เครื่องปรับอากาศเตรียมขึ้นราคา
เครื่องปรับอากาศเตรียมขึ้นราคา ตลาดป่วนหลังสรรพสามิตเล็งเก็บภาษีรอบใหม่
สรรพสามิตกำลังพิจารณากลับมาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศ จากเดิมที่เคยจัดเก็บ15% แต่ได้ยกเว้นไปตามนโยบายรัฐบาลเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อต้องการทำให้ราคาขายปลีกเครื่องปรับอากาศปรับลดลง แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดกรมสรรพสามิตและหน่วยงานภาครัฐได้ตั้งข้อสังเกตว่าราคาขายปลีกเครื่องปรับอากาศในปัจจุบันไม่ได้ปรับลดลงแต่อย่างใดนำไปสู่การทบทวนนโยบายการปรับลดภาษีดังกล่าวอีกครั้ง สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ยื่นหนังสือคัดค้านต่อกรมสรรพสามิตพร้อมเปรียบเทียบราคา 2 ปีลดลงกว่า 30% เช่นเดียวกับด้านผู้ประกอบการ นายอนันต์ บรรเจิดธรรมกรรมการและผู้จัดการทั่วไป ส่วนการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริคกันยงวัฒนา จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องปรับอากาศ "มิตชูบิชิ อิเล็คทริคกันยงวัฒนา" ในฐานะผู้นำตลาดเครื่องปรับอากาศ กล่าวถึงกรณีนี้ว่าที่กรมสรรพสามิตเตรียมจะกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศ 15% ใหม่อีกครั้ง โดยอ้างว่าราคาสินค้าไม่ลดลงตามภาษีซึ่งความจริงกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องปรับอากาศได้ปรับลดราคาสินค้าลงไปแล้ว 10-15%ตั้งแต่ปี 2552 หลังจากที่กรมได้ประกาศมาตรการดังกล่าวจึงไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงที่จะกลับมาเก็บภาษีใหม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องมีการเก็บภาษีใหม่อีกครั้งจริงก็จะส่งผลให้ราคาเครื่องปรับอากาศต้องปรับขึ้นตามภาษีใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ตอนนี้สภาพอากาศร้อนมากขึ้นทำให้ความต้องการซื้อเครื่องปรับอากาศเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยส่งผลให้สินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด บริษัทจึงต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก10% โดยประเมินว่าตลาดเครื่องปรับอากาศในปี 2555 จะเติบโต 10% มาอยู่ที่ 1 ล้านเครื่องจาก 900,000 เครื่อง เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมิตซูบิชิฯตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ไว้ต่อเนื่องที่ 30% เช่นเดียวกับนายไพรัตน์ เอื้อชูยศ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทสตาร์แอร์ จำกัด กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตด้วยเหตุผลที่หน่วยงานรัฐระบุว่าเครื่องปรับอากาศไม่ได้ปรับราคาลงเลยในช่วงที่ผ่านมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดรวมมีการปรับราคาลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการแข่งขันของตลาดควบคู่กับมาตรการงดเว้นภาษีก่อนหน้านี้โดยเฉพาะภาพความเคลื่อนไหวของราคาเครื่องปรับอากาศที่เหลือเพียงบีทียูละ 1 บาท ถือว่าถูกที่สุดแล้ว สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลิตที่ต้องได้ค่ามาตรฐานอีอีอาร์ (EnergyEfficiency Ratio) ซึ่งเป็นค่าการประหยัดไฟฟ้า ล่าสุด นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิตให้เหตุผลในเรื่องดังกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่ากรมสรรพสามิตจะเดินหน้านโยบายปรับขึ้นภาษีแอร์ต่อไปแม้ผู้ประกอบการจะคัดค้านและยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ในมือชี้ให้เห็นว่าราคาซื้อขายแอร์ในตลาดไม่ได้ปรับลดลงจริงอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ได้มอบหมายให้สำนักแผนภาษีสำรวจและรวบรวมข้อมูลสถิติราคาขายแอร์ในท้องตลาดอีกครั้งหนึ่ง
ที่มา...ประชาชาติธุรกิจ //www.prachachat.net
____________________________________________________
มุมมองของผู้จัดทำ weblog KanichiKoong ต่อข่าวดังกล่าว
ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2552 รัฐบาลในขณะนั้น ได้มีมติที่ประชุมให้ยกเว้นการเก็บภาษีสรรพสามิต ในเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดทำความเย็นไม่เกิน 72,000 BTU/ชั่วโมง ซึ่งจะมีผลครอบคลุมเครื่องปรับอากาศที่ใช้กันภายในภาคครัวเรื่อน และเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในอาคารสำนักงานขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง โดยที่จากเดิมมีการเก็บภาษี 15 % ตามมูลค่า และภายหลังจากมติดังกล่าวได้รับการบังคับใช้ มีผลให้เครื่องปรับอากาศในขณะนั้นมีราคาถูกลงประมาณ 10 - 15 %
จากการที่ผู้จัดทำ weblog KanichiKoon มีโอกาสได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจเครื่องปรับอากาศอย่างเต็มรูปแบบ ก็สังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในแวดวงเครื่องปรับอากาศ ในช่วงแรกๆ ปัญหาที่มาเป็นอันดับต้นๆ คือร้านตัวแทนจำหน่ายเครื่องปรับอากาศขนาดกลางถึงใหญ่ ที่ได้มีการสต็อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก ก็ต่างเริ่มเจอปัญหากับสินค้าล็อตก่อนที่จะมีการประกาศงดเก็บภาษีสรรสามิต
เครื่องปรับอากาศที่ผลิตออกมาก่อนการประกาศงดเก็บภาษีสรรพสามิต จะยังคงมีสติ๊กเกอร์แสดงการชำระภาษีสรรพสามิตติดอยู่ ซึ่งก็แสดงว่าเครื่องปรับอากาศเครื่องนี้ ยังขายราคาเดิมที่รวมภาษีสรรพสามิตไว้แล้ว ในขณะที่เครื่องปรับอากาศที่ผลิตภายหลังจากที่มาตรการงดเก็บภาษีมีผลบังคับใช้ จะไม่มีการติดฉลากเสียภาษีสรรพสามิต(เว้นแต่ขนาดทำความเย็นเกินกว่า 72,000 BTU ยังต้องเสียภาษีสรรพสามิตตามปกติ)
ภายหลังจากที่ร้านค้าผู้จำหน่ายเครื่องปรับอากาศ ได้จัดการเรื่องปัญหาของสินค้าล็อตก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อย เครื่องปรับอากาศที่ได้รับการงดเว้นภาษีสรรพสามิตก็เริ่มทะยอยเข้าสู่ตลาดจนเต็มพื้นที่ ราคาเครื่องปรับอากาศในช่วงนั้น ได้ถูกเคาะราคาค่าตัวออกมาใหม่ มีราคาขายที่ถูกลงอย่างเห็นได้ชัด(ราคาถูกลงโดยเฉลี่ยที่ 1,800 - 2,500 บาท)
แต่...เมื่อช่วงปีที่แล้ว(พ.ศ. 2555) สรรพสามิตก็ได้มีการทบทวนเกี่ยวกับการกลับมาเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องปรับอากาศอีกครั้ง โดยอ้างว่าราคาสินค้าไม่ลดลงตามภาษี ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ผู้ผลิตและห้างร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้ความสนใจและจับตามองท่าทีของสรรพสามิต
ส่วนตัวผู้เขียนเอง ในฐานะที่อยู่ในวงการธุรกิจจำหน่ายและให้บริการด้านเครื่องปรับอากาศ รู้สึกไม่เห็นด้วยหากจะมีการกลับมาเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก ที่ส่วนใหญ่มีใช้ในภาคครัวเรือน เพราะปัจจุบันอากาศในบ้านเมืองเรามีแนวโน้มที่จะร้อนขึ้นทุกวัน รวมทั้งการขยายตัวของเมืองที่ทำให้อากาศมีมลพิษเพิ่มขึ่น และการจะหวังพึ่งลมธรรมชาติคงจะเป็นเรื่องยากในสังคมเมืองยุคปัจจุบัน เครื่องปรับอากาศในภาคครัวเรือน จึงจัดว่าเป็นสินค้าที่เริ่มมีความจำเป็นมากขึ้นทุกวัน ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยเหมือนในอดีต ที่สำคัญคือ จะต้องมีราคาถูกลงในระดับที่ซื้อหามาเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
รัฐบาลและกรมสรรพสามิต ควรจะเอาเวลาไปพิจารณาและให้ความสนใจสินค้าฟุ่มเฟือยชนิดอื่นๆ มากกว่าจะมาสนใจเรื่องการเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 4:07:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 5210 Pageviews. |
|
|