*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 

คุก ไม่ได้มีไว้ขังหมา ... ครม. นี้ ควรตระหนัก

ผมได้เขียน เรื่องคุกไม่ได้มีไว้ขังหมาเท่านั้น .......ไว้ใน Msn space ตั้งแต่เดือน มี.ค. ๕๐ หลังจากที่ ครม. มีมติ ปิดสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี ไปแล้ว เพื่อเป็นที่ระลึกถึง การใช้อำนาจที่ปราศจากหลักนิติธรรมของรัฐบาลภายใต้กระบอกปืนและรองเท้าบู๊ท จึงนำเอาบทความดังกล่าวมาลงไว้ ณ ที่นี้ อีกครั้งหนึ่ง


--------------------------------------------------------------------------------


ต่อจาก blog ก่อน ที่ผมได้คาดการณ์ไว้ ก็เป็นไปตามคาดครับ .... ศาลปกครอง ต้องเข้ามาคุ้มครอง การดำเนินการของ สถานีไอทีวี อย่างแน่นอน ตามหลักกฎหมายมหาชน (Public Law) ง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ที่ว่าไปแล้ว

เรื่องไอทีวีนี่ ชัดเจนมาก เป็นไปตาม พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ที่ระบุไว้ว่า "สัญญาทางปกครอง รวมถึง สัญญาสัมปทานด้วย" กล่าวคือ รัฐให้เอกชนเข้ามาร้องขอสัมปทาน เพื่อจัดทำบริการสาธารณะ (Public Service) แม้เอกชนจะผิดสัญญา รัฐก็จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบในการให้ปฏิบัติเป็นไปตามสัญญาให้ได้ เพราะบริการสาธารณะจะขาดตอนลงไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว นั่นคือ หลักธรรมดาทั่วไป

ถามว่า สัญญาทางปกครอง มันต่างจากสัญญาเอกชนอย่างไร แน่นอนครับ รัฐมีอำนาจฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนหลักการของสัญญาอย่างค่อนข้างเด็ดขาด แต่หมายถึง การเปลี่ยนแปลง เรื่องการบริหารงาน หรือ หลักการที่ไม่กระทบต่อตัวสัญญาหรือการดำเนินการ เว้นแต่ ความจำเป็นต่อการบริหารงานสาธารณะจะเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง เช่นว่า สมมุติว่า รัฐเคยให้ประชาชนเข้ามาจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดให้แสงสว่างในเวลากลางคืนเป็นเวลา ๒๐ ปี วันดีคืนดี มีไฟฟ้าเข้ามา รัฐก็สามารถปรับเปลี่ยนสัญญาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เลิกสัญญาแม่งไปเฉย ๆ รัฐจะต้องชดเชยค่าเสียหายให้แก่เอกชนที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา

แต่ในกรณีที่เอกชนผิดสัญญา รัฐจะต้องดำเนินการอย่างไร แน่นอนที่สุด เป็นสิทธิของรัฐที่จะยกเลิกสัญญาแล้วหาคนมาจัดทำบริการสาธารณะใหม่ แต่นั่นคือ วิธีการสุดท้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น โดยปกติ รัฐจะต้องพิจารณาหลาย ๆ ทางเลือกที่มี และจะต้องใช้มาตรการที่ได้สัดส่วน คือ

๑) หลักประสิทธิภาพ
๒) หลักความจำเป็น และ
๓) หลักมาตรการที่ใช้จะต้องรุนแรงน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ยกตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ก็เช่น กรณี การปราบม๊อบ จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งอาจจะมีหลายวิธี เช่น โยนระเบิดใส่ม๊อบ ยิงปืนใส่ม๊อบ ฉีดแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำ ฯลฯ ซึ่งอาจจะได้ผลทั้งหมด และ โยนระเบิดใส่ อาจจะมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ถามว่าใช้ได้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะ มันไม่ได้สัดส่วนกับเรื่องความจำเป็น และความรุนแรงน้อยที่สุด

เรื่อง ITV ก็เช่นกัน ถ้า ITV ผิดสัญญา ไม่จ่ายเงินค่าสัมปทาน .... ถามว่า รัฐยึดคลื่นเขา แล้วเขาจะจ่ายตังค์หรือไม่ .... การที่รัฐยึดได้เพียงอุปกรณ์ มูลค่า ๕๐๐ กว่าล้านบาท คุ้มกับค่าสัมปทานที่เสียไป หากอนุญาตเขาดำเนินกิจการต่อไปแล้วทยอยจ่ายตังค์ให้รัฐต่อไปทีละน้อยทีละน้อย หรือ ระหว่างไม่ยึด แล้วได้รับเงินรายปี มูลค่าหนึ่ง ที่มากกว่า ๕๐๐ ล้านบาท ทางไหนที่ดีกว่ากัน

มีความจำเป็นที่จะต้องยึดหรือไม่ ... มีทางอื่นที่ดีกว่าการยึดฯ หรือไม่ ... หรือ การยึดอุปกรณ์ ปิดสถานีนี้ เป็นมาตรการที่ได้สัดส่วน หรือ เป็นวิธีการที่รุนแรงน้อยที่สุดหรือไม่ .....

ครม. จะต้องตระหนัก และคบคิดให้หนัก ถือทางออกหลาย ๆ ทาง แล้ว พิจารณาว่า ทางไหน ที่จะทำให้การบังคับให้เป็นไปตามสัญญาได้มากที่สุด เป็นวิธีที่จำเป็นที่สุดแล้วหรือไม่ และเป็นวิธีการที่ร้ายแรงน้อยที่สุดหรือไม่ ซึ่งมีทางออกมากมาย เช่นว่า ขยายเวลาให้เขาดำเนินกิจการ แล้วค่อย ๆ ผ่อนชำระต่อไป ฯลฯ

น่าเสียดายที่ ครม. เลือกที่จะไม่คิด การดำเนินการของ ครม. หากจะพิจารณาจริง ๆ จึงเป็นการกระทำผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ อย่างชัดแจ้ง เพราะเห็นได้ชัดว่า ครม. มีทางอื่นที่จะบังคับให้ไอทีวี ปฏิบัติตามสัญญา แต่ ครม. ไม่ทำ กลับเลือกวิธีการทำลายล้างให้แหลกสลาย ทั้ง ๆ ที่ ขัดต่อหลักกฎหมายมหาชนอย่างชัดแจ้ง

ตามหลักกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ... การกระทำของ ครม. จึงแสดงให้เห็นเจตนาอย่างชัดแจ้งว่า มีเจตนาใช้อำนาจในทางไม่ชอบ เพื่อกลั่นแกล้งให้เอกชนที่เข้ามารับสัมปทานได้รับความเสียหายอย่างไม่อาจจะเยียวยาได้ แม้รัฐบาล จะมีอำนาจตามกฎหมาย แต่ใช้ในทางบิดผันเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น .... อย่างนี้ ผิดกฎหมายอาญาชัดแจ้ง


--------------------------------------------------------------------------------


ผมขออนุญาตเตือนสติ .... หากท่านไม่เคารพกฎหมาย นักกฎหมายไม่มีจริยธรรม ... ผมว่า เขาหมดอำนาจเมื่อไหร่ ผมคงได้เห็นคนติดคุกกันระนาวครับ เพราะคุกไม่ได้มีไว้ขังหมาเท่านั้นหรอกครับ....เจ้านาย .... อย่าทำอะไรเป็นการแก้แค้นกันเป็นการส่วนตัวเลย สงสารประเทศไทยกันบ้าง .... แค่นี้ ก็แย่สุด ๆ แล้ว




ที่จริง ยังมีปัญหาทางกฎหมายมากมาย ผมไม่มีรายละเอียดสัญญา ไม่งั้น คงจะต้องมานั่งพิจารณาโดยละเอียดต่อไป สัญญาเรื่องค่าสัมปทานเป็นแสน ๆ ล้านบาทนี่ มันบังคับได้หรือไม่ มันถือเป็นข้อสัญญา ที่ Unconscionable หรือ Unjust Enrichment หรือไม่ ถ้ามันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง จะมีหลักการที่เรียกว่า Blue Pencil Rule หรือ ให้ศาลเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาให้เป็นธรรมได้หรือไม่ ประการใด




สุดท้าย การออกกฎหมายของ ครม. หลังยึด ไอทีวี นี่น่าสงสัยอย่างยิ่งถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นอย่างยิ่ง เพราะฐานที่ใช้ในการยึด ยังมีปัญหามาก ๆ โดยเฉพาะ กรณี สำนักปลัดฯ ได้อนุมัติเปลี่ยนแปลงผังรายการเอง ต่อมาบอกเขาผิดสัญญานี่ มันโจรหน้าด้านชัด ๆ จะมาอ้างว่า เป็นการกระทำของรัฐบาลก่อน ก็ไม่ได้ เพราะหลักความต่อเนื่องของการกระทำของรัฐบาล เป็นเรื่องที่ต้องพึงเคารพ ไม่เช่นนั้น ใครจะมายอมรับนับถือประเทศไทย ที่กลับกรอกไปกลับกรอกมา รัฐบาลก่อนว่าอย่างนี้ ตกลงอย่างนี้ รัฐบาลใหม่ ไม่เอา บอกว่า ไม่สนใจไม่ใช่การกระทำของรัฐบาลใหม่ ฯลฯ

การออกกฎหมายโดยของรัฐบาล ไม่ใช่คิดจะบัญญัติอะไร ก็บัญญัติไป จะให้คนเอาหัวเดินแทนตีน หรือ ให้ชายกลายเป็นหญิง ฯลฯ ตามอำเภอใจเช่นนั้น ย่อมไม่ได้ กฎหมาย จะต้องออกเป็นการบังคับในลักษณะทั่วไป และ ผลประโยชน์ของรัฐจะต้องหนักแน่นเพียงพอ (Compelling State Interest) หากพิจารณาถึงหลักการที่นำไปสู่ผลประโยชน์ของรัฐที่ยิ่งใหญ่นั้นแล้ว ก็จะต้องมีความชัดเจน และรุนแรงน้อยที่สุด ในการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และประโยชน์ของประชาชน (Narrowly tailored to the objective) ไม่ใช่ คิดจะออกกฎหมายเพื่อแกล้งใคร หรือ บริษัทใด บริษัทหนึ่งเป็นการเฉพาะเยี่ยงกฎหมายปัจจุบัน ครม. ที่ออกกฎหมายนี้ ควรตะหนักในผลกรรมที่ทำไว้ด้วย ผมว่า กรรมสมัยใหม่ มันยิ่งกว่าติดจรวด มันอาจจะกลายเป็น กรรมที่ตอบสนองไปตาม Wireless ก็ได้นะครับ คุกไม่ได้มีไว้ขังหมาเท่านั้นหรอกครับ เจ้านาย




 

Create Date : 16 มกราคม 2551    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:07:13 น.
Counter : 721 Pageviews.  

ว่าด้วย ITV และประเด็นทางกฎหมายมหาชน กรณีปิดสถานี ITV

บทความนี้ เป็นบทความเก่า ที่เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่เดือน มี.ค. ๒๕๕๐ และได้โพสต์ไว้ใน เวปไซต์อันหนึ่ง ผมลืมเรื่อง ITV ไปแล้ว จนมาเห็นข่าววันนี้ ว่ามันถูกปิดอีกแล้ว ..... ชะตากรรมของ ITV ทีวีเสรี ที่เกิดจากผลิตผลหลังการขบถ ๒๕๓๔ ที่มีการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชนอย่างมาก ผลักดันให้เกิด ทีวีเสรี ขึ้นในประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๘ (ผมเรียกว่าขบถ เพราะผมไม่ชอบเล่นคำ รัฐประหาร หรือ ขบถ ฯลฯ มันตลกเกินไปสำหรับผม ปล้นอำนาจ เป็นพระเอก ปล้นอำนาจไม่สำเร็จ เป็นมาร ทุเรศครับ การตีความแบบนี้)

หลังเหตุการณ์ขบถ ๒๕๔๙ ทีวีเสรี ถูกยึด และ ท้ายที่สุดถูกปิดตัวไปในที่สุด โดยอ้างว่า มีกฎหมายที่ควบคุมกิจการวิทยุโทรทัศน์เกิดขึ้นแล้ว มันอุบาทว์เกินไป สำหรับแนวคิดของใครหลาย ๆ คน สมัยรัฐบาลประชาธิปไตย โวยวายกันชิบว่า สื่อถูกโดนแทรก ประชาชนถูกปิดหูปิดตา ตอนนี้ เห็นเรียกร้องให้ปิดเวปไซต์โน้นมั่ง เช่น เวปไซต์ ไฮ ทักษิณ หลังจาก มีการเผยแพร่ ความไม่ชอบมาพากล และความสัมพันธ์พิเศษ ระหว่าง กกต. กับ ประธาน คณะคนมันชั่ว (คมช.) แม้กระทั่งการ ปิดเวบบอร์ด เช่น ฟ้าเดียวกัน หรือ แม้กระทั่งเวปไซต์ยอดนิยม อย่างประชาไท ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ก็ไม่รู้จะรอดตัวนานเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ นักคิด นักวิจารณ์ ที่เคยอหังการ ในยุคทักษิณฯ ที่เป็นประชาธิปไตย หายเข้ากลีบเมฆหมด .... นักวิชาการจอมปลอมพวกนี้ จะถามตัวเองว่า ยุคปัจจุบัน มันถูกปิดหูปิดตา มากกว่ายุคที่คุณ ๆ เสแสร้าง เป็นคนมีคุณธรรมสูงหรือไม่

ผมเห็น ชะตากรรม ITV แล้ว ได้แต่ปลงอนิจจา ไม่รู้ว่า ภาพลักษณ์ของประเทศ กรณีการปิดกั้นข่าวสาร การทำลายเสรีภาพในการพูด การสื่อสาร ฯลฯ จะเสียหายไปขนาดไหน ได้แต่หวังว่า พวกเขา รวมถึงนักวิชาการสื่อสารมวลชนที่มีใจเป็นธรรม จะไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมให้ ผู้ร่วมวิชาชีพของเขาตกเป็นเครื่องเล่นและกลั่นแกล้งทางการเมือง อีกทั้งยังหวังว่า ผู้ร่วมลงทุนที่ถูกยึดกิจการ จะต่อสู้ทางกฎหมาย เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ควรจะเป็นไปตามกฎหมายและระบบนิติรัฐ รวมถึง จะได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ที่ถือเป็นสารัตถะสำคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นมีค่าใหญ่หลวงขนาดไหน ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่เขียนไว้ มากนานกว่าครึ่งปีแล้ว เลยขอเอามาเผยแพร่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ วันที่ ทีวีเสรี ถูกปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ (ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไรใหม่ก็ตาม)






สักอาทิตย์ หรือ สองอาทิตย์ ได้แล้วมั๊ง (ประมาณ ต้นมีนาคม ๒๕๕๐) ที่เห็นประเด็นเรื่อง สถานีโทรทัศน์ ไอทีวี ว่าควรจะปิด หรือ เปิด จะโอน หรือไม่โอน ฯลฯ อย่างไร เรื่องนี้ เป็นประเด็นปัญหาทางกฎหมายมหาชน ง่าย ๆ แบบเด็กอมมือ ก็ตอบได้เร็วที่สุด เหมือนกับ เค๊กก้อนหนึ่ง เท่านั้น

ITV เปิดดำเนินการ ภายหลังเหตุการณ์ ขบถ เมื่อปี ๒๕๓๔ ที่ปิดกั้นข่าวสารของประชาชน โดยทหารฯ และเมื่อเดินเนินการสักพัก บริษัทชินวัตร ได้เข้ามาถือหุ้นข้างมากของสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี .... ประเด็นทางกฎหมาย คือ การถือหุ้นข้างมากในกิจการที่เรียกได้ว่า "บริการสาธารณะ หรือ Public Service" ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นของบริษัทใด บริษัทหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทนั้น จะมีชื่อว่า บริษัทหมู หมา กา ไก่ หรือ องค์กรรัฐ หรือ องค์กรรัฐวิสาหกิจใด ๆ ก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้ สถานะของสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี แปรเปลี่ยนสภาพการให้บริการโดยเนื้อแท้ของกิจการโทรทัศน์ในประเทศไทย ที่ถือเป็น การให้บริการสาธารณะ หรือ Public Service ไปเป็นกิจการของภาคเอกชน ไปได้เลยแม้แต่น้อย

คำว่า Public Service ย่อมมีความหมายในตัวเอง ว่าจะต้องเป็น การจัดทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก ซึ่งสถานีไอทีวี เป็นสถานีให้บริการข่าวสารเป็นหลัก ตรงตามเจตนารมณ์ของการก่อตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่เป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงจากรัฐฯ อันเกิดขึ้นหลังจาก การขบถของคณะทหาร รสช. เมื่อปี ๒๕๓๔ แล้วมีการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ประมาณว่า คนในประเทศไม่ได้รู้เห็นถึงความชั่วช้าของคณะขบถที่เข่นฆ่าประชาชนบนถนนราชดำเนินเลย แต่สถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างประเทศ ถ่ายทอดสด รู้เห็นหมด

เมื่อขบถสิ้นอำนาจ จำได้ว่า ในครั้งนั้น รัฐบาลประชาธิปไตย พยายามจะจัดตั้งสถานีแบบไอทีวี สัก ๕ หรือ ๑๐ ช่อง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ .... ก็ได้มาเพียงสถานีไอทีวี สถานีเดียวนี่แหละครับ ซึ่งผมเดาว่า เพราะประเทศเราจน...... ไม่มีปัญญาจะบริหารสถานีโทรทัศน์ให้ดี จนเป็นที่นิยมของคนไทยได้ทั้งหมด แค่ช่อง ๑๑ ของกรมประชาสัมพันธ์ ช่องเดียว ก็แทบจะเอาตัวไม่รอด

การจัดทำ Public Service นี้ เป็นหน้าที่ของรัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐจะต้องดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งง่าย ๆ ก็คือ จะสะดุด หรือ ขาดตอนลงไม่ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะปิดกิจการตามอำเภอใจดังเช่นกิจการของภาคเอกชนที่ใคร่จะทำตามใจฉันนั้น ไม่ได้โดยเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ การจะปิดสถานีไอทีวี โดยอ้างเหตุผลว่า ITV ทำผิดสัญญา แล้วได้มีการยึดกิจการ ฯลฯ การโอนกิจการ เปลี่ยนแปลงเจ้าของ จึงต้องระงับการออกอากาศชั่วคราว หรือ หยุดการดำเนินการชั่วคราว จึงกระทำไม่ได้ โดยเด็ดขาด เว้นแต่ รัฐจะต้องจ่ายค่าตอบแทน ในสิ่งที่เขาได้ลงทุนลงแรงเอาไว้อย่างมากมายมหาศาล ไม่ใช่รัฐจะหน้าด้านไปยึดเขามาฟรี ๆ แล้วบอกว่า ก็มึงเสือกผิดสัญญาก่อนทำไม (ซึ่งในกฎหมายของอานารยะประเทศ แม้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา แต่สิ่งที่เขาได้ดำเนินการไป ลงทุนลงแรงอะไรไป เขาก็มีสิทธิ์ได้ค่าตอบแทน จะหน้าด้าน ยึดเขาไปฟรี ๆ โดยไม่ให้อะไรเขานี้ มันโจรแท้ ๆ แล้ว)

ลักษณะทั่วไปของการจัดทำบริการสาธารณะ โดยหลักการแล้ว จะต้องไม่มุ่งแสวงหากำไร เราจะเห็นตัวอย่างมากมาย ของการบริการสาธารณะที่ขาดทุนย่อยยับ อย่างการรถไฟ และ ขสมก. แต่ รัฐก็ไม่อาจจะอ้างว่า ขาดทุน แล้วขอปิดกิจการไม่ได้ เช่น เดียวกับ สถานีไอทีวี ที่เริ่มตั้งดูเหมือนจะผิดมาก ๆ ที่ให้มีการประมูลแข่งขันแข่งกัน เพื่อจะดูว่า คนที่จะเข้ามาให้บริการรายใด จะให้ประโยชน์แก่รัฐได้สูงสุด ซึ่งผิดหลักการในการจัดทำบริการสาธารณะเป็นอย่างมาก

ผู้เขียนจำได้ว่า สถานีไอทีวี ดำเนินการมาสักสองสามปี ก็พบตัวเลขที่คำนวณไว้ในการเสนอสัมปทาน มูลค่ามหาศาลนั้น ไม่สามารถเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่า ยอดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่คำนวณโดยรัฐบาล และ บริษัทประมาณการ ผิดพลาดอย่างมาก ทำให้ยอดซื้อโฆษณา ฯลฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และตามมาด้วยการไม่มีเงินจะจ่ายค่าสัมปทาน

คำถามคือว่า ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าสัมปทานแล้ว รัฐจะดำเนินการอย่างไร ... รัฐมีทางออกครับ ตามหลักกฎหมายมหาชน คือ (๑) รัฐดำเนินกิจการนั้นเอง โดยบังคับซื้อคืน หรือ จ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมแล้วเข้าดำเนินการเอง (๒) รัฐแก้ไขสัญญาให้สัมปทานได้ หรือ (๓) รัฐให้เงินอุดหนุนแก่องค์กรที่จัดทำบริการสาธารณะ เพื่อให้กิจการขององค์กรนั้น ดำเนินการต่อไปได้

ถามว่า ทำไม จะต้องอุดหนุนองค์กรที่เสนอหน้าเข้ามา แข่งขัน เสนอกันจะให้ตังค์แก่รัฐ แล้วไม่มีปัญญาให้ตามสัญญาด้วย .... คำตอบก็ง่าย ๆ ตามหลักการแห่งกฎหมายมหาชน และ การจัดทำบริการสาธารณะ คือ ...การจัดทำบริการสาธารณะจะต้องไม่ขาดตอน หยุดลง แม้แต่วินาทีเดียว ... ง่าย ๆ ไม่มีอะไรมาก






หลักการนี้ เป็นที่ยอมรับกันในประเทศฝรั่งเศส และเยอรมัน ที่กฎหมายมหาชน และกฎหมายปกครอง เจริญงอกงาม อย่างมากมาย ซึ่งประเทศไทย ก็ยอมรับหลักกฎหมายมหาชนเข้ามาในหลักกฎหมายของไทยอย่างมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อแน่ว่า ศาลปกครอง คงจะเข้ามาคุ้มครองกรณีสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี จะถูกสั่งปิดอย่างแน่นอน

หลักการนี้ ก็เป็นที่ยอมรับในสหรัฐอเมริกา เช่นกัน ตัวอย่างเช่น กรณี ๑๑ ก.ย. ที่ สายการบิน United Airline ได้ถูกกระบวนการก่อการร้ายถล่ม ทำให้สูญเสียเครื่องบิน และ ต้องจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้เคราะห์ร้ายจำนวน รัฐบาลกลางก็เข้าสนับสนุนเงินให้แก่สายการบินแห่งนี้ด้วยเหตุผลกลาย ๆ ดุจเดียวกัน

ศาลในสหรัฐฯ ยังได้ขยายหลักการนี้ ไปยังสัญญาภาคเอกชน กับเอกชน ด้วยกันด้วยซ้ำ เช่น กรณีหนึ่งที่ บริษัทแก๊ส จะหยุดจะให้บริการ เพราะมีลูกค้าในพื้นที่น้อยไป ศาลบอกว่า เอ็งหยุดให้บริการไม่ได้ เพราะไม่งั้นชาวบ้านเขาหนาวตาย จะอ้างขาดทุนมาเป็นเหตุให้ระงับการให้บริการตามอำเภอใจไม่ได้ .... ถ้าขาดทุน รัฐจะต้องเข้าช่วยเหลือ รูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง ไม่หยุดไปเฉย ๆ






หากมองย้อนหลัง บนหลักการทางกฎหมายมหาชนแล้ว .. จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลไทย จะเข้าสนับสนุนการดำเนินการของไอทีวี ตามหลักการให้บริการสาธารณะ ในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ แม้จะดูเป็นการขัดกันในผลประโยชน์ (Conflict of Interests) อย่างมากก็ตาม แต่ก็เป็นไปตามหลักกฎหมายและความจำเป็นในการบริการสาธารณะทุกประการ และ การมีสถานีโทรทัศน์ ที่เสนอข่าวสารอย่างไอทีวี ที่ผ่านมา ก็เป็นทางเลือก และเป็นประโยชน์ต่อมหาชน ไม่น้อยเช่นกัน

เรื่องการสนับสนุนสถานี ไอทีวี อาจจะดูเป็นเรื่องร้าย สำหรับคนที่ไม่รู้กฎหมาย โดยเฉพาะพวกขบถและผู้อยู่ใต้อาณัติของขบถอันธพาลครองเมือง ยุค ๒๕๔๙ นี้ .... คณะขบถ จำเป็นจะต้องยึดสถานีแห่งนี้ให้ได้ เพื่อสร้างความชอบธรรม ให้สม่ำเสมอในการยึดอำนาจ หรือ ปล้นประชาธิปไตยไปจากประชาชนชาวไทย ซึ่งยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยยังรู้ไม่ทัน กับ ความชั่วช้าที่เกิดขึ้น ....

สงสัยจะต้องรอให้ประเทศไทยชิบหาย เพราะพวกปล้นประชาธิปไตย ที่อ้างว่างรักชาติจนน้ำลายไหล ... ยึดอำนาจแล้ว ส่งพวกพ้องไปทำมาหากินในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูง แต่งตั้งคนของตัวเองเป็นใหญ่ ไปเที่ยวฟรี ๆ โดยอ้างดูงาน แต่งตั้งองค์กรสำคัญของตัวเอง เพื่อรักษาฐานอำนาจในอนาคต ฯลฯ ผู้ยึดอำนาจร่ำรวยล้นฟ้า เกินกว่าข้าราชการจะทำมาหากินได้ด้วยอาชีพราชการทหาร มีเมียหลายคน โดยจดทะเบียนสมรสซ้อน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้้ เป็นสิ่งที่ประชาชน มองข้ามไปหมดสิ้น ... สุดท้าย ประเทศไทย คงจะหาทางเยียวยาไม่ได้เป็นแน่ เล่นเกมส์กันเสียทุกอย่าง บ้านเมืองชิบหาย กูไม่สน ....






สุดท้าย ..... ได้ยินว่า แม้แต่คณะกรรมการกฤษฎีกา ยังตีความโง่ ๆ เข้าข้างฝ่ายการเมืองที่ต้องการปิดการให้บริการสาธารณะนี้ เพื่อแก้แค้นทางการเมืองเท่านั้น .... อุบาทว์มากครับ ท่านคณะกรรมการกฤษฎีกา คุณไม่มีหลักจริยธรรมนักกฎหมาย เหลืออยู่เลยหรือ ... หรือคุณไม่เข้าใจหลักกฎหมายมหาชนง่าย ๆ ครับ อย่าให้ความเกลียดชังคน ๆ เดียว มาปิดกั้น จริยธรรมทางวิชาชีพกฎหมายเลยครับ บ้านเมือง มันจะไปไม่รอด หากไม่รักษาและเคารพกติกาและหลักนิติรัฐนะครับ เจ้านาย




 

Create Date : 15 มกราคม 2551    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:06:54 น.
Counter : 1448 Pageviews.  

เลิกแปลกใจ ทำไม กกต. จึงอุ้ม คมช. ไปเสียทุกเรื่อง

ว่าจะละเว้นเรื่องการเมืองไปสักหน่อย เพราะยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าใครจะได้จัดตั้งรัฐบาลกันแน่ ระหว่างพรรคพลังประชาชน กับ พรรคอันดับสองอย่างประชาธิปัตย์ (แม้ดูเหมือนว่า พรรคพลังประชาชน จะสามารถรวบรวมเสียงของพรรคเล็กทั้งหมด และ โดดเดี่ยวพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็ตาม)

ผมเคยเขียนทำนายผลการเลือกตั้งไว้นานแล้วว่า แล้วก็เหมือนที่เคยทำนายไว้กับเพื่อน ๆ คือ พรรคพลังประชาชนจะได้เสียงข้างมาก อย่างท่วมท้น เช่นเดิม ไม่ใช่เพราะประชาชนหลงรักพรรคการเมืองนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายกลุ่มที่จำต้องเลือกพรรคนี้ เพื่อปฎิเสธอำนาจไม่ชอบธรรมในการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนคนไทยไปด้วยกระบอกปืน กับอีกพวกหนึ่ง ที่ทนเห็นการใช้อำนาจสร้างระบบและเครื่องมือที่ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เพราะเกลียดชังคน ๆ เดียว โดยไม่สนใจว่าระบบกฎหมาย และระบบนิติรัฐ ได้ถูกพังทลายไปเพียงใด หรือ เศรษฐกิจจะเสียหายไปเพียงใดก็ตาม

ซึ่งแน่นอนว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยปฎิเสธอำนาจรัฐประหาร แถมคุณชวน หลีกภัย ยังได้กรุณา ออกมาอธิบายถึงความชอบธรรมในการกระทำรัฐประหารครั้งนี้ ซึ่งที่จริง ก็เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่ทำให้การเมืองถึงทางตัน ตั้งแต่การขอรัฐบาลพระราชทาน จนกลายเป็นตราบาป ของประชาธิปัตย์ มาตรา ๗ ไปชั่วชีวิต ร้อนไปถึงพระราชหฤหัยขององค์เหนือหัวที่จะต้องตรัสปฏิเสธว่า กระทำเช่นนั้น ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนส่วนหนึ่ง จึงไม่เลือกประชาธิปัตย์ เพราะเหตุผลนี้ เสริมกับ การที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ในอดีตนั้น ได้ฝากรอยประทับใจในการบริหารงานไว้อย่างน่าชื่นชม จนไม่น่าจะเลือกให้เป็นฝ่ายบริหารอีก เมื่อพูดเก่ง ด่าเก่ง ก็เหมาะจะเป็นฝ่ายค้านไป นั่นเอง

ผมยังได้ทำนายต่อไปกับเพื่อนว่า แม้พรรคพลังประชาชนจะได้เสียงข้างมาก อย่างไรก็ตาม แต่หนทางการจัดตั้งรัฐบาล คงไม่ง่ายนัก เพราะพวกที่มีอำนาจก็คงจะกลัวการเช็คบิลล์ และด้วยอิทธิฤทธิ์ของ กกต. เอง ก็คงจะมีการแจกใบเหลืองใบแดงแก่พรรคพลังประชาชนอย่างมากมาย ซึ่งก็เป็นไปตามคาดที่เกิด แต่เกินคาดไปมากมาย เพราะ ว่าที สส. พรรคพลังประชาชน ถูกแขวนไป ๖๐ กว่าที่นั่ง ซึ่งมากมายผิดปกติ มากจนไม่น่าเชื่อว่า จะเกิดขึ้นได้ในโลกนี้

หากพูดถึงบทบาท กกต. ที่ผ่านมา ผมต้องยอมรับว่า ผมงง กับบทบาทและวิธีการคิด การตีความกฎหมาย ฯลฯ ของ กกต. ชุดนี้ เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีเอกสารลับที่มีการสั่งการให้ขัดขวางทุกรูปแบบ ไม่ให้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. บางคน คือ คุณสดศรีฯ บอกว่า กกต. ไม่มีอำนาจหน้าในการตรวจสอบ คมช. ฯลฯ ซึ่งตลกร้ายมาก ๆ

การมีมติ ในรูปแบบคำแนะนำ ไม่ให้กรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยเดิม เข้าช่วยหาเสียงให้แก่ พรรคพลังประชาชน ยิ่งแปลกมากขึ้นไปอีก เพราะ หากจะพิจารณาคำวินิจฉัยฯ กรณียุบพรรคไทยรักไทย (ที่ผมเรียกให้เป็นคำพิพากษาฉบับศาลเถื่อน) ก็จะพบว่า ถูกตัดสิทธิในการเลือกตั้ง ฯ แต่ไม่ได้หมายความว่า สิทธิ์ในฐานะความเป็นคน ได้แก่ สิทธิเสรีภาพในการพูด (Freedom of Speech) ซึ่งเป็นสารัตถะอันสำคัญสูงสุดของความเป็นมนุษย์ของเขาจะหมดไปด้วย เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะพูด เชียร์ หรือ ช่วยพรรคการเมืองไหนหาเสียงก็ได้ แต่ กกต. ออกมติ มาเชิงคำแนะนำ ในลักษณะที่เป็น ก้ำ ๆ กึ่ง ๆ จะบอกว่า ห้ามก็ไม่กล้าจะพูดออกมา .... ซึ่งท้ายที่สุดว่า มติของ กกต. เรื่องนี้ น่าสงสัยยิ่งนักว่า มันมีผลทางกฎหมายหรือไม่ แบบไหน เพียงใด .... ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว เห็นว่า มีผลเป็นศูนย์ในทางกฎหมาย

สุดท้าย ผมยังข้องใจไม่น้อย กับ อำนาจ และ บทบาทของ กกต. ในการแจกใบเหลือง ใบแดง ท่านใช้กฎเกณฑ์อะไร ในการแจกใบเหลืองใบแดง และ คำถามที่น่าคิดอย่างยิ่งว่า ๕ เสือ กกต. นี้ ท่านจะมีอำนาจที่เหนือกว่า มติมหาชน ที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เยี่ยงประชาชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นั้น ได้จริงหรือไม่ และสมควรหรือไม่ หากว่าท่านใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ใครจะเข้าไปทัดทานได้บ้าง และ หากมีมือสกปรกอยู่เบื้องหลังการใช้อำนาจของ กกต. จริงแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ จะทราบได้อย่างไร หากว่า เราไม่ทราบว่า มาตราฐานทางกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งทาง กกต.ใช้ในการแจกใบเหลืองใบแดง (อันเป็นการทำลายมติมหาชน เจ้าของประเทศที่แท้จริงนั้น) ว่ามีเนื้อหาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ฯลฯ โดยเฉพาะ ท่านมีหัวใจบริสุทธิ์กล้าหาญ และเที่ยงธรรม เคารพหลักกฎหมายและนิติรัฐ กับเสียงข้างมากของปวงชน จริงหรือไม่ เพียงใด ....




อ้อ ... เกือบลืมครับ ... ผมเคยแปลกใจว่า ทำไม คุณ กกต. ทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณสดศรีฯ นั้น ทำไม จึงได้อุ้ม คมช. โดยเฉพาะในเรื่องเอกสารลับฯ แต่วันนี้ ได้ไปอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ขาประจำ แล้วจึงได้เกิดไอเดียบรรเจิด รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นทันที หากว่า ข้อมูลของ เวปบอร์ด ประชาไท ถูกต้องเป็นจริงแล้วละก็ ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องที่สดศรีฯ รวมถึง กกต. จะต้องตอบคำถามให้ชัดเจนว่า ตัวเองยังเหมาะสมเป็น กกต. หรือไม่ และที่ผ่านมานั้น กระทำอะไรไป เพื่ออะไร ..... ว่าแต่ว่าจะทำอะไร ก็สงสารประเทศไทยมั่งเถอะครับ มันบอบช้ำมามากแล้ว สำหรับความในเนื้อหากระทู้ของ Prachatai ก็มีดังข้างล่างนี้นะครับ

(หมายเหตุ ข้อความด้านล่างนี้ มาจากเวปบอร์ด ประชาไทย ตามลิงก์ ที่นำมาเสนอนี้ //www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=655402 )






เอกสารที่นำมาเสนอครั้งนี้ ไม่ใช่เอกสารลับ แต่เรียกว่าเป็นเอกสารลึกดีกว่า เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร และ รองนายกรัฐมนตรี กับ นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง ว่าไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์ในฐานะคนรู้จักกันตามสายงาน และ คนที่คุยกันถูกคอ เข้าอกเข้าใจกันดีในฐานะคนทำงานที่มีเป้าประสงค์เดียวกัน

เอกสารลึกฉบับนี้ เป็นหนังสือสำนัเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขที่ นร 0401 /7856 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2550 เรื่อง ขอยืมตัวข้าราชการช่วยปฏิบัติราชการ ส่งถึง ประธานศาลฎีกา และลงนามโดยนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร ปฏิบัติราชการแทน เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

การยืมตัวข้าราชการช่วยปฏิบัติราชการ ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องผิดปกติ หากแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกันเป็นประจำในส่วนราชการทุกระดับ แต่ความไม่ปกติของเอกสารลึกฉบับนี้ ก็คือว่า การยืมตัวข้าราชการช่วยปฏิบัติราชการ ครั้งนี้ เป็นการยืมตัวนางสาวกอนณา สัตยธรรม ผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดพระโขนง ไปช่วยราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยปฏิบัติราชการให้แก่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไป จนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ

ดูแล้วก็เหมือนเอกสารยืมตัวข้าราชการช่วยปฏิบัติราชการ ทั่วไป แต่มาสะดุดตรงที่ ชื่อและนามสกุลของข้าราชการที่ถูกยืมตัว กับ ชื่อและนามสกุลของผู้ที่ต้องการยืมตัวมาช่วยราช การ แล้ว ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติธรรรมดา และเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ หากผู้ต้องการยืมตัวเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเช่นเดียวกับวิญญูชนทั่วไป เพราะจะรู้ว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ไม่ใช่ว่ามีอำนาจอยู่ในมือแล้วจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น

ถูกต้องแล้วครับ ..

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่แปลงกายมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลการเลือกตั้ง สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกา ให้ส่งตัวนางสาวกอนณา สัตยธรรม ผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดพระโขนง ลูกสาวของนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง มาปฏิบัติราชการที่ห้องทำงานรองนายกรัฐมนตรี ชื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เปลี่ยนสถานภาพตัวเองจากหัวหน้าคณะรัฐประหาร มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550 หลังจากดำรงตำแหน่งเพียง 15 วัน ก็ทำเรื่องยืมตัวนางสาวกอนณา สัตยธรรม มาช่วยทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล และยังกำหนดให้ประธานศาลฎีกา ปฏิบัติตามที่ต้องการ คือให้ส่งตัวนางสาวกอนณา สัตยธรรม มาทำงานกับตัวเอง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไป จนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร

พิจารณาจากหนังสือยืมตัวนางสาวกอนณา สัตยธรรม ฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นว่าพล.อ.สนธิ ไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจมารยาทการทำงานในฐานะฝ่ายบริหาร ที่จะต้องไม่ก้าวล่วง และไม่สั่งการไปยังฝ่ายตุลาการ โดยเฉพาะประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายตุลาการ ให้ทำเช่นนั้น เช่นนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พล.อ.สนธิ เคยชินกับการใช้อำนาจในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่สั่งให้ทุกคน ทุกฝ่ายทำตามที่ตนต้องการ และคิดว่าสามารถออกคำสั่งกับประธานศาลฎีกา ได้ด้วย

โดยระเบียบวิธีปฏิบัติ การยืมตัวข้าราชการตุลาการ หรือผู้พิพากษา มาช่วยปฏิบัติราช การ ไม่ใช่ว่าประธานศาลฎีกา จะมีอำนาจอนุมัติได้ หากแต่ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการ หรือ กต. พิจารณาอนุมัติ และ กต.จะพิจารณาเมื่อใด วันไหน ก็เป็นเอกสารสิทธิของ กต. ไม่จำเป็นต้องทำตามกำหนดเวลาที่ พล.อ.สนธิ ต้องการ หรือกำหนด และ พล.อ.สนธิ ก็ไม่มีอำนาจที่จะกำหนดด้วย เพราะ ประธานศาลฎีกา และ กต. ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของพล.อ.สนธิ

โดยปกติแล้ว การยืมตัวข้าราชการตุลาการ ขณะดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำศาล มาช่วยปฏิบัติราชการ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น เว้นเสียแต่จะพ้นจากตำแหน่งผู้พิพากษา ไปเป็นฝ่ายบริหาร ที่ไม่ต้องทำหน้าที่พิจารณาอรรถคดีและตัดสินคดีในศาล เนื่องจากผู้พิพากษา เป็นข้าราชการที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากข้าราชการทั่วไป เช่น ทหาร ตำรวจ ครู ซึ่งมีอัตราว่างจากงาน (คนล้นงาน) มากพอ ที่จะไปช่วยปฏิบัติราชการวันใด เมื่อใดก็ได้ ในขณะที่อัตราผู้พิพากษา มีน้อยอยู่แล้ว หากถูกยืมตัวไปช่วยราชการอีก ก็จะทำให้อรรถคดีต่างๆ ที่พิจารณากันล่าช้าอยู่แล้ว ต้องล่าช้าออกไปอีก

นอกจากนี้ การที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ยืมตัวนางสาวกอนณา สัตยธรรม ผู้พิพากษา ไปช่วยปฏิบัติราชการ ซึ่งก็คือ ตำแหน่งหน้าห้องรองนายกรัฐ มนตรี พิจารณากลั่นกรองงาน ก็เป็นการแสดงออกในเชิงสัญญลักษณ์ว่า ฝ่ายบริหารอยู่เหนือกว่าและเป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายตุลาการ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่กระบวนการยุติธรรม ถูกตั้งข้อสงสัยจากประชาชนจำนวนไม่น้อย ว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใครหรือไม่

พิจารณาในมุมความสัมพันธ์สามเส้า ระหว่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง และมีเป้าหมายชัดเจนเปิดเผยว่าต้องการสกัดกั้นพรรคพลังประชาชนไม่ให้ชนะการเลือกตั้ง ไม่ให้เป็นรัฐบาล และสุดท้ายคือไม่ให้มีพรรคพลังประชาชน กับ การทำงานของนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ที่มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนองตอบต่อเป้าหมายของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างออกนอกหน้า และออกอาการเด้งรับความต้องการของพล.อ.สนธิ จนทำให้เกิดข้อครหาต่างๆ มากมายว่า พล.อ.สนธิ แทรกแซง กกต. และ กกต. เป็นเครื่องมือของคมช.

..,

สองเส้าระหว่าง พล.อ.สนธิ กับ นางสดศรี ก็ทำให้ข่าวลือกระหึ่มเมืองแล้ว ยังไม่พอ วันนี้ยังมาเจอหลักฐานเส้าที่สามที่ต้องพิจารณากันให้หนักเข้าไปอีก ก็คือ นางสาวกอนณา สัตยธรรม ถูกดึงเข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน

ประดาบ ไม่อยากคาดเดา ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ ว่าความสัมพันธ์สามเส้าครั้งนี้ จะดำเนินไปอย่างไร และจบลงที่ตรงไหน แต่บอกได้ว่า นี่เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจที่สุด และเป็นการกระทำที่ไม่เกรงต่อสายตาประชาชนคนไหนทั้งสิ้น ว่าจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม

พล.อ.สนธิ เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ตั้งใจทำลายพรรคพลังประชาชน

นางสดศรี เป็นกกต. มีความไม่เป็นกลาง และทำงานเหมือนรับใบสั่งจากใครบางคนให้มาหาเหตุยุบพรรคพลังประชาชน เป็นการเฉพาะ

นางสาวกอนณา เป็นผู้พิพากษา แต่ถูกรองนายกรัฐมนตรีสั่งให้มาช่วยทำงานหน้าห้อง ในฐานะลูกสาวของนางสดศรี

ท่อร้อยสายระหว่างทำเนียบรัฐบาล กับ กกต. ผ่านทางไหน ไปกับใคร ไม่ต้องเดาให้ยาก ไม่ต้องตรวจสอบแกะรอยว่า ใบสั่งจากพล.อ.สนธิ ไปถึง นางสดศรี หรือไม่ ด้วยทางใด ไม่ต้องถามว่ามีหรือไม่อีกแล้ว

เอกสารลึกฉบับนี้ให้คำตอบหมดแล้วว่า ทำไมกกต.สดศรี จึงพูดจาเห็นอกเห็นใจเข้าอกเข้าใจและเข้าถึงความต้องการในก้นบึ้งหัวใจของพล.อ.สนธิ ได้ดีกว่ากกต.ทุกคน และ เป็นคำตอบว่าทำไมพล.อ.สนธิ ไม่ต้องไปพบกกต. และไม่ต้องเรียกกกต.มาพบ แต่ กกต.ก็เข้าใจดีว่าพล.อ.สนธิ ต้องการอะไรจากกต.บ้าง

เจอเอกสารลึกแต่ไม่ลับฉบับนี้เข้า ความเชื่อที่ว่ากกต.บางคนไม่เป็นกลาง และเป็นเครื่องมือให้แก่คมช. จึงไม่ต้องการการพิสูจน์อีกต่อไป เพราะนี่คือเอกสารที่ยืนยันได้ดีที่สุด ใช้แม่ทำงาน เอาลูกมาดูแล

..,


มีคำถามสองข้อที่อยากถาม นางสดศรี สัตยธรรม ให้ตอบตัวเอง

1. คุณยังสมควรเป็นกกต.อีกหรือไม่

2. คุณยังกล้าพูดอีกไหมว่าไม่มีความสัมพันธ์พิเศษกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

ไม่ต้องมาตอบผม เพราะผมมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว





 

Create Date : 10 มกราคม 2551    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:06:34 น.
Counter : 636 Pageviews.  

จะเลือกใครดี....................

วันก่อน เพิ่งได้รับจดหมายจาก สถานกงสุล ชิคาโก้ นึกว่า เป็นอะไร ..... ที่แท้ก็เอกสารการเลือกตั้ง ที่มีเอกสารสองสามแผ่นแนบมา ในนั้นระบุว่า หากต้องการเลือกตั้ง ให้กาเลือกพรรคการเมือง (แบบสัดส่วน) แล้วก็ เลือกผู้แทน ไม่เกินจำนวน ส.ส. ในเขตที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ เมื่อกาแล้ว ก็ให้ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน ฯลฯ ลงชื่อแนบไปด้วย

อืม ผมจำไม่ได้แล้ว คราวที่แล้ว ต้องแนบเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนในการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะจริง ๆ ตอนลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ เราก็ส่งเอกสารที่เขาต้องการ ไปยังสถานกงสุลอยู่แล้ว จะเอาสำเนาบัตรฯ ไปอีกทำไม ไม่เข้าใจเหมือนกัน

พี่น้องประชาชน ที่เลือกในเมืองนอก ก็ไม่น่าจะเป็นห่วงหรอกครับ เพราะตอนกาเลือกนี้ เราเห็นครับว่า พรรคไหนเลขที่เท่าไหร่ ผู้สมัครจากพรรคไหน เลขที่เท่าไหร่ เราก็ค่อย ๆ บรรจงกาไปได้ แต่ผมว่า ตาสีตาสา ยายมียายมา ตามท้องทุ่งนา คงจะน่าเห็นใจไม่น้อย เพราะเขาต้องจำคนที่เขาจะกา และหมายเลขพรรค ซึ่งสับสนได้ง่ายมาก เดาว่า บัตรคงจะเสียเยอะแหง ๆ ครับ

เรื่องอื่น ๆ ช่วงนี้ของดการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง เพราะจะโดนกล่าวหาว่าเป็นการชี้นำ ไม่เป็นกลางทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการประกาศกฎหมายให้มีการจัดการเลือกตั้งด้วยแล้ว เพราะ กกต. อาจจะไม่วินิจฉัยว่า "ไม่เป็นกลาง แต่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ" ก็ได้ แต่จริง ๆ ผมละโคตรงง .... กับมติ กกต. เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ คราวก่อน ก็มีคนวิจารณ์ว่า ทำโพลล์ผิดกฎหมาย ... ผมละ งงแดกเหมือนกัน .....


แล้วแต่ครับ เมืองไทย ก็คงดำเนินต่อไปอย่างนี้แหละครับ ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตน เป็นทหาร ก็มีหน้าที่หนึ่ง เป็นองคมนตรี ก็มีหน้าที่หนึ่ง เป็นข้าราชการ ก็มีหน้าที่หนึ่ง เป็นนักเรียน ก็มีหน้าที่หนึ่ง ไม่ควรก้าวก่ายหรือเสนอหน้าไปสั่งการแนะนำให้ใครเข้าไปแทรกแซงกันแหละกัน ไม่งั้น บ้านเมืองก็ไปไม่รอด


ว่าแต่ว่า ท่านที่อยู่เมืองนอก ท่านใช้สิทธิ์ของท่านหรือยังครับ ถ้ายัง ผมขออนุญาตประชาสัมพันธ์ อย่าลืมใช้สิทธิ์ของท่าน และขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับ รายชื่อ พรรคการเมือง จำนวน ๓๐ พรรค มีดังนี้นะครับ (ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทย มีพรรคการเมืองเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่เคยได้ยินเลย สำหรับ ๆ หลาย ๆ พรรคก็ไม่ทราบเหมือนกัน )

(๑) พรรคเพื่อแผ่นดิน

๒) พรรคร่วมใจไทยชาติพัฒนา

๓) พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย

๔) พรรคประชาธิปัตย์

๕) พรรคพลังเกษตรกร

๖) พรรครักเมืองไทย

๗) พรรคแรงงาน

๘) พรรคเกษตรไทย

๙) พรรคประชาราช

๑๐) พรรคนิติศาสตร์ไทย

๑๑) พรรคพัฒนาประชาธิปไตย

๑๒) พรรคพลังประชาชน

๑๓) พรรคชาติไทย

๑๔) พรรคดำรงไทย

๑๕) พรรคมัชฌิมาธิปไตย

๑๖) พรรคชาติสามัคคี

๑๗) พรรคความหวังใหม่

๑๘) พรรคประชากรไทย

๑๙) พรรคประชามติ

๒๐) พรรคไทเป็นไท

๒๑) พรรคพลังแผ่นดินไท

๒๒) พรรคมหาชน

๒๓) พรรคคุณธรรม

๒๔) พรรคราษฎรรักไทท

๒๕) พรรคกฤษไทยมั่นคง

๒๖) พรรคอยู่ดีมีสุข

๒๗) พรรคไทยร่ำรวย

๒๘) พรรคเอกราช

๒๙) พรรคพลังแผ่นดิน

๓๐) พรรคนำวิถี






รักใครชอบใคร ก็เลือกตั้งแล้วกันครับ และหวังว่า หลังเลือกตั้ง ท่าน ๆ ที่กินเงินเดือนและภาษีประชาชน รวมถึง ท่านที่ทำมาหาได้ จากการดำเนินธุรกิจ ที่เจริญงอกงาม ร่ำรวยได้ก็ด้วยเงินของประชาชน จะได้เคารพอำนาจอธิปไตย อันแสดงออกจากผลการเลือกตั้ง ที่เป็นเครื่องหมายของพลังประชาชนที่แท้จริง ด้วย ไม่งั้นบ้านเมืองคงบรรลัย เป็นแน่ ผมขอทำหน้าที่เลือกตั้ง และแสดงความเห็นโดยสุจริตของผมแค่นี้ครับ


อย่างไรเสีย ก็ต้องรักษาสิทธิ์ของท่านนะครับ อย่าไปดูหน้าตาผู้สมัคร รูปหล่อ แค่ไหน สวยแค่ไหน พูดเพราะแค่ไหน ดูที่นโยบาย และ ผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้นะครับ สำหรับข่าวคราวเคลื่อนไหวการเลือกตั้ง ท่านที่อยู่ต่างประเทศ อาจจะลองเข้าไปดูใน Our Country Vote (คลิ๊ก) ได้ครับ




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2550    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:05:21 น.
Counter : 630 Pageviews.  

สามก๊ก: ว่าด้วยขันทีกระเทยเฒ่า และความหายนะของชาติ

ผมเล่าเรื่อง สามก๊ก มาสองตอนแล้ว มาถึงตอนนี้ ก็เป็นตอนที่ จ๊กก๊ก (ของเล่าปี่) และ ง่อก๊ก (ของซุนกวน) ล่มสลายไปแล้ว รวมถึง วุ่ยก๊ก (ของโจโฉ) ท้ายที่สุด ก็ถึงคราวสิ้นสุด เพราะตระกูลสุมา แม่ทัพใหญ่ผู้คิดทรยศ ยึดอำนาจจากราชวงศ์โจ (ของโจโฉ) เสียเอง หลังจากรบพุ่งกันมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรต (ราว ๆ ๙๓ ปี)

จ๊กก๊ก ที่เล่าปี พร้อมกับบรรดาขุนพล อย่างกวนอู เตียวหุย จู่ล่ง ขงเบ้ง บังทอง ฯลฯ ช่วยกันสร้างมา ล่มสลายไปอย่างง่ายดาย หลังจากก่อตั้งมาประมาณ ๔๓ ปี เพราะมีฮ่องเต้ ไร้ความสามารถอย่างเล่าเสี้ยน ที่โง่เขลาเบาปัญญา ลุ่มหลงสุรา นารี และ ขันทีเฒ่า




ผมเลยนึกถึงเรื่อง ขันทีเฒ่า เจ้าเล่ห์ ทำให้ชาติล่มสลายนี่ มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวจริง ๆ มาถึง สามก๊กตอนสุดท้าย แล้ว ผมจึงขอสรุปเรื่องโดยรวม ๆ โดยเฉพาะเรื่องขันที กระเทยเฒ่า เจ้าเล่ห์ กับความหายนะของชาติ ไปด้วยด้วยกันไปเสียเลย





จะกล่าวโดยสรุป เรื่อง สามก๊กนี้ ก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณ ๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว ในประเทศจีน มีกลุ่ม สิบขันที สร้างอำนาจ ควบคุมฮ่องเต้ และ ฮองเฮา ทำร้ายขุนนางตงฉิน เล่นพรรคเล่นพวก ราชสำนักเสื่อมทราม ไพร่ฟ้าประชาชน เดือดร้อนกันถ้วนหน้า สิบขันที ครอบงำอำนาจอยู่นาน จนกระทั่งแผ่นดินจีน ลุกเป็นไฟ ประกอบกับแม่ทัพใหญ่ หลังจากถูกสิบขันทีตัดหัวแล้ว ตั๋งโต๋ะ ที่แม่ทัพชายแดน ได้เข้ายึดอำนาจบ้านเมืองจีนอย่างเบ็ดเสร็จ ใช้อำนาจข่มเหงรังแก ฮ่องเต้ และ ขุนนางที่ไม่เห็นด้วย โดยการตัดหัวต่อหน้าต่อตาขุนนางอื่นแล้วเอาเลือดมาให้ขุนนางที่เหลืออยู่ ดื่มกินแทนเหล้า สร้างความหวาดกลัวยิ่งนัก

อ้วนเสี้ยว โจโฉ และ อีก ๑๘ หัวเมือง รวมตัวกันจัดตั้ง กองทัพ เพื่อกำจัดตั๋งโต๊ะ โดยอ้าง "คุณธรรม" และ "การค้ำจุนบัลลังก์ฮ่องเต้" เป็นกำลังอาวุธ ในการรวบรวมคน แต่ภายหลังตั๋งโต๋ะ ตายไปแล้ว ต่างคนต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ ภายหลังโจโฉ ฉลาดกว่าเพื่อน "อ้างว่าตนเป็นกองทัพธรรม ค้ำจุนบัลลังก์ฮ่องเต้" เพื่อปราบอ้วนเสี้ยว และกลุ่มอำนาจอื่น ๆ ในขณะที่ ซุนเซ็ก ได้แยกตัวออกไปรวบรวมหัวเมืองได้ ๘๑ หัวเมือง ทางภาคใต้ ตั้งตนเป็นเจ้าแคว้นทางภาคใต้เสียเอง ขณะที่เล่าปี่ ชายผู้ทอเสื่อขาย แต่สืบราชสกุลมาจากราชวงศ์ฮั่น ได้ประกาศกอบกู้ราชวงศ์ฮั่นที่เสื่อมทรามลง โดยมีขงเบ้ง เป็นที่ปรึกษาหรือกุนซือใหญ่ เกิดเป็นสงคราม ๓ ก๊กที่ยาวนานถึง ๙๓ ปี กว่าจะสิ้นสุดลง

จ๊กก๊กของเล่าปี่ หากว่า ไม่มีขันทีชั่วแล้ว ย่อมมีชัยเหนือ วุ่ยก๊กของโจโฉ อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ แต่ทุกครั้งที่แม่ทัพใหญ่อย่างขงเบ้ง และ ต่อมาคือ เกียงอุย ศิษย์ของขงเบ้ง ที่ยกทัพไปปราบวุ่ยก๊ก กำลังจะมีชัยทีไร พระเจ้าเล่าเสี้ยน โอรสของเล่าปี่ ก็สั่งให้ถอนทัพเสียทุกครั้งไป ทั้งนี้ เนื่องจากขุนนางชั่ว และ ขันที ที่ปรึกษาและมีอิทธิพลเหนือฮ่องเต้ (เล่าเสี้ยน) ไม่สนใจ ความอยู่รอดของชาติ รับสินบนมาจากวุ่ยก๊กของโจโฉ มาหลอกลวงฮ่องเต้ว่า ขงเบ้ง และ เกียงอุย คิดขบถ ให้ถอนทัพ ฯลฯ

ฤทธิ์ของขันทีเฒ่า ไม่ว่าจะยุค ก่อนเริ่มต้น ยุค ๓ ก๊ก และ ในยุคเล่าเสี้ยน แสดงให้เห็นว่า ความหายนะและความล่มจมของชาติ ย่อมล้วนมาจากขันทีเฒ่าทั้งสิ้น เกียงอุย แม่ทัพของจ๊กก๊ก ได้เสนอให้ประหารขันทีชั่วเสีย เพราะความรักชาติ แต่หารู้ไม่ว่า เป็นภัยร้ายแรงต่อตนเอง จนกระทั่งต้องยกทัพ ออกนอกเมืองไปสะสมเสบียง แต่จริง ๆ เพื่อความอยู่รอดจากเงื้อมมือของขันทีชั่ว ที่อาศัยความโง่ของฮ่องเต้ เป็นอาวุธ

ขันทีเฒ่า ทำให้บ้านเมืองชิบหาย แม้กระทั่งบ้านเมืองถึงคราวคับขัน ขันทีก็ไม่สนใจ ครอบงำพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อแม่ทัพรายงานว่า ข้าศึกประชิดชายแดน แทนที่จะรายงานให้พระเจ้าแผ่นดินมีพระบรมราชโองการ ยกทัพมาปกปองพระนคร แต่ขันทีเฒ่าเกรงว่า แม่ทัพ จะสามารถสร้างคุณงามความดี จึงเกิดริษยา ไม่ถวายรายงาน จนกระทั่ง แม่ทัพฝ่ายโจโฉ บุกถึงดินแดนเสฉวน ที่เล่าปี่ กับ พี่น้อง เอาชีวิตเข้าแลกสร้างกันมา และเจริญรุ่งเรืองกว่า ๔๓ ปี แต่เล่าเสี้ยน กลับยอมแพ้ เพราะไม่อยากลำบากลำบน ( ประมาณว่า ยอมเป็นข้าเขาดีกว่า ) ทั้ง ๆ ที่ยังมีทหาร เรือนหมื่น อยู่ในบังคับบัญชา ในขณะที่กองทัพข้าศึกษา ที่ยกมา ๓ หมื่นห้าพันคน แต่ตายไปเพราะ มาตามเส้นทางลัด ซึ่งเป็นหน้าผา ลำบาก เหลือกำลังพลเพียง ๒ พันคนเท่านั้น

ในเรื่องสามก๊กนี้ สะท้อนให้เห็นว่า หากพระเจ้าแผ่นดิน ไม่หลงไหล ขันทีเฒ่า แล้ว แผ่นดินคงไม่ล่มสลาย หากพระเจ้าเล่าเสี้ยนกล้าหาญ ต่อสู้ โดยปิดกำแพงเหมือน รอทัพหลักของเกียงอุย มาช่วยหนุน ตีขนาบ จากในและนอกกำแพงเมืองแล้ว ทหารข้าศึกเพียง ๒ พัน คนก็ไม่อาจจะยึดเมืองหลวงของจ๊กก๊กได้ น่าเสียดาย ที่ก๊กนี้ เล่าเสี้ยน ผู้นำอ่อนแอ โง่เขลา เบาปัญญา ซึ่งต่างจาก เล่าปี่ ผู้พ่ออย่างมากมายนัก




หลังจาก จ๊กก๊ก ล่มสลายไปแล้ว ตระกูล สุมา ผู้กุมอำนาจทางทหารของ วุ่ยก๊ก (ของโจโฉ) เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยน โง่เขลา ไม่มีพิษภัย จึงเลี้ยงไว้ดูเล่น ขณะที่เล่าเสี้ยน ผู้รักตัวกลัวตาย ไม่เคยลำบากลำบนมาเลยในชีวิต ครั้นอยู่สุขสบาย ก็ลืมชาติ บ้านเมือง เมื่อถูกถามว่า คิดถึงเสฉวน (ดินแดนที่เขาเคยเป็นฮ่องเต้) หรือไม่ เขาตอบอย่างหน้าชื่นว่า "อยู่ที่นี่สุขสบายดี ไม่คิดถึงเสฉวนเลย" ทำให้ข้าราชบริพารเก่าถึงกับน้ำตาร่วง ถ้าเล่าปี่ และผู้สร้างดินแดนจ๊กก๊กมา ยังมีชีวิตอยู่ คงจะช้ำใจตายคาทีไปแล้ว ความหายนะ เช่นนี้ ส่วนสำคัญ ก็มาจากฤทธิ์ ขันที กระเทย เฒ่า เจ้าเล่ห์ นั่นเองครับ




ผมว่าประเทศไทย ยังโชคดีที่เราไม่มีขันที กระเทยเฒ่า นะครับ เพราะถ้ามีละก็ ขันที กระเทยเฒ่า ก็อาจจะกระทำการอันไม่บังควร แอบอ้าง เบื้องสูง เพื่อแทรกแซง องค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท และ ชี้นำกลุ่มทหารเลวล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเป็นแน่




อย่างไรก็ตาม ผมคุ้น ๆ ว่า ประวัติศาสตร์ เราจะซ้ำรอยกับเรื่องสามก๊กหลาย ๆ ตอนเลย ซึ่งเป็นการซ้ำรอยอย่างเหลือเชื่อ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ๑,๘๐๐ กว่าปีผ่านมาแล้ว เป็นต้นว่า มีคนแอบอ้าง ธงเหลือง และเบื้องสูง เป็นกองทัพธรรม ต่อสู้เพื่อจักรพรรดิ์ แอบอ้างพระมหากษัตริย์ เพื่อดึงคนมาเป็นพวก แล้วทำลายล้างศัตรู ด้วยพลังศรัทธาต่อองค์พระมหากษัตริย์ ดังเช่นที่ โจโฉ แอบอ้างพระเจ้าเฮี่ยนเต้ และ แม่ทัพตระกูลสุมา ที่กระทำต่อ จักรพรรดิ์ แห่งราชวงศ์โจ หลานโจโฉ ... ในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ หากใครคิดการใหญ่ และแอบอ้างเบื้องสูง ที่มีกำลังรักศรัทธาอันมหาศาลของประชาชนเป็นอาวุธ เป็นยุทธศาสตร์ ที่โจโฉ และตระกูสุมาใช้มาและประสบความสำเร็จมาแล้ว ... ย่อมใช้เป็นเครื่องมือ ในการหลอกลวงประชาชนที่มีใจบริสุทธิ์ได้ โดยไม่ต้องสนใจใยดีเลยว่า เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการช่วงใช้ประชาชนเหล่านั้น ... และ ประชาชนก็ไม่รู้เลยว่า ชาติจะหายนะอย่างไร จากการแสดงกำลังศรัทธาของตน ผ่านผู้คิดการใหญ่อันชั่วร้ายเหล่านั้น




หมายเหตุ: เรื่องต่าง ๆ ที่ได้สาธยายไปนั้น เป็นบทเรียนที่เกิดขึ้นจริงในอดีต น่าศึกษาจดจำเป็นตัวอย่างในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคตของทุก ๆ ชาติ




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2550    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:04:58 น.
Counter : 1317 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.