Group Blog |
'The Davinci Code' towards Islamic Perspectives:รหัสลับดาวินชี ในทัศนะอิสลาม (1)
อันที่จริงแล้ว ดิฉันอ่านหนังสือเรื่อง รหัสลับดาวินชี(ภาคภาษาอังกฤษ) ยังไม่จบเลย เพราะต้องคอยทำความเข้าใจกับคำศัพท์ยากๆ มากมาย รวมไปถึงภาษาฝรั่งเศสทุกคำที่มีในหนังสือ อ่านไปงงไป แฮะๆ เลยวางทิ้งไว้เกือบสัปดาห์บ้าง แล้วค่อยหยิบขึ้นมาอ่านใหม่บ้าง มันก็เลยยังไม่จบซักที (คือประมาณว่าอยากฝึกภาษาไปด้วย) แต่เมื่อกี้เปิดเว็ปไซต์ //www.mureed.com (เป็นเว็ปไซต์ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม) พอดีไปเจอบทความหนึ่งที่ อาจารย์ มุรีด ทิมะเสน ให้ทัศนะอิสลามที่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ไว้ เลยสนใจเป็นพิเศษ ด้วยความที่เป็นมุสลิม และ กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้พอดี คิดว่าน่าจะมีประโยชน์เพิ่มเติมแก่ผู้ที่สนใจหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุสลิมผู้รักการอ่าน ดิฉันได้คัดลอกบทความของอาจารย์มุรีดมาไว้ในบล็อก อันที่จริงบทความนี้เป็นเพียงตอนที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งแน่นอนยังต้องมีตอนต่อๆ ไป เอาไว้จะคอย อัพเดท นะคะ ขอให้เครดิตทุกอย่างและ ขอบคุณ แก่อาจารย์ มุดรีด ทิมะเสน และทีมงานเว็ปไซต์ mureed.com ดิฉันเป็นเพียงแค่ผู้นำบทความมาเผยแผ่เท่านั้น.....ขอเริ่มด้วยบทนำของบทความนี้ก่อนนะคะ
อัลหัมดุลิลลาฮฺ ผมมีโอกาสซื้อหนังสือ รหัสลับดาวินชี เขียนโดย แดน บราวน์ แปลโดยอรดี สุวรรณโกมล ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 26 ภายหลังที่ได้ข่าวว่ามีการประท้วงห้ามฉายภาพยนต์เรื่อง รหัสลับดาวินชี (DAVINCI CODE) ผมซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านก็เพราะเนื้อหาของหนังสือเล่มดังกล่าวมีการพูดถึงท่านนบีอีซา (อะลัยฮิสลาม) ซึ่งถูกรู้จักในนามของพระเยซูคริสต์ในทัศนะของผู้นับถือศาสนาคริสเตียน นัยความจริงผมไม่จำเป็นจะต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นก็ได้ เพราะหนังสือเล่มนั้นมีความเชื่อทางศาสนาคริสเตียน ส่วนพวกเขาจะขัดแย้งกันอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องของพวกเขา ทว่าประเด็นมิใช่เพียงแค่นั้น ผมต้องการอ่านหนังสือเล่มนั้น โดยใช้บรรทัดฐานของอิสลามเป็นที่ตั้ง โดยบางข้อมูลของหนังสือเล่มนั้นตรงกับหลักการของอิสลาม และบางข้อมูลก็ไม่ตรงกับหลักการของอิสลาม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมกลัวว่า เมื่อมุสลิมที่มีความรู้อิสลามค่อนข้างน้อยอ่านหนังสือเล่มนั้นอาจจะหลงเชื่อไปตามข้อมูลที่ผิดไปจากหลักการของอิสลามนั้นก็เป็นได้ ผมจึงนำบางช่วงบางตอนของหนังสือเล่มนั้นมาเขียนโดยชี้แจงถึงความเชื่อของอิสลามว่ามีทัศนะอย่างกับเรื่องนั้นๆ ประเด็นต่อมา หนังสือเล่มนั้นถูกอ้างว่าเป็นหนังสือในเชิงนวนิยาย แต่เมื่อพาดพิงถึงท่านนบีอีซา ในฐานะที่ผมเป็นมุสลิมคนหนึ่งต้องการชี้ให้รู้ว่า แล้วในทัศนะของอิสลามกล่าวถึงแนวความเชื่อนั้นอย่างไร? เพราะผมเชื่อมั่นว่า นี่ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะใช้โอกาสที่ผู้คนกำลังให้สนใจอยู่ โดยการเรียกร้อง (ดะอฺวะฮฺ) และชี้แจงคำสอนของอิสลาม เพื่อให้คนที่มิใช่มุสลิม หรือเป็นมุสลิมอยู่แล้วได้รับข้อมูลของอิสลามที่ระบุเรื่องราวของท่านนบีอีซาได้อย่างถูกต้อง ประเด็นสุดท้าย ผมมักจะนิยมบุคคลที่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นโดยมีเหตุผลประกอบแนวคิดที่แตกต่างนั้น หากจะกล่าวไปแล้วนายแดน บราวน์กล้านำเสนอสิ่งละเอียดที่สุดในสังคมโลกก็ว่าได้ นั่นคือความเชื่อทางศาสนา กล้าที่จะออกนอกกรอบที่เคยเชื่อ, เคยกระทำมาในอดีต แต่ทว่าบางครั้งความกล้าเหล่านั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกต่อต้านอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แต่บั้นปลายของสรรพสิ่งทั้งหมดล้วนจบลงด้วยสัจธรรมที่ถูกต้องเสมอ อิสลามก็เช่นกัน ประกาศสัจธรรมตั้งแต่ท่านนบีอาดัม จนกระทั่งถึงท่านนบีมุหัมมัด ( صلي الله عليه وسلم ) สัจธรรมของอัลลอฮฺก็ยังคงอยู่ต่อไปตราบวันสิ้นโลก, เฉกเช่นที่อิสลามได้สอนไว้ว่า ท่านนบีอีซาไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน มิได้ถูกฆ่าบนไม้กางเขน และมิได้เสียชีวิตบนไม้กางเขน หรือสถานที่อื่นก็ตาม แต่พระองค์อัลลอฮฺทรงยกร่างกาย และวิญญาณของท่านนบีอีซาขึ้นไปยังฟากฟ้า และจะกลับลงมายังพื้นโลกอีกครั้งหนึ่งในช่วงใกล้ๆ วันสิ้นโลก สัจธรรมดังกล่าวอิสลามสอนมานานแล้ว และจะสอนต่อไปตราบจนวันสิ้นโลก, ผมกล่าวเช่นนี้กำลังจะบ่งชี้ให้เห็นว่า อย่างไรก็ตามสัจธรรมของอิสลามจะค่อยปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผู้คนต้องยอมรับสัจธรรมดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เฉกเช่นนายแดน บราวน์ที่ปลุกประแสผ่านนวนิยายของเขาว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่พระเจ้า นั่นเอง อนึ่ง บทความของผมที่จะผู้อ่านจะอ่านต่อไปนี้นั้น มิใช่เป็นบทความที่แสดงทัศนะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนาวแดน บราวน์ ผู้แต่งหนังสือ รหัสลับดาวินชี แต่ทว่า ผมเขียนบทความนี้เพื่อจุดประสงค์เผยแพร่หลักการของอิสลามว่าด้วยเรื่องของท่านนบีอีซา (อะลัยฮิสสลาม) ท่ามกลางกระแสแห่งความเชื่อที่สบสนของพวกอะฮฺลุลกิตาบ (ชาวคัมภีร์) อีกทั้งยังส่งผลทำให้มุสลิมสามารถรับทราบข้อมูลที่แท้จริงของอิสลามด้วยเช่นกัน มุรีด ทิมะเสน 18 พฤษภาคม 2549 รหัสลับดาวินชี หน้า 272-273 ในการประชุมนี้ ทีบบิงกล่าว มีการโต้เถียงกันเรื่องคริสต์ศาสนาหลายด้าน และมีการลงคะแนนเสียงในเรื่องเหล่านั้นด้วย ทั้งเรื่องวันอีสเตอร์ บทบาทของบิช็อป การจัดการเรื่องพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน และยังรวมถึงความเป็นเทพแห่งองค์เยซูด้วย ฉันตามไมทันค่ะ ความเป็นเทพของพระองค์หรือคะ ที่รัก ทีบบิงชี้แจง ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจนถึงช่วงเวลานั้น พระเยซูในสายตาของบรรดาสาวกของพระองค์คือองค์ศาสดาซึ่งเป็นมนุษย์เป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และทรงพลัง แต่ถึงอย่างก็ยังเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีวันตาย ไม่ใช่พระบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าหรือคะ ถูกต้อง ทีบบิงบอก การตั้งพระเยซูเป็น พระบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า นั้นได้รับการเสนอและลงคะแนนเสียงรับรองโดยสภาไนซีอานี้นั่นเอง เดี๋ยวค่ะ คุณกำลังบอกว่า ความเป็นเทพของพระเยซูเป็นผลมาจากการลงคะแนนเสียงหรือคะ เป็นการลงคะแนนเสียงที่เฉือนกันนิดเดียวครับ ทีบบิงเสริม อย่างไรก็ตาม การจัดพระคริสต์เป็นเทพนี่นะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรวมจักรวรรดิโรมันให้เป็นปึกแผ่นมากขึ้น และต่อฐานอำนาจใหม่ของวาติกันด้วย ด้วยการรับรองอย่างเป็นทางการให้องค์เยซูเป็นพระบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า คอนสแตนตินก็ทรงเปลี่ยนองค์เยซูให้เป็นเทพที่อยู่เหนือขอบเขตของโลกมนุษย์ มีพระราชอำนาจซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยปราศจากการโต้แย้ง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ขวางกั้นไม่ให้ชาวเพเกินท้าทายคริสต์ศาสนาต่อไปเท่านั้น หากว่าบัดนี้สาวกแห่งพระคริสต์จะปฏิบัติศาสนกิจของตนได้ก็โดยผ่านช่องทางอันศักดิ์สิทธิ์ที่จัดตั้งขึ้นเท่านั้น นั่นคือคริสตจักรโรมันคาทอลิก ประเด็นชี้แจง ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงองค์กรใด หรือบุคคลใดที่ตั้งพระเยซูให้เป็นพระเจ้า ตามข้อมูลที่อ้างมาข้างต้น เพราะนั่นเป็นเรื่องของผู้ที่นับถือศาสนาคริสเตียนเท่านั้น กล่าวคือพวกเขาก็ต้องหาข้อสรุปกันเอาเอง จริงหรือไม่จริงก็ว่ากันไป แต่ทว่าผู้เขียนระบุในคำนำแล้วว่า ผู้เขียนจะเขียนถึงทัศนะของอิสลามที่ต่อข้อความซึ่งกี่ยวข้อกับท่านนบีอีซา (หรือเยซูคริสต์) เท่านั้น ตามหลักการของศาสนาอิสลามระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ท่านนบีอีซา (อะลัยฮิสสลาม) เป็นผู้เผยแพร่สัจธรรมของพระองค์อัลลอฮฺ (นามของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม) เป็นตัวแทนของพระองค์ที่จะนำศาสนามาเผยแพร่ให้แก่ผู้คนในยุคนั้น ภาษาอฺรับ (อ่านว่า อะ-หรับ) เรียกว่า นบี (อ่านว่านะ-บี) หรือ เรียกว่า รสูล (อ่านว่า เราะ-ซูล) หมายถึงผู้สื่อของพระผู้เป็นเจ้า ท่านนบีอีซา เป็นนบี หรือรสูลท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม และเป็นนบีที่มีความสำคัญท่านหนึ่งที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานคัมภีร์ให้ ได้แก่คัมภีร์อินญีล ( إنجيل ) หรือที่ชาวคริสเตียนเรียกว่า คัมภีร์ไบเบิ้ล นั่นเอง ในความเชื่อของมุสลิมทุกคนมีหลักศรัทธามั่นว่าท่านนบีอีซานั้นเป็นบี (หรือรสูล) โดยพระองค์อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ทำหน้าที่เผยแพร่คำสอนของพระองค์ให้แก่ผู้คนในยุคนั้น ไม่ใช่เป็นพระเจ้าดั่งที่มีการอ้างกันในความเชื่อของชาวคริสเตียน ดั่งปรากฏหลักฐานในคัมภีร์อัลกุรฺอานสูเราะฮฺ (บท) อัศศ็อฟ (ชื่อบท) อายะฮฺ (ส่วนที่) 6 ตรัสไว้ว่า وإذ قال عيسى ابن مريم يبني إسراءيل إني رسول الله إليكم ความว่า และจงรำลึก เมื่ออีซา บุตรของนางมัรฺยัมได้กล่าวว่า โอ้วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย แท้จริงฉันเป็นรสูลของอัลลอฮฺ (ซึ่งถูกส่ง) มายังพวกท่าน จากสำนวนอัลกุรฺอานข้างต้นระบุได้ชัดเจนว่า ท่านนบีอีซา (พระเยซู) ประกาศอย่างชัดเจนว่าตนเองเป็นเพียงนบี (รสูล) หรือศาสดาเท่านั้น เป็นตัวแทนของพระเจ้าเพื่อให้ผู้คนในยุคนั้นศิโรราบ และยอมจำนนต่อพระองค์อัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ข้างต้นจึงเป็นหลักฐานในแนวทางของอิสลามว่า ท่านนบีอีซาคือ ศาสนทูตของพระเจ้า ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สื่อเพื่อเผยแพร่สัจธรรมของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ท่านนบีอีซาไม่ใช่เป็นพระเจ้าอย่างที่หลายๆ ฝ่ายเข้าใจ อัลกุรฺอานอีกอายะฮฺหนึ่งที่ระบุชัดว่าท่านนบีอีซาเป็นเพียงแค่ผู้ทำหน้าที่เผยแพร่สัจธรรมของพระเจ้า (ศาสดา) เท่านั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในสูเราะฮฺ (บท) อันนิสาอ์ อายะฮฺ (ส่วนที่) 171 มีใจความว่า يأهل الكتاب لا تغلوا في دينكم ولا تقولوا على الله إلا الحق إنما المسيح عيسي ابن مريم رسول الله ً ความว่า อะฮฺลุลกิตาบ (ชาวคัมภีร์) ทั้งหลาย จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขตในศาสนาของพวกเจ้า และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮฺ นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น แท้จริงอัลมะซีฮฺ อีซาบุตรของมัรฺยัมนั้น เป็นเพียงรสูลของอัลลอฮฺ เนื้อหาของอัลกุรฺอานข้างต้นชี้ให้เห็นว่า พระองค์อัลลอฮฺทรงระบุไว้อย่างไม่คลุมเครือว่า ท่านนบีอีซา เป็นผู้สื่อเพื่อเผยแพร่สัจธรรมของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เป็นพระเจ้า หรือบุตรของพระเจ้าแต่อย่างใดทั้งสิ้น อัลกุรฺอานอีกบทหนึ่งที่ชี้ชัดอีกว่าท่านนบีอีซา เป็นศาสนทูตของพระเจ้า ปรากฏในสูเราะฮฺ (บท) อันนิสาอ์ (ชื่อบท) อายะฮฺ (ส่วนที่) 157 มีใจความว่า وقولهم إنا قتلنا المسيح عيسى ابن مريم رسول الله ความว่า และการที่พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้ฆ่า อัลมะซีหฺ อีซา บุตรของมัรฺยัม (คือ) รสูลของอัลลอฮฺ (ที่จริง) พวกเขาไม่ได้ฆ่าอีซา อัลกุรฺอานระบุถึงศัตรูของนบีอีซา ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องการจะสังหารท่านนบีอีซา พวกเขาเองก็ยังยอมรับว่า อีซานั้นเป็นรสูล (ศาสดา) หาใช่เป็นพระเจ้าแต่ประใดไม่ ใช่แต่เท่านั้น พระองค์อัลลอฮฺยังทรงระบุเรื่องราวที่มีผู้คนทั้งหลายยกย่องท่านนบีอีซาเกินเลยขอบเขต หรือเกินจากตำแหน่งของท่านนบีอีซา กล่าวคืออ้างว่าท่านนบีอีซาเป็นพระเจ้า หรือบ้างก็อ้างว่าท่านนบีอีซาเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นต้น (กรุณาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทความเรื่อง จริงหรือที่ว่าเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า? บทพิสูจน์จากคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้จากหน้าแรกของเว็บไซต์) ( //www.mureed.com/article/SonOfGod.htm ) (กรุณาอ่านต่อตอนสอง) Source: //www.mureed.com/article/Davinci/Davinci_html.htm
|
ibafay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] ผลงานวิจารณ์ต่างๆบน http://ibafay.bloggang.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. *RighHere*RightNow* Link |