KatieKat... Let's share your thought
 
13eyond your imagination in Korea (6)

วันที่ 6 ปิดท้ายการเดินทางด้วยคอฟฟี่ปริ๊นส์

เผลอแป๊บเดียวเราก็ต้องเตรียมตัวแพ็คของกลับกรุงเทพฯซะแล้ว หลังจากเช็คเอ้าท์ เราก็ขอฝากสัมภาระไว้ที่บีวอนก่อน แล้วก็ขึ้นรถไฟใต้ดินสายที่ 5 ตรงไปยังสถานียออิโด (Yeouido) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที วันนี้อากาศที่โซลอุ่นขึ้นมาก เดินเล่นได้อย่างสบายใจสบายกายดีจริงๆ โปรแกรมของเราในวันสุดท้ายนี้เริ่มต้นจากการไปเยือนรัฐสภาเกาหลีที่เราได้เห็นแว้บๆแล้วจากการล่องเรือชมแม่น้ำฮันในเย็นวันแรกที่มาถึง จากการที่ได้อ่านคู่มือนำเที่ยวเกาหลีที่ได้มาจากอสท.เกาหลีที่เมืองไทยก็ได้อ่านเจอว่าที่รัฐสภาเกาหลีเค้ามีบริการพาทัวร์ชมภายในรัฐสภาด้วย แต่เราต้องอีเมลล์ไปนัดหมายล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 3 วัน ที่ //korea.na.go.kr/com/guide_01.jsp เราก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสอันดีมากๆที่จะได้เข้าไปชมรัฐสภาเกาหลี รัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ว่าแล้วก็อีเมลล์ไปนัดหมายวันตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทยแล้ว มีจนท.จากรัฐสภาตอบกลับมาชื่อคุณคิมบยองกึน คุณคิมนี่น่ารักมากๆเลย แต่แกตอบมาประมาณว่าจริงๆแล้วที่รัฐสภาเนี่ยก็ยังไม่ได้จัดการกับระบบการพาทัวร์นี้ซักเท่าไหร่ จึงยังไม่มีแบบฟอร์มนัดหมายการอย่างเป็นกิจจะลักษณะ (อ้าว! ก็อ่านในเว็บมันบอกว่าให้กรอกแบบฟอร์มนี่นา แถมยังต้องนัดหมายโน่นนี่ให้เป็นเรื่องเป็นราวอีก งง?!?) ถ้ายังไงมาถึงแล้วให้เรียกหาแกได้เลย แกชอบฝึกภาษาอังกฤษ เดี๋ยวแกจะออกมารับ แกยังใจดีให้เบอร์มือถืออีกด้วย

หลังจากออกจากสถานีรถไฟใต้ดินยออิโด ให้เดินออกมาที่ทางออกที่ 2 หรือ 3 แล้วเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นโดมครึ่งวงกลมของรัฐสภาอยู่ไกลลิบๆ ก็ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ ขณะที่เดินก็มองเห็นว่ารถไฟฟ้าสายที่ 10 ที่กำลังจะสร้างตรงไปสนามบินอินชอนจะผ่านหน้ารัฐสภานี้ด้วย เพราะเห็นทางขึ้นรถไฟฟ้าแล้วเขียนว่าเป็นสายที่ 10 อยู่ แสดงว่าถ้ามาคราวหน้าคงจะไม่ต้องเดินไกลอย่างนี้อีกแล้ว ระหว่างทางเดินไปรัฐสภาก็จะผ่านตึกสำนักงานมากมาย ทั้ง MBC และ KBS แล้วก็ผ่านสวนสาธารณะยออิโด ข้ามถนนไปก็จะเข้าสู่ทางเข้าด้านหน้าของรัฐสภาพอดี รวมระยะเวลาเดินร่วมครึ่งชั่วโมงได้ เนื่องจากทัวร์รัฐสภานี้จะต้องเข้าทางประตูด้านหลังของรัฐสภา เราจึงต้องเดินตรงต่อไปอีกแล้วอ้อมเข้าทางประตูหลัง พอเข้าไปก็จะมีการตรวจตรารักษาความปลอดภัยเหมือนสถานที่สำคัญทั่วๆไป จากนั้นเราก็ถามจนท.ที่เค้าท์เตอร์เป็นภาษาอังกฤษ บอกวัตถุประสงค์ที่เรามา แป่ว! จนท.ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ ตอนแรกก็ว่าจะถามหาคุณคิมบยองกึนดีมั้ย แต่ก็กลัวจะคุยกันไม่รู้เรื่องอีก ก็เลยขอให้เค้าหาจนท.คนอื่นที่พอจะสื่อสารกันได้ออกมาช่วยหน่อย เค้าก็เลยต่อสายโทรศัพท์ให้เราคุยกับจนท.อีกคนนึง จนท.คนนั้นถามเราว่าเรามาจากที่ไหน มากันกี่คน โอเคๆ งั้นรอสักครู่นะ เดี๋ยวจะออกมารับ... เย้!! รอดตาย

สักครู่ก็มีจนท.ออกมารับเราชื่อคุณชินมยองดง (สะกดแบบเดียวกับเมียงดงที่เป็นสถานที่ช้อปปิ้งนั่นล่ะ) อ่านจากนามบัตรแล้วคุณชินมีตำแหน่งเป็น Protocol Officer & Interpreter หมายความว่าเป็น จนท.วิเทศสัมพันธ์และเป็นล่ามประจำรัฐสภางั้นเหรอ อืม! แต่คุณชินพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากทีเดียว ถึงแม้สำเนียงจะยังฟังยากอยู่แต่ก็สามารถใช้ศัพท์ได้หลากหลายมาก พูดได้ไม่ค่อยติดขัดเลย คุณชินพาเราไปฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์ ให้เรากรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม ถามชื่อ นามสกุล ที่อยู่ในเมืองไทย อีเมลล์ เบอร์ติดต่อทั้งเบอร์ที่ทำงานและเบอร์มือถือ เหมือนกะว่าจะไปตามหาเราที่เมืองไทยให้เจออย่างงั้นล่ะ เสร็จแล้วคุณชินก็เริ่มพาเราเดินทัวร์ คุณชินบอกว่าจริงๆแล้ววันนี้เป็นวันที่มีประชุมสภา โดยปกติแล้วถ้าวันที่มีประชุมก็จะไม่มีการพาทัวร์ แต่สำหรับเรานี่เป็นกรณีพิเศษเลยน๊า (จริงอ๊ะ?) เค้าจะพาเราเข้าไปดูห้องประชุมสภาซัก 5 นาทีก่อนที่การประชุมจริงๆจะเริ่ม ระหว่างที่คุณพาเราขึ้นไปห้องประชุมสภาที่ชั้น 3 คุณชินก็เล่าว่าเค้าไปเมืองไทยมาเมื่อปีที่แล้ว ไปประชุมที่เชียงใหม่ แต่ระหว่างที่ไปก็เกิดเหตุการณ์ยึดสนามบิน แกก็เลยกลับเกาหลีไม่ได้ โอ้ว!! แซ้ดแทนจริงๆ ซอรี่ ซอรี่นะคะคุณชิน คุณชินและคณะก็เลยต้องอยู่ที่เชียงใหม่ต่ออีก 2-3 คืน แต่ก็ได้ไปเที่ยวดูกะเหรี่ยงคอยาวแทน

พอถึงห้องประชุมสภา คุณชินก็ใช้ความเก๋าพูดอะไรไม่รู้กับจนท.รักษาความปลอดภัยก่อนเข้าห้องว่า ประมาณว่าพวกเราเนี่ยมากับคุณชิน จะมาขอชมสถานที่หน่อยนะ เดี๋ยวขอให้เราเข้าไปดูบรรยากาศข้างในซัก 5-10 นาทีนะ พอการประชุมเริ่มจริงๆแล้วเดี๋ยวค่อยออกมา ไม่ต้องออกบัตรติดหน้าอกให้พวกเรานะ มากับคุณชิน เดี๋ยวคุณชินรับผิดชอบเอง... (อ้าว!! ไหนว่าฟังไม่ออกว่าไงอ่ะเจ๊ เล่าซะยาวเชียว คือจริงๆอันนี้คุณชินแปลให้ฟังอ่ะค่ะ) ภายในห้องประชุมสภาเป็นห้องครึ่งวงกลม เก้าอี้ยกระดับเป็นขั้นๆเหมือนห้องประชุมหรือโรงหนังทั่วไป ค่อนข้างเก่าแล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีการบำรุงรักษาอย่างดี คุณชินชี้ให้ดูประธานในวันนี้คือท่านประธานสภา แล้วก็ยังมีท่านายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมด้วย พอท่านประธานสภาจะเริ่มการประชุม ท่านก็จะเอาฆ้อนตี 1 ครั้งแบบเดียวกับที่ผู้พิพากษาทุบฆ้อนในศาลแบบนั้นเลย พอเริ่มการประชุมจริงคุณชินก็พาเราออกมา แล้วก็พาเดินชมห้องโถงด้านล่าง คุณชินเล่าว่าประเทศสาธารณรัฐเกาหลีมีการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งและมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี มีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งจำนวน 299 คน ดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี โดยที่ส.ส. 245 คนนั้นเป็นส.ส.จากระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในขณะที่ส.ส.อีก 54 คนที่เหลือเป็นส.ส.ที่มาจากระบบบัญชีรายชื่อตามสัดส่วนของพรรคการเมืองแต่ละพรรค

สุดท้ายคุณชินก็พาเราไปดูห้องพระภายในรัฐสภา บอกว่าที่นี่นอกจากจะมีห้องพระของศาสนาพุทธแล้วก็จะมีห้องสวดมนต์ของทั้งคริสเตียน คาทอลิกด้วย แต่ไม่พูดถึงห้องละหมาดแฮะ สงสัยในเกาหลีคนนับถือศาสนาอิสลามจะน้อยมาก คุณชินยังบอกอีกว่าในเกาหลีผู้คนจะนับถือศาสนาพุทธมากที่สุด รองลงมาก็น่าจะเป็นโปรแตสแตนท์แล้วก็คาทอลิก (แต่ในความรู้สึกเราเราว่าคาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์น่าจะเยอะกว่านะ หรือเราเห็นแต่เฉพาะพวกดาราเกาหลี ซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่ๆนับถือแต่ศาสนาคริสต์ก็ได้ ความจริงอาจเป็นอย่างที่คุณชินว่า)

ทัวร์ภายในรัฐสภานี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีตามที่ในเว็บไซด์บอกเลย คุณชินออกมาส่งเราพร้อมกับแนะนำสถานที่เที่ยวรอบๆรัฐสภานั่นก็คือถนนยุนจุงโน (Yunjungno) ที่มีจะต้นซากุระขึ้นเรียงรายกันเต็มไปหมด แต่น่าเสียดายที่ต้นนี้ที่โซลซากุระยังไม่บานเท่าไหร่ น่าจะอีกประมาณ 2-3 วันหลังเรากลับ ดอกซากุระคงจะบานเต็มที่ เพราะที่ถนนนี้จะมีการจัดงานเทศกาลดอกซากุระประจำปีด้วย โดยปีนี้เริ่มในวันที่ 9 เมษายน ก่อนจากกันคุณชินยังบอกเป็นนัยๆอีกว่าถ้าแกมีโอกาสได้ไปเมืองไทยอีกแกจะโทรติดต่อเราให้เป็นไกด์พาเที่ยวบ้าง (นั่นไงล่ะ!! ว่าแล้วว่าทำไมตอนแรกคุณชินถึงได้ขอที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ แล้วถามย้ำแล้วย้ำอีกนักหนา จะเอาไว้ติดต่อเราให้เราใช้หนี้ที่แกมาเป็นไกด์ให้เราในวันนี้นี่เอง)

เราเดินออกจากด้านหลังรัฐสภาเพื่ออกมาที่ถนนยุนจุงโน แล้วก็เดินย้อนกลับมาเข้าสู่ภายในเขตรัฐสภาอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินๆๆๆ เหนื่อยอีกแล้วกลับไปที่สถานีรถไฟยออิโด ขึ้นรถไฟฟ้าสายที่ 5 ไปลงที่สถานียองดึงโพกูออฟฟิศ (Yeongdeungpo-gu office) จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟสายที่ 2 นั่งไปลงสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) หรือคนทั่วไปจะเรียกย่านนี้ว่าย่านฮงแด ใช้เวลารวมประมาณ 25 นาที พอถึงสถานีฮงอิกให้ออกมาที่ทางออกที่ 4 ณ จุดนี้เราจะออกตามหาร้านกาแฟคอฟฟี่ปริ๊นซ์ สถานที่ถ่ายทำซีรีส์สุดฮอตเรื่องนึงทั้งในเกาหลีและในประเทศไทยนั่นก็คือ The 1st Shop of Coffee Prince หรือรักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ (เอ่อ! ยังขำกับชื่อภาษาไทยไม่หาย สรุปว่าถ้าเรื่องไหนที่ยุนอึนเฮเล่นมันจะต้องมีชื่อภาษาไทยว่า “วุ่นวาย” ทุกเรื่องใช่มั้ยเนี่ย เหมือนเฉินหลงที่ต้องมีคำว่า “ฟัด” หรืออาร์โนลด์ที่ต้องมีคำว่า “คนเหล็ก”) สำหรับวิธีการไปร้านกาแฟคอฟฟี่ปริ๊นซ์ก็ค้นหามาจากอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว ไปไม่ยาก ตามรูปเลยค่ะ

ระหว่างทางไปร้านคอฟฟี่ปริ๊นซ์นั้น เราก็ค้นพบว่าย่านฮงแดนี้เป็นย่านที่น่ารักมากมาย เนื่องจากมหาวิทยาลัยฮงอิกเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะ ดังนั้นสองข้างทางของถนนรอบๆย่านนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของ ร้านน้ำชาหรือแม้กระทั่งร้านกาแฟที่เรากำลังตามหาอยู่นี่ในสไตล์กิ๊บเก๋ครีเอชั่นมากๆ นอกจากนี้ถ้ามาเที่ยวย่านนี้แถวๆหน้ามหาวิทยาลัยฮงอิกในวันเสาร์่บ่ายๆ ก็จะมีตลาด flea market ฝีมือนักศึกษาให้เลือกชมเลือกช้อปกันด้วย


ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงร้านเป้าหมาย ร้านแอบดูโทรมกว่าที่คิดมากเลย คือหน้าร้านดูรกๆ ข้าวของก็เก็บไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ แถมต้นไม้หน้าร้านก็ยังเป็นต้นซากุระปลอมๆซะอีก ที่รั้วหน้าร้านก็มีคนมาขีดเขียนฝากรักไว้เต็มไปหมด อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นนโยบายของทางร้านหรือว่าคนมันมือบอน ห้ามกันไม่ได้กันแน่ๆ แต่พอเข้าไปในร้านก็ค่อยเป็นระเบียบและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโกอึนชานขึ้นมาทันที อิอิ เข้าสู่โหมดเพ้อเจ้ออีกแล้ว ตอนที่เราไปเป็นเวลาประมาณเที่ยง เท่าที่เช็คมา ร้านนี้เปิดตอน 11.30 น. เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราไปถึงจึงมีลูกค้าอยู่แค่ 2 คนก่อนหน้าเรา เราก็เลยได้ลัลล้าอย่างเต็มที่ วิ้ว ^^ ภายในร้านคอฟฟี่ปริ๊นซ์ยังคงเก็บรายละเอียดการตกแต่งร้านและเก็บอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ประกอบฉากไว้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ จะขาดก็แต่ผู้จัดการชเวฮันคยอล โกอึนชานและนักแสดงคนอื่นๆในเรื่องเท่านั้นล่ะ เนื่องจากเราไม่กินกาแฟก็เลยสั่งโกโก้ร้อนมากินคู่กับชีสเค้ก ทั้งสองอย่างและเมนูอื่นๆในร้านราคาแพง แพ๊ง แพง แพงได้อีกจริงๆ ชีสเค้กอร่อยมากอยู่ แต่โกโก้ร้อนนี่สิ แอบจืดอย่างแรง ถ้าขืนยังเป็นอย่างงี้ต่อไปล่ะก็ ไม่รู้ว่าร้านจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ส่วนตัวคิดว่าที่ร้านนี้ยังอยู่ได้น่าจะเป็นเพราะมีทัวร์มาลงอยู่เรื่อยๆมากกว่า ถึงแม้ว่าโกโก้ร้อนจะไม่เอาไหน แต่เราก็เพลิดเพลินกับการวิ่งถ่ายรูปในร้านอย่างเต็มที่ แอบผิดหวังอีกนิดนึงที่ลายรูปดอกไม้บนผนังที่ฮันยูจูวาดไว้และอึนชานก็มาแต่งเพิ่มเติมไว้ ที่แท้มันไม่ใช่ภาพวาดแต่มันเป็นสติ๊กเกอร์ต่างหาก แล้วยิ่งถ้ามองใกล้ๆก็จะเห็นว่าสติ๊กเกอร์ตรงกลีบดอกไม้มันเริ่มหลุดออกมาด้วย แต่ก็อ่ะนะ หลอกเราให้เชื่อซะสนิทเลยทีแรก นอกจากอุปกรณ์ประกอบฉากในเรื่องที่ยังเก็บไว้อย่างดี รวมทั้งรูปวาดตัวการ์ตูนบนกระจกรอบๆร้านที่อึนชาน (อึนเฮ) เป็นคนวาดเองก็ยังคงอยู่ ก็ยังมีลายเซ็นของนักแสดงในเรื่องและนักแสดงและคนบันเทิงเกาหลีคนอื่นๆที่มีโอกาสได้มาแวะเยี่ยมเยือนร้านนี้ถูกใส่กรอบตั้งโชว์ไว้รอบร้านอีกด้วย










เราออกจากร้านคอฟฟี่ปริ๊นซ์ตอนประมาณบ่ายโมงนิดๆ โชคดีมากที่พอออกจากประตูรั้วหน้าร้านได้แค่ 3 ก้าว ก็มีทัวร์คนไทยกลุ่มเบ้อเริ่มเข้ามาต่อคิวทันที ถ้าเราเข้าร้านมาพร้อมกรุ๊ปนี้คงไม่ได้ถ่ายรูปอย่างหนำใจขนาดนี้แน่ ก่อนออกจากร้านก็มองไปที่รั้วไม้ของร้านที่มีลูกค้ามาเขียนความในใจบอกร้านนี้กันซักมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะออกแนวแอบเหน็บ แอบด่ารสชาติและราคาของกาแฟที่ร้านนี้ซะมากกว่า (ลูกค้าพี่ไทยเขียนไว้เยอะเหมือนกัน มีแต่คำด่าทั้งน้านนนน) เห็นแล้วเศร้าแทน แต่มันก็จริงอย่างที่ใครๆเค้าว่าไว้นั่นล่ะ ไม่อร่อย ราคาน้องๆสตาร์บัคส์

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้จริงๆ เรานั่งรถไฟฟ้าสายที่ 2 จากฮงอิกไปลงสถานีชุงจองโน (Chungjeongno) แล้วไปเปลี่ยนเป็นสายที่ 5 นั่งไปลงจงโนซัมก้า ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 20 นาที กลับไปบีวอนเพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วก็ออกไปรอรถแอร์พอร์ต ลิมูซีนที่ป้ายฝั่งตรงข้ามกับขามาจากสนามบิน (ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับพระราชวังชางด๊อกกุง) แต่ป้ายนี้จะอยู่ใกล้กว่าป้ายขามาจากสนามบินค่อนข้างมาก เพราะอยู่เลยมาทางชางด๊อกกุงในขณะที่ป้ายฝั่งขามาจากสนามบินจะอยู่เลยออกไปติดกับสถานีรถไฟใต้ดินอังกุก


เราบอกลาโซลตอนเวลาบ่าย 2 โมงกว่าๆ ถึงอินชอน 3 โมงกว่า ซื้อของฝากพวกสาหร่ายปรุงรสในสนามบินแล้วก็กลับบ้านโดยเที่ยวบิน TG 635 เวลา 17.30 น. เครื่องแวะเติมน้ำมันที่ไทเปประมาณ 1 ชั่วโมง เที่ยวนี้การบินไทยใจดีเสิร์ฟอาหารมื้อหนักให้ 2 รอบ อิ่มแปล้เลย


ตอนนี้ถึงจะกลับจากเกาหลีมาแล้วกว่า 2 อาทิตย์ แต่ก็ยังคงเพ้ออยู่ ไม่ผิดหวังจริงๆที่ได้เลือกเดินทางในครั้งนี้ ไปเกาหลีครั้งนี้นอกจากจะได้เติมเต็มกิเลสของตัวเองจากวัฒนธรรม Hallyu ของเกาหลีแล้ว ประเทศเกาหลีใต้ก็ยังให้แง่คิดกับเราหลายอย่างทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิตและวิธีการคิด จากประเทศที่เคยจมอยู่แต่ความหดหู่จากสภาวะสงครามสู่ประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองได้มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เกาหลีใต้... นายแน่มากจริงๆ


Create Date : 22 เมษายน 2552
Last Update : 22 เมษายน 2552 23:26:28 น. 0 comments
Counter : 1478 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

katiekat
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางทริปต่างๆที่แคทไปแล้ว ให้ติดต่อผ่านอีเมล์ chayadak@hotmail.com หรือ chayadak@yahoo.com นะคะ เพราะว่าหลายคนทิ้งไว้ในกล่องข้อความของ bloggang แต่แคทไม่ค่อยได้เปิดเลย ทำให้พอมาเปิดอีกที เวลาผ่านไปเกือบปี (แป่ววว!! เค้าจะรอหล่อนตอบมั้ยเนี่ย เค้าไม่โบยบินไปถึงไหนต่อไหนแล้วรึ)... ยินดีและเต็มใจตอบทุกคำถามที่พอจะช่วยได้ค่ะ
New Comments
[Add katiekat's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com