- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
กฎหมายชุมนุม กับการสลายการชุมนุม ... ตัวอย่างที่น่าสนใจ
ความจริง ผมเป็นขาประจำอยู่เวปไซต์หนึ่ง คือ Bio Law Com ซึ่งใน Blog ผมก็มีจัดทำลิงก์ไว้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมรู้จักท่านเขียนงานด้านกฎหมายไว้น่าสนใจหลายประการ ท่านกำลังศึกษา ป.เอก ที่ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไทย เพราะกฎหมายเยอรมัน ก็เป็นต้นแบบของกฎหมายไทย หลายเรื่อง และมีคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงจบจากที่เยอรมันเยอะ แม้บางท่านจะเริ่มไขว้เขวไป สนับสนุนหลักการการอะไรก็ได้ที่ต่อต้านทักษิณฯ เท่านั้น ก็พอ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้ สำหรับอาจารย์ มธ. ที่จบจากเยอรมัน ท่านหนึ่ง แต่ก็ช่างมันเหอะ
ผมได้นำบทความที่ Bio Law Com มาตัดแปะไว้ เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ น่าจะได้รับการเผยแพร่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ดังนี้ครับ
สลายม็อบ
หลังเหตุปะทะกันระหว่างตำรวจและกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สำหรับผมแล้ว ไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเลย (แต่น่าเสียใจหรือไม่ ก็อีกเรื่อง) ที่ว่า ต้องมีแถลงการณ์ที่เอาแต่ประนามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ออกมามากมายอีกตามเคย ที่ไม่แปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถลงการณ์ของบรรดานักพิทักษ์สิทธิ ก็เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักเป็นคนยุคเก่าที่เติบโต คร่ำวอด หรือคุ้นเคยอยู่แต่กับการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิ และการใช้กำลังโดยฝ่าย "เจ้าหน้าที่รัฐ" หลักแท้ ๆ ที่ควรยึดถือประเภทต้องยืนอยู่ข้างความเป็นธรรม (คนละเรื่องกับความเป็นกลาง) หรือต้องประนาม "ความรุนแรง" ที่ถูกผลิตออกมาจากทุก ๆ ฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ เลยถูกเจือจางลงโดย "เครื่องแบบ" จนยากเยียวยา เรียกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเกิดด้วยเหตุผลใด ฝ่ายไหนสูญเสีย ฝ่ายใดเป็นผู้กระทำที่แท้จริงหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง ถ้ามีเครื่องแบบมาเกี่ยวข้อง ต่อมยุติธรรมใต้สมองของคนกลุ่มนี้จะหยุดทำงาน ปุ่มเกลียดกลัวรัฐบาลใต้ลิ้นก็หลั่งสารเข้มข้นพ่นประนามซ้ำๆ แต่เพียงว่า เจ้าหน้าที่เลว
คุยกับบรรดาสหายหลายคนแล้วได้ข้อสรุปตรงกันว่า ตราบใดที่เมืองไทยยังไม่มีกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อื่นใด เพื่อขีดเส้นให้การใช้สิทธิชุมนุมประท้วงเสียบ้าง และตราบใดที่สถานการณ์ ขยิบตาขวาทีซ้ายที ยังดำรงอยู่ในองค์กรที่ควรยึดความเป็นธรรม หรือบรรดานักวิชาการที่มักมีเสียงดังในสังคม ในอนาคต "ม็อบไทย" คงเป็นม็อบที่น่ากลัวที่สุดในโลก! ที่ว่าน่ากลัว ก็หาได้หมายถึงความรุนแรงบ้าพลังถึงขนาดอย่างพวกฮูริแกน แต่หมายถึงว่าม็อบบ้านเรานั้น นอกจากสามารถรวมตัวกันพกพาอาวุธได้โดยถูกต้อง และไม่ค่อยเห็นผู้ชอบแสดงตัวว่ารักความเป็นธรรมบ่นประนามแล้ว ยังสามารถบุกยึดสถานที่ราชการ ขัดขวางการบริหารประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ร้องหาการปฎิวัติโดยทหารอันขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศอย่างโจ่งแจ้ง หรือประกาศนโยบายชูพวกตนเป็นผู้กุมอำนาจในการออกแบบ หรือกำหนดหน้าตาผู้บริหาร ได้แบบ(ดูเหมือนจะ)ชอบธรรม ด้วย โดยใคร ๆ แม้แต่หน่วยงานผู้รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งรัฐเอง ก็ยังทำอะไรกลุ่มคนที่ว่านี้ไม่ได้ (อันนี้เขียนโดยละปัญหาว่า ใครเป็นคนหนุนหลังที่แท้จริงของ พธม. ไป)
ล่าสุด ไม่เฉพาะแต่ม็อบติดอาวุธม็อบนี้เท่านั้น แต่ทหารเก่า, ทหารตกกระป๋อง, ทหารที่กำลังกุมอำนาจ หรือแม้แต่ ราษฎรอวุโส ก็ยังพยายามส่งสัญญาณกระจองอแงร้องขอรถถัง มันช่างเป็นตลกร้ายที่ยากจะเค้นเสียงหัวเราะ เพราะในขณะที่ปากของหลายคนในกลุ่มนี้ พร่ำบอกประชาชนอยู่ตลอดเวลาว่า ชอบอหิงสา ขอภาวนาให้ด้วยสันติ แต่ในสายตาของพวกเขา แม้การใช้แก๊ซน้ำตาจะรุนแรง แต่ใช้ธงปลายแหลมกลับ(ดูเหมือน)นุ่มนวล ตำรวจยิงรุนแรงและผิดแน่ ๆ แต่ประชาชนยิงจะรุนแรง/ผิดหรือไม่ ปิดปากเงียบ ตำรวจดำเนินการเพื่อความสงบเรียบร้อยภายในนั่นเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ แต่ถ้าทหารลากรถถังออกมากำหนดชะตาชาติเขากลับบอกว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น !
ถ้านับจำนวนคนตาย ความขมขื่นทางจิตใจ หรือความเสียหายอีกร้อยแปดที่วัดค่าได้ คงต้องถือว่าเหตุการณ์หลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับเยอรมนี ที่นอกจากต้องเผชิญกับความโหดร้ายของสงครามโดยตรงแล้ว คนเยอรมันส่วนใหญ่ยังคงเข็ดขยาดกับ Propaganda, อำนาจเด็ดขาดของผู้นำ และการปราบปรามคนคิดต่าง, ผู้ชราขนลุกซู่ทุกครั้งเมื่อพูดถึงการเข่นฆ่าคนสัญชาติเยอรมันด้วยกันเพียง เพราะเขามีเชื้อชาติยิว, สถานกักกันนักโทษยุคสงครามยังคงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้ผู้คนเข้าชมเพื่อ สำเหนียกถึงความป่าเถื่อนของมนุษย์ ฯลฯ (อ้อ...เว้นแต่การทำร้ายกระทั่งศพ เมื่อ 6 ตุลา 19 นี่ผมว่าโหดร้ายผิดวิสัยมนุษย์) ประวัติศาสตร์ อันขมขื่นยากจะลืมเลือนเหล่านี้ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในยุโรป (ไม่เฉพาะในเยอรมัน) จริงจัง และแสวงหา "เสรีภาพในการแสดงออก" กันอย่างเป็นการเป็นงาน ม็อบประท้วงนักการเมือง, ม็อบแสดงความเห็นต่างจากกฎหมายที่บัญญัติ หรือประนามปฏิบัติการต่าง ๆ อันไม่เป็นธรรมจากรัฐ, ม๊อบการเมืองสุดโต่งทั้งซีกซ้ายและฝ่ายขวา ถึงกระทั่ง ม็อบประท้วงการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น แม้ในส่วนอื่น ๆ ของโลก ได้รับการรับรองว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ (Art. 8 GG) และในความเป็นจริงมันก็เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ จนนับครั้งไม่ถ้วน
ใช่ว่าตำรวจเยอรมันไม่เคยสลายม็อบ ใช่ว่าไม่เคยมีผู้บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม ใช่ว่าไม่เคยมีม็อบที่มีพฤติกรรมรุนแรง หรือก่อความไม่สงบ ตรงกันข้าม เหตุการณ์เหล่านี้แทบจะทุกรัฐ หรืออาจจะทุกเมืองในเยอรมันล้วนผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่จนแล้วจนรอด ม็อบ (และนักสิทธิมนุษยชน) เยอรมันก็ยังถือได้ว่า "อยู่กับร่องกับรอย" ไม่ใช่ "ม็อบติดอาวุธ" ที่สามารถใช้กำลังบุกยึดสถานีโทรทัศน์ของรัฐ อาจหาญปิดทำเนียบรัฐบาล หรือกระทั่งฮึกเหิมปิดทางเข้าออกรัฐสภา ได้โดยไม่ถูกประนาม หรือเมื่อโดนปราบปรามก็ยังได้รับความเห็นอกเห็นใจจากสังคม แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะโดนต่อว่าต่อขานบ้าง แต่ก็ยังไม่มีนักสิทธิมนุษยชน หรือผู้อวุโสคนไหน บังอาจร้องหาชวนทหารเข้าแทรกแซง
ถ้าไม่นับความเป็นกลาง และ(การยังคง)ความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษาในการยุติเหตุต่าง ๆ ด้วยความเป็นธรรม, ถ้าตัดความไม่นิยมความรุนแรง และความเป็น "อารยะ" แล้ว หรือ "อหิงสา" จริงของม็อบส่วนใหญ่ออก, สลัดความไม่ดัดจริต หรืออ่อนไหวจนเกินเหตุของนักวิชาการ หรือนักสิทธิมนุษยชนเยอรมันเสีย รวมทั้งมองข้ามการยอมรับการใช้อำนาจ หรือมาตรการที่ถูกต้องตามกฎหมายโดยฝ่ายรัฐของคนในสังคมเยอรมันไป ก็เห็นควรต้องลองให้ความสนใจการมีอยู่และการบังคับใช้ได้จริงของ "กฎหมายว่าด้วยการชุมนุม" ของเยอรมันดูบ้างกระมัง
Versammlungsfreiheit หรือ สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม เป็นผลมาจากการต่อสู้อันยาวนานของประชาชน ที่ก่อนหน้านี้จำต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ และการควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ อย่างเข้มงวดโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาตรา 8 อนุมาตรา (1) รัฐธรรมนูญเยอรมัน (Grundgesetz) บัญญัติว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการจัดตั้ง หรือเข้าร่วมชุมนุม โดยสันติและปราศจากอาวุธ ทั้งนี้ไม่สำคัญว่าการชุมนุมนั้นจะได้รับอนุญาต หรือรับรองให้จัดได้จากรัฐหรือไม่
แม้โดยหลักการพื้นฐานเยอรมันจะให้เครดิตสิทธิในการชุมนุมนนี้ ว่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย และถือเป็นการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของประชาชน (นอกเหนือจากการเลือกตั้ง) แต่ก็ใช่ว่าเยอรมันชน (รวมทั้งคนสัญชาติอื่น ๆ ที่อยู่ในเยอรมันด้วย) จะชวนกันชุมนุมที่ใด หรือมีท่าทีอย่างไรในการชุมนุมก็ได้ เพราะนอกจากเงื่อนไขในเรื่องท่าที (โดยสันติ) และอาวุธ ที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (1) จะชัดเจนอยู่แล้วว่า รัฐธรรมนูญเยอรมันไม่คุ้มครองการชุมนุม/ผู้ชุมนุมที่มีลักษณะ "ก่อความไม่สงบ" "ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง" หรือที่ "ติดอาวุธ" แล้ว มาตรา 8 อนุมาตรา (2) ยังบัญญัติให้อำนาจรัฐ ในการออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ เพื่อกำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นใดสำหรับการชุมนุมที่กระทำใน "ที่สาธารณะ" ไว้ด้วย ทั้งนี้ทั้งในระดับสหพันธรัฐ และระดับมลรัฐ
กฎหมายฉบับสำคัญแห่งสหพันธรัฐ ฯ ที่ยังใช้บังคับอยู่ ก็คือ Versammlungsgesetz หรือ Das Gesetz über die Versammlung und Aufzüge (กฎหมายว่าด้วย การประชุม และการชุมนุมประท้วง) ถูกบัญญัติขึ้นตั้งแต่ปี 1953 จุดมุ่งหมาย ก็เพื่อขีดเส้นกำกับ ไม่ให้การใช้ "เสรีภาพในการชุมนุม หรือการประท้วง" ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เกินเลยไป จนล้ำเส้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนกลุ่มอื่น กระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือกระทั่งล่วงละเมิดกฎหมายฉบับอื่น Versammlungsgesetz แบ่งลักษณะการชุมนุมที่ควรต้องมีการกำกับดูแล (ตัวรูปแบบ และวิธีการ ไม่ใช่ เนื้อหา เว้นแต่กรณีที่เนื้อหาผิดกฎหมายชัดเจน) ออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ 1) การประชุมสาธารณะ (ใครเข้าร่วมก็ได้) ในพื้นที่ปิด (บ้าน, อาคาร หรือห้องประชุม) กับ 2) การชุมนุม หรือการประท้วงสาธารณะในพื้นที่สาธารณะ (เช่น ชุมนุมบนถนน ในสวนสาธารณะ หรือการชุมนุมที่เคลื่อนขบวนไปเรื่อย ๆ) แต่ในบล็อกนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะที่เข้ากับสถานการณ์ประเทศไทย คือ การชุมนุมในที่สาธารณะฉบับรวบรัด ซึ่งมีเงื่อนไขหรือข้อจำกัดตามกฎหมาย ดังนี้
เงื่อนไขและข้อจำกัดในแง่รูปแบบ และวิธีการชุมนุม
1. กรณีเป็นการชุมนุมที่จัดตั้งขึ้น (ไม่ใช่การชุมนุมที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย : Spontanversammlung) ผู้จัดตั้งมีหน้าที่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ (ของเยอรมัน คือ ตำรวจในพื้นที่นั้น ๆ) ทราบก่อนเริ่มชุมนุมไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง (§ 14 VersammlG : Anmeldungspflichtung) โดยสิ่งที่ต้องระบุในการแจ้ง ก็อาทิ ใครเป็นผู้จัดตั้ง หรือใครเป็นผู้รับผิดชอบการจัดชุมนุม, วัน, เวลา, สถานที่, จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยประมาณ, หัวข้อที่จัดชุมนุม, อุปกรณ์ที่ใช้ในการชุมนุม เส้นทางหรือทิศทางในกรณีที่จะมีการเดินขบวน เป็นต้น
ผู้จัดตั้งนั้น มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องรับผิดชอบ และควบคุมดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการชุมนุม รวมทั้งพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งหมด สามารถตั้งผู้ช่วยดูแลความเป็นระเบียบของการชุมนุมได้ตามจำนวนที่เหมาะสม โดยผู้เข้าร่วมชุมนุมก็มีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามคำสั่งของผู้จัดตั้ง และผู้ช่วย ฯ ผู้จัดตั้งเท่านั้นที่มีอำนาจกำหนดเวลา หรือยกเลิกการชุมนุมในเวลาใด ๆ ก่อนหน้านั้น และมีหน้าที่ต้องแจ้งเจ้าพนักงานทราบด้วย หากไม่สามารถเลิกการชุมนุมได้ในเวลาที่กำหนดไว้
อนึ่ง ควรต้องทราบนะครับว่า หน้าที่ในการแจ้งการจัดตั้งชุมนุมต่อเจ้าหน้าที่นี้ เป็นแค่เพียงการ "แจ้งเพื่อทราบ" เท่านั้น ไม่ใช่การ "ขออนุญาต" ซึ่งนั่นหมายความว่า โดยปกติแล้วการชุมนุมใด ๆ สามารถเริ่มได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำรับรองจากรัฐก่อน เว้นไว้ก็แต่ การชุมนุมนั้นมีจุดมุ่งหมายและเนื้อหา ที่ต้องห้ามตามกฎหมายอย่างชัดเจน มีปัจจัยที่หนักแน่นว่าน่าจะก่อให้เกิดอันตราย หรือเข้าข่ายบางอย่างที่จะทำให้เกิดความไม่สงบ เจ้าหน้าที่จึงจะสามารถห้ามไม่ให้จัด หรือกำหนดเงื่อนไขบางอย่างให้ต้องปฏิบัติเพิ่มได้
จะเห็นได้ว่า ภาระหน้าที่ทั้งปวงนี้ มิได้ขัดกับหลัก "สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม" แต่อย่างใด เป็นแต่เพียงเงื่อนไขเพื่อกำหนดตัวผู้รับผิดชอบการชุมนุม และผู้ร่วมชุมนุมให้ชัดเจน และเพื่อให้ฝ่ายรัฐได้จัดเตรียมความพร้อม รวมทั้งหามาตรการป้องกันความสงบเรียบร้อย เท่านั้น 2. ต้องเป็นการชุมนุมโดยสันติ (friedliche Versammlung) แม้ในกฎหมายฉบับนี้ จะไม่มีคำจำกัดความสำหรับคำว่า "ชุมนุมโดยสันติ" ระบุไว้โดยตรง มีก็แต่ความหมายในเชิง negative ที่ปรากฎใน §§ 5 Nr. 3, 13 I Nr. 2 VersammlG เท่านั้น แต่ทั้งศาล และนักกฎหมายต่างก็ยอมรับและตีความว่า การชุมนุมใด ๆ ย่อมไม่อาจถือว่า "โดยสันติ" ได้ หากการชุมนุมนั้นดำเนินไปด้วย "ความรุนแรง" และมีลักษณะของการ "ก่อความไม่สงบ" โดยคำว่า ความรุนแรงในที่นี้ หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะใช้กำลัง ในเชิงรุก (active) เพื่อคุกคาม หรือจะก่ออันตรายแก่บุคคลหรือสิ่งของ รวมทั้งพฤติกรรมที่แสดงออกมามีลักษณะก้าวร้าวเกินควร และแน่นอนถ้า "ติดอาวุธ" เมื่อไหร่ ก็ยากนักที่จะเรียกได้ว่า สันติ
ดังนั้น คำว่า "ไม่สันติ" ในที่นี้ จึงไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้นจริง หรือต้องถึงขั้นเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา (เช่น ทำร้ายร่างกาย หรือ ทำให้เสียทรัพย์) ก่อน เพราะเพียงแค่มีการแสดงออกที่ไม่สันติก็เป็นเรื่องต้องห้ามแล้ว [BVerfGE 73, 206, 248 f. (Sitzblockade); 87, 399, 406 (Versammlungsauflösung)]
อย่างไรก็ตาม แค่เพียงพฤติกรรมไม่สันติของผู้ร่วมชุมนุมบางคน (ในขณะที่คนอื่น ๆ ชุมนุมโดยสันติ) ยังไม่อาจบอกได้ว่า การชุมนุมนั้นทั้งการชุมนุมเป็นไปโดยไม่สันติแล้ว กรณีนี้มีผลแค่ว่า รัฐธรรมนูญย่อมไม่คุ้มครองผู้ชุมนุมผู้ไม่สันตินั้นเท่านั้น [BVerfGE 69, 315, 261 (Brokdorf); Kannengießer, in: Schmidt-Bleibtreu/Klein, GG, Art. 8 Rn 4 a.)] มาตราการแก้ไขที่เป็นไปได้ในขั้นตอนนี้ ก็คือ เจ้าพนักงานรัฐที่มีอำนาจ สามารถสั่งให้ผู้ชุมนุมคนนั้นออกไปจากการชุมนุม (§ 18 Abs. 3 VersammlG) แต่ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถห้ามปรามการใช้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมคนใด คน หนึ่งได้ หรือ เล็งเห็นแล้วว่าการห้ามปรามความรุนแรงในการชุมนุมไม่เป็นผล ก็อาจนำไปสู่เงื่อนไขที่จำเป็นต้องห้ามปรามหรือสลายทั้งการชุมนุม ตามที่มาตรา 8 อนุมาตรา 2 รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ (จะพูดถึงต่อไป)
ซึ่งประเด็นนี้น่าจะตีความได้ว่า กฏหมายประสงค์ให้ผู้ชุมนุม (รวมทั้งผู้จัดตั้งการชุมนุม มีข้อกำหนดไว้ในมาตรา 11 VersammlG ให้อำนาจผู้จัดตั้งสั่งให้ผู้ร่วมชุมนุมที่ก่อความวุ่นวายออกจากการชุมนุม ได้ ในกรณีการชุมสาธารณะในพื้นที่ปิด) ต้องควบคุมดูแลกันเองด้วย เพราะหากยังปล่อยให้ใครคนหนึ่งก่อความวุ่นวาย ย่อมเปิดช่องให้ตำรวจใช้มาตราการห้ามการชุมนุมทั้งหมดได้ทีเดียว
3. ห้ามมีอาวุธ (Waffentrageverbot) อาวุธในที่นี้หมายทั้ง อาวุธตามความหมายในกฎหมาย เช่น ปืน, ดาบ หรือสนับมือ (§ 1 WaffG) และอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นใดที่โดยกฎหมายไม่ใช่อาวุธ แต่โดยสภาพสามารถใช้ (ตามความมุ่งหมายของผู้ใช้) เพื่อก่ออันตรายขึ้นได้ เช่น ไม้เบสบอล, โซ่ หรือ จอบขุดดิน (§ 224 StGB) ทั้งนี้ไม่สำคัญว่า ผู้นำมานั้นมีจุดมุ่งหมายแค่เพียงพกพา เพื่อป้องกันตัว หรือว่าใช้ทำอันตรายบุคคลอื่นหรือสิ่งของอื่น นอกจากนี้ ยังห้ามทั้งกรณีมีอาวุธในที่ชุมนุม และการพกพาอาวุธเหล่านั้นไปในระหว่างเดินทางมาเพื่อร่วมชุมนุมด้วย หากฝ่าฝืนมีโทษอาญา (§§ 2 Abs. 3, § 17a Abs. 1, 27 Abs. 1 and Abs. 2 Nr. 1 VersammlG)
4. ห้ามใส่ชุด เครื่องหมาย หรือใช้สี หรือสัญลักษณ์ใด ๆ เพื่อแสดงจุดร่วมกันทางการเมือง (§ 3 VesammlG : Uniformierungsverbot) อนึ่ง บทบัญญัตินี้ ไม่ได้มุ่งหมายห้ามแสดงจุดร่วมทางการเมืองทุกชนิด แต่มุ่งหมายเฉพาะสี หรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวพันกับ ลัทธิความรุนแรงต่าง ๆ อาทิ ชุดดำ หรือ ฮูทสีดำ กรณีของ "Black Block" ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มอนาธิปไตย แต่ปัจจุบันถูกใช้บ่อยในการชุมนุมของกลุ่ม นีโอนาซี หรือ กรณีการรวมตัวของกลุ่มต่อต้านคนต่างด้าวอย่างกลุ่มที่โกนหัว (สกินเฮด) เป็นต้น กรณีของไทยจะหมายถึง ม็อบเสื้อเหลือง (อำมาตยาธิปไตย) หรือ ม็อบเสื้อแดง (ต่อต้านเสื้อเหลือง ?) ก็น่าจะได้ อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า มาตรา 3 ของกฎหมายการชุมนุมนี้ เขียนไว้ไม่ชัดเจน และควรต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้รัดกุมขึ้น เพื่อไม่ให้สามารถตีความครอบคลุมไปถึง การแสดงออกที่ไม่เป็นภัย หรือไม่มีลักษณะรุนแรงอย่าง กลุ่มสีขาวที่เรียกร้องสันติ หรือกลุ่มสีเขียวที่เรียกร้องให้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ ซึ่งบ้านเราอาจหมายถึง ม็อบเสื้อส้ม หรือ ม็อบริบบิ้นขาว ได้กระมัง
5. ห้ามปิดบังอำพรางตัวตน (Vermummungsverbot) ในการชุมนุม รวมทั้งระหว่างการเดินทางไปร่วมการชุมนุม ห้ามไม่ให้ใช้วิธีการหรืออุปกรณ์ใด ๆ (หน้ากาก, เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ฯลฯ) โดยมุ่งหมายเพื่อปิดบังอำพราง หรือขัดขวางการระบุตัวตน ฝ่าฝืนมีโทษทางอาญา (§§ 17a Abs. 2, 27 Abs. 2 Nr. 2 VersammlG) ทั้งนี้บังคับกับการชุมนุมของทุกกลุ่ม ทุกสี
บุคคล และสถานที่ต้องห้าม
นอกจากเงื่อนไขในแง่รูปแบบวิธีการที่กล่าวมาแล้ว Versammlungsgesetz ยังห้าม "กลุ่มบุคคลบางกลุ่ม" ไม่ให้จัดตั้ง หรือเข้าร่วมการชุมนุมใด ๆ อีกด้วยดังนี้
1. บุคคลใด ๆ ที่เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่า เป็นผู้ละเมิดหรือกระทำผิดต่อหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นประเภทต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ (อาทิ เสรีภาพสื่อมวลชน, เสรีภาพในการชุมนุม, เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร ฯลฯ) ตามมาตรา 18 2. บุคคลใด ๆ ที่ต้องการสนับสนุน เป้าหมายของพรรคการเมือง หรือองค์กรเครือข่ายที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ 3. บุคคลผู้เข้าสังกัดฝ่ายใด ๆ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว 4. กลุ่มบุคคลใด ๆ (ที่อยากจัดตั้งเป็นสมาคมแต่ทำไม่ได้) ที่มีเป้าหมาย และกิจกรรมเข้าข่ายต้องห้ามไม่ให้จัดตั้งเป็นสมาคมตาม กฎหมายว่าด้วยสมาคม (Vereinsgesetz) หรือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Art. 9 Abs. 2 GG) เช่น มีเป้าหมายขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือ ต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สำหรับสถานที่นั้น ใน Versammlungsgesetz เอง กำหนดห้ามไม่ให้ชุมนุมในพื้นที่ทำการของ องค์กรผู้บัญญัติกฎหมาย ทั้งของสหพันธฯ และของมลรัฐ และพื้นที่ทำการของศาลรัฐธรรมนูญ (§ 16 VersammlG) ทั้งนี้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ (§ 4 BannmG) นอกจากนนี้ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องฉบับอื่น [Das Bannmeilengesetz (BannmG)] รัฐสภาเยอรมัน (Bundestag) ก็อยู่ในข่ายสถานที่ต้องห้ามด้วย เว้นแต่ การชุมนุมนั้น ๆ ไม่ได้มีเป้าหมายในการขัดขวางการทำงานของสภาผู้แทน ฯ, วุฒิสภา หรือองค์กรตามกฎหมายรัฐธรรมนูญอื่นๆ ทั้งนี้ การชุมนุมที่ขัดขวางทางเข้าออกสถานที่ดังกล่าว ก็ย่อมถือเป็นการขัดขวางการทำงานขององค์กร ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมนั้นมีขึ้นในวันที่มีการประชุมรัฐสภา หรือวุฒิสภา (§ 5 Abs. 1 S. 2 BefBezG)...เห็นไหมว่า ขนาดประเทศเสรีอย่างเยอรมัน องค์กรรัฐก็ยังได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มผู้ประท้วง ตั้งแต่อยู่มา ผมก็ไม่เคยได้ยินว่า รัฐสภาเยอรมันต้องหอบเอกสารไปนั่งทำงานกันที่สนามบินไหน (ฮา)
นอกจากสถานที่ดังกล่าวแล้ว นับแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เยอรมันยังห้ามไม่ให้ชุมนุมด้วย ถ้าการชุมนุมนั้นถูกจัดในสถานที่ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ต่อผู้ตกเป็น เหยื่อนาซี และการชุมนุมนั้นจะทำให้ศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายลง โดยถือเป็นอำนาจของเมือง (มลรัฐ) แต่ละแห่งในอันที่จะกำหนดสถานที่ลักษณะดังกล่าวขึ้นเอง นอกเหนือจาก อนุสรน์สถานเพื่อรำลึกถึงชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง Denkmal für die ermordeten Juden Europas ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเบอร์ลิน ( (§ 15 Abs. 2 VersammlG)
การชุมที่ฝ่าฝืนข้อห้าม และอำนาจในการสลายการชุมนุม (Auflösung/Verbot der Versammlung) :
ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ ก็คือ เมื่อรัฐใดรัฐหนึ่งตกลงปลงใจที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขต่าง ๆ สำหรับการชุมนุมสาธารณะเป็นกฎหมายแล้ว เพื่อให้กฎหมายที่กำหนดนั้นใช้ได้จริง ไม่เป็นหมัน ก็จำเป็นต้องมีบทลงโทษสำหรับคนที่ฝ่าฝืน รวมทั้งบทให้อำนาจเจ้าพนักงานในการ "บังคับใช้กฎหมาย" เอาไว้ด้วย โดยผู้ที่จะใช้อำนาจนั้นได้ก็ต้องเป็น "เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ" โดยตรงเท่านั้น (put the right man on the right job) ไม่ใช่นึกอยากจะเรียกทหารเข้ามาสลายก็ทำได้ หรืออยากส่งตำรวจไปยิงปืนใหญ่ป้องกันประเทศก็ไม่มีใครว่า
และในกฎหมายฉบับนี้นอกจากโทษทางอาญาในกรณีที่ฝ่าฝืนแล้ว มาตรา 15 ใน Versammlungsgesetz ยังบัญญัติ มอบอำนาจให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย สามารถห้าม หรือกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับการชุมนุมใด ๆ ที่หากจัดแล้ว อาจกระทบต่อความปลอดภัยสาธารณะ หรือความสงบเรียบร้อย (§ 15 Abs. 1 VersammlG) เช่น กรณีของการขอชุมนุมเพื่อประท้วง กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ก่อน หรือถ้าจะยกตัวอย่างให้ดูร่วมสมัยก็ เช่น นปก VS พธม. เป็นต้น
สำหรับเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานสามารถเข้าสลายการชุมนุมได้นั้น โดยหลักการ จะทำได้ก็ต่อเมื่อ เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายอาญา หรือเป็นการชุมนุมที่เข้าข่ายข้อกำหนด "ห้ามชุมนุม" ต่าง ๆ ตามที่กล่าวถึงข้างต้น อาทิ ไม่เป็นการชุมนุมโดยสันติ และปราศจากอาวุธ, ไม่มีการแจ้งล่วงหน้าตามกฎหมายการชุมนุม (เว้นแต่ เป็นการชุมนุมที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการจัดตั้งนัดหมาย ซึ่งไม่ต้องแจ้งให้รัฐทราบ), เป้าหมายหรือขอบเขตการชุมนุมนั้นถูกเบี่ยงเบน หรือเปลี่ยนแปลงไปจากที่แจ้งไว้ (§ 15 Abs. 3, 4 VersammlG) แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ แม้กฎหมายการชุมนุมจะไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ศาลก็เคยวางแนวไว้ ว่าเงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องชัดเจนและหนักแน่นพอ มิใช่เพียงการสันนิษฐาน หรือต้องสงสัยเท่านั้น และเจ้าหน้าที่ก็ต้องใช้มาตรการขั้นต่ำที่สุดก่อน
อนึ่ง ปัญหาในขั้นตอนปฏิบัติการ (ภายหลังชัดเจนว่าเข้าเงื่อนไขให้สลายได้ตาม Versammlungsgesetz) ว่าตำรวจจะสามารถนำมาตรการระดับต่าง ๆ มาใช้ดูแลการชุมนุม หรือในกรณีที่ต้องมีการสลายการชุมนุมได้บ้างนั้น Versammlungsgesetz ไม่ได้กำหนดไว้ครับ โดยเขาปล่อยให้เป็นไปตาม "กฎหมายตำรวจ" (Polizeirecht) ของแต่ละรัฐ ว่ามีมาตรการในเรื่องนี้อย่างไรบ้างซึ่งแตกต่างกันไป
แต่โดยหลัก ตำรวจเยอรมันจะหลีกเลี่ยงการปะทะตรง ๆ กับผู้ชุมนุม และมีหลักเกณฑ์ว่า ต้องมีการการประกาศเตือนให้ผู้ร่วมชุมนุมออกจากการชุมนุมก่อนเสมอ และทิ้งช่วงในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในการประกาศนั้นเจ้าหน้าที่ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนต่อผู้ชุมนุมด้วยว่า ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีการใช้อุปกรณ์ใด หรือมาตรการใดเพื่อสลายการชุมนุม ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ชุมนุมได้เลือกตัดสินใจเองว่าจะชุมนุมต่อไป หรือจะรอรับผลต่าง ๆ จากการสลายนั้น โดยส่วนใหญ่ตำรวจเยอรมันมักใช้ น้ำจากรถดับเพลิงฉีดก่อนเสมอ เมื่อไม่เป็นผลจึงจะใช้แก๊สน้ำตา จากนั้นก็ส่งกำลังกระจายเข้าสกัดกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้กลับมารวมตัวกันได้อีก อย่างไรก็ตาม เทคนิคยุทธวิธีในการสลายการชุมนุมให้ได้ผลแบบไม่ต้องปะทะกันตรง ๆ โดยผู้คนไม่บาดเจ็บล้มตายนั้น แต่ละประเทศในยุโรปก็แตกต่างกันไปในรายละเอียดครับ ถ้าหน่วยงานตำรวจไทยเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญจริง ๆ ก็ควรต้องเร่งรีบหางบประมาณส่งคนมาศึกษาดูงานกันโดยด่วน
[โปรดดู ภาพสลายการชุมนุมประท้วง โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ Moorburg 2008 : //de.indymedia.org ]
กฎหมายว่าด้วยการชุมนุม สำคัญอย่างไร ?
การชุมนุมทีไร้กฎเกณฑ์กำกับว่าอะไรทำได้หรืออะไรทำไม่ได้ หรือการชุมนุมที่ผู้จัดตั้งไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ ต่อผู้ชุมนุม ย่อมมีโอกาสที่จะนำไปสู่สถานการณ์อันตราย และการละเมิดกฎหมายได้เสมอ ในขณะที่การสลายการชุมนุมที่ไร้อำนาจ และขาดประสบการณ์ย่อมมีแนวโน้มนำไปสู่การประทะ การใช้กำลัง และความรุนแรง และสุดท้าย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็จะเหลือไว้แต่เงื่อนงำ และการประนามอย่างเลื่อนลอย
ดังกล่าวไปแล้วว่า ใช่ว่าในเยอรมันจะไม่มีการสลายการชุมนุมเลย หรือใช่ว่าตำรวจเยอรมันไม่เคยโดนประท้วงว่าใช้กำลังกับประชาชน แต่ควรต้องทราบว่า ทั้ง การตัดสินใจที่จะสลายการชุมนุมหรือไม่ หรือปัญหาว่าควรสลายอย่างไรของฟากผู้ปฏิบัติงาน และทั้งข้อกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานใช้กำลังโดยมิชอบกับประชาชนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลอย ๆ ตามความรู้สึกของใคร แต่ล้วนตั้งอยู่บนข้อกำหนดที่ชัดเจน สามารถโต้แย้ง และอ้างยันกันได้ตามหลักกฎหมายทั้งสิ้น ที่ผ่านมา ในเยอรมันมีคำพิพากษาศาลในเรื่องนี้วางเป็นบรรทัดฐานหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งฝ่ายที่ต้องรับผิดก็มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และฝ่ายผู้ชุมนุมเอง
กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว กฎหมายว่าด้วยการชุมนุม จึงไม่ใช่เพียง กฎหมายที่ทำให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพในเรื่องนี้่ ซึ่งถูกเขียนไว้ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นรูปธรรมจับต้องได้ หรือเพียงเพื่อขีดเส้นกำกับพฤติกรรมของผู้ใช้สิทธิในการชุมนุมให้อยู่กับ ร่องกับรอย ป้องกันการ "ใช้สิทธิเกินส่วน" จนไปละเมิดหรือกระทบสิทธิ และความปลอดภัยสาธารณะของคนอื่น เท่านั้น แต่มันยังเป็นแนวทาง และหลักยึดสำหรับฝ่ายตำรวจผู้จำต้องปฏิบัติการ รวมทั้งเป็นมาตรวัดความถูกผิดสำหรับสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้กับ ผู้คนในสังคม อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การบัญญัติกฎหมายในเรื่องซึ่งเกี่ยวพันใกล้ชิดกับสิทธิเสรีภาพในการแสดง ความคิดเห็นของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย อย่างสิทธิเสรีภาพในการชุุมนุมนี้ นับว่าเป็นประเด็นอ่อนไหว และไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การวิจัยศึกษากฎหมาย และแนวทางที่เหมาะสม รวมทั้งการถามความเห็นประชาชนเจ้าของสิทธิ ทั้งประเด็นข้อจำกัดหรือข้อห้ามในแง่รูปแบบ และท่าทีว่าควรอยู่ระดับใด, หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้จัดตั้งการชุมนุมควรมีอะไรบ้าง, เจ้าพนักงานที่มีอำนาจควรเป็นตำรวจเท่านั้น หรือเป็นคณะกรรมการร่วมหลายฝ่าย, สถานการณ์ใดที่สามารถสลายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการ รูปแบบวิธีการ และเครื่องมือที่ใช้ในการสลายการชุมนุมควรเป็นอย่างไร จึงถือว่าสำคัญมาก
กรณีเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เมื่อมีผู้บาดเจ็บล้มตาย ไม่ใช่เรื่องผิดเลย หากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการจะถูกตรวจสอบ หรือตั้งคำถามถึงความเหมาะสมแห่งวิธีการ และความรับผิดชอบ แต่ต้องถือว่าผิดและแปลกมาก หากคนในสังคมไม่สนใจวิธีการและเนื้อหาที่ประท้วง ไม่คิดหาคำตอบ หรือทวงถามความรับผิดชอบจากการชุมนุมติดอาวุธอย่างกลุ่มพันธมิตร ฯ เลย
สังคมที่ชวนให้ผู้คนดัดจริต คือ สังคมที่ปากบอกว่าชอบสันติ แต่กลับเลือกข้างในการประนามความรุนแรง และชี้ถูกผิดด้วยการขยิบตาตามความรู้สึก สังคมที่ดัดจริต คือ สังคมที่นิยมเสรีภาพและสันติสุข แต่ปล่อยให้ประชาชนใช้สิทธิจนละเมิดสิทธิของประชาชนคนอื่น ๆ สังคมที่ปากว่าตาขยิบ คือ สังคมที่จ้องเอาผิดกับปฏิบัติการของตำรวจ แต่ชวนเชิญทหารให้ยึดอำนาจ...ฤาว่าสังคมไทยอยาก เป็นสังคมประเภทนี้ (อยู่ต่อไป) ?
เพิ่มเติม : ปี 2006 เยอรมันให้อำนาจแต่ละมลรัฐในการบัญญัติ Versammlungsgesetz ใช้บังคับเฉพาะในรัฐตัวเองได้ครับ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่าVersammlungsgesetz ของสหพันธรัฐเองบัญญัติตั้งแต่ปี 1953 แม้จะมีการแก้ไขบ้าง (ล่าสุด 2005) แต่ก็อาจไม่ทันต่อลักษณะการประท้วงรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น อีกทั้ง ประวัติศาสตร์ ลักษณะนิสัย แนวคิดของพลเมืองในแต่ละเมือง มีความแตกต่างกัน แน่นอนที่ว่า ทั้งความถี่ และความเข้มข้นของการประท้วงจึงย่อมแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้น รัฐแต่ละรัฐจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่มีรายละเอียดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลการประท้วงที่เกิดในรัฐของตัว ด้วย
และรัฐที่ขอใช้สิทธินั้นเป็นรัฐแรก ก็คือ รัฐบาวาเรีย (Bayern) ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเยอรมันนี่เอง ครับ แต่กว่าที่กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมของรัฐบาวาเรียตัวใหม่จะออกมาบังคับใช้ได้ ตำรวจแห่งรัฐบาวาเรียก็ต้องรับมือกับม๊อบจำนวนมากเป็นการส่งท้ายบทบัญญัติ เก่า ทั้งนี้เพราะ ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ประกาศตัวออกมาราวกลางปี 2008 โดนประท้วงอย่างขนานใหญ่ทั่วทั้งมลรัฐ เนื่องจากกฎหมายใหม่ที่ว่า มีรายละเอียด เงื่อนไข และข้อห้ามเพิ่มเข้ามาอีกจำนวนหนึ่ง
แม้รัฐบาวาเรียเองจะให้เหตุผลว่า กฎหมายตัวใหม่นี้มีจุดประสงค์หลักในการควบคุมอย่างเข้มงวดเฉพาะกับ การประท้วงของกลุ่มการเมืองหัวรุนแรงสองฟาก (ซ้าย และขวา) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการควบคุมพฤติกรรมของกลุ่ม นาซีใหม่ (Neonazi) ที่เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ชาวบาวาเรียก็ยังไม่อาจรับเงื่อนไขโดยรวมบางประการได้อยู่ดี อาทิ จากที่ต้องแจ้งการชุมนุมล่วงหน้า 48 ชั่วโมง ก็กลายเป็น 72 หรือ 96 ชั่วโมง (ตามลักษณะและเป้าหมายการชุมนุม), การเพิ่มอำนาจให้เจ้าพนักงานสามารถถ่ายวีดีโอการชุมนุมโดยรวมได้ (เพิ่มจากเดิม คือ ถ่ายรูป หรืออัดเสียงได้เฉพาะกับ ผู้ร่วมชุมนุมที่ต้องสงสัย) หรือการห้ามการเคลื่อนไหวในรูปแบบการชุมนุมของกลุ่มซ้ายและขวาที่ใช้ตอบโต้ เจ้าหน้าที่ปราบจราจล เช่น การรวมตัวและเคลื่อนขบวนแบบ "Black Block" เป็นต้น อย่างไรก็ตามกฎหมายตัวใหม่นี้ก็ได้รับการลงนามและคลอดบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2008 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ มีนักการเมืองคนหนึ่ง (จำไม่ได้ว่าใคร) เคยกล่าวไว้ทำนองว่า ถ้ารัฐบาวาเรียทำอะไรเกี่ยวกับกฎหมายเมื่อไหร่ ในไม่ช้ารัฐอื่น ๆ ก็จะออกกฎหมายแบบนั้นตามมาเป็นแถว....ก็เห็นจะจริง เพราะตอนนี้ ฐานการประท้วงถูกย้ายไปอยู่ที่รัฐบาเดน-วืดเทนแบร์ก เรียบร้อย เพราะที่นั่นก็กำลังผลักดัน Versammlungsgesetz ของรัฐตัวเองตามหลังบาวาเรียมาติด ๆ
Create Date : 25 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 9:12:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1651 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|