- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
ความรุนแรง กับ สันติวิธี และสองมาตรฐานทางจริยธรรม
บทความฉบับนี้ เป็นความพยายามอีกครั้งที่จะสื่อสารให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะน้อง ๆ และสมาชิกครอบครัวของผมเอง ที่เข้าใจผิดมาโดยตลอดว่า ผมส่งเสริมให้ฝ่ายเสื้อแดง กระทำผิดกฎหมายและสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนและสังคม ... ผมยืนยันมาตลอดว่า ผมส่งเสริมให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) และ ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง เพราะความรุนแรงจะนำมาสู่ปัญหาใหม่ ๆ อย่างไม่สิ้นสุด การแก้ไขปัญหา จึงอยู่ที่การค้นหาต้นตอของปัญหา หรือ Root of Conflicts แล้วแสวงหาจุดร่วมเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ตรงประเด็น และ ทุกฝ่ายชนะ (Win-win resolution) โดยนำหลัก collaborative governance และ Interest-Based Negotiation มาใช้ โดยนำทุกกลุ่มที่ขัดแย้งมาร่วมกันหาทางออก ไม่ใช่แค่ แดงกับรัฐบาล หรอกครับ ต้องทุกฝ่ายจริง ๆ ซึ่งทุกอย่างต้องนำหลักสันติวิธีมาใช้ .... ไม่ว่าจะต้องพยายามหนักแค่ไหนก็ตาม
ผมขอยืม คำพูดนายอภิสิทธิ์ฯ ที่กล่าวไว้เมื่อ ๒ ปีก่อน หลังเหตุการณ์ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ " ผู้ชุมนุม (พันธมิตร) จะทำผิดหรือทำถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ชุมนุมทำผิด แต่รัฐบาลกระทำผิดไม่ได้ ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ทำร้ายประชาชนไม่ได้ ...ในชีวิต ไม่เคยคิดว่าจะมีรัฐบาลที่ทำร้ายประชาชนถึงชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยับใส่ร้ายประชาชนอีกด้วย ...." ถ้ารัฐบาลยังไม่ลืมคำพูดของตนเอง ก็รีบหาทางแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีเถอะครับ ... ผมลองวิเคราะห์แบบหยาบ ๆ และหาตัวแบบทางแก้ไขปัญหาดังนี้
หลังจากมีกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองมานานพอสมควร ซึ่งน่าจะย้อนหลังไปนานตั้งแต่ ปี ๒๕๔๙ เป็นต้นมา การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มีความขัดแย้งเริ่มแต่ การต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลทักษิณฯ โดยกลุ่มพันธมิตร จนกระทั่งมีการรัฐประหาร
ยุทธศาสตร์ที่กลุ่มพันธมิตรใช้ คือ การนำสัญลักษณ์ที่สาธารณชนเคารพนับถือมาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อให้ประชาชนเห็นคล้อยตาม โดยการเสนอข่าว และ ชักจูงมวลชนผ่านสื่อสารมวลชนให้เข้ามาร่วมอุดมการณ์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยการเสนอข่าวที่มีลักษณะเป็น Propaganda สนับสนุนความเห็นของผู้นำกลุ่มของตน โดยนำสีเหลือง และสีฟ้า มาใช้เป็นเครื่องมือในการรับรองความชอบธรรมในการชุมนุม จนนำไปสู่ภาวะบ้านเมืองอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง ทำให้รัฐบาลต้องประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ พรรคการเมืองฝ่ายค้าน (ปชป.) ได้เข้าร่วมสนับสนุนให้การเมืองมีความสลับซับซ้อน โดยการไม่สมัครลงรับเลือกตั้ง จนในที่สุด มีการรัฐประหารเกิดขึ้น แล้วเขียนรัฐธรรมนูญ ๕๐ ขึ้นมา
การเมืองจึงยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น เมื่อภายหลังจากรัฐประหารแล้ว ฝ่ายการเมืองที่ถูกระบวนการรัฐประหารกำจัดให้สิ้นอำนาจ เช่น การเขียนรัฐธรรมนูญแบ่งเขตพื้นที่ในการเลือกตั้ง สส.สัดส่วน การจำกัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม การใช้กฎหมายย้อนหลัง การแต่งตั้งคณะบุคคลที่มีอำนาจพิเศษในองค์กรอิสระในการรักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร ฯลฯ โดยพรรค ปชป. ไม่สามารถชนะการเลือกตั้ง แต่พรรคที่ถูกจำกัด ยังคงสามารถชนะการเลือกตั้งเสียงข้างมากได้ จึงมีการจัดตั้งรัฐบาล และ พันธมิตร ไม่ยอมรับ
การไม่ยอมรับของพันธมิตร นำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่เพิ่มความกดดัน ตั้งแต่การยึดทำเนียบรัฐบาล และ การยึดสนามบิน จนกระทั่งมีการใช้กำลังสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ทำให้เกิดคนตาย ๑ คน จากเหตุการณ์สลายการชุมนุม และมีนายตำรวจตายเพราะแรงระเบิดที่เกิดจากรถยนต์ของตนเอง ในขณะนั้น รัฐบาลก็ได้ขู่จะใช้กำลังสลายการชุมนุม และแต่งตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ฯ ผบ.ทบ. เข้าจัดการปัญหาในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ปรากฎว่า พล.อ.อนุพงษ์ฯ ในขณะนั้นเข้าใจปัญหาได้ดี บอกว่า "ปัญหาทางการเมือง ต้องแก้ไขด้วยการเมือง" ไม่ใช่ การใช้กำลังทหารเข้าปราบปราม
นักวิชาการต่าง ๆ ก็เห็นพ้องต้องกันว่า "ความรุนแรง" ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไร นอกจากจะสร้างความขัดแย้งร้าวลึกยิ่งขึ้น นักสันติวิธี จึงอยากให้ทั้ง พันธมิตร และ รัฐบาล เจรจากัน แต่ความพยายามก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีฝ่ายใดถอย ... จนกระทั่งมีการบาดเจ็บล้มตายแล้ว สังคมก็ทนไม่ได้ กับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าผู้ชุมนุมจะผิดหรือถูก หรือไม่ก็ตาม รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมไม่ได้ ...
นี่คือ มาตรฐานทางจริยธรรมของคนในสังคมที่ผมเชื่อว่า สังคมไทยมาถูกทางแล้ว ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไร ความถูกต้อง เป็นธรรม และความเข้าใจที่ดีระหว่างสมาชิกในสังคมด้วยกันเท่านั้นที่จะช่วยให้สังคมดำรงอยู่ได้ หากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ตรงไปตรงมา หรือสองมาตรฐาน ก็ยิ่งทำให้กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ คนจะเลียนแบบว่า เขาทำได้ ฉันก็ทำได้
การดำเนินการของรัฐที่กระทำการที่เรียกว่าสองมาตรฐานนี้ ถือว่า เป็นกรณีที่รัฐได้สร้างความรุนแรงในเชิงโครงสร้าง (Structural Violence) ต่อประชาชนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล อันนำไปสู่การต่อต้านรัฐบาล และเลียนแบบการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายในลักษณะเดียวกัน อันนำไปสู่ความรุนแรงในระดับที่เรียกว่า Liberative Violence สังคมก็เดือดร้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ปรากฎการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง คือ ปรากฎการณ์แห่งการต่อสู้ที่ตอบสนองต่อความรุนแรงในเชิงโครงสร้างที่รัฐสร้างขึ้นมาโดยรัฐบาล การกระทำการที่เป็นการเลียนแบบ คือ การยึดสถานที่สำคัญ ๆ ซึ่งรัฐบาลในชุดปัจจุบัน ไม่ได้ดำเนินคดีใด ๆ กับกลุ่มพันธมิตร ตั้งแต่การยึดทำเนียบ และ การยึดสนามบิน มันจึงเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ความรุนแรงในระดับปัจเจกชน ที่เลียนแบบการกระทำของอีกกลุ่มหนึ่ง
แน่นอนที่สุด คือ ความเดือดร้อนของคนจำนวนมาก ... ปรากฎว่า คราวนี้ นักวิชาการ และคนในสังคม ดันมีความดัดจริดเกี่ยวกับความรุนแรงที่ไม่ยอมรับในอดีต มาเป็นการยุยงส่งเสริมให้รัฐใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา ซึ่งผมนำเสนอมาตั้งแต่ใน Blog แรก ๆ ของกลุ่มนี้ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในระยะยาว
ผมไม่คิดว่า ความรุนแรงโดยฝ่ายรัฐ จะนำไปสู่ความสุขสงบของสังคมในระยะยาว ตรงกันข้าม ความรุนแรง จะนำมาสู่แต่ความร้าวลึก ความเจ็บปวด และ ความคิดในเชิงโครงสร้างอันนำไปสู่ความแตกแยกอย่างรุนแรง ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงคัดค้านการกระทำของรัฐบาลที่จะใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมมาโดยตลอด โดยมองว่าทุกคนคือคนที่มีชีวิตจิตใจ ผมมองต่างกับรัฐบาล เพราะรัฐบาลจะชอบทำให้เกิดความรุนแรงตั้งแต่ ก่อนจะพวกเสื้อแดงจะมาชุมนุม เพราะ รัฐบาลพูดต่อสื่อมวลชนทุกสาขาว่า พวกเสื้อแดงคือศัตรูของแผ่นดิน คือ คนที่จะล้มล้างสถาบัน พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทำให้เกิดความเกลียดชังอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน
การประกาศของรัฐบาลในทำนองดังกล่าว นำไปสู่ความรุนแรงที่มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการกระทำที่รัฐบาลแสวงหาความชอบธรรมในการสลายการชุมนุม โดยการใช้สื่อสารมวลชนที่มี propaganda ที่พยายามเสนอข่าวด้านเดียว เสนอความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ เสนอความเดือดร้อนของผู้ตกงาน ฯลฯ โดยสื่อสารมวลชน ไม่สนใจ Root of Conflict หรือ รากเหง้าของปัญหา ไม่เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่สันติและสร้างสรรค์ แล้วรัฐก็ลงมือปราบปรามประชาชนที่เห็นแตกต่างจากตนโดยการใช้กำลังและความรุนแรง จนมีผู้คนเสียชีวิตกว่า ๒ โหล เจ็บกว่า ๘๐๐ คน
สังคมกับดัดจริต สองมาตรฐานว่า ความรุนแรงใช้ได้กับคนกลุ่มนี้ บางคนที่ผมรู้จักบอกว่า ใช้ความรุนแรงกับควายแดง ไม่เป็นไร ตายก็เอาเลือดไปล้างตีน ฯลฯ ผมจึงคิดว่า ใครก็ตามที่มีจิตใจโหดร้ายเช่นนี้ เขาไม่ควรจะเป็นคนไทย หรือ ไม่สมควรแม้จะเป็น "คน" ด้วยซ้ำ เพราะยิ่งพูดไม่สร้างสรรค์แบบนี้ ยิ่งจะสร้างปัญหาเชิงระบบและโครงสร้างให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการยัดเยียดข้อหาร้ายแรงให้พวกเขา ยิ่งทำให้เขาต้องสู้ตาย .. ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลกระทำแม้แต่น้อยว่าทำไม ไม่ยอมพูดคุยหรือเจรจาอย่างที่จะให้เกิดผล ไม่ใช่การโต้แย้ง หรือ Debate ทางโทรทัศน์เพื่อแสวงหาจุดยืนหรือความชอบธรรมให้ฝ่ายตนเองเท่านั้น อย่างเช่นการออกทีวี สองรอบ ที่ผ่านมา มันไม่อาจจะเรียกว่า "เจรจา" ได้เลย
ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของรัฐบาล ไม่ใช่เพราะสนับสนุนให้ฝ่ายแดง ทำความเดือดร้อนให้แก่สังคม ทำความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจบ้านเมือง แต่ผมเรียกร้องไม่ให้รัฐบาล รวมถึงผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา โดยการจากเหตุการณ์วันที่ ๑๐ เม.ย.๕๓ ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลหลอกให้ประชาชนไปรวมตัวที่ราชประสงค์ในวันที่ ๘ เม.ย.๕๓ แล้วพอวันที่ ๑๐ เม.ย.๕๓ ก็ลงมือปราบปรามเขาเลย และวิธีการปราบปรามก็ผิดหลักอย่างมาก เช่น การปล่อยแก๊สน้ำตาลงมาจากเครื่องบิน ซึ่งมีน้ำหนักมาก ถูกหัวคนก็ตาย และบริเวณดังกล่าวก็ถูกจำกัด คนอาจจะบาดเจ็บล้มตายได้มาก ซึ่งผิดอย่างมาก ( แต่ก็น่าแปลก ที่ระเบิดน้ำตาเหล่านั้น ไม่ทำให้ใครแขนขาขาดได้ ..... )
ผมอยากให้รัฐบาล ลองพิจารณาแนวทางสันติวิธี ซึ่งมีหลายแนวทาง และฝ่ายผู้ชุมนุมก็เสนอให้เจรจาไปแล้ว นักวิชาการและนักสันติวิธี ก็ขอแล้วขออีก วุฒิสภา ก็ขอแล้วขออีก ฯลฯ แต่รัฐบาลปฏิเสธโดยสิ้นเชิง โดยบอกว่า ถ้าจะเจรจา อย่ามาเสนอเงื่อนไขกับรัฐบาล ... รัฐบาลปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เพราะการที่ผู้ชุมนุมเสนอข้อเรียกร้องมาเช่นนั้น ก็ไม่ได้แปลว่า มันพูดจาต่อรองกันไม่ได้ เช่น เรียกร้องยุบสภาใน ๓๐ วัน มันอาจจะจบลงที่ ๓ เดือน ๕ เดือน ก็ได้
ในทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่อง Peace & Conflict Resolution Study นั้น มีหลายแนวทาง ผมได้เสนอไปตั้งแต่ blog แรก ๆ ว่า สันติวิธีคือทางที่ดีที่สุด ที่นี้ ทำอย่างไร ผมก็เสนอให้นำหลัก Collaborative Governance มาใช้ คือ การดึงเอาตัวแทนทุกภาคส่วนมาร่วมกันคิด ตัดสินใจ และ กำหนดนโยบายร่วมกัน ... ไม่ใช่ แค่มาแสดงความเห็น แล้วรัฐบาลจะเอาหรือไม่เอาก็ได้ ถ้าจะยึดตัวแบบนี้ ก็ต้อง เอาตัวแทนของทุกกลุ่มที่ขัดแย้ง (Conflicting Groups) มาประชุมหารือร่วมกัน
แนวทางการเจรจาหารือ ก็ต้องยึด Interest-Base Negotiation คือ ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ร่วมกันในการเจรจา โดยคำนึ่งผลประโยชน์ของทุกฝ่าย และ ผลประโยชน์ส่วนรวมมาพิจารณา ซึ่งจะมีกระบวนการ หรือ Process ในการเจรจา เช่น กำหนดกฎเกณฑ์ว่า ให้แต่ละฝ่ายเริ่มพูดจุดยืนของตนเองก่อน แล้วหาจุดร่วม หรือ Common Interest / Common Ground ของทุกกลุ่ม จากนั้น ก็อาจจะมีการประชุมกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่ม เรียกว่า เจรจานอกรอก ไม่เผชิญหน้ากัน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็ประชุมร่วมกันอีก หลาย ๆ รอบ เป็นต้น
การเจรจาแบบ Interest-Based Negotiation จึงแตกต่างจากสิ่งที่เรียกว่า Traditional Negotiation อย่างมาก หากเป็นการต่อรองแบบดั้งเดิม ก็คือ แต่ละฝ่ายจะเรียกร้องให้มากที่สุด แล้วก็จะคุยกันไม่ได้ เพราะแต่ละฝ่ายจะมุ่งแต่ Win-lose แต่ในขณะที่ Interest-Based Negotiation จะมุ่งค้นหา Win-Win เท่านั้น คือ ไม่มีฝ่ายใดแพ้ แต่หาจุดร่วม (Common Ground) ร่วมกันของทุกกลุ่ม
ผมได้เสนอแนวทางดังกล่าวไปแล้ว หากใครสนใจอ่านก็จะทราบว่า เป้าหมายสุดท้ายที่เราต้องการ คือ ความเข้าใจของทุกกลุ่ม การมีกติการ่วมกันในการดำเนินชีวิต อย่างมีความสุขสงบที่แท้จริง และผมก็เน้นว่า การใช้กำลังทหารปราบปรามนั้น มันทำให้เกิดความสงบได้แค่ระยะนั้นเท่านั้น ... เรียกว่า ปราบที่ดี ก็เกิดที่ใหม่ เมื่อปัจจัยพร้อม แล้วจะต้องเจอปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเท่าใด
บทสรุป :
ผมคิดว่า ถ้าอดทน เมตตา ไม่คิดร้าย ค้นหาความจริง และเยียวยากับความเสียหาย ไม่ยอมรับความรุนแรง และพยายามนำหลักสันติวิธีมาใช้ ในที่สุด สันติวิธี จะไม่มีวันแพ้ มีแต่ชนะกับชนะ แล้วเมื่อหลักเกณฑ์ดี เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย บ้านเมืองก็จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ผมยืนยันว่า นักวิชาการอเมริกา ทำวิจัยนานแล้วว่า รัฐบาล ไม่อาจจะทำให้ประชาชนเคารพกฎหมายด้วยกระบอกปืนหรอกครับ ... นักรัฐศาสตร์ ก็บอกว่า รัฐบาลอยู่ได้ด้วยการยอมรับของประชาชน และการใช้กระบอกปืนค้ำคอเขา ก็ไม่อาจจะนำมาซึ่งการยอมรับได้ ดังนั้น เมื่อประชาชนไม่ยอมรับ กฎหมายมันก็บังคับใช้ไม่ได้ .. หรือแม้บังคับได้ ก็เป็นการแก้ไขปัญหาชั่วคราวเท่านั้น ... การเจรจาและแสวงหา Common Ground ของทุกกลุ่ม จึงเป็นจุดหมายร่วมของทุกคน
ถ้ากฎเกณฑ์มันดี แล้วทุกอย่างก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมาเอง ลองดูเยอรมันซิครับ ย่อยยับอับจนจากผู้ปกครองเผด็จการ และสงคราม แล้วเขาเรียนรู้จากบทเรียนอันเจ็บปวด สร้างหลักเกณฑ์ที่ดีขึั้นมาบนความเข้าใจของทุกคน ประเทศเขาก็เจริญรุดหน้าอย่างมั่นคงได้ ประเทศไทย ก็น่าถือว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือพัฒนาการของบ้านเมือง แล้วแสวงหาจุดดีเป็นบทเรียนในการสร้างชาติไทยให้แข็งแกร่ง อย่าใช้ความรุนแรง เพราะความรุนแรงนอกจากจะไม่สร้างชาติให้แข็งแรงขึ้นมาได้ ยังเป็นบ่อนทำลายชาติระยะยาวด้วย ... ใจเย็น ๆ แล้วหันมาเจรจากันดีเถอะครับ สันติวิธี ไม่มีคำว่าสายเกินไปครับ
ปล. หวังว่า น้องและครอบครัวของผมจะเข้าใจความคิดที่แท้จริงว่าของผม
Create Date : 30 เมษายน 2553 |
Last Update : 8 มิถุนายน 2553 8:19:54 น. |
|
2 comments
|
Counter : 728 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คนสองภาค วันที่: 30 เมษายน 2553 เวลา:14:27:04 น. |
|
|
|
| |
|
|