริเวณถัดจากสระว่ายน้ำใหญ่ออกไป เดินลงบันไดไปเล็กน้อย เรียงหมายเลขห้องจากซ้ายไปขวา ซึ่งทั้ง 4 ห้องนี้จะเป็นห้องหรือวิลล่าที่มีสระว่ายน้ำ (สระเกลือ) ส่วนตัว ด้านหน้าวิลล่ามีโซฟาชิงช้าขนาดใหญ่ที่มีหลังคาคลุม ที่เด็ดก็คือบนหลังคาห้องพักจะเป็นโซฟากลมขนาดใหญ่สำหรับนั่งนอนดูดาวยามค่ำคืน พร้อมบริเวณบาร์บีคิวให้ปิ้งย่างอย่างเพลิดเพลิน หากอยากใช้บริการบาร์บีคิว ต้องโทรแจ้งทางรีสอร์ทก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน เพื่อทางรีสอร์ทจะได้ออกไปตลาดเตรียมซื้อวัตถุดิบสำหรับทำบาร์บีคิวได้












เริ่มที่ห้องหมายเลข 4 และ 5 คือห้อง sala pool villa มีพื้นที่ขนาด 134 ตร.ม. ส่วนห้องหมายเลข 6 และ 7 คือห้อง one bedroom pool villa suite ขนาด 164 ตร.ม. ซึ่งจะแยกบริเวณส่วนห้องนอนและส่วนนั่งเล่นออกจากกัน ทีวี LCD สามารถหมุนได้เกือบรอบเพื่อเลือกว่าจะนั่งดูทีวีจากเตียงนอนหรือส่วนนั่งเล่นก็ได้

คุณพนักงานพาเรามายังห้องหมายเลข 6 ซึ่งเขาบอกว่าเป็นห้องที่วิวดีที่สุด ดูท่าก็คงจะจริง เพราะถึงแม้ห้องหมายเลข 7 จะอยู่ระดับสูงกว่าห้องหมายเลข 6 เล็กน้อย แต่ห้อง 6 นี้เรียกว่าอยู่ตำแหน่ง front view ของทางรีสอร์ท เป็นห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลางที่สุด เพราะฉะนั้นวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นจะสามารถมองตรงๆก็ชัด มองกวาดสายตาไปรอบๆอีก 180 องศาก็ครอบคลุมชัดเจน ห้อง 6 จึงดูจะได้บรรยากาศที่สวยกว่าห้อง 7 เล็กน้อย (ย้ำ!! เล็กน้อย)













ตัววิลล่ารวมทั้งโทนสีของศาลารีสอร์ทเป็นวัสดุสีไม้ น้ำตาลอ่อน สลับกับสีของเครื่องนอนสีขาว ตัดกับสนามหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ของเขาใหญ่สีเขียวชะอุ่ม มองแล้วเย็นสบายตา เข้ากันดีเหลือเกิน ภายในห้องพัก one bedroom pool villa suite ประกอบไปด้วยส่วนเตียงนอนซึ่งยกพื้นสูง ถัดมาเป็นบริเวณโซฟานั่งเล่นขนาดใหญ่ หมอนเยอะมากเกือบ 10 ใบ ข้างๆกันเป็นเคาท์เตอร์เล็กๆมีตู้เย็น ตู้เซฟ ไดร์เป่าผม ชา กาแฟและกาต้มน้ำไว้บริการ สำหรับส่วนอาบน้ำจะมีอ่างอาบน้ำและ shower ฝักบัวแยกบริเวณกัน มี day bed อยู่ถัดจากอ่างอาบน้ำไว้ให้นอนพักผ่อนอีกด้วย














เราพักผ่อนอยู่ในวิลล่าด้วยการปีนป่ายถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน ต่อด้วยดูดีวีดีจบ 1 เรื่อง ก็ได้เวลาอาหารค่ำพอดี สำหรับการเลือกใช้บริการอาหารค่ำของทางรีสอร์ทนั้นสามารถเริ่มมารับประทานได้ตั้งแต่ประมาณ 5 โมงเย็น ครัวจะปิดเวลา 3 ทุ่ม แต่สามารถนั่งดื่มได้ต่อถึง 5 ทุ่ม จากที่เคยอ่านจากบางบล็อคบอกว่ารสชาติอาหารของศาลาเขาใหญ่นั้นออกแนวธรรมดามากไปหน่อย ไม่คุ้มค่ากับราคา เราก็เตรียมใจมาบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ เรากลับคิดตรงกันข้าม หรือว่าคุณพ่อครัวได้รับเสียงวิจารณ์นั้นแล้วก็เลยนำไปปรับปรุง อาหารนั้นแพงก็จริง แต่รสชาติก็ถูกปากเราดี เมนูอาหารมีทั้งไทยและเทศ เราสั่งซุปฟักทอง เสิร์ฟพร้อมขนมปังฝรั่งเศสชิ้นเล็กๆ สปาเกตตี้ผัดหอยลาย ผัดแห้งๆ เผ็ดนิดๆ อร่อยดี ไม่เลี่ยน แล้วก็สั่งเซ็ทพิเศษประจำวันชื่อ 3 in 1 set ประกอบด้วยซีซาร์สลัด เขาเอาผักใส่ในตะกร้าที่ทำจากแป้งทอดคล้ายๆกระทงทอง สปาเกตตี้ผัดแห้งๆ เผ็ดๆซักอย่าง แล้วก็แซลมอนทอดหั่นเป็นชิ้นกลม ราดซอสเทอริยากิ อันนี้หน้าตาแปลกดี แต่รสชาติอร่อยมาก สุดท้ายแล้วยังไม่อิ่ม จนต้องปิดท้ายด้วยข้าวผัดกุ้ง เมนูไทยๆอีก 1 จาน จึงจะอิ่มสำหรับ 2 คน








คืนนี้ (คืนนั้น) เป็นคืนขึ้น 5 ค่ำ พระจันทร์ยังเว้าแหว่งอยู่เยอะ จึงทำให้ท้องฟ้าที่เรามองเห็นเต็มไปด้วยดาวระยิบระยับมากมาย น่าเสียดายที่เลนส์กล้อง ที่สำคัญฝีมือถ่ายรูปของเราไม่สามารถเก็บภาพดวงดาวบนท้องฟ้ามาได้ ถ่ายไปก็ติดแต่จุดเล็กๆ ขาวๆ บนพื้นสีดำ บอกแล้วก็ยังไม่เชื่อว่านั่นคือดาว ต้องมาอยู่ในบรรยากาศนี้ให้เห็นเองกับตา ให้ร่างกายสัมผัสถึงอากาศเย็นสบายยามค่ำคืนที่นี่ คาดว่าอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาแน่นอน เพราะเดินเข้าไปในห้องพัก ตั้งอุณหภูมิแอร์ไว้ 23 องศา ในห้องกลับรู้สึกอุ่นไปเลย













เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 โมงเช้าจากด้านหลังวิลล่า ต้องเดินไปฝั่งล็อบบี้จึงจะเห็นชัด อากาศยังคงเย็นสบายอยู่เช่นเดิม เผลอๆจะเย็นกว่าเมื่อคืนเสียอีก หมอกยามเช้าบางๆ ท้องฟ้าก็ใสปิ๊ง เมฆน้อยยังคงนอนอุตุไม่มาทำงาน บรรยากาศดีขนาดนี้ทำให้เราสามารถเดินชมศาลาเขาใหญ่แบบวนแล้ววนอีกได้ไม่เบื่อจริงๆ ชัตเตอร์กล้องก็กดแต่มุมเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่านี่มันก็มุมเดิม แต่เวลาเอาตามองผ่านหน้าจอกล้องแล้วมันกลับไม่เหมือนเดิม มันให้ความรู้สึกว่าอยากถ่ายรูปซ้ำๆอยู่อีกนั่นแหล่ะ ก็บรรยากาศฤดูหนาวมันน่าหลงใหลขนาดนี้ ใครจะอดใจไหว














อาหารเช้าที่ทางศาลารีสอร์ทเตรียมไว้บริการเป็นไลน์เล็กๆ แต่รับรองว่าอิ่มแน่นอน เพราะถึงแม้ว่าในไลน์จะมีขนมปังปิ้ง รับประทานกับเนย แยม มีสลัด ข้าวต้มปลา และซีเรียลกับนมสด แต่เราก็สามารถสั่งอาหารอย่างอื่นให้พ่อครัวทำให้เดี๋ยวนั้นได้จำพวกไข่ดาว ออมเล็ต เบคอน แฮมทอด นอกจากนั้นยังมีเฟร้นช์โทสต์และแพนเค้กอีกด้วย เครื่องดื่มก็มีชา กาแฟ โกโก้ และน้ำผลไม้คั้นสด (วันที่เราไปเป็นน้ำสับปะรดสด สดจริงๆ กากอยู่ก้นแก้วเพียบ)




หลังรับประทานอาหารเช้า เรายังมีเวลาพักผ่อนอย่างเหลือเฟืออีกหลายชั่วโมงก่อนเช็คเอ้าท์ตอนเที่ยง ก็เลยเป็นเวลาพักผ่อนบนโซฟาชิงช้ากับการ์ตูนวัยเด็กเล่มโปรดอย่างดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ แถมท้ายด้วยการว่ายน้ำสระเกลือซึ่งน้ำเย็นมากกกกก ใช้เวลากว่า 10 นาทีถึงจะลงไปจ่อมในสระได้ทั้งตัว ว่ายเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้สึกอุ่นขึ้นเท่าไหร่ ก็ถึงแม้จะ 10 โมงกว่าเกือบ 11 โมงแล้ว แสงแดดก็แรงขึ้นเรื่อยๆ แต่อากาศยังเย็นสบายอยู่เลย (ล่าสุดวันที่ 4 ธ.ค. ที่กำลังเขียนบล็อคอยู่ตอนนี้ เข้าไปในเว็บของศาลาเขาใหญ่ เวลา 12.11 น. อุณหภูมิที่ขึ้นหน้าเว็บอยู่ที่ 23 องศา)


ดีจ้าาาา.... กุปิ๊ กุปิ๊



และแล้วก็ถึงเวลาเช็คเอ้าท์ เราเก็บภาพของศาลาเขาใหญ่ก่อนกลับอีกครั้ง แสงแดดสาดส่องอย่างเต็มที่ พระอาทิตย์อยู่กลางกระหม่อมพอดิบพอดี ฟ้าใสจัด เมฆน้อยใหญ่เริ่มทำงานบ้างแล้ว ภาพล็อตสุดท้ายก่อนจากกันก็ยังให้ความรู้สึกประทับใจไม่ต่างจากภาพแรกที่กดชัตเตอร์ที่นี่... และนี่คือกลิ่นอายแห่งลมหนาวที่ศาลาเขาใหญ่ค่ะ สัปดาห์หน้าไม่รู้ถนนพระราม 2 จะทำพิษเหมือนเส้นทาง 304 ที่มาศาลาเขาใหญ่อีกหรือเปล่า เพราะเราจะไปที่สวนผึ้ง ราชบุรีกันอีกครั้งค่ะ










 

Create Date : 04 ธันวาคม 2554   
Last Update : 4 ธันวาคม 2554 14:07:14 น.   
Counter : 31019 Pageviews.  


พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ... เส้นทางสู่ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

15 เมษายน 2554

หยุดสงกรานต์ปีนี้ เรามีแผนเที่ยวสั้นๆแบบไปเช้ากลับเย็นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยเน้นไปที่การเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ประวัติศาสตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ว่าแล้วก่อนไปก็ต้องเตรียมตัวศึกษาข้อมูลกันหน่อยด้วยการรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับภาคที่ 1 ตัวประกันหงสา และภาคที่ 2 ประกาศอิสรภาพด้วยการไปซื้อดีวีดีแพ็คคู่ราคาพิเศษมาดู ตามด้วยตีตั๋วไปดูภาค 3 ยุทธนาวีที่โรงหนัง (ตอนแรกงงมากว่าทำไมต้องมีภาค 3 ยุทธนาวี ก็เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าภาค 3 จะเป็นภาคจบด้วยยุทธหัตถีนี่นา ไปดูมาถึงเข้าใจว่าผู้สร้างคงเสียดายที่รายละเอียดส่วนที่ถ่ายทำไปมากนั้นจะต้องถูกตัดทอนออก ครั้นจะเอาไปรวมกับภาคยุทธหัตถีทั้งหมด หนังคงปาเข้าไป 4-5 ชั่วโมง มันก็ยาวเกินจะเป็นภาพยนตร์... ภาคยุทธนาวีนี้ก็เลยถือว่าเป็นการปูพื้นอย่างหนักแน่นสำหรับการที่จะดูภาคยุทธหัตถีให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้นต่อไป)


โรงถ่ายทำภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีชื่อว่า พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ (Prommitr Film Studio) www.prommitrfilmstudio.com เป็นของพร้อมมิตรโปรดักชั่นที่เป็นผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ ตั้งอยู่ที่ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 140 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. เราเลือกใช้เส้นทางไปพุทธมณฑล แล้ววิ่งตามทางหลวงหมายเลข 4 ไปเรื่อยๆ ต่อด้วยหมายเลข 323 ผ่านนครปฐม ราชบุรีแล้วเข้าสู่กาญจบุรี เมื่อผ่านแยกแก่งเสี้ยนซึ่งจะเริ่มเจอป้ายโฆษณาโรงถ่ายเยอะขึ้นเรื่อยๆ (มันไม่ใช่ป้ายบอกทางนะคะ เป็นแค่ป้ายโฆษณาเฉยๆ แต่ก็พอให้เรารู้ว่ามาไม่ผิดทางแน่) ให้ขับตรงผ่านสี่แยกไป จนเจอสี่แยกลาดหญ้า ให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปเรื่อยๆจะเจอสวนสัตว์ค่ายสุรสีห์อยู่ทางขวามือ ให้เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆ จากนั้นก็จะถูกบังคับเลี้ยวขวาเนื่องจากมีแผงกั้นไม่ให้ตรงไป เมื่อเลี้ยวขวาก็จะเห็นรูปปั้นสิงห์คู่สีขาวอยู่ขนาบทางเข้าอันเป็นสัญลักษณ์ว่าเรากำลังเข้าสู่พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอแล้วนั่นเอง


โรงถ่ายเปิดให้เข้าชมทุกวัน 9.00 – 18.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 100 บาท เด็ก 2-12 ปี 50 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท สำหรับช่วงโปรโมชั่น 1 เม.ย. – 1 พ.ค. 2554 ตั๋วชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดบัตรเข้าชมโรงถ่ายได้ถึง 50% และยังได้รับสิทธิ์พิเศษในการขึ้นชมเรือสำเภาจีนโบราณลำเดียวในโลกที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการถ่ายทำภาคที่ 3 ยุทธนาวีอีกด้วย เราไปถึงโรงถ่ายประมาณ 9 โมงครึ่ง คนเยอะมากจนเข้าไปจอดรถด้านในไม่ได้ ต้องจอดที่พื้นที่ที่จัดสรรด้านนอกแล้วนั่งสองแถวที่ทางโรงถ่ายจัดบริการให้เข้าไปด้านในที่จำหน่ายตั๋ว การเที่ยวชมภายในโรงถ่ายทำภาพยนตร์สามารถทำได้ทั้งเดินเท้า ระหว่างทางจะมีรถรางและรถตู้ไว้คอยบริการรับ-ส่งผู้เข้าชมระหว่างจุดที่อยู่ห่างไกลกัน หรือจะเลือกเช่ารถกอล์ฟจำนวนที่นั่งและราคาตามนี้
รถกอล์ฟ 4 ที่นั่ง+ขับเอง ชั่วโมงละ 300 บาท
รถกอล์ฟ 6 ที่นั่ง+ขับเอง ชั่วโมงละ 500 บาท
รถกอล์ฟ 3 ที่นั่ง+คนขับ (ซึ่งเป็นไกด์ในตัวด้วย) ชั่วโมงละ 350 บาท
รถกอล์ฟ 5 ที่นั่ง+คนขับ (ซึ่งเป็นไกด์ในตัวด้วย) ชั่วโมงละ 550 บาท
เหมารถราง 25 ที่นั่ง ชั่วโมงละ 2,000 บาท
มัดจำ 1,000 บาทพร้อมบัตรประจำตัวประชาชน หากคืนรถช้ากว่ากำหนดระหว่างนาทีที่ 1-30 จ่ายเพิ่มอีก 50% ของราคาเช่าต่อชั่วโมง ระหว่างนาทีที่ 31-60 จ่ายเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง


เราเช่ารถกอล์ฟ 4 ที่นั่ง+ขับเอง เริ่มขับจากศาลาขายตั๋วย้อนขึ้นไปทางที่รถสองแถวมาส่งก็จะเจอกับทางเข้าสถานที่ถ่ายทำซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่จัดให้เป็นอาณาบริเวณของกรุงหงสาวดี เริ่มต้นด้วยตลาดโยเดีย ตลาดที่เป็นพื้นที่อาศัยของชาวสยามที่ถูกกวาดต้อนหรือสมัครใจเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์พม่า และได้ตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรในประเทศพม่า ภาษาหลักของชาวโยเดียในอดีตคือภาษาไทยสำเนียงแบบอยุธยา และทราบแน่นอนว่าในราวสมัยพระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ยังมีการใช้ภาษาไทยกันอยู่ในกลุ่มชาวโยเดีย ปัจจุบันนี้ในตำบลระแหงของพม่าก็ยังมีชาวพม่าเชื้อสายโยเดียอยู่ เพียงแต่กาลเวลาทำให้หลงลืมภาษาไทยจนหมดสิ้น (ข้อมูลจากป้ายในสถานที่ถ่ายทำฯ)





เดินตรงไปตามทางก็จะเจอคูเมืองและกำแพงเมืองหงสาวดีกั้นขวางอยู่ตรงหน้า บริเวณนี้ หากไม่อยากเดิน นักท่องเที่ยวก็สามารถใช้บริการเช่ารถม้า วัวเทียมเกวียนพร้อมคนบังคับนั่งเข้าไปชมภายในตัวเมืองได้ เดินผ่านสะพานข้ามกำแพงเมืองเข้าสู่ตัวเมืองหงสาวดีไป จะพบกับอาคารจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายจากภาพยนตร์อยู่ทั้ง 2 ข้าง ตัวอาคารยังจัดฉายภาพยนตร์ภาคที่ 1 และ 2 ไว้ให้นักท่องเที่ยวรื้อฟื้นความเข้าใจกันด้วย





สมเด็จพระนเรศวรมหาราช รับบทโดย พ.ท.วันชนะ สวัสดี
มณีจันทร์ รับบทโดย ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ



พระเจ้าบุเรงนอง รับบทโดย สมภพ เบญจาธิกุล
พระเจ้านันทบุเรง รับบทโดย จักรกฤษณ์ อำมรัตน์



พระสุพรรณกัลยา รับบทโดย เกรซ มหาดำรงค์กุล
พระวิสุทธิ์กษัตริย์ รับบทโดย ปวีณา ชารีฟสกุล
พระเทพกษัตรี รัทบทโดย ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์



พระมหาอุปราชามังสามเกียด (มังกะยอชวา) รับบทโดย นภัสกร มิตรเอม


เดินตรงต่อไปผ่านสิงห์คู่ใหญ่มากกกกก ตั้งสูงตระหง่านอันเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองหงสาวดี สิงห์ทั้ง 2 นี้รวมถึงสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ที่สร้างเพื่อใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ล้วนแล้วแต่ทำจากโฟมซึ่งแกะสลักเป็นบล็อคๆ แล้วจึงนำมาประกอบรวมกัน เพื่อให้ง่ายและประหยัดเวลาในการก่อสร้าง ไกด์ของทางโรงถ่ายที่ประจำอยู่ที่สีหสาสนบัลลังก์ที่อยู่ถัดออกไปพูดเสียงเจื้อยแจ้วผ่านไมโครโฟนให้ได้ยินว่า หากต้องใช้วัสดุที่เทียบเคียงของจริงเช่นไม้หรืออื่นๆ สิงห์คู่นี้อาจต้องใช้เวลาสร้างเป็นปีๆ แต่ถ้าใช้โฟม ก็จะใช้เวลาก่อสร้างเพียง 3 เดือนเท่านั้น

เลยขึ้นไปจากสิงห์คู่ เราก็จะพบกับสีหสาสนบัลลังก์ บัลลังก์ที่ประทับของมหากษัตริย์แห่งพม่า พระเจ้าบุเรงนอง พื้นที่ด้านหน้าก่อนถึงสีหสาสนบัลลังก์ก็คือพื้นที่ที่ใช้ประลองไก่ชนของมังสามเกียด พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรงกับไก่ชนอื่นๆซึ่งพ่ายแพ้ราบคาบ แต่สุดท้ายไก่ชนของมังสามเกียดก็ต้องมาจบชีวิตลงที่นี่เช่นกันเนื่องจากพ่ายให้แก่ไก่เหลืองหางขาวพระเจ้า ๕ พระองค์ ของสมเด็จพระนเรศวรฯ ด้านซ้ายมือของสีหสาสนบัลลังก์จะเป็นคุกใต้ดินที่ขังเจ้าฟ้าเมืองคัง พระราชธิดาเลอขิ่นและทหารองครักษ์ คุกมีขนาดเล็กมาก สถานที่ถ่ายทำอื่นๆก็เช่นกัน มีขนาดเล็กมาก แต่เทคนิคการถ่ายทำทำให้เราเข้าใจไปว่าสถานที่แต่ละที่นั้นใหญ่อลังการ



สีหสาสนบัลลังก์


ออกจากคุกใต้ดิน สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เช่ารถให้เดินอ้อมหลังสีหสาสนบัลลังก์ไปยังสถานที่ต่อไปนั่นคือพระราชวังพระยาละแวก แต่สำหรับคนที่เช่ารถกอล์ฟให้ขับตามทางด้านหลังสิงห์ตัวซ้ายมือ ขับอ้อมหลังคุกใต้ดินและสีหสาสนบัลลังก์ไปจอดที่ด้านหลังพระราชวังพระยาละแวก ที่พระราชวังพระยาละแวกผู้คิดคดลอบกัดสยามประเทศตลอดเวลา (อินจัดกับเหตุการณ์บางอย่าง...โปรดอย่าถือสา) ทางโรงถ่ายทำจัดให้เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้ย้อนยุคตามภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้วใช้ท้องพระโรงเป็นฉากถ่ายรูปแอคชั่นสวยๆโดยช่างภาพที่โรงถ่ายทำจัดให้ จำนวน 5 แอคชั่นในราคา 150 บาท โดยจัดให้บริเวณตำหนักด้านหน้าพระราชวัง 2 ฝั่งเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชายหญิง มีนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กน้อย วัยรุ่นๆยืนต่อแถวเตรียมถ่ายรูปกันเยอะทีเดียว



จัดฉากรอถ่ายรูป


เดิน/ขับรถไปทางด้านขวา ผ่านทางเชื่อมเล็กๆ จะเริ่มเข้าสู่บริเวณที่เป็นฝั่งกรุงศรีอยุธยา (อโยธยาศรีรามเทพนคร) เริ่มต้นด้วยลานกว้างซึ่งตอนนี้จัดให้เป็นลานกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว มีซุ้มนั่งม้าถ่ายภาพ(มีเสื้อเกราะและหมวกให้ใส่เพื่อเพิ่มความสมจริงด้วย) ข้างๆกันเป็นซุ้มให้ทดลองยิงปืนไฟโปรตุเกส (เสียงดังมากกกก สะดุ้งกันเลยทีเดียว) ถัดไปจะมองเห็นกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา แต่ให้เราเลี้ยวซ้ายตามป้ายที่เขียนว่า “พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท” เพื่อไปเยี่ยมชมพระที่นั่งสำคัญแห่งนี้กันก่อน พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท คือพระที่นั่งองค์หนึ่งในเขตพระราชวังโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นโดยพระราชดำริของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเป็นช่วงที่กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นศูนย์กลางของอำนาจแห่งราชอาณาจักรสยาม พระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาท เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญของราชสำนักและเป็นที่รองรับแขกบ้านแขกเมืองของพระมหากษัตริย์เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รับราชทูต ฯลฯแต่พระที่นั่งองค์นี้ถูกเผาทำลายลงทั้งองค์เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ข้อมูลจากป้ายในสถานที่ถ่ายทำฯ) เนื่องจากอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างก็ทำจากวัสดุคนละประเภทกับของจริง แต่ใช้วัสดุมีน้ำหนักเบาเพื่อให้ก่อสร้างได้ง่าย ทำให้ความอลังการสมจริงของสิ่งก่อสร้างเมื่อเพ่งมองใกล้ๆก็คงเทียบไม่ได้กับสถานที่จริงหรือสถานที่ที่สร้างเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ เพราะฉะนั้นหากต้องการสัมผัสพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาทแบบใกล้เคียงกับองค์ดั้งเดิมที่ถูกเผาทำลายไป แนะนำให้ไปดูที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการดีกว่า องค์นั้นดูยิ่งใหญ่อลังการ ลงรายละเอียดได้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด ไปทีไรอิ่มเอมใจกลับมาทุกที



ภายในพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท


จากพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท จะมีจุดรอให้เรียงแถวขึ้นรถรางเพื่อนำนักท่องเที่ยวไปยังจุดต่อไป ส่วนผู้ที่เช่ารถขับก็ให้ขับผ่านทางเดียวกับที่รถรางจะมารับท่องเที่ยว แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านประตูเมืองก็จะเข้าสู่เขตกรุงศรีอยุธยา ผ่านสองข้างทางที่เป็นบ้านเรือนของชาวบ้าน (เก่าๆ ทรุดโทรมเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเก่าตามบทภาพยนตร์หรือเก่าเพราะไม่บำรุงรักษาแล้วกันแน่) แล้วมาจอดตรงทางเข้าย่านนายก่ายซึ่งเป็นฉากสำคัญและเป็นฉากที่ทุกคนต้องจำได้จากภาคที่ 3 ย่านนายก่ายหรือถนนนายก่าย เป็นท่าเทียบเรือเล็กเพื่อขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ที่จอดเทียบท่า ณ ปากน้ำวนบางกะจะ โดยเป็นตลาดการค้าที่สำคัญของอยุธยา ทั้งยังเป็นชุมชนที่หนาแน่นของชาวจีน ตั้งอยู่ติดกับกำแพงเมืองริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันออกของป้อมเพชร และยังเป็นที่ตั้งของสถานเริงรมย์สำหรับชาวเมืองและกลาสีกับชาวเรือที่เดินทางมาค้าขายกับอยุธยาในสมัยนั้น คือ “สำนักรับจ้างชำเราชาย” หรือ “โรงชำเราชาย” ที่มีหญิงคณิกาหรือนางโลมให้บริการรวมถึงโรงยาฝิ่น (ข้อมูลจากป้ายในสถานที่ถ่ายทำฯ)





ว่าแล้วเราก็ขับรถพุ่งไปจอดที่สถานที่ยอดฮิตของย่านนายก่ายนั่นก็คือโรงชำเราชายกันก่อนเลย (ไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง “โรงชำเราชาย” หญิงต่างหากไม่ใช่เหรอที่ถูกชำเรา หรือว่าหญิงพวกนี้ไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกชำเรา แต่มาทำงานที่นี่เพื่อมาชำเราชาย...) ภายในโรงชำเราชาย เราสามารถเดินเข้าไปดูฉากที่บุญทิ้งหรือพระราชมนูติดตามพระยาจีนจันตุมายังที่นี่ได้ ตั้งแต่โต๊ะน้ำชาที่ท่านนั่งกับหญิงคณิกาไปจนถึงห้องด้านในที่ใช้เป็นห้องสูบฝิ่นที่ทำให้พระราชมนูเมาฝิ่นจนเดินออกมาตัวเป๋ เกือบแย่งชิงสาส์นจากพระยาจีนจันตุไม่ได้ถ้าไม่ได้ไอ้ขามขี่ควายมาช่วยไว้ ในโรงชำเราชายแห่งนี้ยังมีพนักงานแต่งตัวเป็นหญิงคณิกาและพ่อค้าชาวจีนให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปร่วมกันได้อีกด้วย





นักท่องเที่ยวต่อแถวรอรถตู้จากโรงถ่ายมารับไปยังจุดท่องเที่ยวต่อไป


ฝั่งตรงข้ามโรงชำเราชายจะเป็นจุดเข้าแถวรอรถตู้เพื่อพานักท่องเที่ยวไปยังตลาดโบราณซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวจุดต่อไป ส่วนเราก็ขับรถกอล์ฟตามทางเดียวกับรถตู้เช่นกัน แต่ไปแวะจอดที่ตำหนักบุเรงนองก่อน ถึงแม้ด้านในจะสร้างจากโฟมพิมพ์เป็นบล็อคๆ แต่รายละเอียดของแม่พิมพ์เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆนั้นก็ซับซ้อน ละเอียดและสวยงามมากทีเดียว บวกกับแสงไฟที่ส่องเข้ามาทำให้ภายในตำหนักยุเรงนองดูเหลืองทองอร่ามไปหมด เพิ่มมูลค่างานศิลป์จริงๆ ข้างๆตำหนักบุเรงนองเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากซึ่งเราไม่ได้เข้าไปเพราะไม่ทันได้ดูแผนที่ จริงๆก็น่าเข้าไปชมมากทีเดียว เพราะเห็นหลายๆคนที่รีวิวไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ไปถ่ายรูปมา น่าสนใจมาก



ภายในตำหนักบุเรงนอง


ขับรถเลยออกไปอีกนิดเดียวก็จะเจอตลาดโบราณหรือชุมชนวัดนก ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่กุฏิมหาเถรคันฉ่องและชุมชนมอญตั้งอยู่ ทำให้เราได้เจอไอ้ขาม (ตัวปลอม) มายืนแอ็คท่าให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปที่นี่ด้วย ชุมชนวัดนกนี้ ทางโรงถ่ายทำจัดให้มีการออกร้านขายอาหาร ขนมไทยๆ เครื่องดื่มและของที่ระลึกเป็นพิเศษเฉพาะช่วงวันหยุดสงกรานต์ 11-15 เมษายน 2554 นี้เท่านั้น การจะจับจ่ายของภายในชุมชนวัดนกนี้ได้นั้นต้องแปลงเงินสดของเราไปเป็นเบี้ยหอยซะก่อน โดยที่ 1 เบี้ยมีมูลค่า 10 บาท เงินสด 100 บาทจะแลกเบี้ยได้ทั้งหมด 9 เบี้ยเท่ากับ 90 บาทพร้อมถุงผ้าเล็กๆสกรีนโลโก้หนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสำหรับใส่เบี้ยมูลค่าอีก 10 บาท รวมเป็น 100 บาท ซึ่งถ้าเบี้ยเหลือก็สามารถแลกเป็นเงินสดคืนได้รวมทั้งถุงผ้าด้วย ด้านในชุมชนวัดนกมีขายทั้งอาหารคาวประเภทก๋วยเตี๋ยวเรือ ขนมจีน ของทานเล่นพวกเมี่ยงคำ ทอดมัน เต้าหู้ทอด ข้าวโพดทอด นอกจากนี้ยังมีซุ้มขายของที่ระลึกจากภาพยนตร์และมีศาลาใหญ่ให้นักท่องเที่ยวหลบร้อนกินข้าวกันด้วย (แต่รู้สึกว่าจะไม่ช่วยเท่าไหร่เลย เพราะอากาศเมืองกาญจน์มันร้อนได้อีกจริงๆ)





กินอิ่มแล้วเราเดินข้ามสะพานเล็กๆเพื่อไปชมเรือสำเภาจีนโบราณที่กลายเป็นไฮไลท์ของภาคที่ 3 แต่โดยส่วนตัวกลับคิดว่ามันไม่ได้เป็นไฮไลท์ด้านเนื้อหาของภาพยนตร์ภาคนี้เลย เรากลับคิดว่าไฮไลท์ของภาคที่ 3 อยู่ที่ฉากรบกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ นรธาเมงสอมากกว่า สำหรับเรือสำเภาจีนโบราณที่ใช้เป็นพาหนะที่นำพระยาจีนจันตุมาสืบความลับจากอโยธยาและนำความลับจากอโยธยากลับไปยังเมืองละแวกนั้นใช้ได้จริงและเป็นเรือสำเภาจีนโบราณลำเดียวในโลก ทีมงานได้บรรจงใช้เวลาสร้างกว่า 210 วัน โครงสร้างหลักของตัวเรือสร้างด้วยวัสดุที่เป็นเหล็กทั้งหมด มีลักษณะเป็นทุ่นมีกำลังลอยสูง แบ่งเป็น 8 ห้องลอย โดยที่แต่ละห้องสามารถปรับแต่งความสมดุลของตัวเรือด้วยการเติมน้ำเข้าไป เปลือกเรือหุ้มด้วยไม้สัก พื้นปูด้วยไม้ตะเคียน ผนังและฝ้ากรุด้วยไม้สนและไม้อัด 10 มม.
ความยาวตลอดลำ 35 เมตร
ช่วงกว้างสุด 7.75 เมตร
กินน้ำลึก 0.60 เมตร
น้ำหนักรวม 120 ตัน
ออกแบบเรือโดย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และอาจารย์กนก ขาวมาลา
ออกแบบโครงสร้างโดย นาวาโทประสาร ขวัญโพชา ร.น. และนาวาตรีสุวัฒน์ชัย กลิ่นมาลา ร.น. กรมอู่ทหารเรือ






เราเดินขึ้นไปบนเรือ เดินสำรวจรอบๆ เดินลงไปใต้ท้องเรือที่เป็นที่นั่งของฝีพายกว่า 70 ชีวิต ลองจับไม้พายเองแล้วถึงได้รู้ว่าไม้พายแต่ละอันนั้นหนักอึ้งมากๆ ที่ท้องเรือนี้มีผู้แสดงจริงที่แสดงเป็นฝีพายชาวจีนนั่งสาธิตวิธีการพายเรืออยู่ 4-5 คน เรือลำใหญ่ดูตระการตาดี แต่อากาศที่ร้อนระอุที่เมืองกาญจน์นี่สิ ทำเอาตาพร่าไม่ค่อยอยากจะมองอะไรแล้ว







สุดท้ายเรากลับออกมาจากเรือ เดินกลับไปเอารถที่จอดไว้เพื่อขับกลับไปส่งคืนที่บริเวณขายตั๋วเข้าชมซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของการเที่ยวชมพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ เวลาล่วงเลยกว่าเวลาเช่ารถจาก 1 ชม.กลายเป็นเกือบ 3 ชม. ก็จ่ายค่าที่เกินเวลากันไป เราก็คิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะว่าใครมันจะไปดูครบทั้งหมดภายในเวลา 1 ชม. อันนั้นต้องชะโงกทัวร์เท่านั้นจริงๆ แบบขับผ่านเฉยๆ ไม่ต้องลงจากรถมาถ่ายรูปมาเยี่ยมชมสถานที่อะไรกันเลย เพราะฉะนั้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเยี่ยมชมพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอแห่งนี้ ถ้าเช่ารถกอล์ฟ ให้เผื่อเวลาไว้ 3 ชม. กำลังดี แต่ถ้าไม่มีการจัดตลาดโบราณไว้ให้จับจ่ายอาหาร ก็เหลือเวลาประมาณ 2-2.5 ชม. ก็ได้ค่ะ ส่วนท่านใดที่ไม่ได้เช่ารถกอล์ฟ ใช้งานเดินเที่ยวและนั่งรถราง รถตู้ของทางโรงถ่าย ก็คงต้องเผื่อเวลาไปให้มากกว่านั้นอีกมากค่ะ จาก 3 ชม. เป็น 4 ชม. หรือจาก 2 ชม. เป็น 3 ชม. เลยค่ะ เพราะไหนจะต้องเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไหนจะต้องอ่อนล้าเพราะผจญกับอากาศร้อนและไหนจะต้องยืนต่อแถวรอรถรับ-ส่งอีก ใช้เวลาจริงๆ


หลักฐานยืนยันความร้อนระอุของอากาศ... 39 องศา


สังเกตดูความเปลี่ยนแปลง ตอนมาถึงใหม่ๆปล่อยผม ซักพักมัดแกละสองข้าง อีกแป๊บเริ่มไม่ไหว เกล้ามวยมันเลยดีกว่า


จากการที่ได้มาเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอนี้ก็ทำได้เราอยากจะสรุปข้อดี-ข้อด้อย-ข้อควรปรับปรุงของสถานที่นี้ไว้ให้ทั้งทางโรงถ่ายและผู้ที่อยากมาเยี่ยมชมได้พิจารณากันซักหน่อยตามนี้ค่ะ
ข้อดี
- มีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลประจำแต่ละจุดครบถ้วน มีการฝึกน้องๆนักเรียน นักศึกษาทั้งเด็กเล็กเด็กโตมาหัดเป็นมัคคุเทศก์น้อยกันด้วย
- ค่าเข้าชมไม่แพง ยิ่งช่วงนี้ช่วงโปรโมชั่นนำตั๋วหนังมาเป็นส่วนลดบัตรเช้าชมยิ่งคุ้มใหญ่
- ทางโรงถ่ายฯ พยายามอำนวยความสะดวกด้วยการจัดรถรับส่งระหว่างจุดท่องเที่ยวที่เดินค่อนข้างไกล รวมทั้งรถรับส่งเพื่อไปยังลานจอดรถด้านหน้าเมื่อลานจอดรถด้านในเต็มแล้ว

ข้อด้อย (ซึ่งก็แก้ยากอยู่)
- อากาศร้อนมากกกกกก เกือบทะลุ 40 องศากันเลยทีเดียว (มีรูปพิสูจน์)

ข้อควรปรับปรุง
- ควรแจกแผนที่เส้นทางการเดินเท้าและเดินรถภายในโรงถ่าย และต้องอัพเดทด้วยนะคะ เพราะแผนที่ที่วางไว้ให้ในรถกอล์ฟไม่อัพเดทและงงๆกับเส้นทางเดินรถเล็กน้อย
- ควรจัดจุดบริการน้ำดื่มให้ฟรีหรือเสียเงินก็ได้ให้เยอะๆ เพื่อบรรเทาความร้อนของอากาศ ป้องกันนักท่องเที่ยวสูญเสียน้ำจนเป็นลม
- ควรจัดคิวขึ้นรถสองแถวเพื่อรับผู้โดยสารไปยังลานจอดรถด้านหน้าให้เป็นระเบียบมากกว่านี้มากๆ เพราะยิ่งคนเยอะ อากาศก็ร้อน คนก็ยิ่งแย่งกันขึ้นลง ไม่รู้จุดรอขึ้นลงอยู่ตรงไหนกันแน่ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด

ทั้งนี้ทั้งนั้นเดาเอาเองว่าเขาคงไม่ได้คิดจะให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างถาวรหรอก โรงถ่ายหนังก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามหนังที่จะถ่าย เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างบางอย่างก็คงไม่ได้ตั้งอยู่อย่างนี้ตลอดไป ต้องเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นการที่เขาจะลงทุนให้เหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยวถาวรอื่นๆนั้นคงไม่จำเป็น

เราออกจากพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอเกือบบ่ายโมงได้ ก็ขับรถย้อนกลับเส้นทางเดิมเพื่อไปยังตัวเมืองกาญจนบุรี แวะเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวของเมืองกาญจน์อีกนิดหน่อยไหนๆก็มาแล้ว เริ่มต้นด้วยที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว หาไม่ยากเลย เห็นป้ายบอกตลอดทางตั้งแต่เริ่มเข้าตัวจังหวัดแล้ว “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงเนื่องจากมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากกว่าจะมีชื่อเสียงจากความสวยงามทางสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเส้นทางสายยุทธศาสตร์เพื่อข้ามฝั่งไปยังพม่า ซึ่งภายหลังกลับกลายเป็นเส้นทางสายมรณะ โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรได้แก่ทหารชาวอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดาและนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คน รวมทั้งกรรมกรชาวจีน ญวณ ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดียอีกจำนวนมากมาก่อสร้างทางรถไฟเริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ผ่านจ.กาญจนบุรีไปยังด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อไปสิ้นสุดที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่า รวมความยาว 415 กม. ระหว่างทางจะต้องผ่านแม่น้ำแควใหญ่ที่จ.กาญจนบุรี จึงต้องสร้างสะพานซึ่งเป็นทางรถไฟด้วยข้ามแม่น้ำแควใหญ่ขึ้น จึงเป็นที่มาของสะพานข้ามแม่น้ำแคว การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากทั้งจากการทารุณของภัยสงคราม โรคภัยไข้เจ็บ การขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค จึงทำให้แรงงานนับหมื่นที่ถูกเกณฑ์มาก่อสร้างสะพานและทางรถไฟนี้บาดเจ็บล้มตายระหว่างการก่อสร้าง (ข้อมูลจาก Wikipedia และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) นี่ยังไม่รวมถึงพลเรือนที่อยู่ระหว่างช่วงสงครามที่ต้องล้มตายอีกนับแสนราย








ปัจจุบันการเที่ยวชมสะพานข้ามแม่น้ำแควรวมทั้งทางรถไฟสายมรณะสามารถทำได้โดยใช้บริการรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ – น้ำตกในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย www.railway.co.th ส่วนถ้าใครต้องการแค่ขึ้นรถไฟข้ามฝั่งจากสะพานข้ามแม่น้ำแควฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ทางการรถไฟจังหวัดกาญจนบุรีก็มีรถรางบริการเป็นรอบๆตลอดวัน



จากสะพานข้ามแม่น้ำแคว เราขับรถเส้นทางกลับสู่กรุงเทพฯ แต่หยุดแวะที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ที่ “สุสานทหารสัมพันธมิตร (ดอนรัก)” ซึ่งเป็นสุสานเชลยศึกสัมพันธมิตรที่ต้องสูญเสียไประหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปีพ.ศ. 2485-2488 รวมที่บรรจุอยู่ในสุสานแห่งนี้จำนวน 6,982 ศพ เป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 3 แห่งที่ตั้งอยู่ตลอดเส้นทางรถไฟไทย-พม่า ตั้งอยู่ใกล้สถานที่ตั้งค่ายกักกันเชลยศึกกาญจนบุรี ปัจจุบันสุสานแห่งนี้ยังถูกดูแลอย่างดีโดยคณะกรรมาธิการสุสานสงครามแห่งเครือจักรภพ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาร่วมเยี่ยมชมและไว้อาลัยต่อการสูญเสียจากภัยสงครามในครั้งนี้อย่างสม่ำเสมอ เท่าที่อ่านประวัติจากป้ายหน้าหลุมศพจะพบว่าทหารที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุยังน้อย 20 ต้นจนถึง 30 ปลายๆ มีทั้งตำแหน่งพลทหารจนถึงตำแหน่งสูงๆขึ้นไป





กลับกรุงเทพฯ ในวันนี้ทำให้เรานึกถึงเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่เปิดขึ้นเมื่อภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฉายจบลง เพลงนี้ยังทำให้นึกถึงตอนสมัยเรียนประถมที่เราเคยได้แสดงรีวิวประกอบเพลงนี้ด้วย การแสดงในวันนั้นทำให้เราแค่จำเนื้อร้องของเพลงนี้ได้ขึ้นใจ แต่การกลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้งในวันนี้กลับทำให้เราเข้าใจความหมายของเพลงได้ลึกซึ้งยิ่งกว่า

เราสู้
บทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 44
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: สมภพ จันทรประภา

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ
ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา
หน้าที่เรารักษาสืบไป

ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า
จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย
มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย

ถึงขู่ฆ่าล้างโคตรก็ไม่หวั่น
จะสู้กันไม่หลบหนีหาย
สู้ตรงนี้สู้ที่นี่สู้จนตาย
ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู

บ้านเมืองเราเราต้องรักษา
อยากทำลายเชิญมาเราสู้
เกียรติศักดิ์ของเราเราเชิดชู
เราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว




 

Create Date : 17 เมษายน 2554   
Last Update : 17 เมษายน 2554 18:15:12 น.   
Counter : 12027 Pageviews.  


อยากหยุดเวลาไว้ที่ "เวลาเวียน"

25-26 กรกฎาคม วันพระใหญ่ อาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา...แต่เค้าขอไปนอนตา-กลมและตีพุง

ขณะที่กำลังเสิร์ชหาสถานที่สำหรับทริปฝ่ายประจำปี คุณน้องที่ทำงานตัวดีก็บังเอิญไปเสิร์ชเจอรีวิวของคุณมาเรีย ณ ไกลบ้านในพันทิปถึงรีสอร์ทชื่อแปลกแห่งเขาแผงม้า วังน้ำเขียว "Veravian" เขียนเป็นชื่อไทยยิ่งแปลกใหญ่ว่า "เวลาเวียน"... ทันใดนั้นต่อมความอยากก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาในทันใด และนี่ก็คือที่มาของทริปตา-กลมและตีพุงในครั้งนี้ค่ะ ว่าแล้วก็ไปกันเลยยยยย



เวลาเวียนเป็นรีสอร์ทเปิดใหม่เมื่อประมาณเดือนกุมภา 53 ที่ผ่านมา อยู่ที่เขาแผงม้า อำเภอวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา อำเภอที่ได้รับการโฆษณาว่าเป็นแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก (ยังเป็นอยู่มั้ยเนี่ย ดูท่าแล้วพวกเรานักท่องเที่ยวตัวดีนี่ล่ะ จะเป็นตัวลดปริมาณโอโซนของที่นี่) //www.veravian.com/veravianTH.html ลักษณะการออกแบบของเวลาเวียนตามที่เว็บไซต์ได้ว่าไว้คือเป็นสไตล์โมเดิร์นรีสอร์ทผสมแนวคิดอนุรักษ์ธรรมชาติโดยการใช้กังหันลมที่ติดตั้งทั่วไปรอบๆรีสอร์ทเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้เอง เก๋กู้ดดด ในส่วนของบ้านพัก ที่นี่แบ่งบ้านพักเป็น 3 แบบ 3 สไตล์นั่นคือ บ้านเดี่ยว 3 หลัง บ้านแฝด 4 หลัง 8 ห้อง และบริเวณกางเต้นท์ด้านหน้าได้อีกมากมายพอสมควร ซึ่งเต้นท์ก็สามารถเช่าจากทางรีสอร์ทหรือจะนำมาเองก็ได้

เราจองที่พักล่วงหน้าผ่านทางอีเมล์ของรีสอร์ท reserve@veravian.com เลือกบ้านเดี่ยวไว้ ช่วงนี้เป็นหน้าฝนซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เพราะฉะนั้นราคาก็จะประหยัดขึ้นมาพอสมควร การไปเที่ยวเขาใหญ่-วังนำ้เขียวหน้าฝนดีอีกอย่างที่บรรยากาศโดยรอบน่าจะเขียวสดใสไม่แห้งแล้ง แต่เรื่องฝนฟ้าไม่เป็นใจนี่ก็เป็นประเด็นที่ต้องวัดดวงกันหน่อย

วันที่ 25 เราออกเดินทางกันแต่เช้าม้ากกกกก ล้อเลื่อนหกโมงเช้าตรงเป๊ะ จะไปเช้าขนาดนั้นทำไมเนี่ย ก็เพราะว่าจะไปแวะที่ปาลิโอ (Palio) เขาใหญ่ไงล่ะ ไปเช้าแดดอ่อนๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องฝ้าบนใบหน้า ไปเช้าคนน้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่แอคถ่ายรูป ปาลิโอหรือ New walking street shopping center พื้นที่ช้อปปิ้ง กิน เที่ยว ถ่ายรูปเก๋ๆสไตล์อิตาลีที่เขาใหญ่ //www.palio-khaoyai.com/ การเดินทางในทริปนี้เราขับรถเป็นวงกลมเริ่มจากกรุงเทพฯไปปาลิโอด้วยเส้นทางถนนมิตรภาพมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ประมาณกม. 144 ฝั่งขวามือจะเป็นร้านอาหารแดรี่โฮม ให้หาทางกลับรถ (ล่าสุดที่ไปนี่ทางกลับรถอยู่ไกลมากแต่ก็ปลอดภัยสำหรับการขับขี่มากกว่าทางเดิมที่เคยเปิดให้ใช้กลับรถ) จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าไปในเส้นทางลัดนั้นบนถนนผ่านศึก (ตามแผนที่เลยค่ะ) ตรงไปเรื่อยๆประมาณกม. 23 จะเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนธนะรัชต์ ขับตรงไปเรื่อยๆ กม. 17 ปาลิโอจะอยู่ขวามือ บริเวณเดียวกันกับจุลดิศเขาใหญ่ รีสอร์ทแอนด์สปา



เราไปถึงปาลิโอประมาณ 8 โมงกว่าๆ คนยังน้อยอยู่มาก วิ่งเล่นถ่ายรูปได้ตามใจชอบ แดดก็โอเค แต่ถ้าใครจะมาหาของกินหรือซื้อของก็ต้องรอไปก่อน เพราะร้านค้าที่นี่จะเปิดประมาณ 10 โมงเช้า จนถึงขณะนี้มีร้านค้า ร้านอาหารในปาลิโอมาจับจองเช่าพื้นที่เปิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร เบเกอรี่ ร้านขายของแต่งบ้าน เครื่องประดับ ของมือสอง ของที่ระลึก ร้านยา ร้านไวน์และอื่นๆอีกมากมาย ล่าสุดด้านในของปาลิโอก็เปิดเป็นโรงแรมน่ารักๆชื่อปาลิโออินน์แล้วด้วย ไปอ่านรีวิวในพันทิปมาแล้ว น่ารักดีแต่ดูจะคับแคบไปหน่อยแล้วก็อาจจะพลุกพล่านนิดนึงเวลาที่คนมาเดินที่ปาลิโอเยอะๆ




















หลังจากที่ถ่ายรูปอย่างอิ่มหนำแล้ว (ไม่เสียตังค์ซื้อของอะไรเลยซักกะหลึง อินี่มาถ่ายรูปฟรีอย่างเดียว ต้องขออภัยคุณพิษณุ นิลกลัด 1 ในหุ้นส่วนของปาลิโอด้วยนะคะว่าคุณไม่ได้แอ้มเงินหนูหรอก) ประมาณ 10 โมงซึ่งเป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวเข้ามาที่ปาลิโอเยอะมากๆ รถทัวร์ 2-3 คันมาจอดเรียงพร้อมๆกัน ส่วนเราก็ขอย้อนกลับเส้นทางเดิมไปกิน brunch อาหารมื้อผสมระหว่างอาหารเช้าและอาหารกลางวันที่แดรี่โฮมที่เราขับรถผ่านมาบนถนนผ่านศึก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที)

ร้านแดรี่โฮมเป็นร้านอาหารออกแนวคันทรี่หน่อยๆ เค้าเรียกอย่างนี้รึเปล่านะ คือเป็นอาหารฝรั่งที่มาจากไร่จากฟาร์มประเภทสเต๊ก สลัด เนื้อ นม ไข่ประเภทนี้ นอกจากส่วนที่เป็นร้านอาหารแล้วก็ยังมีส่วนที่เป็นร้านขายผลิตภัณฑ์จากแดรี่ฟาร์มอยู่ด้วย เราสั่งเมนูสเต๊กปลาซอสวาซาบิ แพงอยู่นะแต่ว่าซอสวาซาบิอร่อยดี ขึ้นจมูก ทำให้รสชาติของสเต๊กปลาพิเศษขึ้นเยอะเลย อีกอย่างที่เป็นของขึ้นชื่อของแดรี่โฮมก็คือไอศครีม ที่นี่มีไอศครีมให้เลือกมากมายร่วม 30 รสได้ เมื่อสั่งไอศครีม 1 ถ้วยจะเลือกไอศครีมได้ 2 ลูก ที่สำคัญเราสามารถเก็บถ้วยไอศครีมกลับบ้านได้เลย ถ้าไม่ชอบแบบถ้วยไอศครีมก็สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นลายอื่นได้อีกต่างหาก เค้าใจเพิ่มมูลค่าสินค้าดีจริงๆ




ออกจากแดรี่โฮมประมาณ 11 โมงกว่าๆ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.ครึ่งไปตามเส้นทางเดิมที่จะไปปาลิโอ แต่เมื่อถึงสามแยกที่กม. 23 แทนที่จะเลี้ยวซ้ายไปถนนธนะรัชต์ ให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปเรื่อยๆแล้วค่อยเลี้ยวซ้ายก่อนทางขึ้นเขาใหญ่ (ตามแผนที่เลย) จากนั้นก็ตรงลูกเดียวอีก 60 กม. ก็จะถึงจุดหมายสำคัญของทริปนี้... เวลาเวียน



เนื่องจากเราไปถึงเวลาเวียนก่อนเวลาเช็คอินเล็กน้อย การจัดแจงห้องพักก็เลยฉุกละหุกนิดหน่อย แม่บ้านยังเตรียมห้องไม่เสร็จดี พนักงานก็ต้องว. แจ้งโน่นแจ้งนี่กันนิดนึง แป๊บนึงก็มีผู้หญิงคนนึงหน้าตาน่ารัก ผอม สูง ไฮโซๆ ออกแนวแพนเค้กมาพูดกับเราว่าสวัสดีค่ะ เราก็เขินๆ งงๆ รีบบอกไปว่าเอ่อ...คุยกับพนง.เรียบร้อยแล้วค่ะว่าเดี๋ยวรอห้องแป๊บนึง ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าแม่บ้านแจ้งมาแล้วค่ะว่าห้องเรียบร้อยแล้ว เข้าพักได้แล้วค่ะ... แป่ววววว นี่เป็นเจ้าของรีสอร์ทเหรอเนี่ย คุณผู้หญิงคนสวยคนนี้ถ้าไม่ใช่เจ้าของก็ต้องเป็นลูกหรือหุ้นส่วนแน่ๆ เพราะเค้ามากับเพื่อนๆหลายคนแล้วก็จัดแจงจัดการเหมือนเป็นผู้บริหารนั่นละ เห็นหน้าแล้วแอบเขินๆอ่ะ ชีดูสวยเริ่ดไปหน่อย ทำให้เราไม่ค่อยกล้าเข้าไปสอบถามอะไรเท่าไหร่ แต่เค้าก็ดูขยันขันแข็งกับการดูแลที่นี่มากเลย น่ารักดี

ที่พักที่เราจองไว้เป็นบ้านเดี่ยวซึ่งมีอยู่ 3 หลังอยู่บริเวณเนินสูงสุดของรีสอร์ทซึ่งข้างกันจะเป็นลานกว้างๆและเค้าท์เตอร์บาร์ ไว้สำหรับนั่งๆนอนๆดูดาว สำหรับบาร์นั้นจะเปิดทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา เปิดไม่แน่ใจแต่ปิด 23.00 น. ถัดลงมาจะเป็น reception สระว่ายน้ำแบบเปิดโล่งประหนึ่งว่าจะว่ายแล้วทะลุออกนอกเนินเขาไปเลย ข้างๆกันเป็นร้านอาหารซึ่งสามารถเดินขึ้นไปดาดฟ้าดูบรรยากาศโดยรอบได้ ถัดลงมาอีก 1 เนินจะเป็นบ้านแฝด 4 หลัง 8 ห้องนอน และถัดลงมาอีก 1 เนินถึงจะเป็นบริเวณกางเต้นท์ ส่วนเนินล่างสุดเป็นร้านกาแฟ บรรยากาศสบายๆ มีเจ้าวัวกระทิงสีแดงอยู่บนหลังคา จะว่าไปแล้วเนื้อที่ของเวลาเวียนนี่กว้างขวางใช่ย่อย เพราะนอกเหนือจากจะมีลานโน้นลานนี้ เนินโน้นเนินนี้แล้ว เวลาเวียนก็ยังมีเนื้อที่เหลือพอสำหรับสนามฟุตซอลและสนามเปตองอีกด้วย ถ้ามากับเพื่อนๆ มากางเต้นท์แล้วเล่นกีฬาด้วยกันก็มันส์ไปอีกแบบ










ภายในห้องนอนแบบบ้านเดี่ยวของเรามีเนื้อที่กว้างขวางทีเดียว โดยเฉพาะพื้นที่ห้องน้ำ เพราะนอกจากจะมีพื้นที่อาบน้ำแบบ shower ปกติแล้ว เค้ายังมีส่วนอาบน้ำ shower แบบ outdoor อีกด้วย พื้นที่ห้องน้ำรวมทั้งหมดเกือบเท่าพื้นที่อื่นๆในห้องเลยทีเดียว สำหรับคนที่ติดเน็ตเช่นเรา WiFi ที่นี่ก็เปิดให้ใช้ฟรีๆ ไม่มีพาสเวิร์ด อ้อ! ที่ล็อบบี้มีเก้าอี้นวดตัวนวดฝ่าเท้าด้วยนะคะ นวดกันอย่างเพลิน









พักผ่อนตา-กลม ตีพุงได้ตามความตั้งใจได้ซักพัก เราก็ขับรถออกไปทำกิจกรรมที่น่าประทับใจที่สุดของทริปนี้กันนั่นก็คือการไปเก็บและซื้อผักปลอดสารพิษกันที่ไร่ป้าเฉลียว หลายคนที่เคยมาที่วังน้ำเขียวอาจจะคุ้นเคยกับการซื้อผักปลอดสารพิษที่สวนลุงไกร แต่เราขอแนะนำสวนผักปลอดสารพิษแห่งใหม่ค่ะ ไม่ได้ค่าจ้างแต่อยากโฆษณาให้สุดใจ ที่นี่ที่ไร่ป้าเฉลียว ให้ขับรถออกจากเวลาเวียนไปอำเภอวังน้ำเขียว อีก 9 กม. จนเจอถนนใหญ่ทางหลวงหมายเลข 304 เลี้ยวซ้ายที่มุ่งไปทางอำเภอปักธงชัย มองตามป้ายซ้ายมือเรื่อยๆจะเห็นป้ายบอกว่าไปโครงการส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปจะเจอสถานีตำรวจ ขับไปตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ พอเจอวัดน้ำซับให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้างๆวัด ไร่ป้าเฉลียวจะอยู่ประมาณหลังที่ 4 ทางขวามือ อยู่ตรงทางโค้งให้เลี้ยวซ้ายพอดี แต่ให้เราเลี้ยวขวาเข้าไร่แกไปเลย (ทางเข้าทุลักทุเลนิดนึง)

ไร่ของป้าเฉลียวนี้เป็นไร่หรือสวนผักปลอดสารพิษที่เป็นหนึ่งในโครงการกสิกรรมไร้สารพิษอันเนื่องมาจากพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผักที่ปลูกที่นี่จะทำในรูปแบบสหกรณ์ มีระบบระเบียบในการเพาะปลูกเป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่การรับเมล็ดพันธุ์ การวางแผนการผลิต การวางแผนการเก็บเกี่ยว วิธีเพาะปลูก ความรู้ในการจัดการทรัพยากรต่างๆ รวมไปถึงการส่งขาย เท่าที่ป้าเฉลียวเล่าให้ฟังก็คือจะมีการวางแผนแบ่งงานกันชัดเจนว่าไร่ไหนสวนไหนช่วงเวลาไหนจะต้องปลูกอะไร ความต้องการของตลาดคืออะไร ส่วนเรื่องการขายก็จะมีผู้รับซื้อตลอด และการทำงานในรูปแบบสหกรณ์แน่นอนว่าก็จะต้องมีการปันผล รายได้ดีพอสมควรที่จะให้คุณป้าและคุณลุงและลูกๆอยู่กันได้อย่างสบายและพอเพียง ไม่รู้จะถ่ายทอดสิ่งที่คุณป้าพูดได้อย่างไร แต่เท่าที่ฟังแล้วก็รู้สึกปลื้มใจจังที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนเพราะพระบารมีของพระองค์ท่าน... ว่าแล้วเราก็มาเก็บผักกันเถอะ ที่ไร่ป้าเฉลียวนี้คุณสามารถเก็บผักนานาชนิดได้เอง (แต่ต้องทำตามวิธีเก็บของเค้านะคะ ไม่งั้นผักคุณป้าช้ำหมด) ส่วนใหญ่จะเป็นผักสลัดเช่น green oak, red oad, ผักควอท (ชื่อนี้มั้ยเนี่ย) นอกจากนี้ก็มีมะเขือม่วง ผักชี ต้นหอม ถั่วฝักยาว ถ้ามาหน้าหนาวก็จะได้เบบี้แครอท มะเขือเทศเชอรี่ และอื่นๆอีกมากมายกลับไปด้วย พอเก็บเสร็จแล้วคุณป้าแกก็จะคิดราคากันเอ๊งงงงงกันเองงงงจริงๆ เราหอบผักกลับเวลาเวียนกันหลายกิโล คุณป้าแกคิดแค่สองร้อย ทั้งสนุกและคุ้มค่ามากๆ คุณป้าบอกว่าจริงๆที่ไร่แกนี่ก็มีทัวร์มาลงตลอด และก็จริงอย่างที่คุณป้าว่า เพราะพอเราขับรถออกจากไร่ก็มีรถบัสคันใหญ่ขับสวนมา สงสัยคงจะมาต่อคิวเก็บผักจากพวกเรานั่นเอง







มื้อเย็นวันนี้เราลงเอยกันที่ห้องอาหารที่เวลาเวียนนี่ละ อาหารมีทั้งไทยและเทศ รสชาติดีทีเดียว ของหวานเป็นข้าวเหนียวมะม่วงทำเอาอิ่มอืด ตกดึกกะว่าจะนอนดูดาวที่ลานด้านบนรีสอร์ทซะหน่อย น่าเสียดายเมฆเพียบ ดาวน้อยแอบอยู่หลังเมฆกันหมด

เช้าวันที่สองเราตื่นแต่เช้าต้อนรับวันเข้าพรรษา เสียงพระสวดจากวัดที่ไหนซักแห่งแถวๆรีสอร์ททำเอาได้ยินก้องทั่วไปหมดด้วยความที่พื้นที่แถวนี้เป็นภูเขา เสียงสะท้อนเลยได้ยินถึงกันหมด ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ อาหารเช้าที่เวลาเวียนวันนี้มีให้เลือกทั้งแบบ American breakfast หรือจะเป็นข้าวต้มไก่ฉีกแบบไทยๆ หรือถ้าไม่อยากเลือก อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนก็ตามสบายไม่มีปัญหา








กินข้าวเสร็จ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศสั่งลาเวลาเวียน ก่อนออกเดินทางกลับกรุงเทพ เราได้แวะวิลเลจฟาร์มไวน์เนอรี่ //www.villagefarm.co.th/ ที่อยู่ตรงเส้นทางขากลับอีกแป๊บนึง ซึ่งไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าไหร่เพราะหน้านี้ไม่ใช่หน้าองุ่น ต้องประมาณเดือนกุมภาถึงจะเป็นช่วงที่เหมาะสม ขากลับนี่เราขับกลับเส้นทางหมายเลข 304 ผ่านปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นอันจบทริปอันสดใสน่าประทับใจอีกหนึ่งครั้ง ความจริงอยากใช้เวลาพักผ่อนให้นานกว่านี้ แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ อยากให้เวลาเดินช้ากว่านี้อีกนิดให้สมกับสโลแกนที่ติดไว้ที่ลานดูดาวของเวลาเวียนอันเป็นที่มาของชื่อทริปในครั้งนี้ว่า "Timeless Moment" อยากหยุดเวลาไว้ที่เวลาเวียน




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2553   
Last Update : 16 สิงหาคม 2553 9:32:33 น.   
Counter : 6185 Pageviews.  


หนีไปเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ The Scenery Resort & Farm

16-17 ธันวาคม ทริปพักผ่อนจริงจังที่ The Scenery Resort & Farm อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

ต้นเหตุของความอยากครั้งนี้มันอยู่ที่ว่าได้เข้าไปเห็นรูปของพี่ปอใน facebook เค้าไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ถ่ายรูปวิวแปลกๆ รีสอร์ทน่ารักๆ เก๋ๆ แถมมีคุณแกะด้วย เราก็เลยเข้าไปเสิร์ชดูว่าที่นี่มันที่ไหน ก็เลยได้ความว่าที่เก๋ๆอย่างงี้มันมีอยู่จริงที่จังหวัดราชบุรีนั่นเอง The Scenery Resort & Farm แต่แล้วก็มารู้ตอนหลังอีกว่าทำไมปร้าถึงได้โบ... (ราณ) ซะขนาดนี้ ที่นี่เปิดมาหลายปี รายการทีวีก็ไปถ่ายมาหลายครั้ง เพื่อนๆหล่อนก็ได้ไปเที่ยวกันมาก็หลายหน แต่คุณปร้าคะ... เพิ่งรู้จัก ไม่เป็นไร รู้ช้ายังดีกว่าไม่ได้ไป ว่าแล้วก็เลยจัดการศึกษาข้อมูลให้พร้อม เข้าไปในเว็บ www.sceneryresort.com แต่ก็ต้องผงะ เมื่อคุณปร้ารู้ช้าอีกแล้วว่าที่นี่เค้าฮอตมากมาย ถึงขนาดว่าต้องจองล่วงหน้ากันเป็นหลายเดือน ยิ่งถ้าจะจองวันเสาร์-อาทิตย์ต้องเล่นกันข้ามปีเลยทีเดียว อย่างตอนที่เข้าไปดูในเว็บเป็นช่วงต้นเดือนพ.ย. ก็จองกันเต็มทั้งวันธรรมดาและวันหยุดกันไปแล้วโน่นนนน ถึงเดือนมีนาปีหน้า กรำ - -“ ฝันสลาย ด้วยความที่อยากไปม้ากมาก อยากหาเรื่องเที่ยว ก็เลยลองโทรไปถามเค้าอีกที ตัดสินใจบอกเจ้าหน้าที่ว่างั้นขอเป็น waiting list ไว้ก็แล้วกัน ถ้าเกิดมีใครยกเลิกที่จองไว้ ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดาหรือวันหยุด ให้โทรมาบอกเราได้เลย พร้อมไปทุกเมื่อ...

และแล้วฟ้าดินก็เป็นใจจะให้เสียตังค์ ผ่านมาประมาณเกือบเดือนทาง scenery ก็โทรมาบอกว่าวันที่เท่านั้นเท่านี้มีห้องว่าง พอฟังจากที่เค้าเสนอมา เราก็เลยตกลงได้ว่าจะไปวันที่ 16 เพื่อที่จะได้พักที่บ้าน Pangola (แพงโกล่า) เพราะเท่าที่เสิร์ชหาข้อมูลทั้งจากเว็บของซีเนอรี่เองแล้วก็ตามเว็บบอร์ดต่างๆ บ้านแพงโกล่าดูท่าจะคุ้มค่าสุด ถ้าไม่นับบ้านรูซี่ที่เป็นบ้านหลังใหญ่สุด จุคนได้มากสุดแล้วก็แพงสุดนะ

The Scenery Resort & Farm เป็นรีสอร์ทสไตล์ฟาร์ม (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 160 กม. ตั้งอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ดูเหมือนจะไม่ไกล แต่อ.สวนผึ้งนี่ก็เกือบจะอยู่สุดชายไทยไทย-พม่าแล้วนะ ใครบางคนอาจจะยังจำเรื่องกะเหรี่ยงก็อดอาร์มี่ที่เข้ามาบุกยึดรพ.สวนผึ้งเมื่อหลายปีก่อนมากๆได้ ก็คงพอนึกออกว่าที่นี่นั้นใกล้ชายแดนมากแค่ไหน จุดประสงค์ของรีสอร์ทนี้เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเป็นอย่างมาก มีเพื่อนบอกว่าแต่ก่อนซีเนอรี่ยังอนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าที่มาพักแต่ต้องการเข้าชมภายในรีสอร์ทก็สามารถเข้าชมได้ แต่ต้องอยู่ภายในความดูแลของเจ้าหน้าที่ คือต้องนั่งรถกอล์ฟของซีเนอรี่วนรอบๆเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้นโยบายเปลี่ยนไปแล้ว ทางรีสอร์ทสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะลูกค้าที่มาพักที่ซีเนอรี่เท่านั้น

ที่พักที่ซีเนอรี่ออกแบบและตกแต่งสไตล์ warm Mediterranean ทุกหลังมีผนังสีขาวนวลบ้าง ไข่ไก่บ้าง มีลักษณะเหมือนฉาบปูนที่ไม่เรียบแบบนั้น ณ ตอนนี้มีบ้านพักอยู่ทั้งหมด 8 หลังเท่านั้น มีหลังนึงพักได้ 4 คน ที่เหลืออีก 7 หลังพักได้หลังละ 2 คน แต่ถ้าอยากเสริมคนต่อไปก็คิดราคาเพิ่มได้ บ้านทั้ง 8 หลังที่ว่ากันว่าว่าตั้งตามชื่อสายพันธู์แกะและพันธุ์หญ้า ประกอบไปด้วยบ้าน Ruzi (พักได้ 4 คน) บ้าน Pangola บ้าน Hamata บ้าน Barbados บ้าน Merino บ้าน Corriedale บ้าน Katahdin และบ้าน Nepier หลังใหม่ล่าสุด ตอนที่ไปนี่ทางซีเนอรี่กำลังจะสร้างบ้านอีก 1-2 หลังอีก โดยส่วนตัวคิดว่า 3 หลังแรกคือรูซี่ แพงโกล่าและฮามาต้า ซึ่งเป็น 3 หลังแรกที่รีสอร์ทสร้างขึ้น น่าจะเป็น 3 หลังที่มีบรรยากาศโดยรอบสวยที่สุด เพราะจะอยู่ติดกับทุ่งหญ้าซึ่งซีเนอรี่เค้าปรับพื้นที่ให้สวยงามแล้ว แต่ก่อนบริเวณนี้เอาไว้ปล่อยแกะ ให้ลูกค้าได้มาเลี้ยงแกะกันที่ทุ่งนี้ แต่เดี๋ยวนี้เค้าปรับเปลี่ยนพื้นที่นิดหน่อยให้เอาแกะออกไปส่วนหน้าของรีสอร์ท ก่อนเข้า privacy zone ส่วนบ้านหลังอื่นๆที่เหลือจะอยู่บริเวณตรงกันข้ามกับ 3 หลังแรก ซึ่งจะติดกับป่าซึ่งยังไม่ได้ปรับปรุงพื้นที่ ก็อาจจะดูโล่งตาน้อยกว่า 3 หลังแรกอย่างที่บอกไป

ก่อนวันเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่รีสอร์ทก็จะส่งอีเมลล์แผนที่และใบคอนเฟิร์มการเข้าพักเพื่อให้เราถือแนบพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนยื่นให้เจ้าหน้าที่รีสอร์ทตอนเช็คอิน แล้วก็จะถามว่าเราจะสั่งบาร์บีคิวสำหรับอาหารค่ำมั้ย เพราะต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน เค้าถึงจะเตรียมให้ได้ทัน เพราะเค้าจะต้องใช้เวลาหมักเนื้อหมักซอสอะไรพวกนี้ บาร์บีคิวก็จะมี 3 แบบให้เลือกคือ หมู-ไก่ เนื้อ และกุ้ง-ปลาหมึก เราเลือกหมู-ไก่ค่ะ



วันที่เราออกเดินทาง ด้วยความที่เวลาเหลือค่อนข้างเยอะกว่าจะถึงเวลาเช็คอินตอนบ่ายสองโมง เราก็เลยได้แวะสถานที่ตามที่ทางรีสอร์ทแนะนำก็คือตลาดน้ำดำเนินสะดวก เพื่อไปหาข้าวกินแถวนั้น แล้วก็ได้ไปอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างๆ ภายในมีอาคารจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญต่างๆ ภายนอกเป็นพื้นที่กว้าง คล้ายๆเมืองโบราณ จัดแสดงสถาปัตยกรรม จำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในภูมิภาคต่างๆ น่าสนใจดีเหมือนกัน ที่นี่ต้นไม้เยอะมากทีเดียว ทำให้เวลาเดินชมแล้วไม่ร้อนเท่าไหร่ ระบบการจัดการ การบริการนักท่องเที่ยวและการให้ความรู้ก็ค่อนข้างดี ค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ไม่แพง ไม่แพง

เรามาถึงซีเนอรี่เวลาบ่ายสองโมงกว่าๆนิดหน่อย เจ้าหน้าที่จัดแจงเอารถเข็นสี่ล้อมาขนกระเป๋าไปที่พัก ระหว่างเช็คอินก็ได้น้ำกีวีสีเขียวสวย รสชาติเปรี้ยวนิดๆเป็นเวลคัมดริ๊ง จากนั้นคุณเจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งตัวเหมือนสาวบ้านไร่เมืองฝรั่งก็ขับรถกอล์ฟพาเราไปยังบ้านพัก ระหว่างทางก็แนะนำสถานที่ภายในรีสอร์ทให้ด้วย ด้านในสุดของรีสอร์ทจะติดกับลำน้ำภาชี ซึ่งถ้าหากในช่วงที่น้ำมาก ทางซีเนอรี่ก็มีบริการให้เช่าเรือคยัคไว้พายกันด้วย แต่ช่วงเวลาที่เราไปนี้น้ำน้อย คงได้แต่โล้ชิงช้าที่เค้าผูกไว้หลายตัวกลางลำน้ำ นอกจากนี้ใกล้ๆกันก็มีห้องอบซาวน่า และอ่างจากุซซี่น้ำเย็นไว้ให้บริการด้วย กิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากนี้ก็มีการยิงธนูฟรี 30 นาที กิจกรรมให้อาหารแกะหร้อมอาหารฟรีคนละ 1 มัด ถ้าจะให้มากกว่านั้นก็เสียเพิ่มมัดละ 20 บาท ถ้ารับประทานอาหารของร้าน Honey Scene ซึ่งเป็นร้านของซีเนอรี่ก็จะได้รับส่วนลด 10% สำหรับอาหารเช้า (รวมอยู่ในค่าที่พักแล้ว) เจ้าหน้าที่ที่ reception ก็จะถามตั้งแต่แรกว่าต้องการเป็นประเภทไหนระหว่าง ข้าวต้มทรงเครื่องหมู/ ไก่/ กุ้ง/ ปลา หรือ American breakfast หรือ English breakfast













และแล้วก็มาถึงบ้านแพงโกล่า แหล่งกบดานอันแสนประทับใจของเรา บ้านแพงโกล่าตามสรรพคุณที่ทางซีเนอรี่โฆษณาไว้มีดังนี้

ลักษณะบ้านพัก แบบบ้านชั้นเดียวมีดาดฟ้า สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พร้อมพื้นที่ห้องนั่งเล่น ดูหนังฟังเพลงเป็นสัดส่วน และโต๊ะอาหาร 2 ทำเล ที่บริเวณหน้าบ้านพัก และบริเวณดาดฟ้า
นำเสนอ บานกระจกขนาดใหญ่ รับชมวิวทุ่งหญ้าที่อยู่เบื้องหน้า และผ่อนคลายกับการชมวิวทิวเขาในขณะที่นอนแช่ในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ (2000 ลิตร) ผ่านหน้าต่างส่วนตัวภายในห้องน้ำหลังคาทรงโดม
สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องปรับอากาศ ทีวี LCD 32” เครื่องเสียง อุปกรณ์ต่อพ่วง iPod CD/DVD/MP3 หม้อต้มน้ำร้อน ไดร์เป่าผม โทรศัพท์ภายใน มินิบาร์ ผลไม้รับรอง และเตาปิ้ง BBQ






พอเข้ามาในบ้านเท่านั้น เราก็หยุดกิจกรรมทุกอย่าง หยิบกล้องออกมาอย่างเดียว แชะ แชะ แชะ ทุกอณูของบ้านในสภาพที่ยังสมบูรณ์ต้อนรับการเข้าพักของเรา ก่อนที่เราจะทำมันเละแล้วถ่ายรูปออกมาไม่สวยอย่างที่โฆษณาไว้ พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านกว้างขวางกว่าที่คิดไว้พอสมควร ห้องน้ำห้องส้วมนี่ใหญ่มาก กว้างกว่าพื้นที่นอนกับพื้นที่นั่งเล่นรวมกันซะอีก มีทั้งบริเวณที่เป็น shower และบริเวณที่เป็นอ่างกลมด้วย คืนนี้เจอกันเจ้าอ่างกลม แม่จะเปิดน้ำให้เต็ม ดำผุดดำว่ายให้หนำใจ ออกนอกบ้าน เดินขึ้นดาดฟ้าข้างบนก็จะมีเตียง day bed ใหญ่ๆพร้อมเปลให้นอนเล่น ข้างๆกันก็เป็นโต๊ะอาหารพร้อมเตา BBQ มองจากดาดฟ้าก็จะเห็นบรรยากาศของรีสอร์ทได้โดยรอบ บ้านรูซี่สวยมากๆอ่า คราวหน้าขอซักทีเถอะ ต้องไม่พลาดๆ















หลังจากสำรวจบ้านเสร็จ เราก็เดินออกมาที่ท้ายรีสอร์ทเจอห้องซาวน่า อ่างจากุซซี่และลำน้ำภาชี นั่งเล่นชิงช้าที่เค้าผูกไว้กลางลำน้ำอย่างสบายใจ น้ำลึกแค่หน้าแข้ง เย็นจัดและใสสะอาดมาก อาจเป็นเพราะดินที่พื้นน้ำเป็นดินก้อนกรวด ไม่ใช่ดินทราย น้ำจึงไม่ขุ่น



















สักพักใหญ่ๆ เรากลับย้อนขึ้นไปที่หน้ารีสอร์ท เห็นแขกทั้งที่พักที่ซีเนอรี่และรีสอร์ทใกล้เคียง เช่นนากาย่า ซึ่งอยู่ติดกันเลย (เค้าว่าเป็นญาติกันกับเจ้าของซีเนอรี่) กำลังให้อาหารแกะอยู่เต็มไปหมด อาหารแกะที่ว่านี้ก็คือใบปอ ดูท่าแกะน้อยจะชอบกินใบปอมากๆ กินเท่าไหร่ไม่เคยพอซักที จริงๆแล้วหญ้าอื่นๆก็เห็นกินอยู่นะ ฟางก็กิน แต่ดูเหมือนจะชอบใบปอนี่มากสุดล่ะ แย่งกันเหมือนงานเทกระจาด เราตัดสินใจที่จะให้อาหารแกะในวันถัดไป เพราะฉะนั้นวันนี้เลยขอลองหัดยิงธนูก่อน ก่อนจะยิงก็จะมีเจ้าหน้าที่มาสอนวิธีเล่นอย่างดี ซึ่งวิธียิงธนูที่ถูกต้องก็คือ... ยิงให้ถูกเป้า กร๊ากกกก ก็ถูกนี่หว่า... ไม่ช่ายยย วิธีก่อนที่จะทำให้มันเข้าเป้านั่นล่ะก็คือ ใส่แผ่นป้องกันกระแทกที่แขนซ้าย (สำหรับคนที่ถนัดขวา จะง้างสายธนูด้วยมือขวา) ส่วนมือที่ขวา ให้ใส่ที่รองนิ้ว 3 นิ้วคือนิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง มือซ้ายจับคันธนูในลักษณะกำให้แน่น ยืดแขนซ้ายไปข้างหน้าแต่ไม่ต้องยืดให้ตึง ให้งอศอกเล็กน้อยเพื่อป้องกันแรงกระแทกของสายธนู (หลังจากที่ปล่อยลูกดอกแล้ว) หยิบลูกดอก ล็อคหัวลูกศรที่คันธนู (มีช่องไว้สำหรับล็อค) ส่วยปลายลูกดอกจะเป็นร่อง ให้ล็อคกับสายธนู ใช้ 3 นิ้วของมือขวาเกี่ยวสายธนูเข้าหาตัว วางมือขวาที่เกี่ยวสายแล้วให้อยู่บริเวณใต้กรามขวา เกร็งแขน จากนั้นหลับตาขวา เล็งเป้าด้วยตาซ้าย มองผ่านช่องที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนคันธนู เมื่อเล็งเป้าได้แล้วก็ปล่อยนิ้ว 3 นิ้วที่เกี่ยวสายธนูไว้ ให้ปล่อยในลักษณะดีดเฉพาะนิ้วทั้ง 3 ออก เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย... จริงๆก็ไม่ยากเท่าไหร่นะ แต่ก็ไม่ง่าย ต้องใช้กำลังแขนเยอะหน่อย เกร็งๆ นิ่งๆ ส่วนแรงน้อยๆ แขนย้อยๆ ของเรามันก็เลยหล่นอยู่แต่หน้าเป้า ไม่ปักเป้าซักอัน ;-)



หลังยิงธนู ก็เป็นเวลาเย็นพอสมควรแล้ว คุณแกะทั้งหลายก็เหมือนจะรู้เวลา ไม่ต้องให้พี่เลี้ยงเรียกกลับเข้าคอก คุณแกะก็วิ่งเรียงแถวกลับเข้ามาเองเหมือนตั้งนาฬิกาไว้ ดูท่าคุณแกะที่นี่จะเสียนิสัยแล้วล่ะ คุ้นกับคนซะจนเคย เห็นใครถือใบไม้ใบหญ้ามาไม่ได้ กรูกันเข้าไปรับศีลรับพรกันหมด



ก่อนกินข้าวเย็นวันนี้ เราก็ได้ใช้บริการอ่างน้ำจากุซซี่และห้องอบซาวน่าด้วย ด้วยความที่บ้านพักที่นี่มีแค่ 8 หลัง เพราะฉะนั้นคนพักก็มีอยู่ไม่ถึง 20 คน จากุซซี่และซาวน่าตอนหกโมงเย็นกว่าๆนี่ก็เลยโล่ง ไม่มีใครมาร่วมใช้ได้เลย เราก็เลยวี้ดวิ้ววววได้เต็มที่ แช่จากุซซี่ อบซาวน่า แช่จากุซซี่ อบซาวน่า สลับอย่างงี้ไปเรื่อยๆ สนุกดี พอเรากำลังจะกลับก็มีอีกคู่นึงมาเปลี่ยนกันพอดี

อาหารค่ำของวันนี้นอกจากจะมี BBQ หมู-ไก่ที่เราได้สั่งทางรีสอร์ทไว้ก่อนหน้า ก็ยังสามารถสั่งเมนูอื่นๆได้อีก เพียงแค่เปิดเมนูอาหารของร้าน Honey Scene ที่วางอยู่ที่บ้าน แล้วโทรสั่งเจ้าหน้าที่ บอกเค้าได้เลยว่าจะไปกินที่ร้านหรือจะให้เค้ามาส่งที่บ้านเวลากี่โมง เห็นเมนูอาหารแล้วก็น่ากินไปหมดจริงๆ อาหารก็มีหลากหลายทีเดียว ทั้งไทย-เทศ ราคาก็แพงแบบรับได้ ไม่แพงเว่อร์ เราสั่งซุปกับพาสต้าเพิ่มอีกเป็น 2 อย่าง (แต่หารู้ไม่ว่าลำพังแค่ BBQ ที่สั่งไว้ 4 ไม้ก็กินไม่หมด ต้องเก็บใส่ถุงกลับไปกินที่กรุงเทพฯแล้ว) กิจกรรมปิ้งย่าง BBQ ที่ดาดฟ้าก็เป็นอีกกิจกรรมนึงที่เพลินดี เจ้าหน้าที่จะเตรียมก่อไฟไว้ให้ พอ 15 นาทีถ่านเริ่มร้อน เราก็จัดการปิ้ง BBQ ได้เลย ปิ้งไปพร้อมกับทาซอส BBQ ไปให้น้ำซอสซึมเข้าเนื้อ แล้วก็คอยกลับไม้บ้างเพื่อไม่ให้เนื้อไหม้ กินไปก็ดูดาวบนท้องฟ้าไป พอจะมองเห็นอยู่ ในบ้านมีชาร์ทสอนดูดาวให้ด้วย ใครพอจะดูเป็นก็ดูกันเพลินเลยงานนี้



เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์และเย็นสบาย อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 20 องศาแน่ๆ จริงๆตั้งแต่เมื่อประมาณ 6 โมงเย็นเมื่อวาน อากาศก็เริ่มเย็นสบายแล้ว เช้านี้หมอกลงอ่อนๆ ไม่มีใครเดินเล่นเป็นเพื่อนกันเลย เห็นมีแต่คุณลุงเจ้าหน้าที่รีสอร์ทยืนเอาคราดกวาดหญ้าอยู่เป็นหย่อมๆ เช้านี้เราเลือกที่จะเปลี่ยนบรรยากาศไปกินอาหารเช้าที่ Honey Scene แทนที่บ้าน ที่ร้านก็นั่งสบายดี กินข้าวไปก็สามารถมองดูลานที่เลี้ยงแกะไปด้วย ถึงแม้ว่าแกะจะยังไม่ถูกปล่อยออกมานะ (เวลาปล่อยแกะ 10.00 – 18.00)







พอ 10 โมงเช้า แกะก็เริ่มถูกปล่อยออกมา เราก็เริ่มลุยกันได้เลย เพราะแค่คุณแกะเห็นเราถือใบปอเดินลงไปเท่านั้น จากที่ปากก็กำลังกินใบปอในกระบะที่เจ้าหน้าที่เอาให้กิน ก็ผละกันวิ่งกรูมาที่เราทันที และจากการทดลองให้อาหารแกะแล้วก็พบว่าวิธีให้อาหารแกะที่ถูกต้องก็คือ ควรจะนั่งยองๆให้อาหารมัน อย่ายืนให้ เพราะมันจะทำให้เราตัวสูงกว่ามัน พอคุณแกะที่อยากจะกินแล้วไม่ได้กินขึ้นมา คุณแกะก็จะกระโดดตะกายขึ้นมาฝากรอยอุ้งตีนแกะไว้ที่พุงเราทันที เวลาผ่านไปคนอื่นๆก็เริ่มมาให้อาหารแกะมากขึ้น คุณแกะก็แย่งกันกินน้อยลงเพราะมีคนหยิบยื่นให้เยอะขึ้น คุณแกะบางตัวที่เบื่อๆ (รึเปล่า) ก็หันไปกินฟาง กินน้ำที่บ่อน้ำข้างๆแทนก็มี คุณแกะบางตัวก็นอนอาบแดดก็มี เราให้อาหารมันเพลินเลย ใบปอกำเดียวที่ทางรีสอร์ทให้ไว้เลยไม่พอ ต้องมีกำ 2 กำ 3 ตามมาอีก









เพลิดเพลินกับกิจกรรมสุดท้ายที่ซีเนอรี่จน 11 โมง เราก็เริ่มเก็บข้าวของเตรียมกลับกรุงเทพฯกันซะที ก่อนกลับที่ซีเนอรี่มีบริการถ่ายรูปขนาดโปสการ์ดให้ฟรี 1 รูปด้วย เลือกมุมถ่ายรูปได้ 4 มุมระหว่างต้นคริสต์มาสหน้า reception เก้าอี้โยก แกะแม่ลูกที่โยกหัวได้ หรือหน้าป้าย Scenery Resort ทางเข้า privacy zone บริการดีน่าประทับใจจนนาทีสุดท้ายจริงๆ

... แล้วปีหน้าเจอกันอีกนะจ๊ะ Scenery



ปล. ช่วงฤดูหนาวประมาณ พ.ย. – ม.ค. ทางอำเภอสวนผึ้งจัดงาน Candle in The Winter ทุกวันเสาร์ตอนค่ำเป็นต้นไป โดยใช้สนามหญ้าและบริเวณส่วนหนึ่งของ Scenery Resort ในการจัดงานด้วย ภายในงานก็จะเป็นลักษณะคล้ายๆลานเบียร์ ก็คือมีการแสดงดนตรี ออกร้านขายอาหาร การละเล่น ใครมีโอกาสและโชคดีจองที่พักได้ในช่วงนี้ นับว่าโชคดี x 2 เลยทีเดียว




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2552   
Last Update : 21 ธันวาคม 2552 9:47:30 น.   
Counter : 1738 Pageviews.  


เรียนรู้อย่างแตกต่างที่ "มิวเซียมสยาม"

มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สยามหรือมิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แนวใหม่ของคนไทย ผลสุดท้ายก็รู้สึกสนุกสนานและประทับใจกับสิ่งที่ได้รับจากที่นี่มากมาย ยังไงลองอ่านเรื่องราวและดูรูปเพลินๆแล้วมา Let's share your thought กันก็ดีค่ะ









ข้อมูลข้างล่างนี้คัดลอกมาจากเอกสารที่แจกให้ตอนเข้าชมพิพิธภัณฑ์นะคะ

มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้
มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งแรกที่เน้นการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบของแหล่งเรียนรู้ที่รื่นรมย์ และช่วยยกระดับมาตรฐานการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ให้กับประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนไทยเกี่ยวกับการสร้างสำนึกในการรู้จักตนเอง รู้จักเพื่อนบ้าน และรู้จักโลก รวมถึงการสร้างแนวคิด และภาพลักษณ์ใหม่ของ "พิพิธภัณฑ์" ในสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เป็นไปอย่างสนุกสนานยิ่งขึ้น

นิทรรศการถาวรในมิวเซียมสยาม "เรียงความประเทศไทย" หรือ "The Account of Thailand" เน้นวิธีการเล่าเรื่องด้วยเวลา โดยดึงลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การเมือง วัฒนธรรมของแต่ละช่วงเวลาจากสุวรรณภูมิ สู่สยามประเทศ ถึงประเทศไทย


เอกลักษณ์ของ "มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้"
เน้นการจัดนิทรรศการที่จะกระตุกต่อมความคิด และจุดประกายความอยากรู้ เกิดการตั้งคำถาม ให้ผู้เข้าชมได้ตั้งคำถามจากสิ่งที่เห็น แล้วไปสืบค้นหาความรู้ด้วยตนเองต่อไป

เน้นปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างนิทรรศการและผู้ชม เพื่อให้เกิดการสื่อสารความรู้และการสร้างทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้ชม คือสามารถจับได้ เล่นได้ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๖ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย (วัตถุ) และใจ (จิต)

ใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง (Story Telling) โดยใช้ตัวละครพูดถึงเนื้อหานับแต่อดีตถึงปัจจุบันของผู้คนและดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทยเพื่อให้ผู้ชมได้ค้นหาคำตอบว่า "เราคือใคร" และ "ความเป็นไทยหมายถึงอะไร"


ความหมายของตราสัญลักษณ์
คนกบแดง หรือ รูปคนทำท่าเป็นกบ เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เพราะกบถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์เป็นที่เคารพบูชาทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จากลวดลายบนกลองมโหระทึกที่เป็นเครื่องมือใช้ประโคมตีในพิธีกรรมขอฝน

เนื้อหาในห้องแสดงนิทรรศการถาวร "เรียงความประเทศไทย"

ห้องที่ ๑: เบิกโรง
เบิกตัวละครทั้งเจ็ดที่จะพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่เรื่องราวอันเป็นต้นกำเนิดจากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศ ถึงประเทศไทย เพื่อค้นหาคำตอบว่าเราคือใครและอะไรคือไทย



ห้องที่ ๒: ไทยแท้
กระตุ้นความอยากรู้ว่าไทยแท้คืออะไรและเป็นอย่างไรจึงเรียกว่าไทยแท้










ห้องที่ ๓: เปิดตำนานสุวรรณภูมิ
แสดงถึงวิวัฒนาการสังคมก่อนจะมาเป็นบรรพบุรุษชาวสุวรรณภูมิ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า "สุวรรณภูมิ" คือชื่อที่ชาวโลกเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อนใช้เรียกดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออกของอินเดีย ส่วนหนึ่งของพื้นที่แห่งนี้มีกรุงเทพฯ ที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเล ซึ่งการศึกษาโครงกระดูก หลุมฝังศพ และอารยธรรมที่ฝังอยู่ใต้ดินทำให้รู้จักดินแดนแห่งนี้มากขึ้น





ห้องที่ ๔: สุวรรณภูมิ
ทำความรู้จักกับ "สุวรรณภูมิ" ดินแดนแห่งความมั่งคั่งผ่านผู้คน การเกษตร การค้า การสร้างเมือง เทคโนโลยีแห่งโลหะ และความเชื่อ (ผี-พราหมณ์-พุทธ) ซึ่งจะทำให้รู้ว่าสุวรรณภูมิคือรากเหง้าของประเทศไทย









ห้องที่ ๕: พุทธิปัญญา
สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหัวใจของพุทธศาสนา ซึ่งมี คาถา เย ธมฺมา แปลว่าสิ่งทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด คาถายอดนิยมแห่งสุวรรณภูมิ มูลเหตุแห่งความใจกว้างและสันติ



ห้องที่ ๖: กำเนิดสยามประเทศ
นำเสนอด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อให้เห็นนานาแว่นแคว้นต่างๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นนครรัฐ และสืบสานเรื่องราวของวีรบุรุษผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาจากตำนานท้าวอู่ทอง เรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงความผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม



ห้องที่ ๗: สยามประเทศ
กรุงศรีอยุธยามีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ทั้งยังมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และด้วยอำนาจทางการเมืองที่กว้างไกล ทำให้สามารถควบคุมการผลิตภายในราชอาณาจักรได้ นอกจากนี้กรุงศรีอยุธยายังเป็นอาณาจักรที่อยู่ใกล้ทะเล จึงพัฒนาตนเองขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลของภูมิภาค และสืบเนื่องจากการติดต่อค้าขายนี่เอง ที่ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างผู้คนและวัฒนธรรม เกิดเป็นความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมที่หลากหลายขึ้นในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การทหาร ภาษา และสถาปัตยกรรม







ห้องที่ ๘: สยามยุทธ์
เหตุแห่งสงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีมูลเหตุใหญ่ๆ คือ ความต้องการแสดงพระองค์ของกษัตริย์ในฐานะ "พระจักรพรรดิ" เหนือพระเจ้าแผ่นกิน และเพื่อกวาดต้อน "คน" อันเป็นแรงงานและกำลังรบ รวมถึงการครอบครองสินค้าสำคัญของรัฐอื่น สงครามจึงไม่ใช่เรื่องของรัฐต่อรัฐ หากเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์รัฐหนึ่งกับพระมหากษัตริย์อีกรัฐหนึ่ง และนอกจากการสู้รบแล้ว ยังมีการแสดงถึงภูมิปัญญา การวางกลยุทธ์ กลุ่มชาติพันธุ์ และศิลปกรรมอีกด้วย




ห้องที่ ๙: แผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ
ผืนดินตามธรรมชาติ คงไม่มีเส้นแบ่งใดๆ มาขวางกั้นผู้คน แต่เส้นพรมแดนก็ถูกสร้างขึ้นโดยล่าอาณานิคมเพื่อแบ่ง "เขา" สร้าง "เรา" และรวมไปถึงการสร้าง "ชาติ" ให้มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ มูลเหตุที่ทำให้เกิดการตัดแบ่งชุมชน เชื้อชาติ ญาติพี่น้องออกจากกัน



ห้องที่ ๑๐: กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา
เรื่องราวเมื่อครั้งสิ้นกรุงศรีอยุธยา ชาวกรุงศรีฯ ก็สร้างเมืองของพวกเขาขึ้นมาใหม่บนผืนดิน "บางกอก" ซึ่งพวกเขาได้จำลองแนวคิดและสืบสานวัฒนธรรมมาจากเมืองเก่ามากมาย อีกทั้งเริ่มสร้างกรุงใหม่ จึงได้เกณฑ์ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาช่วยกัน จนเมื่อสร้างเสร็จจึงลงหลักปักฐาน กลายเป็นชาวกรุงเทพฯ ในที่สุด



ห้องที่ ๑๑: ชีวิตนอกกรุงเทพฯ
สื่อให้เห็นถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น และความฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าจะเป็นของเล่น อุปกรณ์การดักสัตว์ เครื่องมือทำกิน ความเชื่อ และพิธีกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะแห่งการสร้างสรรค์ และวิถีเกษตรที่ผูกพันกับชาวสยามมาจนถึงทุกวันนี้








ห้องที่ ๑๒: แปลงโฉมสยามประเทศ
การติดต่อกับโลกตะวันตก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในสังคมสยามหลายด้าน การเริ่มสร้างถนน ไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการคมนาคมเท่านั้น หากยังเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนที่คุ้นชินกับสายน้ำและความแช่มช้า นับจากนี้ ถนนจะเร่งกงล้อแห่งความเปลี่ยนแปลงให้สยามเปลี่ยนโฉมไปตลอดกาล










ห้องที่ ๑๓: กำเนิดประเทศไทย
จากสยาม ทำไมกลายเป็นไทย ห้องนี้จะกระตุ้นให้เกิดการค้นหาคำตอบว่า "วันเกิดประเทศไทยคือวันที่เท่าไหร่" และ "กรมโฆษณาการเกี่ยวข้องอย่างไร"









ห้องที่ ๑๔: สีสันตะวันตก
แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์โลกใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ภายหลังความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในทศวรรษ ๑๙๔๐ เศรษฐกิจที่กำลังรุ่งเรือง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เสียงเพลงแห่งความหวัง และสนุกสนานกล่อมให้ผู้คนลืมความเจ็บปวดจากสงครามไปได้หมดสิ้น และประเทศไทยก็โกย "ดอลล่าร์" จากการเปิดรับวัฒนธรรมอเมริกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน












ห้องที่ ๑๕: เมืองไทยวันนี้
ผ่านกาลเวลามากว่า ๓,๐๐๐ ปี มีสิ่งใดบ้างที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนฝังตรึงเป็น "ดีเอ็นเอ" ของความเป็นไทย มีสิ่งดีๆ ใดบ้างที่ยังอยู่กับเรา และมีสิ่งดีๆ ใดบ้างที่หล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย ภาวะอันสับสนของคนรุ่นปัจจุบันน่าจะแก้ไขได้ หากทุกคนเรียนรู้ "ความเป็นไทยที่แท้จริง" "ความเป็นไทยที่อยู่บนพื้นฐานของความหลากหลาย" "ความเป็นไทยที่รู้จักเลือกรับและปรับใช้" นั่นคือ การผสมผสานสิ่งดีงามจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา



ห้องที่ ๑๖: มองไปข้างหน้า
เป็นห้องที่ตอกย้ำว่า "พรุ่งนี้ของประเทศไทยจะเป็นเช่นไร คนรุ่นปัจจุบันเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้"



ห้องที่ ๑๗: ตึกเก่าเล่าเรื่อง ที่มาของมิวเซียมสยาม
ผู้ชมสามารถเรียนรู้ทุกอย่างในมิวเซียมสยาม นับตั้งแต่ความเป็นมาและพัฒนาการของพื้นที่ในบริเวณนี้ แม้กระทั่งตัวอาคารนิทรรศการ เนื่องจากตอนบูรณะ "อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ (เดิม)" ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพื่อเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์นั้น ได้มีการค้นพบอัจฉริยภาพของสถาปนิก และช่างในสมัยก่อน นอกจากนี้ยังจัดให้มีการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบรากฐานของวังในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นถึงตอนกลาง (ระหว่างสมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงต้นรัชกาลที่ ๖) ทีมงานผู้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ จึงเปิดโอกาสให้เยาวชนมาสวมบทบาท "นักโบราณคดีสมัครเล่น" และค้นหาอดีตของพื้นที่แห่งนี้











ข้อมูลการเยี่ยมชม
เวลาให้บริการ:
วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา ๑๐.๐๐-๑๘.๐๐ น.
และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ปิดให้บริการ วันจันทร์
วันสงกรานต์ วันสิ้นปี และวันปีใหม่
สอบถามข้อมูล:
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
เลขที่ ๔ ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐
โทรศัพท์: ๐-๒๒๒๕-๒๗๗๗
โทรสาร: ๐-๒๒๒๕-๒๗๗๕
เว็บไซต์: //www.ndmi.or.th




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 17:52:56 น.   
Counter : 2937 Pageviews.  


1  2  

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com