*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 

ไปเที่ยวญี่ปุ่น : เหตุเกิดที่กระทรวงกลาโหม ....

ผมได้เขียน Blog นี้ ไว้ใน MSN space นานแล้วครับ แต่อยากเอามาลงไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ รายละเอียดดังนี้ครับ




วันนี้ (๒๘ มิ.ย. ๔๙) ผมขอใช้ภาคภาษาไทยครับ สองสามวันมานี้ อากาศที่ญี่ปุ่น ร้อนโคตร ๆ ครับ อากาศร้อนแบบแปรปรวนเหมือนอารมณ์คนไม่มีผิด แถมมีหมอกมาปิดบังทัศนียภาพของเกาะญี่ปุ่นด้วย ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เนื่องจากเหนื่อยจากการอยู่ญี่ปุ่นมาเดือนเศษแล้ว ตอนแรก ๆ ก็ไปไหนมาไหนทุกวัน เช่น ไปพิพิธภัณฑ์มา ประมาณ ๑๐ กว่าแห่ง ไปจังหวัดต่าง ๆ เช่น Kamakaru, Nikko, Awagoe, Chiba, Osaka, Nara, Kyoto ก็มากโขอยู่ เหนื่อยใช้ได้ เหมือนกัน




มหาวิทยาลัย Chuo University



ผมเลยถือโอกาสพักมั่ง แต่ก็ยังมีนัดที่จะต้องไปพบกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Chuo University กับ Waseda University เพื่อพูดคุยถึงแนวคิดและปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น ผมต้องการจะศึกษาแนวคิดของหน่วยงานปฎิบัติที่ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายของญี่ปุ่น ซึ่งได้แก่ ตำรวจ และอัยการ ที่ผมได้ไปดูงานมาแล้ว ทั้งที่ Tokyo และ Osaka กับแนวคิดของเหล่านักวิชาการ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ขัดแย้งกันหรือไม่ และนักวิชาการมองนักปฏิบัติอย่างไร

วันนี้ ผมได้ไปพบ Professor Toshio Takagi กับ Professor Yoshinori Nakanome แห่ง Chuo University Law School ที่ Ichigaya Campus เพื่อคุยเรื่องดังกล่าว อาจารย์ชาวญี่ปุ่นทั้งสองท่าน สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนดีครับ ไม่มีเสียงแปลก ๆ ตลก ๆ แบบที่ผมเคยเล่าให้ฟังใน blog ก่อน เช่น สะ ตู เด้น โต๊ะ (student) แถมยังให้ความรู้อะไรมากมายที่ผมไม่เคยรู้ล่วงมาก่อน จากการสอบถาม ผมพบว่า นักวิชาการส่วนใหญ่ในสายกฎหมาย ไม่มีความขัดแย้งกับทางปฏิบัติมากนัก

หลังจากพูดคุยกับอาจารย์ทั้งสองท่านประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่ง ก็เดินเล่นแถว Ichigaya เดินไปเรื่อย ๆ ผ่านร้านกาแฟ (ของโปรด) ก็แวะดื่มกาแฟ กับขนมเค๊ก ที่อร่อยจริง ๆ เขาทำเป็นแผ่นแป้งบาง ๆ เรียงทับกันเรื่อย ๆ โดยมีเนยแทรกระหว่างชั้นแป้งอร่อย ๆ เหล่านั้น นั่นกินไปเพลิน ๆ สักพัก ก็เดินต่อ ท้องอิ่มแล้ว จากนั้น ก็เดินต่อไป เห็นกำแพงใหญ่ ๆ สูงมาก ๆ ด้านซ้ายมือ เดินไปไกลมาก ๆ ก็ไม่พ้นกำแพงอันนี้เสียที เอาละวะ เดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นทางเข้าพื้นที่ที่มีกำแพงสูงล้อมรอบแล้ว ดีใจมาก เดินเข้าไปดูสักหน่อย แก้สงสัย

เขาไปก็เจอคนแต่งกายคล้ายคนขับรถ ขสมก บ้านเรา ... ซึ่งจริง ๆ ก็คล้ายตำรวจญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือเปล่า ชักแหม่ง ๆ มองเห็นอาคารประชาสัมพันธ์ด้านซ้ายมือ เลยเข้าไปถามว่ามันตึกอะไรกันหนอ ..... ถามแล้วถามอีก เจ้าหน้าที่ เธอก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ .... เอาละซิ ....

แต่เดี๋ยวนี้ ญี่ปุ่นเขาพัฒนาแล้ว เจ้าหน้าที่ท่านนั้น เลยกดโทรศัพท์เข้าไปที่ไหนสักที่ ....... แล้วเธอก็ยื่นโทรศัพท์ให้ผม .... เป็นเสียงภาษาอังกฤษครับ ผมก็เลยถามว่า ที่เข้ามาเนี่ย แค่อยากรู้ว่า ไอ้กำแพงใหญ่ ๆ สูง ๆ นี่มันอะไรกันเหรอ ช่วยบอกหน่อย .....


"กระทรวงกลาโหม / Defense Agency ของญี่ปุ่น" เธอตอบมา ..... ผมเลยขอเข้าไปดูหน่อย เธอบอกว่าไม่ได้ดอก ผมเลยจ๋อย.... เดินออกมา แล้วก็เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงแยก Ichigaya ก็เจอ "บ่อตกปลา" แบบที่บ้านเรานิยมกันในช่วงก่อนผมมาเรียนต่อที่สหรัฐ (ไม่รู้ตอนนี้ ยังนิยมหรือเปล่า) ที่บ่อตกปลานี้ ค่าตกปลาชั่วโมงละเกือบ ๗๐๐ เยน ถ้าตกได้ ก็นำมาชั่ง ได้ถึงน้ำหนักเท่าใด ก็ได้เป็นคะแนนสะสม เพื่อรับรางวัลจากเจ้าของบ่อปลา เสร็จแล้วก็ปล่อยปลาลงบ่อไปตามเดิม .... เฮ้อ เวรกรรมจริง ๆ ไม่รู้สนุกอย่างไร ทำปลาปากฉีก แล้วปล่อยกลับลงบ่อ เหมือนเดิม .........


ผมนั่งรถไฟสาย Noboku line จากสถานี Ichigaya สู่สถานี Todaimae หน้ามหาวิทยาลัยโตเกียว เลยเดินเข้าไปถ่ายภาพตามเดิมนั่นแหละ มหาวิทยาลัยโตเกียวนี่ มันช่างเก่า จริง ๆ ตึก อะไร ๆ เก่า ๆ ร้าว ๆ แตก ๆ ไม่เข้าใจเลย เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโตเกียว และติด Top 10 ของโลกด้วย แต่โคตรโทรมเลย (อย่าไปบอก นักเรียนโตไดเขานะครับท่านผู้อ่านที่รัก) ผมเดินขาเกือบหักมาหลายทีแล้ว เพราะทางมันเป็นหลุมเป็นบ่อ ไฟไม่มีอีกต่างหาก เฮ้อ ... เอาละครับ ก็เล่าสู่กันฟังพอหอมปากหอมคอก่อน ส่วนอีกเวปไซต์หนึ่งที่ Bloggang อัพเดทโคตรยาก เข้าไปทีไร ระบบมันก็บอกว่า คนเยอะ ให้ลองใหม่ ... ยอมแพ้ ๆ ๆ ๆ ไม่ไหวแล้ว ไม่อัพเดทมันละครับ ....




อ๋อ อีกอย่างหนึ่ง ที่ผมเข้าไปในกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นนี่ ก็ไม่ได้รับการจ้างจาก พรรคการเมืองไหน ให้เข้าไปหลอกล่อให้ไปจ้างพรรคเล็ก ๆ ลงสมัครรับเลือกตั้งหรอกครับ ....

ถ้าทุกคนยึดหลักความถูกต้อง ... หลักกฎหมาย และ คุณธรรมที่แท้จริง ที่ได้รับการถ่ายทอดสั่งสอนมา .. รู้จักหน้าที่ของตนเอง .. ป่านนี้ เมืองไทยเจริญรุ่งเรืองไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ... หวังว่าวันนั้นจะมีจริง




 

Create Date : 01 เมษายน 2550    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2553 12:42:42 น.
Counter : 585 Pageviews.  

ไปเที่ยวญี่ปุ่น : บันทึกชีวิตประจำวัน ๑ เดือนที่ญี่ปุ่น 2006

ผมได้บันทึกเรื่อง เยือนแดนปลาดิบ ครั้งแรกในชีวิต ไปแล้ว ตอนหนึ่ง เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๙ หรือ ประมาณ ครึ่งปีที่แล้ว ผมก็เลยกลัวว่าผมจะลืมว่า ผมทำอะไรไปบ้างในช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่ง เลยงัดเอาไดอะรี่ ขึ้นมาดู แล้วก็ตัดสินใจ บันทึกไว้ในนี้ อีกที เพื่อกล่าวถึงบุคคลที่มีส่วนช่วยเหลือและบันทึกภาพแห่งความทรงจำดี ๆ ไว้ด้วยครับ




ผมเดินทางไปญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ ๒๔ พ.ค. ๔๙ โดยมี อัยการ Mika เพื่อนชาวญี่ปุ่นขับรถไปส่งที่ OHARE Airport, Chicago โดยสายการบิน Japan Airline ซึ่งที่จริง ผมจองกลับเมืองไทย แล้วขอ Stop over ที่ญี่ปุ่น เป็นเวลา ๑ เดือนเศษ ๆ ช่วงดูงานกระบวนการยุติธรรมและท่องเที่ยวของผม ที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ



พิพิธภัณฑ์ และ สวนสัตว์ Ueno Zoo


ไปถึงญี่ปุ่น ก็วันที่ ๒๕ พ.ค. ๔๙ โดยมี น้องนก พี่สาวของของ รุ่นน้องนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น ๔๙ ที่มาเรียน ป.เอก ที่ญีปุ่น โดยทุนรัฐบาลญีปุ่น ให้การต้อนรับ และแนะนำให้ไปพักอาศัย อยู่กับ นายเพียวฯ นักเรียนไทย ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ที่อาศัยอยู่ที่ตำบล Nezu ห่างจาก U of Tokyo เพียง ๑๐ นาที โดยการเดินเท้า



เมื่อครั้งไป Hakone ชมภูเขาฟูจิ
และชมแหล่งแร่กำมะถัน


หลังจากผ่านการตรวจดวงตราในหนังสือเดินทาง ซึ่งผมถือหนังสือเดินทางราชการ และได้รับการยกเว้นการมีหนังสืออนุญาตเข้าประเทศได้ ๙๐ วัน ผมก็ซื้อตั๋วรถไฟ Keisei line แบบ Limited Express ราคาประมาณ ๑๐๐๐ เยน ชั่วโมงเศษ ก็มาถึง สถานี Ueno station

กินอาหารมื้อแรกที่ บริเวณตลาดใกล้ ๆสถานี Ueno ที่เป็นแหล่งซื้อขายของราคาถูก ทงคัดสึ (หมูทอด) ราคา ๖๕๐ เยน (ประมาณ ๖ เหรียญเศษ) และ Miso soup ๑ ถ้วย และ ผักกระหล่ำปีสดหั่นฝอย ๑ กอง ข้าว ๑ ถ้วย เป็นอาหารมื้อแรก หลังจากนั้น นั่ง Taxi จาก Ueno มายังเขต Nezu ในกรุงโตเกียว ราคาค่ารถ ๘๒๐ เยน เพื่อไปบ้านพัก



เมื่อคราวไปกินซูชิ & ช๊อปปิ้ง
และไปเคารพวิญญาณนักรบ ที่สุสานยาซู คูนี่


วันที่ ๒๖ พ.ค. ๔๙ วันนี้ ผมตื่นตั้งแต่ ตีห้า แล้วก็อยากเห็นเมืองโตเกียว จึงออกกำลังกายโดยการวิ่งไปที่สวนสาธารณะ Ueno ตอนสาย ไปเดินเที่ยวใน University of Tokyo ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น และยังโด่งดังที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ใครจบมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดมนุษย์

วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ วันนี้ น้อง ๆ และเพื่อนใหม่ ก็กินอาหารกันที่บ้านของเพียว ซึ่งเป็นวันพิเศษนิดนึง เพราะวันนี้ คือ วันที่แม่ผมต้องทรมานในการให้กำเนิดผมด้วย ก็เหมือนเดิมครับ วิ่งแต่เช้าตรู่ แล้วอ่านหนังสือ กับอ่านข่าวจากเน็ต สาย ๆ ไปเดินเล่นที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ดูงานที่เด็ก ปี ๑ (Freshman) มาเปิดเทศกาลขายอาหารเพื่อหารายได้ทำกิจกรรมของพวกเขา



ขึ้นเรือจาก Asakusa ไปเกาะเทียม Odiba
ที่สร้างจากเศษขยะ เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว


วันที่ ๒๘ พ.ค.๔๙ หลังจากวิ่งแต่เช้าตรู่แล้ว ก็ไปเดินเล่นที่วัด Sensoji ที่ Asakusa แหล่งท่องเที่ยวที่ทัวร์ไหน ๆ ก็จะต้องพาไปดูกัน เสร็จจากวัดนี้แล้ว ก็ไปไหว้พระที่วัดประจำราชวงศ์ เมจิ ที่ Harajuku บริเวณทางเข้าวัดมีสะพานขนาดใหญ่ ที่พวกวัยรุ่นญี่ปุ่น แต่งกายแปลก ๆ ๆ มายืนเต๊ะท่าประหลาด ๆ ให้คนเดินผ่านไปผ่านมา ไปขอถ่ายภาพด้วย ผมก็ถ่ายกับเขาด้วยเหมือนกัน แปลกดีครับ

หลังจากไหว้พระเสร็จ ผมก็ไปเดินเล่นที่ Harajuku ที่เป็นแหล่งชอบปิ้ง คล้าย ๆ Center point บ้านเรา มีร้านรวงเต็มไปหมด ขายเสื้อผ้าวัยรุ่น ๆ ทั้งนั้น เสื้อผ้าแต่ละตัวนี่ ราคาเป็นหมื่นเยนทั้งนั้น



ชุดนักรบสมัยโบราณ และ Disneyland ในโตเกียว


วันที่ ๒๙ - ๓๐ พ.ค. ๔๙ สองวันนี้ ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากออกกำลังกาย แล้วก็ไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัยโตเกียว (จ่ายเงินช่วยค่าน้ำค่าไฟ คุณเพียว ไป ๒๐,๐๐๐ เยน ซึ่งตอนแรก น้องมันไม่ยอมรับฯ กับค่าอาหารสดประมาณ ๒,๐๐๐ เยน ค่าแชมพู ฯลฯ อีกประมาณ ๕๐๐ เยน)

วันที่ ๓๑ พ.ค. ๔๙ วันนี้เดินทางไปเที่ยวที่ Kamakura เมืองเก่าแก่ของญี่ปุ่น ที่มีพระองค์โต อันดับสองของญี่ปุ่น ประดิษฐานอยู่ ค่าตั่วรถไฟ ไปกลับประมาณ ๒,๐๐๐ เยน กับค่าอาหาร เป็นข้าวปั้นเล็ก ๆ สองก้อน อีก ๒๐๐ เยน แต่ที่แพงมาก ๆ คือ ค่าเข้าชมวัดครับ ราคาแต่ละแห่งประมาณ ๓๐๐ เยน ถึง ๘๐๐ เยน ... ของฟรีไม่มีในโลก เสียค่าเข้าชมวัดไป เกือบ ๒,๐๐๐ เยนครับ แต่ก็คุ้มดี กลับมาถึง ตลาด Ueno ก็ซื้อผัก ฯลฯ ไป ๒,๐๐๐ เยน



เมื่อคราวไปชมทุ่ง Iris ที่จังหวัด ชิบะ


วันที่ ๑ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ได้เวลา ซักผ้าเสียที หอบผ้าไปซักร้านใกล้ ๆ (ไม่มีที่ซักผ้าในบ้าน เพราะบ้านเล็กมากๆ ) เสียค่าซักผ้าไป ๕๐๐ เยน กับ ค่าอาหารอีก ๓๐๐ เยน

วันที่ ๒ มิ.ย. ๔๙ ไม่ได้ทำอะไรมาก วิ่งแล้วก็เดินเที่ยวตลาดใกล้ๆ เสียค่าอาหารไปประมาณ ๑,๑๐๐ เยน



เจ้าภาพ ที่ OSAKA ท่านอัยการ Mika


วันที่ ๓ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ ไปเที่ยว Nikko เมืองมรดกโลก เสียค่ารถไฟประมาณ ๓,๖๐๐ เยน กับ ค่าเข้าชมวัดอีก ๑,๓๐๐ เยน รวมค่าเดินทางรถไฟในเมือง กับค่าอาหาร เบ็ดเสร็จ วันนี้ จ่ายเงินไป ๕,๘๖๐ เยน เห็นจะได้ ที่จริงผมเสียค่าโง่ไปด้วย เพราะตั๋วรถไฟ ของบริษัทท่องเที่ยวไป Nikko นี่ มันรวมอยู่ใน ค่ารถไฟแล้ว แต่ผมอ่านไม่เข้าใจซะงั้น เลยต้องไปซื้อตั๋วค่าเข้าชมวัดอีกรอบ ...โง่บัดซบ



ณ Ginza แหล่งชอบปิ้งสำคัญของโตเกียว


วันที่ ๔ - ๕ มิ.ย. ๔๙ ไปพระราชวัง Imperial มาวันหนึ่ง แล้วก็ก็เดินเล่นรอบ ๆ บริเวณ Nezu กับ ตลาดรอบที่พัก สองวันนี้เสียตังค์ไป ๒,๐๐๐ เยน ได้



รถบรรทุกเครื่องดนตรีของตำรวจ ชุมชนสัมพันธ์
และ ชุดเครื่องแบบในพิพิธภัณฑ์ตำรวจโตเกียว


วันที่ ๖ มิ.ย. ๔๙ ไปเดินเล่นบริเวณสวนพฤษชาติ ใจกลาเมืองโตเกียว ไม่มีอะไรมากครับ เสียค่าตั๋วไป ๒๐๐ เยน ช่วงผมไปนี่ ไม่เหมาะกับเดินชมสวนแล้ว เพราะไม่มีดอกไม้แล้ว ต้องประมาณ เม.ย. ถึง พ.ค. ครับ สวนจะสวยมาก ๆ



กวางเชื่อง ๆ ที่ NARA & วัดหลวงพ่อโต


วันที่ ๗ มิ.ย. ๔๙ ไปเที่ยวที่ AWAGOE เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น Little Edo คือ มีบ้านเรือนเก่า ๆ สร้างด้วยโลหะสีดำ ตั้งเรียงราย เพื่อป้องกันระเบิด แล้วก็มีถนนที่ผลิตขนมโบราณของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ในอดีต ค่ารถไฟ Tobu line ประมาณ ๙๐๐ เยน รถไฟใต้ดินอีก ๓๒๐ เยน ค่ารถเที่ยวชมเมือง เป็นรถบัสแบบ classic อีก ๕๐๐ เยน นั่งได้ทั้งวัน ที่สำคัญ ต้องเสียค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ อีก รวม ๆ หมดไป ๓,๐๐๐ เยน ได้

วันที่ ๘ - ๙ มิ.ย. ๔๙ ไม่ได้ทำอะไร อยากพักผ่อนบ้าง เลยนั่งเฉย ๆ อยู่บ้านซะงั้น

วันที่ ๑๐ - ๑๑ มิ.ย. ๔๙ ไปเที่ยวอีก แต่คราวนี้ ไปนั่งเรือ จาก Asakusa เพื่อไป Odiba หรือเกาะเทียมที่ญี่ปุ่นสร้างจากกองขยะ เมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว งานนี้ เสียค่าเรือไปประมาณ ๒๐๐๐ เยน นั่งเรือชมสะพานไปเรื่อย ๆ จนถึงโอไดบะ อย่างกับสวรรค์เลย เข้าชมพิพิธภัณฑ์เรือ และพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่นี่ สุดยอดจริง ๆ รวมค่าใช้จ่าย หมดไป ๗,๐๐๐ เยน เห็นจะได้

วันที่ ๑๒ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ เริ่มดูงานที่ Ministry of Justice และ Office of Public Prosecutor เสียทีครับ น่าประจำใจมาก กับการให้การต้อนรับ ของเลขานุการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานอัยการญี่ปุ่นแห่งนี้ ตอนนี้ ดูการพิจารณาคดีของศาลญี่ปุ่น ฟังคำบรรยายกระบวนการทำงานของอัยการ ตอนกลางวัน กินข้าวกับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานอัยการญี่ปุ่น ตอนบ่าย ดูระบบการเก็บของกลาง การเก็บสำนวนของอัยการ ตอนเย็น Moko เพื่อนที่เป็นอัยการของญี่ปุ่น ได้พาไปกินข้าว แบบบริเวณ ใกล้เคียง เธอเลี้ยงข้าวผม หมดไป เกือบ ๑๐,๐๐๐ เยน เห็นจะได้



ดูงานตำรวจ ที่ National Police Agency และ
Tokyo Metropolitan Headquarters


วันที่ ๑๓ มิ.ย. ๔๙ ผมซื้อตั๋วเข้า สวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ ไปโตเกียว แบบเหมาจ่าย เข้าได้ทุกที่ รวม ๒,๐๐๐ เยน แล้วก็ไปเดินที่ Ueno Zoo เจ๋งมากครับ มีรถไฟ (สำหรับเด็ก ๆ และคนแก่) รอบ ๆ Zoo เพื่อนั่งชมสัตว์ด้วยครับ (หมดไป ๒,๕๐๐ เยน)

วันที่ ๑๔ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ดูงานที่ National Police Agency ที่ตั้งอยู่ใกล้ Ministry of Justice & Imperial Palace ตั้งแต่เช้า ก็ฟังคำบรรยาย เกี่ยวกับระบบตำรวจ และ Community Policing จากนั้น ไปดูงานที่ Tokyo Metropolitan Police Headquarters แล้วไปดู การจัดระบบตำรวจสัมพันธ์ ให้บริการแก่ประชาชน ตามรูปแบบ Koban หรือ ป้อมตำรวจ แบบญี่ปุ่นที่เหมือนเป็น Center ของชุมชนในการแก้ไขปัญหาของสังคม น่าประจำใจครับ (เสียตังค์ค่าอาหาร ค่ารถไฟ ฯลฯ ประมาร ๔,๕๐๐ เยน)



แหล่งช้อปปิ้ง บาร์ และ สถานบันเทิง ที่ชินจุกุ


วันที่ ๑๕ มิ.ย. ๔๙ ไปดูพิพิธภัณฑ์ในโตเกียว หลายที่เหมือนกัน ดูประวัติศาสตร์ของการตั้งเมืองโตเกียว ที่ย้ายมาจาก เกียวโตะ (Kyoto) กับ Osaka ก่อนจะรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จในยุคนั้น ก่อนจะมาเป็นโตเกียว รวมถึงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นไม่พูดถึงอะไรที่ตนไปรุกรานชาวบ้านเขาเลย พูดแต่ว่า ตนได้รับความเสียหายอย่างไร .... (เสียตังค์ค่าเข้าชม ค่าอาหาร ฯลฯ รวม ๓,๐๐๐ เยน)

วันที่ ๑๖ มิ.ย. ๔๙ ไป Yokohama เมืองชายแดนห่างจากโตเกียวประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ วันนี้ พิเศษนิดนึง เพราะถูกตำรวจญี่ปุ่น เรียกให้หยุดตรวจ ที่สถานี Nishipori ก่อนถึงสถานี Tokyo เพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟไป Yokohama เขาสงสัยว่าผมเป็นพวกชาวหลบหนีเข้าเมือง ตำรวจญี่ปุ่น สุภาพดีจังเลยครับ โค้งจนแทบจะติดพื้นก่อนขอตรวจค้น ผมก็ให้ความร่วมมือด้วยดี แล้วก็ไม่มีอะไร เดินทางต่อไป ที่น่าประทับใจที่สุดของ Yokohama คือ ทางเมืองจัดสวนสาธารณะไว้บนดาดฟ้าของสำนักงานท่าเรือให้คนไปเดินเล่น แล้วก็ชมทะเล ได้ฟรี แล้ว China Town ที่นี่ สะอาดและสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยก็ว่าได้ แต่ของแพงชะมัด ไม่เหมือน China Town ในสหรัฐครับ ของถูกสุด ๆ วันนี้ เบ็ดเสร็จ เสียค่ารถ สาย JR ไป ๑,๘๒๐ เยน ค่ารถไฟใต้ดินอีก ๓๒๐ เยน รวมค่าอาหาร ฯลฯ วันนี้ ใช้จ่ายไป ๓,๓๐๐ เยน



ณ เมืองโยโกฮาม่า


วันที่ ๑๘ - ๒๓ มิ.ย. ๔๙ เดินทางไป หลายเมือง ตั้งแต่ Osaka, Nara, และ Kyoto ครับ การเดินทางไป Osaka เพื่อไปดูงาน สำนักงานอัยการเขต Osaka และ สัมภาษณ์ตำรวจที่เมือง Osaka ภายใต้การต้อนรับของ Mika อัยการ เพื่อนร่วมสถาบัน U of Illinois ของผม

วันที่ ๑๘ มิ.ย. ๔๙ ซื้อตั่วรถไฟ ชินกังเซ็น ค่าไปกลับรวม ๒๗,๐๐๐ เยน เร็วดุจดังเครื่องบิน นั่งจากโตเกียวไปโอซาก้า แค่ไม่ถึง ๔ ชั่วโมง ถึงสถานี ชิน-โอซาก้า แล้ว มิกะ และ สามีของเธอ คือ ทาเก้า มารับ แล้วพาไปเที่ยวประสาท โอซาก้า ก่อน เธอก็จ่ายค่าเข้าให้ แล้วยังใจดี ออกค่าที่พักให้ที่นั่งอีก ๒ คืน ๓ วัน (ราคาประมาณ ๕,๐๐๐ เยน ต่อคืน) แถมจะออกค่ารถไฟด่วนให้ด้วย แต่ผมว่ามันมากเกินไป เลยไม่ขอรับ

วันที่ ๑๙ มิ.ย. ๔๙ มิกะ บอกว่า เธอได้ วางกำหนดการให้ผมไปดูงานที่สำนักงานของเธอ และพบกับผู้บริหารระดับสูงของเธอ ในวันที่ ๒๐ มิ.ย. ๔๙ เธอจึงให้ผมไปเที่ยวเมืองใกล้ ๆ ก่อน ผมเลยนั่งรถไฟไป เมือง Nara เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ที่นี่มีพระพุทธรูปองค์โตที่สุดของญี่ปุ่นประดิษฐานอยู่ มีอีกหลาย น่าชมมากครับ เสียค่ารถไฟไปประมาณ ๑,๓๐๐ เยน ค่าเข้าชมวัดอีก ๘๐๐ เยน รวม ๆ เสียตังค์ไป ๔,๓๐๐ เยน ได้มั๊ง



ณ Kamakura ที่ผมประทับใจมาก


วันที่ ๒๐ มิ.ย. ๔๙ ดูงานที่สำนักงานอัยการญี่ปุ่น พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง เยี่ยมชมสำนักงานและฟังบรรยายที่ UNAFE แล้วก็พูดคุยกับตำรวจญี่ปุ่น จนเย็น กลางวัน หัวหน้าอัยการที่นี่ เลี้ยงอาหารกลางวัน เพิ่งเคยกินบะหมี่เย็น ครั้งแรก แปลกดี แต่ก็อร่อยครับ บะหมี่ บนน้ำแข็ง กินกับซุบร้อน ๆ มัน ก็ขำนิดหน่อย ...สำหรับผม ตอนเย็น มิกะ นัดกินข้าว ผมขอเลี้ยงเธอตอบแทนบ้าง แต่เธอไม่ยอม เลยเจอกันครึ่งทาง เอาเป็นว่า ครึ่ง ๆ แล้วกัน รวมหมดไป ๓,๐๐๐ เยน ครับ



ณ โอซาก้า และ โอซาก้า ยามค่ำคืน


วันที่ ๒๑ มิ.ย. ๔๙ เดินทางไป Kyoto ก่อนกลับโตเกียวครับ เมือง Kyoto เป็นเมืองหลวงเก่า ที่เป็นมรดกโลก เสียค่ารถเที่ยวชมแบบเหมาจ่าย หาซื้อตั๋วได้ที่สถานบริการนักท่องเที่ยวบริเวณสถานี Kyoto ราคา ประมาณ ๕๐๐ เยน เท่านั้น รถบัสจะวิ่งในเส้นทางที่กำหนด เราขึ้นลงเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าออกนอกเส้นทาง ต้องเสียเพิ่มตามระยะทาง ที่แพงมาก ก็คือ ค่าเข้าชมวัดครับ เมืองนี้ รอดพ้นการทิ้งระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เพราะการเป็นที่ตั้งของมรดกโลก สำคัญ ๆ นี่แหละครับ สหรัฐ ต้องการรักษาไว้ เลยไม่ทิ้งระเบิดที่นี่ หลังจากเที่ยวเสร็จก็นั่งรถไฟ ชินกังเซ็น กลับเมืองโตเกียวครับ รวมค่าใช้จ่าย ก็ประมาณ ๔,๖๐๐ เยน (ไม่รวมค่า ชินกังเซน ที่ซื้อไว้ล่วงหน้าแล้ว อีก ๑๒,๗๕๐ เยน)

๒๓ มิ.ย. ๔๙ ตอนแรกกะจะพักผ่อนที่บ้านครับ ไม่อยากทำอะไรมาก แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไว้แล้ว เหมารวมไปแล้ว ไม่ใช่ก็เสียดาย เลยไปดู พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล จาก Disney land ของญี่ปุ่นเท่าไหร่ นั่งรถไฟ ออกไปนอกเมือง ปัดโถ่เอ๋ย ดันนั่งประเภท Express มันไม่จอดสถานี พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ไปหยุดที่สถานี Tokyo Disney land แทน ... ผมเลยแวะเข้าไปดูซะเลย แล้วก็นั่งรถไฟ Local กลับไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์ มาถึงทางเข้า เหลืออีก ๕ นาทีจะ ๔ โมงเย็น ... อีก ๕ นาที มันจะปิดแล้ว เลยใส่ตีนหมา วิ่งโกยไปที่หน้าปากทาง เจ้าหน้าที่ยิ้มแก้มปริ แล้วก็ให้เข้าเป็นคนสุดท้ายครับ มีสัตว์น้ำหลายหลากมาก ๆ ผมถ่ายภาพมาเพียบเลย เอาให้คุ้ม ครับ ..



พิพิธภัณฑ์ และโตเกียว อะควาเรี่ยม


๒๔ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ ตื่นแต่เช้าไปดูตลาดประมูลปลาทูน่า ขนาดยักษ์ ตั้งแต่ตีห้านิด ๆ ราคาปลาที่เขาประมูลกัน กว่าล้านเยน เลยครับ แต่ปลาก็ตัวใหญ่ ยาวเกือบสองเมตร จากนั้น ไปวัดเจ้าปัญหา ที่เขาว่า วิญญาณนักรบจะมาสิงห์สถิตย์อยู่ หากนายกญี่ปุ่นไปไหว้นักรบเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นว่า สนับสนุนสงคราม เมื่อนั้น (เสียค่าใช้จ่ายไป ๑,๒๒๐ เยน)



สุสานนักรบ และตลาดประมูลปลาสด


วันที่ ๒๕ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ ไปดูทุ่ง Iris ที่เมือง Chiba ดอกไม้ครับ ที่มีการแสดงรำ และบริการท่องเที่ยวทางเรือ ของคนพื้นบ้าน มีหมอดูด้วยแฮะ แล้วก็กลับบ้านตอนเย็น ค่ารถไฟแพงหน่อย ไปกลับ ก็เกือบสามพันเยนแล้ว เบ็ดเสร็จเสียตังค์ไป ๕,๐๐๐ เยน

วันที่ ๒๖ - ๒๗ มิ.ย. ๔๙ ไม่ได้ทำอะไรมาก ผมชอบตลาดชาวบ้านของญี่ปุ่นครับ เลยไปดูมาหลายครั้งแล้ว ที่ Sendagi น่ารัก สะอาด ของอร่อย สองวันนี้ ขี่จักรยานไปเที่ยวที่ตลาด แล้วกินอาหารในตลาด หมดไป ๑,๗๐๐ เยน ได้มั๊ง



ณ Kamakura & เด็ก นร. ญี่ปุ่น


วันที่ ๒๘ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ นัดอาจารย์ ที่ Chuo University - Law School ไว้ สนทนากันได้ ประมาณ ๓ ชั่วโมง เกี่ยวกับระบบกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาของญี่ปุ่น อาจารย์ญี่ปุ่น สองท่าน พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก สนุกสนานมาก เพราะคุยกันเรื่องวัฒนธรรมด้วย แล้วก็ แน่นอนครับ เข้าหัวข้อวิจัยของผม เกี่ยวกับ การแสวงหาพยานหลักฐาน และคำรับสารภาพของผู้ต้องหาในคดีอาญา น่าสนใจมาก



อาหารญี่ปุ่นที่แสนจะสวย ฯ
กับ ท่านเจ้าภาพ อัยการ โมโกะ


วันที่ ๒๙ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ มีนัดไปสนทนากับ Professor ที่ Waseda University - Law School ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่วันนี้ มีล่ามแปล เป็น นศ. ป.เอก ที่นี่ แปลให้ฟังว่า อาจารย์พูดว่าอะไร เพราะอาจารย์ไม่อาจสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดี ตอนกลางวัน อาจารย์ ที่เคยเป็นผู้พิพากษาเก่า พาไปกินข้าว แล้วก็พาชมมหาวิทยาลัย ศาลจำลอง ฯลฯ พูดคุยกันจนเย็น สนุกสนานมากครับ



พระราชวัง Imperial & ตำรวจญี่ปุ่น


ตอนเย็นไปกินซูชิ กับเพื่อน ๆ แล้วก็ซื้อเสื้อผ้า จากแหล่งชอบปิ้งราคาถูก ใกล้ ๆ กับร้านซูซิ น่าเสียดายผมจำชื่อไม่ได้ หมดไป ๘,๑๕๐ เยน เห็นจะได้ ได้เสื้อผ้ามาสัก ๕ ตัว มันใช้ดีจริง ๆ ผมยังใช้จนถึงทุกวันนี้

วันที่ ๓๐ มิ.ย. ๔๙ วันนี้ ได้นัดพูดคุยกับ ผู้พิพากษา ประจำศาลโตเกียว สนทนา วิธีการพิจารณาและการรับฟังพยานหลักฐาน ที่พนักงานอัยการและตำรวจดำเนินการสอบสวนมา ตั้งแต่ บ่ายจนเย็น ... ขอบคุณครับ คุณ SAKATA

วันที่ ๑ ก.ค. ๔๙ วันนี้ เป็นการเดินทางไกลอีกวัน เพราะได้ไป Hakone มาครับ ปกติ อากาศดี ๆ จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ อย่างเด่นชัด ผมไปวันนี้ เห็นอยู่ ๕ นาที เห็นจะได้ แต่เพื่อนผมมันว่า โชคดีแล้ว มันพาคนอื่นไป เกือบ ๑๐ ครั้ง ไม่เคยเห็นแต่แต่เงา ผมนั่งรถไฟ Romane ไป เสียค่าเดินทาง ไปกลับ ประมาณ ๗,๗๒๐ เยน รวมทั้งค่ากระเช้าไฟฟ้า ขึ้นไปชม แหล่งแร่กำมะถัน และ ค่านั่งเรือในอ่าวของ Hakone ด้วยแล้ว สนุกสนานดีครับ เสียดายที่เห็นภูเขาฟูจิ สั้นไปนิดหน่อย



นั่งกระเช้าไฟฟ้า ขึ้นชมภูเขาไฟฟูจิ


วันที่ ๒ ก.ค. ๔๙ ก็เตรียมตัวกลับเมืองไทย แต่ตอนเย็น ก็นัดคุยกับ ศิษย์เก่า ของ U of Illinois, College of Law ที่ปัจจุบัน เป็นกรรมการ Law Firm แห่งหนึ่ง ในโตเกียว เกี่ยวกับระบบทนายความและนักกฎหมายในญี่ปุ่น ท่านก็เล่าเรื่องการเป็นทนายความ บทบาททนายความในคดีอาญาของญีปุ่น ฯลฯ ขอบคุณ Mr. Yabe ที่อำนวยความสะดวก และประสานงานการพบปะพูดคุยกับ กับอาจารย์ ที่ Chuo U. & Waseda U. ด้วยครับ




วันที่ ๓ ก.ค. ๔๙ ผมก็บินกลับเมืองไทย โดยสายบิน Japan Airline อยู่เมืองไทย ๑ เดือนเศษ ก่อนกลับมาที่สหรัฐฯ เพื่อเขียนรายงานและวิทยานิพนธ์ของผมต่อไป




 

Create Date : 29 มกราคม 2550    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:08:01 น.
Counter : 783 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น: ดูงานศาล และ จักรพรรดิ์ญี่ปุ่น

ตอนที่ผ่านมาได้เล่าเกี่ยวกับการไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ หลังจากดูงานเสร็จ แต่ผมยังไม่เคยเล่าเกี่ยวกับการไปดูงานในเรื่องกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่นเลย

นอกจากสถานที่ดูงานเกี่ยวกับระบบการทำงาน ของศาล อัยการ และตำรวจของญี่ปุ่นแล้ว ผมยังได้มีโอกาสไปสนทนากับอาจารย์ที่สอนทางกฎหมาย ในสองมหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น คือ ที่วาเซดะ (Waseda University) และ มหาวิทยาลัย ชูโอ (Chuo University) ด้วย

วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๔๙ ไปดูงานที่กระทรวงยุติธรรม ( Ministry of Justice) และสำนักงานอัยการสูงสุด (Office of Prosecutor) ตั้งแต่ประมาณ ๐๙.๐๐ น. โดยการต้อนรับของเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม (นาย Ando) กับพนักงานอัยการหลายคนที่สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาโททางกฎหมาย ( LL.M.) จากมหาวิทยาลัย Illinois ที่ผมกำลังเรียนอยู่

หลังจากที่ได้รับการต้อนรับแล้ว พนักงานอัยการก็นำผมไปดูกระบวนพิจารณาของศาลญี่ปุ่น ซึ่งในคดีนี้ เป็นคดีกระทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองโดยหญิงไทย ที่มีล่ามแปลเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจน แปลกระบวนพิจารณาที่ดำเนินการเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ฟังตลอด

หญิงไทยคนนี้ถูกฟ้องร้องว่า เข้าเมืองญี่ปุ่นมาโดยผิดกฎหมายจำนวนหลายครั้ง และถูกเนรเทศกลับเมืองไทยสองครั้งแล้ว แต่ภายหลังแต่งงานกับชาวญี่ปุ่น แล้วเดินทางกลับมาที่ญี่ปุ่น ต่อมา ครอบครัวแตกแยก จึงหย่าร้างกับสามีชาวญี่ปุ่น เธอไม่รู้จะทำอะไรกิน เลยหันไปประกอบอาชีพขายที่นาพื้นน้อย จนมาถูกจับได้ และถูกฟ้องร้องในคดีนี้

กระบวนการพิจารณาของญี่ปุ่น จะเน้นที่ผู้กระทำผิด ยอมรับผิด และสำนึกว่าตนได้ก่อความเดือดร้อนแก่สังคมขึ้นแล้ว ย่อมรับเงื่อนไขที่จะต้องฟื้นฟูความแตกแยก หรือ รอยร้าวที่เกิดขึ้นในสังคม ด้วยเหตุนี้ หากว่า ผู้กระทำผิดยอมรับผิดอย่างแท้จริง ก็จะได้รับโทษน้อยลง ในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพ ทนายความและศาล จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่า คำรับสารภาพนั้นสมัครใจโดยแท้จริงหรือไม่ และ จำเลยรู้สำนึกในการกระทำผิดหรือไม่ หากมั่นใจว่ารู้สึกสำนึกผิดแล้ว และสังคมที่จำเลยอยู่พร้อมที่จะรับจำเลยกลับไปอยู่และควบคุมความประพฤติจำเลยแล้ว ศาล ก็จะไม่ลงโทษ จำเลย โดยจะรอลงอาญา และทำทัณฑ์บนไว้

ด้วยเหตุนี้ กระบวนพิจารณาของคดีประเภทนี้ ในสายตาของผม จึงเหมือนกับการเล่นละคร ที่จำเลยจะต้องตีหน้าเศร้า รู้สึกสำนึกผิด แล้วก็ ร้องไห้ฟูมฟาย ขอความเห็นใจจากศาล โดยมีทนายจำเลย ป้อนคำถามประเภทว่า รู้ไหมว่าตนเองทำผิด จะไม่ทำผิดซ้ำอีกแล้วใช่ไหม ฯลฯ เรื่อยไป จนกระทั่งศาลพิพากษานั่นแหละ เหมือนดั่งละคร

ตอนกลางวันของวันเดียวกันนั้น พนักงานอัยการผู้ใหญ่สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เลี้ยงต้อนรับที่ชั้น ๒๕ ของอาคารสำนักงานอัยการฯ ที่เป็นร้านอาหาร มองลงไปเห็นพระราชวังอิมพีเรี่ยล ของจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น ที่สืบทอดเชื้อสายกันมาจากจักรพรรดิ์องค์แรกของญี่ปุ่น เมื่อประมาณ ๓๐๐๐ ปีเศษที่ผ่านมา โดยมีการสืบเชื้อสายที่บริสุทธิ์ ปราศจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในลักษณะปราบดาฯ แบบไทย ๆ หรือของยุโรป

พระราชวังอิมพีเรียล สร้างในสมัยราชวงเอโด๊ะ ก่อนราชวงศ์เมจิ เรืองอำนาจ แล้วก่อสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ไม่ใหญ่โตอะไร มองเห็นตึกใหญ่ ๆ สองชั้น ๒ ตึก และมีอาคารเล็ก ๆ อีกสักหลังสองหลัง อาคารสร้างด้วยไม้ และปูนเป็นหลักง่าย ๆ ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอะไรเลยก็ว่าได้ จักรพรรดิ์องค์ปัจจุบัน สืบเชื้อสายต่อจากราชวงศ์เมจิที่เรืองอำนาจ และแย่งชิงอำนาจทางการบริหารประเทศมาจากโชกุนได้อย่างเด็ดขาด ถ้าเพื่อนได้เคยดูภาพยนต์เรื่องซามูไร คนสุดท้ายแล้ว ราชวงศ์เมจิ ก็จะตรงกับยุคนั้นพอดิบพอดี

เพื่อน ๆ คงสงสัยว่าเหตุใด กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ เขาจึงไม่เคยฆ่ากันตาย หรือ ถูกซามูไร ฆ่าตายเลย .... เหตุผลก็คือ มาจากอิทธิพลของศาสนาชินโต ที่เชื่อว่าทุกอย่างมีเทพเจ้าสิงสถิตย์อยู่ โดยจักรพรรดิ์คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาชินโต ทำให้กษัตริย์ หรือ จักรพรรดิ์ รอดตายมาได้ทุกครั้ง แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างโชกุน ในหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะในสมัยก่อนราชวงศ์ เอโดะ ที่มีศูนย์กลางอำนาจที่ โอซาก้า ซึ่งเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ระหว่างสองโชกุน ผู้ยิ่งใหญ่ ในสมัยนั้น แต่จักรพรรดิ์ ก็ยังดำรงอยู่

อำนาจทางการบริหารของโชกุน ลดลงอย่างมาก ก็เพราะอิทธิพลของประเทศตะวันตกที่กดดันให้มีการเปิดเสรีทางการค้า ที่ญี่ปุ่นปิดตายมานาน ( แต่ก็มีเรือสินค้าชาวดัชต์ เข้ามาติดต่อซื้อขายที่เมืองท่าอย่างโอซาก้าตลอดมา) ในขณะที่โชกุน ใช้อำนาจบารมี เรียกเก็บค่าคุ้มครอง เข่นฆ่าประชาชน ฯลฯ ตลอดจนห้ามค้าขายกับต่างชาติ ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจมากยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีของราชวงศ์เมจิ จึงได้ที ยึดอำนาจคืนจากโชกุน พร้อมกับกำจัดซามูไร ให้สิ้นซาก โดยใช้กำลังของต่างชาติเข้ามาจัดการ

ภายหลังราชวงศ์เมจิ มีอำนาจแล้ว เนื่องจากกไม่เคยมีอำนาจมาก่อน จักรพรรดิ์ จึงใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่ง ต้องการขยายดินแดนของญี่ปุ่นไปยัง จีน เกาหลี รวมทั้งไทย จนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมา ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง จักรพรรดิ์ จึงกลายมาเป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศ แม้แต่ในศาล ก็ไม่มีรูปจักรพรรดิ์ ติดที่ฝาผนังแบบของเรา ในธนบัตร ก็ไม่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของจักรพรรดิ์ แต่จะมีรูปของนักเขียนนิยายที่มีชื่อเสียง นายแพทย์ผู้ประกอบคุณงามความดีให้แก่แผ่นดิน ฯลฯ เป็นต้น ครับ

เอ่อ ...ต้องขอโทษครับ วกเข้าเรื่องการเมืองจนได้ ... เอาเป็นว่า เรื่องของกระบวนการยุติธรรมญี่ปุ่น และการดูงานสำนักงานอัยการ รวมถึงลักษณะทางสังคม วัฒนธรรม และลักษณะบุคลิกภาพเฉพาะของญี่ปุ่นที่น่าสนใจมาก ๆ นั้น ผมจะได้เล่าให้ฟังต่อไปครับ




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2549    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:07:41 น.
Counter : 842 Pageviews.  

ไปเที่ยวญี่ปุ่น : โอซาก้า นารา และ เกียวโต ( OSAKA, NARA, KYOTO )




I spent three days and four nights, from June 18 to 21, 2006 in other prefectures of Japan: Osaka; Nara; and Kyoto, which were and still are the one of most important city of Nippon. For this reason, I would like to narrate what I have seen to you. In my opinion, culture might the most important factor for all Japaneses to be good person, gentle man, and honest person. They are very proud of their human dignity and cannot be blamed by other persons in communties!





On Sunday 18 of June,2006, waking up in early morning as usual, I caught the fastest train in the World, namely Shinkansen, from Tokyo station to Shin-osaka, which let me arrive for Osaka city in only two and a half hours more or less. You might acknowledge how fast is it if you remember how far and how long if you have to take a normal train from Bangkok to the zenith province of Thailand, which is the same size as Texas, in merely a few hours.





I had been going to Osaka prefecture under an auspice of my Japanese friend, who is a prosecutor in Osaka Prosecutor Office. She is extremely generous enough to informally invite me to see her office and introduce me to meet her bosses, who are very high position in the Japanese Public Prosecutor Office.

Additionally, with the warm utmost hearted reception, I also have a chance to know the functions and the management system of this office. We, her bosses, co-workers, and I, had a wonderful lunch together in the 25th floor of this office building. You might know that Japanese is very strict in the class system or senior and junior system; they, however, treat me as one of their good friends. During this trip, I found that all of prosecutors will be very careful about their life stlye; they will very be aware of contacting with other persons particularly the defendant's relatives. Their life style is very easy because they focus merely on their job. Working hard is not an extraordinory for them; most of Japanese public prosecutors will work from 09:00 hrs untill might night! They are extremly honorable; there is only one case of curruption since the Public Prosecutor office has been established. Maybe, the Japanese culture factors are the most important to instruct their lives in this way.





After I have talked with those public prosecutor, I also have an opportunity to talk with senior police officer about the Japanese police system. It is very curious how to implant the brand new of police officer to be very honorable. The same as prosecutor, in Osaka, only one case of curruption committed by police officer appears in a-10- year period. They are relentlessly implanted about the self-esteem and strict on duties and pay respect to themselves! Under this system, the police instructures as well as the police commanders will occupy the duty to teach their students in police school all over their lifes! To be honest and respectful is the most important that the police office have to enshrine. The salary system of Japanese police is very good! The police will get normal salary and the additonal money to compensate for its danger role of law enforcement officer. They also get good bonus if their performance is excellent! Every step of higher promotion in their duties, they will obtain traing both on job training and in college program.

Let talk about some interesting place in those three cities. During staying in Osaka, where Ms. Mika provided me a -6,000 yen - room per nigh as an accommodation, I spent a few days to visit the old capital cities of Japan like Nara and Kyoto as well as the modern city like OSAKA.





The first one, NARA, used to be the capital city during Nara period. Even a short time, around 75 years, Nara occupied numerous crucial places which saved from being destroyed during WWII based on the rich of culture and heritage of mankind, which thereby presently become the World heritage.

Unlike the latter one, the last one - OSAKA city - used to and still is the most important place for commercial activity and international affair of Japan. If you like the modern life such as "Universal city" as in the U.S.A, and the like, you might fine with this city.

The same as in Shinjuku area which is one of the most popular sightseeing in Tokyo, you might find "Cabugi Jo" or the place for sexual service in this city as well but the price is utterly prohipitted, around 50,000 yens or more for one night stand! If you really want to unfold Japanese girl's kimono, you might easily to obtain and satisfy with the fake sound of "I-TAI, I-TAI", which means "it is very painful but enjoyable, during your lustcious activity. However, you must be very aware of this kind of place becuase you eventually might subject to several problem. For example, because you cannot speak Japanese, consequently, you might be required to pay more and more for such affair and if you want to get out of such place peacefully, you cannot object ! In short, I will not recommend you to get such service!





I have been the first place, NARA, by Japan Railway or JR train, around 650 yens from Osaka to Nara, which frankly I can say the train system is very confusing for all foreigners including me. It, nevertheless, is worth going there to see the the biggest Buddha statue in Japan which is located in this province. One day of wonderful walking around the old city which adopted the grid system, like the new city in the U.S.A., from Tang dynasty of ancient China to set this city is very great experience. I recommend you to come here and see those places by yourselves.





Before coming back to Tokyo, I intentionally stopped by Kyoto station, where I can easily travell around Kyoto city which is the longest and oldest capital city of Japan over 1000 years. Kyoto has occupied and boasted of innumberously stupendous crucial places for Japan history since in the ancient period until now. Over 1,400 temples and shrines are located in this privotal city. Those vital places are recognized as the World heritage which were not detroyed in the WWII due to its vitality. In that critical time, if the U.S.A. decided to destroy this city, where the Emperior occupied, the WWII would suddendly ended at the first automic bomb. However, the U.S.A. made the right call by saving these important places.





When you arrive for Kyoto, I suggest, you might find the information center in front of Kyoto station, and buy a one day ticket, approximately 500 yens, to take a bus in the loop of sightseeing place around this city. This service is very confortable for you to plan and use it by looking into the number of the bus and time schedule as well as the places intriguing to you. The buses are really on time. Kyoto city provides 20 bus lines for its own citizens and everyday innumerous tourists.





Unlike Tokyo, in this city, it might be much better to travell around by taking bus service, rather than taking subway or other type of transpotation service. One of several interesting places is the temple which “Ikkyo-san” , the most intelligent little monk, belonged to when he was yong and spent his life in the religious service. You might not know that the term of "Ikkyo-san" or “ อิคคิว ซัง,” means “let’s me take a rest for a while even though you might get used to such term during an interlude song demonstrating in such cartoon.

In this temple, one of several buildings, at the center of the pond, is covered by “gold,” which is very brilliant. Please do not ask me if it is real gold because I have no idea about it. Umm, I maybe cannot tell you everything I have seen for one day trip in this wonderful city; you should come to discover those yourselves.





Lastly, I would like to say that Shinkansen is also good experience for you to try. It sounds that the price is somewhat high, or "Takai" in Japanese, but very convenient, and I am positive that it is much more comfortable than taking an airplane. You have to pay two kinds of fee; (1) ticket fee and (2) service fee. For example, I have to pay around 7,500 yens from the ticket fee and around 5,500 yens for service fee in order to get Shinkansen. That means I have to spend around 27,000 yens for round trip between Tokyo and Osaka.

Comparatively, it is is cheaper than taking an airplane and much more convenient to boot. During on train, you can walk around the train and you get food service as well as other facilities on such train. However, you have to be very careful about the Japanese habits; hence, please be quiet and turn your cell phone to the silent mode.


Try it whenever you have a chance to come to Japan.





 

Create Date : 22 มิถุนายน 2549    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:06:56 น.
Counter : 1054 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น (ตอน ๓): ไปเที่ยวญี่ปุ่น และกราบหลวงพ่อโต & Kamakura Japan



ประตูทางเข้าวัด Kencho-ji Temple



คราวก่อน ได้เล่าเรื่องลักษณะเฉพาะของชาวญี่ปุ่นบางประการไปแล้ว รวมถึงลักษณะการพูดและภาษาของเขาไปบ้างแล้ว ซึ่งผมต้องกราบขออภัยเพื่อน ๆ ที่ได้อ่าน blog ก่อนไปแล้ว เพราะจริง ๆ ผมเข้าใจผิดบางประการ โดยเฉพาะภาษาพูด ที่ผมได้สรุปไปว่า คำว่า Chotto muste ซึ่งหมายถึง "รอเดี๋ยวนะ" ว่ามาจากภาษาอังกฤษ คำว่า Short ความจริง ไม่ใช่ ครับ คำ ๆ นี้เป็นภาษาญี่ปุ่นของเขาเองครับ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้



วัดนิกายเซน Engakuji Temple ใกล้สถานี Kita-Kamakura



จะว่ากันไปภาษาญี่ปุ่นนี่ ยากจริง ๆ โดยมีลักษณะคำ ๓ แบบ คือ (๒) คาตากานะ ใช้เขียน คำที่มาจากต่างประเทศ (๒) ฮิรากานะ ใช้เขียน คำภาษาญี่ปุ่น (โดยแปลงจากคำคันจิที่ยุ่งยากในการเขียนและจดจำให้ง่ายขึ้นตามแบบฉบับของญี่ปุ่น) และ (๓) คันจิ คือ คำที่รับมาจากภาษาจีน ที่ยากที่สุด เพราะต้องจำเป็นคำ ๆ ไม่น้อยกว่า ๑,๙๔๕ คำ จึงจะอ่านภาษาวิชาการชั้นสูงของญี่ปุ่นได้เข้าใจดี




อีกบรรยากาศหนึ่งของ Enguku-ji Temple ที่ร่มรื่นมาก ๆ



ผมได้ไปท่องเที่ยวต่างเมือง นอกจากโตเกียว มาหลายที่เหมือนกัน คือ ได้ไปที่เมือง Kamakura ที่ห่างออกจากโตเกียวไปสัก ๑ ชั่วโมงนิด กับเมือง Nikko ที่ได้รับการยกย่องเป็น "มรดกโลก หรือ The World Heritage" ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ นับว่าเป็นสถานที่สำคัญ ที่ควรจะต้องแวะเยี่ยมเยียนเมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้ว




วัด Kencho-ji Temple ประกอบด้วยอาคาร ไม้ ๔ หลัง
มีรูปพระพุทธเจ้า ขณะทรงบำเพ็ญทุกข์กริยา ในวิหารด้วย
เขาว่าเป็นวัด Zen ที่สำคัญที่สุด รับเอาพุทธศาสนามา
ประยุกต์ตั้งแต่อดีต ประมาณ ค.ศ. 1253




ลองแวะไปเที่ยว Kamakura กับผมก่อนเลยนะครับ ผมไปสถานที่แห่งนี้ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เมือง Kamakura นี้เคยเป็นเมืองสำคัญของรัฐบาลทหารญี่ปุ่นในอดีต ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๑๙๒ โน่นเลย เก่าแก่มาก มีวัดวาอาราม ตั้งอยู่เรียงรายไปหมดครับ




Goddess Kannon ที่เป็นไม้แกะสลัก มี ๑๑ เศียร
สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๗๒๑ ในวัด Hasedera



การเดินทางในญี่ปุ่น ค่อนข้างจะสะดวกมาก ๆ เพราะมีรถไฟทั้งใต้ดิน บนดิน หลายบริษัท วิงเป็นรวงผึ้งเลย ทำให้คนแทบจะไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวกัน ในกรุงโตเกียว คนส่วนใหญ่ จึงใช้รถจักรยานกันแทนรถยนต์ จอดรถจักรยานแล้วก็ขึ้นรถไฟต่อกันไป สะดวกมาก ๆ แต่สำหรับผมในฐานะคนอ่านและฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ก็อาจจะต้องประสบความยากลำบากมากหน่อย ต้องศึกษาเส้นทางก่อนเดินทางว่า จะขึ้นจากสถานีไหน ไปต่อรถไฟสายไหน สถานีไหน ซึ่งมีรถไฟเชื่อมโยงกันประมาณเกือบ ๒๐ สาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของเอกชนเกือบทั้งหมด ใครจะมาญี่ปุ่น โดยไม่มีคนนำทาง จึงควรศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ จากเวปไซต์ต่าง ๆ เช่น Tokyo Tourist Information Center จาก //www.tourism.metro.tokyo.jp/ เป็นต้นครับ




ทางเดินกลางถนน Nagamiya-Oji Ave แหล่งชอบปิ้ง ระหว่าง
Tsurugaoka-Hachimangu Shrine & Kamakura Station ซากุระจะบานช่างต้นเมษายน




การเดินทางไป Kamakura ไม่ยากเย็นนัก (ยกเว้นที่สถานีโตเกียว) เมื่อไปถึงสถานีโตเกียว แล้วก็สามารถนั่งรถสาย JR Yokosuka ไปลงที่ Kita-kamakura ค่ารถไฟไปกลับ เที่ยวละประมาณ ๗๐๐ เยน (ซื้อแบบเหมารายวัน) ระหว่างทางมีทั้งเสียงภาคภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษตลอดทาง ที่น่าสนใจระบบรักษาความปลอดภัยของเขา ใช้หลายวิธีที่แตกต่างกัน เช่น เปิดเพลงที่แตกต่างกันในแต่ละสถานี เพื่อให้คนโดยสารรู้ว่า ประตูรถไฟกำลังจะปิดแล้ว แต่ถ้าง่ายหน่อย บางสถานี ก็ใช้เสียงนกหวีด คือ จะมีเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟ เดินออกมาสังเกตการณ์ หากเห็นว่าปลอดภัย ก็เป่านกหวีด เพื่อให้รู้ว่า รถไฟออกได้แล้ว



สภาพสวนหลังวัด Kenchoji ร่มรื่นดี



กว่าจะเดินทางมาถึงที่ Kamakura ที่ตั้งอยู่ใน Kanagawa prefecture ซึ่งอยู่ตอนใต้ของโตเกียว ก็ประมาณ ๑ ชั่วโมง แต่กว่าจะขึ้นรถไฟจากสถานีโตเกียวนี่ซิ วุ่นวายพอสมควรเลย เพราะสถานีโตเกียวใหญ่โต สับสนวุ่นวายมาก แต่พอขึ้นรถไฟก็สบายเลย สังเกตว่า รถไฟสายนี้ มันผ่านเมืองสำคัญอย่าง Yokahoma ด้วย ก็ตั้งใจว่าเดี๋ยวถ้ามีเวลาจะแวะมาให้ได้ พอถึงสถานี Kita- Kumakura ผมก็เดินจาก ๐๙.๐๐ น. ไปตามถนน Kamakura-kaido เรื่อยไป จนกระทั่งบ่ายสองกว่า ๆ ได้แวะเข้าชม วัด (Temple) และศาลเจ้า (Shrine) หลายแห่ง ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นวัด จะต้องเสียค่าธรรมเนีย ประมาณ ๒๐๐ ถึง ๔๐๐ เยน รวม ๆ กันแล้ว วันนี้ ผมหมดค่าเข้าชมวัดประมาณ ๑,๗๐๐ เยน




หลวงพ่อโต หรือ Kamakura Great Buddha ที่ Kotoku-in Temple



ผมเพลิดเพลินกับการเดินชม และอ่านประวัติของวัดต่าง ๆ อย่างเหลือเชื่อครับ เพราะวันนี้ ผมเดินไม่ต่ำกว่า ๑๐ กม. ตั้งแต่สถานี Kita-kamakura แวะวัด Engakuji Temple วัดเซน ที่สร้างในปี ค.ศ. ๑๒๘๒ ซึ่งเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่อันดับสอง รองมาจาก Kenchoji Temple วัด Tokeji Temple ที่สร้างในปี ค.ศ. ๑๒๘๕ เพื่อเป็นแหล่งพักพิงให้หญิงในสมัยก่อนราชวงศ์เมจิ ที่ต้องการหย่าจากสามีให้ไปอยู่ที่วัดแห่งนี้ อย่างน้อย ๓ ปี วัด Jochiji Temple และ Kenchoji Temple ที่เป็นวัดเซนที่เก่าแก่ สร้างตั้งแต่ ค.ศ. ๑๒๕๓ และเป็นวัดเซนที่ใหญ่ที่สุด ส่วนวิหารที่สำคัญและสวยงาม สีแดงจัด คือ Tsurugoaka-Hachimangu Shrine สร้างครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๐๖๓ และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ใน ค.ศ. ๑๑๘๐ เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนในปกครองของโชกุน ในสมัยที่ Kamakura เป็นที่ทำการของรัฐบาลทหารโชกุนช่วงนั้น


กว่าจะเดินผ่านวัดที่กล่าวมานั้น ก็เที่ยงเศษแล้ว เลยแวะดูตลาดรอบ ๆ สักหน่อย บ้านเมืองเขาสะอาดจริง ๆ เขาสร้างทางเดินขนาดใหญ่ ที่ปลูกต้นซากุระ ปกคลุมร่มเย็น เป็นช่องทางแบ่งเส้นการจราจร ทางเดินขนาดใหญ่ บริเวณกลางถนนนี้ จะสวยงามมาก ในช่วงซากุระบาน ประมาณเมษายน ของทุกปีครับ เสียดายที่ผมไม่ได้เห็น ผมเดินมาตามถนนดังกล่าว จนมาถึงสถานีรถไฟ Kamakura จากนั้น ก็นั่งรถไฟฟ้า Enoshima Electricity Railway จาก Kamakura ไปยัง Hase station ราคาเที่ยวละ ๑๙๐ เยน




Tsurugaoka-Hachimangu Shrine



จุดหมายปลายทางของผม แห่งแรกที่จะไปหลังจากนี้ ก็คือ ไปสักการะ "หลวงพ่อโต" วัด Kotoku-in Temple อันเป็นที่รู้จักกันในนาม The Kamakura Great Buddha ตามตำนาน เล่ากันว่า พระองค์นี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๒๕๒ ต่อมาใน คริสศตวรรษที่ ๑๕ ได้เกิดคลื่นยักษ์ Tsunami คนไม่ค่อยจะรอด แต่พระรอดจากคลื่นยักษ์นี้ อาคารที่เคยปกป้ององค์พระจากธรรมชาติ ได้ถูกพัดพังทลายไปหมด ทำให้กายเป็นพระกลางแจ้ง ที่มีขนาดใหญ่อันดับสองรองจากพระที่นารา เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น





วัด Hasedera Temple มี ๓ อาคารหลัก สวยงามมาก ๆ



ระหว่างทาง ผมมีเพื่อนสมาชิกตัวน้อยไปด้วยครับ คือ พวกเด็กนักเรียนญี่ปุ่นทั้งระดับประถมและมัธยมต้นครับ ผมเดาว่า ทางโรงเรียนของพวกเขาสอนวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เลยมอบหมายให้เด็ก ๆ มาศึกษาด้วยตนเอง โดยโรงเรียนพานักเรียนมาเที่ยมชมวัด แล้วก็มีแบบสอบถามให้นักเรียนจดหาคำตอบระหว่างการเดินทางชมวัดไปด้วยครับ ผมว่าดีเหมือนกันกับวิธีการเรียนรู้จริง ๆ ที่ไม่ใช่การท่องจำแบบที่เรา ๆ ท่าน ๆ ถนัดครับ




อาคารของพิพิธภัณฑ์


จากนั้น ก็เดินไป Kamakura Literature Museum ซึ่งเดิมเป็นบ้านของเศรษฐี ต่อมาได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ. ๑๙๘๕ โดยประมาณ ค่าเข้าดู ๔๐๐ เหรียญ ผมบอกตรงว่า เสียดายครับ เพราะ มีแต่อักษาญี่ปุ่น ผมอ่านไม่ออก เลยไม่อาจจะเข้าถึงคุณค่าของมันได้ คราวหน้า คงไม่เข้าพิพิธภัณฑ์ แบบ Literature อีกต่อไป เพราะไม่มีภาษาอังกฤษเลย


ผมเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ พร้อมกับความไม่รู้อะไรมากมาย ได้แต่เก็บภาพมาไว้ในที่ระลึกเท่านั้น เดินกลับไปยังวัด Hasedera (The Hase Kannon Temple) ที่มีพระไม้เก่าแก่ สร้างแต่ยุค ค.ศ. ๗๐๐ โน่น เก่าแก่มากจริง ๆ สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะมองลงเห็นวิวทะเลของชายหาด Yuiganama Beach ผมก็คิดว่า ชายหาดต้องสวยแน่ ๆ จึงได้เดินไปอีกประมาณ ๔๐ นาที ผ่านวัดอีกสองสามแห่ง แล้วก็ไปถึงชายหาด ชายหาดที่นี่ ทรายดำมาก ๆ ไม่สวยงามเลย แถมมีคำเตือนให้ระวังเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ Tsunami ไว้ด้วย โดยบอกให้สังเกต อะไรบ้าง แล้วก็หนี แม้ไม่มีสัญญาณเตือนภัย





ภาพถ่ายจากจุดชมวิวของวัด Haseder
มองลงไปเห็นมหาสมุทร สวยงามมาก




เดินกลับมาถึงสถานี Hase station ประมาณ บ่ายสี่โมงเย็น จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานี Kamakura ตอนแรกกะว่าจะขึ้นรถไฟไปยังสถานี Kita-kumakura ตามที่จองตั๋วไว้ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ จึงเดินอ้อม ทาง Hiking ผ่านไป Zeniarai-Benzaiten Shrine ที่เขาเชื่อว่า ถ้าล้างเงินให้สะอาดแล้ว เงินของเราจะเพิ่มเป็นสองเท่า แต่พอไปอ่านประวัติแล้ว จึงรู้ว่า มันเป็นปริศนาธรรมที่ว่า ถ้าคนเราทำงาน ได้เงินมาอย่างบริสุทธิ์ จะทำให้โลกร่ำรวยอย่างเป็นสุขครับ




Yuiganama Beach อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า
Hase station ของ สาย Enoshima Line
เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนและเล่นวินเซริฟมาก



ผมก็ Hiking ไปเรื่อย ผ่านวัด Kaizo-ji Temple วัดเล็ก ๆ ที่ไม่มีคนแวะไปเท่าไหร่ หลังจากเดินผ่านวัดล้างเงิน หรือ วัด Zeniarai-Benzaiten Shrine มาแล้ว จากนั้นใช้เวลาจากวัดนี้ไปถึง สถานี Kita - Kamakura ก็ประมาณ ๓๐ นาที จากนั้น ก็นั่งรถไฟ สาย JR Yokosuka กลับไปยังสถานีรถไฟโตเกียวครับ เหนื่อยมาก จึงอยากกินอะไรอร่อย ๆ เลยแวะไปตลาด Ueno ที่ขายสินค้าราคาประหยัด หยิบใบกระเพราแท้ ๆ มา ๑ กำ ราคา ๓๐๐ เยน รวม ๆ ค่าอาหาร ๒,๐๐๐ เยน สุดยอดครับ ผัดกระเพรา พริกสด ตำเอง แบบขนานแท้ ดั้งเดิม มันช่างแซบหลายจริง ๆ


**************************************



ส่วนภาพต่อไปนี้ คือ ตัวอย่างของ Nikko มรดกโลก ที่อยู่ทางตอนเหนือของ Tokyo ไปทางเหนือ ประมาณ ๑๒๕ กม. เดินทางไปด้วยสาย Tobu Railways ซึ่งต่างจากสาย JR Yokosuka มาก เพราะสาย Tobu Line ไม่ปรากฎเสียงบอกสถานีเป็นภาษาอังกฤษแม้แต่คำเดียวเลย ผมต้องใช้ดูตารางเวลา กับอ่านตลอดทางว่าถึงสถานีไหน เพราะรถไฟญี่ปุ่นนี่ ตรงเวลาสุด ๆ ถ้าตารางบอกว่า จะใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาที ถ้าแน่ใจว่าขึ้นรถถูกขบวน ก็หลับไปได้เลยครับ ได้เวลาก็ตื่นเดินลง ถึงเป้าหมายพอดี .... แล้วเข้ามาติดตามกันตอนต่อไปนะครับ





วัด Toshogu สร้างในยุค Tokugawa Shogunate
ที่ปกครองญี่ปุ่นมากว่า ๒๕๐ ปี จนถึง ค.ศ. ๑๘๑๘







อาคาร Sanbutsudo อาคารหลักของวัด Rinnoji
สร้างโดยพระ Shodo Shonin ผู้เผยแพร่พุทธศาสนา
ในดินแดน Nikko ช่วง คริสศตวรรษที่ ๑๘ ภายในมี
พระพุทธรูป ๓ องค์ขนาดใหญ่ ได้แก่ พระ Amida
พระ Senju-Kannon และพระ Bato-Kanon สวยงามมาก








ผมชอบมากกับการไปสักการะ

พระพุทธรูปที่ Kamakura จริง ๆ

ตั้งแต่ ๗ โมงเช้า ยันเกือบสองทุ่ม

แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่คุ้มสุด ๆ ๆ









หมายเหตุ: ขอขอบคุณข้อมูลจาก เวปไซต์ //www.jnto.go.jp และ คุณ พัชร ที่ให้คำแนะนำในการเดินทางและเอื้อเฟื้อข้อมูลครับ




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2549    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:06:26 น.
Counter : 1639 Pageviews.  

1  2  3  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.