*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
เวียดนาม กับการสร้างตำนานแห่งชัยชนะของเวียดกง ผ่านปากป้าเพ็ญ ไกด์ อาวุโส


การไปเวียดนามกับ คศน.๔ ในปี ค.ศ.๒๐๑๔ ช่วงเดือนที่ค่อนข้างร้อนของเวียดนามในช่วงมิถุนายน เมื่อไปถึงสนามบินของฮานอย ก็แลกตังค์เอาเงินล้านเสียก่อน เราก็ทะเล่อทะล่าเข้าแลกเงินโดยไม่ดูอัตราแลกเปลี่ยน เพราะคิดว่าทุกธนาคาร น่าจะกำหนดอัตราไว้เท่ากัน เมื่อเราเข้าคิวแรก พี่น้อง คศน. ก็เลยซวยต่อคิวมาหลายคนด้วย ปรากฏว่าแมว เดินมาเธอแลกได้อัตราดีกว่าเราตั้งเกือบ ๖๐ ดองห์ โอ้ย เจ็บใจที่สุด ตรงที่ว่า ในสนามบินนี่ เรายังเหมือนเสียรู้เข้าจนได้ แต่ว่า แมว เธอเก่งจริง ๆ นะ

อันนี้ ไม่ใช่การเสียรู้ครั้งแรกในการมาเวียดนาม เพราะมาเวียดนามเป็นครั้งที่ ๓ แล้ว หลังจากสำเร็จการศึกษาจากอเมริกา ประเทศที่เจริญทางวัตถุมากมาย แล้วได้มีโอกาสท่องเที่ยวในยุโรป และประเทศที่เจริญแล้วจำนวนมาก จึงตั้งใจว่า จะหันกลับมาท่องเที่ยวในประเทศที่ยังไม่ปนเปื้อนด้วยวัฒนธรรมสมัยใหม่ในเอเชียให้หมด จึงได้มาเวียดนามเมื่อ ๓ ปีที่ผ่านมา และมาประชุมในฐานะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับเวียดนามในด้านอาชญากรรม แต่ในครั้งก่อน ๆ ไม่มีไกด์นำ หรืออธิบายอะไรมากมาย เพราะซื้อหนังสืออ่านเอง กับการมาแบบวีไอพีในครั้งที่สอง ที่ตำรวจเวียดนามอำนวยความสะดวกตลอดทริปการเดินทาง โคตรมหาอำมาตย์ก็ว่าได้

ในการเดินทางมาในครั้งที่ ๓ เป็นการเดินทางที่มีภาระหนักสุด คือ ต้องอ่านหนังสือมาเล่าเรื่องจำนวน ๒ เรื่อง กับหาหนังเก่ามาเกี่ยวกับคดีประตูน้ำ ( Water Gate ) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกามาเล่าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนฟัง พร้อมกับเรื่องอาวุธสงครามในช่วงที่สหรัฐอเมริกาต่อสู้กับเวียดกง ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ผมจะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้นี่แหละครับ เป็นเรื่องราวของหญิงเหล็ก เวียดกงรุ่นผู้เฒ่า ที่ถืออาชีพมาเป็นไกด์ในการนำทริปให้พวกเราครับ เธอยิ้มด้วยสายตาเป็นประกายไฟใส่ผม พร้อมกับพูดภาษาไทยชัดเจน จนบางครั้งเธอเล่าว่า เธอลืมภาษาเวียดนามไปก็มี เพราะใช้ภาษาไทยมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ต้องนึกคำเวียดนามกันเลยทีเดียว เธอคนนี้ เล่าเรื่องราวเวียดนามเหนือที่มีชัยชนะต่ออเมริกาด้วยความภาคภูมิใจแบบเกินล้านเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

เธอเล่าเรื่องราวของ ลุงโฮ อันเป็นที่รักของเธอตั้งแต่ชีวิตลุงโฮ ยังเป็นเด็ก ถูกข่มเหงรังแกจากผู้ปกครองฝรั่งเศส ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไม่ได้ดูแลครอบครัว เมื่อกลับมาแผ่นดินเกิด ก็ต้องต่อสู้เพื่อเอกราชและเสรีภาพของชาวเวียดนามเหนือที่ถูกกดขี่โดยฝรั่งเศสมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นต้นมา เธอเล่าความน่ารังเกียจของจักรพรรดิเวียดนามอย่างหมดเปลือกในทัศนคติของพวกเขา “เวียดกง” โดยเฉพาะต่อจักรพรรดิไคห์ดิง และจักรพรรดิเบ๋าได๋ ที่เลวร้ายในสายตาของเธอ เธอเล่าวีรกรรมความกล้าหาญของชาวเวียดกงในการต่อสู้ในหลายสุมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็นเดียนเบียนฟู ในเว้ หรือในเวียดนามไต้ ซึ่งเป็นการเล่าแบบ “คนละเวอร์ชั่น” ที่น้องอ้น และประวัติศาสตร์อื่น ๆ เขียนไว้อย่างสิ้นเชิงได้อย่างมหัศจรรย์ จนทำให้รู้สึกว่า “ฉันแม่งโคตรอยากเป็นเวียดกงเลยวะ” สุดท้ายเธอเล่า ความเกียจคร้านของชาวเวียดนามใต้ ความสุรุ่ยสุร่ายของชาวเวียดนามใต้ และความยินดีปรีดีของชาวเวียดนามใต้ที่ได้พบเจอทหารเวียดกง การไชโยโห่ร้องที่เวียดกงบุกยึดโฮจิมินห์เพื่อปลดปล่อยเวียดนามใต้จากสหรัฐอเมริกาฯ ด้วยความยินดีประมาณค่าหามิได้ ฯลฯ ซึ้งอะไรจะขนาดนั้น

ผมขอเล่าจากความทรงจำอันริบหรี่บางช่วงบางตอนที่ผมได้ยินจากปากป้าเพ็ญ สาวใหญ่วัย ๗๐ ที่มีไฟอย่างแรงกล้า ศรัทธาต่อโฮจิมินห์อย่างสุดซึ้ง ประหนึ่งเป็นเทพเจ้าของเธอ ดังนี้ ช่วงหนึ่งที่เราไปเคารพศพลุงโฮ และพิพิธภัณฑ์ข้าง ๆ สุสานลุงโฮ เธอได้พูดถึงวีรกรรมและความเสียสละอย่างมากมาย ซึ่งหากผมประเมินชัยชนะของเวียดนามต่อฝรั่งเศสและสหรัฐฯ นั้น ก็มาจากความสามารถของลุงโฮฯ แต่ส่วนประกอบสำคัญ ๆ คือ การเมืองภายในของทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐฯ เองเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง กับการเมืองระหว่างประเทศที่จีนและรัสเซีย กับประเทศในโลกคอมมิวนิสต์ที่มีส่วนอย่างมากเช่นกัน แต่กระนั้น การเล่าของป้าเพ็ญ ก็ดูเหมือนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมากจากคนชื่อ โฮจิมินห์ เพียงคนเดียวเท่านั้น (ขอแทรกสักนิดกันลืม คือ ในระหว่างการเยี่ยมชมสุสานลุงโฮ ผมยังมีความประทับใจที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ผมเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงตนเองขณะเดินผ่านตู้กระจกที่บรรจุศพลุงโฮ เพราะอากาศเย็นมาก ปรากฏว่าทหารที่ยืนเรียงรายในอาคาร มาสะกิดเตือนว่า สุภาพ ๆ หน่อย ห้ามเอามือล้วงกระเป๋านะ พ่อเจ้าประคู๊น ผมขอโทษนะครับ ไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่เคารพหรอก แต่เล่นเปิดแอร์ซะขนาดนั้น กลัวคนดูเน่าหรือไง ผมยังไม่ตายนะครับ)

ป้าเพ็ญเล่าว่า ตอนลุงโฮ เริ่มยึดฮานอยได้แล้ว ก็ไม่ยอมใช้ทำเนียบประธานาธิบดี ที่เต็มไปศิลปะคล้ายฝรั่งเศส แต่ไม่ได้เป็นเพราะรังเกียจอะไรหรอกนะ แต่ลุงโฮ ต้องการอยู่กับชาวบ้าน ติดดิน กินอยู่อย่างพอเพียง จึงไปสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ ในบริเวณใกล้ ๆ กัน พร้อมกับนำต้นมะม่วงมาปลูกในบริเวณนั้น เพราะในฮานอย ไม่มีมะม่วง ลุงโฮ ซึ่งเป็นคนต่างจังหวัด คิดถึงบ้านของตนเอง จึงนำมันมาปลูกจนวันนั้น ถึงวันนี้ ต้นมะม่วงใหญ่โตมาก ถามว่าสวยไหม ต้องถามเจ๊เกรซ ครับ เธอวิ่งไปกลางถนน แล้วบอกให้ผมว่า “พล ถ่ายรูปให้พี่หน่อย” เธอชอบมากจริง ๆ ครับ ผมคิดไงเหรอ ก็งั้นแหละครับ แต่เพื่อมิให้เจ๊เกรซแกเขิน ผมเลยขอให้เจ๊เกรซถ่ายภาพให้ผมด้วย ๆ 555555

ในบริเวณบ้านมีรถหรู ๆ หลายคันจอดในโรงเก็บรถ ลุงโฮ ป้าเพ็ญเล่าว่า ลุงโฮ ไม่ยอมใช้รถเลยนะ โดยลุงโฮ พูดทำนองว่า “แหม่ ชาวบ้านเขายังไม่มีใช้เลย เราจะใช้ได้อย่างไรกัน” ซึ่งผมชมป้าในใจในการสร้างวีรบุุรุษของป้าจริง ๆ ป้า บอกว่า การใช้ชีวิตเรียบง่าย พอเพียงของลุงโฮ จึงเป็นตัวอย่างการทำงาน และการดำเนินชีวิตของชาวเวียดนามเหนือเยี่ยงพระเจ้า ลุงโฮ ได้ทุ่มเทชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อชาวเวียดนาม โดยลุงโฮเชื่อว่า แผ่นดินเวียดนาม จะแบ่งแยกไม่ได้แม้แต่ตารางมิลลิเมตรเดียว แต่ลุงโฮไม่ได้เห็นวันที่เวียดนามเหนือและใต้รวมกันหรอกครับ ลุงโฮ ถึงแก่กรรมไปก่อน แต่แรงบันดาลใจและสิ่งที่ลุงโฮ กระทำไว้ ทำให้ชาวเวียดนามต่อสู้เพื่อลุงโฮ ดำเนินตามปนิธานของลุงโฮในการรวมชาติจากอเมริกาผู้รุกรานจนสำเร็จได้ โดยลุงโฮ ไม่มีโอกาสได้รู้เห็นเลย ป้าเพ็ญ บอกว่าชาวเวียดนามเชื่อว่า ลุงโฮ คือ เทพเจ้ามาเกิด เพราะเขาได้ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส เข้าได้ต่อสู้ในการรวมชาติ และเขาตายในวันเดียวกับเขาได้ประกาศเอกราชไว้ ดังนั้น ก็มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งผมตั้งคำถามอย่างน่าสงสัยตลอดมา คือ ลุงโฮ จะตายวันไหน ใครก็เขียนได้ ประวัติศาสตร์ก็เขียนโดยผู้ชนะทั้งนั้นแหละ จะยกย่องเชิดชูอย่างไรก็ทำได้ แต่ในอีกใจหนึ่ง โถ่เอ๋ย ทำไม ไปอกุศลกับป้าเพ็ญเขาขนาดนั้นได้ มันต้องจริงซะครับ

ป้าเพ็ญ ยังเล่าการต่อสู้ของวีรชนของเขาในสงครามกับจีนที่ทะเลสาบคืนดาบ ที่อดีตแม่ทัพจัดการเอาตอไม้มาปักซ่อนในปากอ่าว ยันเรือรบของจีนที่เข้ามารุกรานให้หลบหนี พร้อมกับใช้น้ำเผาจนตายเรียบ ทำให้เวียดนามอยู่สงบสุขมายาวนาน เธอจึงสรุปว่า ชาวเวียดนามไม่เคยแพ้ใคร (แหม มันช่างคล้ายกับประวัติศาสตร์ชาติไทยแลนด์ของเราจริง ๆ เราไม่เคยแพ้ใคร ไม่เคยเป็นเมืองขึ้น ไม่เคย ฯลฯ เต็มไปหมด ภูมิใจมากมายจริง ๆ) แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทึ่งและประหลาดใจกับค่านิยมของชาวเวียดนามเหนือ คือ การบนบานสานกล่าวของเขาต่อพระเจ้า คือ การร้องขอให้ลูกเรียนเก่ง ๆ ไม่ใช่ขอหวยแบบไทย ๆ ไม่ใช่ขอให้โชคดีแบบไทย ๆ เลย มันช่างงดงามและน่าภาคภูมิใจจริง ๆ ตำนานตึก อาคาร ภาพวาด ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งการตั้งใจเรียน เสมือนปลาว่ายทวนน้ำข้ามเขื่อน หากปลานั้นเจ๋ง นั้นเก่ง ก็จะกระโดดข้ามเขื่อนมาเป็นเทพเจ้าเป็นมังกร ฯลฯ ภาพวาดต่าง ๆ จึงกลายเป็นปริศนาธรรมอย่างน่าพิศวงไปเลย
กลับมาเรื่องตำนานแห่งชัยชนะที่ป้าเพ็ญพร่ำพูดตลอดเวลา ผมว่าเป็นไปด้วยการปรุงแต่งเสริมเพิ่มเติมให้โฮจิมินห์ยิ่งใหญ่ จักรพรรดิของตนเองเลวร้าย ชาวเวียดนามใต้ไม่ดี สุรุ่ยสุร่าย อเมริกาชั่ว ฝรั่งเศสย่ำยีพวกเขา ไม่ได้สร้างอะไรให้พวกเขา ทิ้งไว้แต่ความเจ็บปวด เธอเล่าระหว่างไปดูงานที่เว้ ตอนที่กษัตริย์เบ๋าได๋ ประกาศต่อหน้าประชาชน ๒๐,๐๐๐ คน ในการสละราชบัลลังก์ว่า “เรายอมเป็นประชาชนที่เสรี ดีกว่าเป็นจักรพรรดิ์ที่ไร้เสรีภาพ” จึงขอยกแผ่นดินให้โฮจิมินห์แทน ผมคุยกับเพื่อนหลายคน ตั้งข้อสังเกตว่า จักรพรรดิ โดนมีดจี้อยู่ข้างหลังหรือเปล่านะ จึงได้พูดคำคมเช่นนั้นได้ แต่ผมก็คิดอย่างมองโลกในแง่ร้ายว่า มันต้องมีดาบปลายปืนที่ยึดมาจากอเมริกานั่นแหละ จี้ที่เอวเบ๋าได๋แง๋แก๋ ไม่งั้นไม่พูดได้คมขนาดนั้นหรอก เพราะต่อมาเบ๋าได๋ ก็หนีไปตายที่ต่างประเทศ พร้อมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเขา ถ้าสละราชบัลลังก์ด้วยความเต็มใจอย่างที่พูดจะหนีไปทำไมกันละ ความจริงยิ่งปรากฎชัด ตอนที่ป้าเพ็ญ พาไปดูสุสานพระเจ้าไคห์ดิง พระบิดาบุญธรรมของจักรพรรดิ์เบ๋าได๋ ป้าเพ็ญ สับไคห์ดิงจนเละเทะ ไม่มีชิ้นดี เป็นกษัตริย์เลวร้าย ฟุ่มเฟือย รีดนาทาเล้น ประชาชนอดอยากก็ยังเอาเงินที่ได้มาทั้งหมด เอาไปซื้อเครื่องทอง หินอ่อน วัสดุตกแต่งสุสานของเขาเองอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เธอเรียกพระจักรพรรดิ์ของเธอว่า “ไข่ดิ้น” เฉย ๆ เสียด้วยซ้ำ พร้อมกับเล่าความเลวร้ายในการเอาใจฝรั่งเศส ไม่สนใจทุกข์ยากของประชาชนชาวเวียดนาม เช่นเดียวกับเบ๋าได๋ ที่เอาแต่หม้อหญิง วัน ๆ ไม่สนใจการงาน ตามคำกล่าวของเธอ

มาถึงตอนนี้ ผมนึกถึงประวัติศาสตร์ชาติสยามเป๊ะ ๆ ครับ จะเปลี่ยนรัชสมัยที เรื่องราวว่ากษัตริย์องค์ก่อนไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ หลงใหลอิสตรี ไม่สนใจการงานบ้านเมือง บางยุคก็บอกกษัตริย์บ้าบอ บังคับพระสงฆ์กราบไหว้ แผ่นดินเป็นทุรยศ จึงต้องปราบดาภิเษกขึ้นใหม่ เหมือนกันเลยจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใครเลยจริง ๆ

อีกตอนหนึ่ง ที่ป้าเพ็ญพูดถึงความภาคภูมิใจในชัยชนะในสมรภูมิเวียดนามไต้ ป้าเพ็ญเล่าว่า ชาวเวียดนามใต้ ยินดีปรีดาที่เวียดกง ทหารเวียดนามเหนือที่ต้านอเมริกาเข้ามายึดเมือง “ชาวนครไซ่ง่อน ดีใจที่พวกเราเข้ามาปลดปล่อยพวกเขาจากอเมริกามากนะค่ะ เขาต้อนรับอย่างดี” อีกตอนหนึ่งเธอเล่าว่า “ตอนดิฉันเข้ามาไซ่ง่อน ชาวไซ่ง่อนกลัวพวกเรามากค่ะ ดิฉันเคยซื้อจักรยานยนต์ ฮอนด้าใหม่ ๆ ได้ในราคา ๖๐,๐๐๐ ดองห์เท่านั้นค่ะ”

ผมเลยงงว่า คุณป้ามีปัญหากับระบบความคิดตนเองหรือเปล่านะ สรุปเขาดีใจหรือกลัว หรือเศร้า ฯลฯ หรืออะไรกันแน่ครับ ป้าเพ็ญยังบอกต่อไปว่า ชาวเวียดนามใต้ เอาแต่สุรุ่ยสุร่าย แต่งตัวสวย ๆ ไปวัน ๆ บ้านเรือนสกปรก เช่าบ้านเล็ก ๆ เอาเงินเอาทองไปเที่ยวหมด ไม่รู้จักอดออม จึงไม่มีบ้านอยู่อาศัย พวกเธอต้องเข้ามาสอนให้ชาวเวียดนามใต้รู้จักประหยัดอดออม รู้จักคิด รู้จักสร้างบ้าน สร้างอนาคต ฯลฯ มาถึงตอนนี้ ผมแทบหัวเราะออกมาครับ เพราะใคร ๆ ก็ทราบดีว่า สภาวะเศรษฐกิจชาวเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ตอนนี้ ต่างกันราวฟ้าเหว ถ้าจะเปรียบเทียบเวียดนามเหนือยังมีบ้านช่องเล็ก ๆ อยู่กันทั้งครอบครัว เด็ก ๆ ไม่อยากอยู่บ้านเพราะไม่เป็นส่วนตัว เลยต้องไปแว๊นๆ ข้างนอกแทน ในขณะที่เวียดนามใต้ โดยเฉพาะที่ไซ่ง่อนฐานะดี ร่ำรวย ฯลฯ แหม่ ๆ ถ้าคนสอนให้คนอื่นรู้จักประหยัดเพื่อมีบ้าน ท้ายที่สุดไม่มีอะไรเลยนี่ ผมว่ามันน่าเบิร์ดกระโหลกจริง ๆ นะครับ

อีกหลายเรื่องนะครับ ที่อยู่ในความทรงจำของผม โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า อเมริกาแพ้สงครามหรือไม่ เวียดนามชนะสงครามต่ออเมริกาหรือไม่ สำหรับผมเอง คิดว่าถ้าจะตอบว่าใช่ ก็ใช่นะครับ แต่ถ้าจะตอบว่าไม่ใช่ ผมก็ว่ายุติธรรม เพราะจริง ๆ มีหลายปัจจัยทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนตัวจากสงคราม ไม่ว่ากระแสโลกที่ต่อต้านการทำสงครามของสหรัฐฯ การใช้สารพิษกับประชาชนชาวเวียดนาม การโจมตีพลเรือนที่เวียดกงใช้เป็นโล่มนุษย์ในสงครามทำให้สหรัฐฯ มีภาพโหดร้าย ทารุณ ไร้มนุษยธรรม ในสายตาชาวโลก ซึ่งปัญหาดังกล่าว มาพร้อมกับปัญหาการเมืองภายในของสหรัฐฯ เอง รุมเร้าให้ประธานาธิบดีนิกสัน ไม่ให้ความสนใจกับสงครามเวียดนามเท่าที่ควร พร้อมกับการบริหารงานของรัฐบาลหุ่นเชิดของเวียดนามใต้ ที่ไร้ประสิทธิภาพ ทุจริตคอรับชั่น ได้งบประมาณจากสหรัฐอเมริกาไปเท่าไหร่ ก็ลดแลกแจกแถมกันเองหมด พร้อมกับการรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสหรัฐฯ ในการต่อสู้สงครามว่า ได้รับชัยชนะ ฯลฯ ก็เลยทำให้เวียดนามใต้เสียเปรียบและถอยร่นตลอดเวลา

ผมขอยกตัวอย่างสงครามภายในอเมริกาเอง คือ คดีประตูน้ำ หรือ Water Gate ที่มีการจับได้ว่า มีการบุกรุกเข้าไปโจรกรรมข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ (Democrat) และภายหลังเชื่อมโยงโดยนักข่าว Washington Post ให้เห็นว่า ผู้ที่เข้าไปโจรกรรมนั้นมีความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประธานาธิบดีนิกสัน โดยมีวัตถุประสงค์ไปดักฟังนโยบายการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งฝ่ายพรรคสาธารณรัฐ (Republican) เห็นว่าได้รับคะแนนนิยมนำกว่าพรรคของตนเอง ซึ่งตอนแรกประธานาธิบดีนิกสัน ซึ่งไม่รู้เห็นด้วยกับการดำเนินการของคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงของพรรคของเขาได้ดำเนินการไป ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสืบสาวถึงต้นตอว่าชายทั้งห้าคนดังกล่าวได้รับการจ้างวานจากใคร แต่อิทธิพลของการค้นหาความจริงจาก Washington Post โดยนักข่าวเล็ก ๆ สองคนได้ดำเนินการไป จนข้อมูลเปิดเผยว่าเกี่ยวพันกับเช็คมีมูลค่าจำนวนนับแสนเหรียญที่สั่งจ่ายให้คณะกรรมการเพื่อการหาเสียงให้กับนิกสัน จนท้ายที่สุดมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลถึง ๔๒ คน พร้อมกับการดำเนินการเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีนิกสันด้วย แต่นิกสัน ได้ลาออกจากตำแหน่งเสียก่อน ในขณะเดียวกัน สาธารณชนซึ่งไม่นิยมในตัวของนิกสันจากคดีอื้อฉาวดังกล่าวอยู่แล้ว ยังมีการเบื่อหน่ายสงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อมายาวนาน ก็ได้พากันเดินขบวนต่อต้านประธานาธิบดีนิกสันและสงครามเวียดนามด้วย

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จะเห็นได้ว่า จะเป็นใครก็ตาม หากต้องไปดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในขณะที่มีแต่เรื่องวุ่นวายขนาดนั้น ใครจะเอากำลังมาทุ่มเทกับสงครามเวียดนามที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้น แต่ต้องมารับขี้จากสิ่งที่ฝรั่งเศสได้ก่อเอาไว้ตั้งแต่ต้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ต้องถอนตัวจากสภาพสงครามดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเห็นว่า สงครามเวียดนามนั้น มีอะไรซับซ้อนมากมายกว่าที่ป้าเพ็ญ สาวเวียดกงรุ่นดึกได้เล่ามา ชัยชนะในมโนของเธอ จึงเป็นเพียงข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งที่เต็มไปด้วยการปรุงแต่งข้อมูล สร้าง Propaganda ให้เห็นถึงพระเอกขี่ม้าขาวที่ดับสูญไปเนิ่นนานแล้ว กลายเป็นพระเจ้าในดวงใจของเธอ จนป้าเพ็ญ ได้ละเลยปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวียดนามในปัจจุบัน เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดดโดยไม่สนใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาคอรับชั่นที่ลุงโฮ ไม่ต้องการ ปัญหาสังคม ไม่ว่าจะท้องก่อนแต่ง หรือการทดลองมีเซ็กส์ของวัยรุ่น โดยไม่ป้องกันใด ๆ ปัญหาแรงงาน และปัญหาต่าง ๆ ที่ป้าเพ็ญ ไม่เคยพูดถึงแม้แต่นิดเดียวครับ

สุดท้าย ผมว่าเวียดนามในสายตาของผม คือ ดินแดนแห่งความโหดร้าย คราบน้ำตา และโทรศัพท์ เพราะได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนาน ยากลำบาก แร้นแค้นสุด ๆ แผ่นดินจึงเต็มไปด้วยปัญหา ขโมยขโจร ที่เราต้องระแวดระวังตลอดเวลา การโกงนักท่องเที่ยวที่กระพริบตาไม่ได้ ปัญหาค่าครองชีพที่แพงพอสมควร ซึ่งมาพร้อมกับปัญหาสังคมที่ คนรุ่นเก่าอย่างป้าเพ็ญ และเวียดกงละเลย ไม่ว่าจะคอรับชั่นที่สูงมาก และการปิดกั้นเสรีภาพในความคิดของประชาชนอย่างร้ายแรง เอ่อ ... มาถึงตรงนี้ ท่านอาจจะถามว่า เกี่ยวอะไรกับโทรศัพท์ ........... ผมแค่อยากจะบอกว่า ผมขอขอบคุณน้องแพ๊บนะครับ ที่กรุณาซื้อ Sim พิเศษ ต่อโทรศัพท์ แล้วเปิดเป็น Bluetooth เป็น Router ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้พวกเราตลอดเวลา สาวใต้ที่มีน้ำใจงาม เปิดโทรศัพท์จนแบตตารีหมดเสมอ ๆ ซึ่งแตกต่างจากอาจารย์เม้ง ที่ท่านต่อแผ่นผลิตกระแสไฟฟ้าไว้บนหมวกของท่าน แบตตารี่จึงไม่มีวันหมด พร้อม ๆ กับการเปิด Router ให้พวกเราใช้ตลอดเวลา ใคร ๆ ก็คิดว่า สองคนนี้ มีเสน่ห์มากมาย เพราะมีแต่คนห้อมล้อม ซึ่งความจริง ไม่ใช่หรอก ... คือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีเสน่ห์หรอกครับ แต่เป็นเพราะเรารักท่านทั้งสองอย่างจริงใจด้วยครับ

ในอนาคต หากมีโอกาส ผมก็วางแผนจะไปดินแดนแห่งความโหดร้าย กับคราบน้ำตาอีกแน่ แต่คราวหน้า ผมคงต้องหาซื้อซิมแบบน้อง ๆ เขาด้วยตนเองแล้ว ผมจึงจะใช้โทรศัพท์เพื่อเล่าเรื่องราวให้การพัฒนาบ้านเมืองของชาวเวียดนามให้เพื่อน ๆ ได้ฟังได้อย่างไม่ขาดตอน ผมจะไปเพื่อพิสูจน์ว่า เวียดนามจะเจริญก้าวหน้ากว่าไทยในเร็ววันจริงหรือไม่ และคำพูดที่ว่า “ชาวเวียดนาม ๑ คน ทำงานมากกว่าคนไทยรวมกัน ๔ คน จริงหรือไม่” ครับ




Create Date : 28 กรกฎาคม 2557
Last Update : 28 กรกฎาคม 2557 23:59:14 น. 0 comments
Counter : 770 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.