- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
คดีเขาพระวิหาร กับความเห็น รศ.ประสิทธิ์ฯ
ข้อสังเกตต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีสถานะทางกฎหมายของคำเเถลงการณ์ร่วม
บทนำ
ผู้พิพากษา Lord Denning กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลเป็นของสาธารณะ สาธารณชนพึงวิจารณ์คำพิพากษาของศาล อนุสนธิจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินสถานะทางกฎหมายของคำเเถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) นั้นมีข้อสังเกตที่ควรพิจารณา ดังนี้
1.เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับความหมายของหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 เเห่งรัฐธรรมนูญ 2550
จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับขอบเขตความหมายของคำว่า หนังสือสัญญา ตามมาตรา 190 วรรคเเรกนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวิเคราะห์หรืออธิบายความหมายของคำว่า หนังสือสัญญา ไม่ละเอียด
แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีก่อน 2 คดี คือ คดีเกี่ยวกับหนังสือเเสดงเจตจำนง กับคดีการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย เเละที่น่าเเปลกใจที่สุดคือการนำ ความเห็นของผู้ร้อง คือ วุฒิสภา มาเป็น เหตุผล หลัก ในการอธิบายความหมายของคำว่า หนังสือสัญญา โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญแทบมิได้ใช้ความพยายามใดๆ ที่จะค้นคว้าอ้างอิงเกณฑ์ที่ศาลโลกได้เคยกล่าวไว้ในคดีไหล่ทวีปเเห่งทะเลอีเจียน (Aegean Sea Continental Shelf) ระหว่างประเทศกรีซกับตุรกี
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ.1978 ซึ่งเป็นคดีที่ศาลโลกได้กล่าวถึงเกณฑ์ 3 ประการที่ใช้ประกอบพิจารณาว่าเเถลงการณ์ร่วมเป็นสนธิสัญญาหรือไม่ เกณฑ์ที่ว่านี้ได้เเก่ การใช้ถ้อยคำ บริบทของการทำเเถลงการณ์ร่วม (Context) เเละทางปฏิบัติของรัฐภายหลังทำเเถลงการณ์ร่วม (Subsequent conduct) อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญก็มิได้พิจารณาทางปฏิบัติของนานาประเทศเกี่ยวกับสถานะของเเถลงการณ์ร่วมว่า ส่วนใหญ่มีสถานะทางกฎหมายเป็นสนธิสัญญาหรือไม่
เเต่ดูเหมือนว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังนำข้ออ้าง หรือข้อสนับสนุนของวุฒิสภา มาเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยสถานะทางกฎหมายของเเถลงการณ์ร่วม โดยไม่ได้ให้น้ำหนักต่อคำชี้เเจงของอธิบดีกรมสนธิสัญญาเเต่ประการใด การที่ศาลรัฐธรรมนูญรวบรัดสรุปว่าเเถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญานั้น มีประเด็นที่ควรกล่าวถึง ดังนี้
ประการเเรก ศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า เมื่อคำเเถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมิได้กำหนดให้อยู่ภายใต้กฎหมายภายในของรัฐใดรัฐหนึ่ง จึงต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ การสรุปของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ทำให้เข้าใจต่อไปว่า คำเเถลงการณ์ร่วม จำเป็นต้องตกอยู่ภายใต้ กฎหมาย เสมอ โดยกฎหมายนั้นถ้าไม่เป็น กฎหมายภายใน ก็ต้องเป็น กฎหมายระหว่างประเทศ เเต่ในทางปฏิบัติระหว่างประเทศ มีคำเเถลงการณ์ร่วมมากมายที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (non-legal binding) เเต่เป็นเพียงการประกาศเจตนารมณ์ทางการเมืองหรือท่าทีทางการเมืองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น
โดยปกติเเถลงการณ์ร่วมจะไม่ตกอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของรัฐใดรัฐหนึ่ง เพราะการทำเเถลงการณ์ร่วมมักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันของรัฐ (Equality of state) สถานะของเเถลงการณ์ร่วมกับ สัญญาสัมปทาน (Concession) นั้นมีความเเตกต่างกัน
ประการที่สอง ข้อความตอนหนึ่งศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า
ซึ่งปกติแถลงการณ์ร่วมที่ไม่ประสงค์จะให้มีผลทางกฎหมายนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องลงนาม... ไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญนำหลักกฎหมายข้อนี้มาจากที่ใด มีแถลงการณ์ร่วมมากมายที่ลงนามโดยประมุขของรัฐ (Head of State) ประมุขของรัฐบาล (Head of Government) หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (Ministers for Foreign Affairs) หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายในฐานะที่เป็นสนธิสัญญา เช่น คำแถลงการณ์ร่วมระหว่างประเทศจีนกับประเทศญี่ปุ่น ลงนามวันที่ 29 กันยายน ค.ศ.1972 ที่กรุงปักกิ่ง ก็มีการลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ เป็นต้น
ประการที่สาม หนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่ใช้พิจารณาว่าแถลงการณ์ร่วมเป็นสนธิสัญญาหรือไม่ คือ ทางปฏิบัติภายหลังของรัฐของคู่สัญญา (Subsequent practice) ว่ามี เจตนา ที่จะก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ในทางระหว่างประเทศ เกณฑ์เรื่องเจตนา (Intention test) มีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยสถานะทางกฎหมายของแถลงการณ์ร่วมว่า เป็นสนธิสัญญาหรือไม่ ซึ่งไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญได้คำนึงเกณฑ์ข้อนี้มากน้อยเพียงใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้มีหนังสือแจ้งไปยังทางกัมพูชา เพื่อขอระงับการใช้แถลงการณ์ร่วม กรณีนี้ไม่ทราบว่าทางกัมพูชาได้มีหนังสือโต้ตอบทางการทูตหรือไม่ และหากหนังสือโต้ตอบทางการทูตจากกัมพูชามีเนื้อหาสาระฟังได้ว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะให้แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นสนธิสัญญา (พูดง่ายๆ ก็คือ ต่างฝ่ายต่างมีเจตนาตรงกันที่จะให้แถลงการณ์ร่วมก่อให้เกิดความผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่) ศาลรัฐธรรมนูญจะอธิบายประเด็นนี้อย่างไร
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนไม่ติดใจที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญา แต่อยากเห็น เหตุผล หรือ เกณฑ์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้พิจารณาสถานะทางกฎหมายของแถลงการณ์ร่วมรอบคอบกว่านี้
2.การก้าวล่วงบทบาทอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารเเละฝ่ายนิติบัญญัติ
หลักการเเบ่งเเยกอำนาจเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย โดยฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ตรากฎหมาย ฝ่ายบริหารมีหน้าที่บริหารประเทศตามกฎหมาย เเละฝ่ายตุลาการมีหน้าที่ตีความเเละใช้กฎหมายตามที่ฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้น หากตุลาการขยายขอบเขตอำนาจของตนมากจนเกินไป จนล้ำเเดนของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือฝ่ายบริหารเเล้ว (ultra vires) ก็จะส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศได้ อีกทั้งยังอาจขัดต่อคุณลักษณะของความเป็นองค์กรตุลาการที่เรียกว่า Judicial Propriety ด้วย เมื่ออ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีหลายตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเข้าไปก้าวล่วงอำนาจหรือภารกิจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ดังนี้
1) การก้าวล่วงการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ
ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่ตีความเเละใช้กฎหมายตามที่ฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้น ซึ่งมีนัยว่า การตัดสินคดีฝ่ายตุลาการถูกผูกพันว่าจะต้องวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น ในกรณีที่ถ้อยคำมีความคลุมเครือ หรือกำกวม ตุลาการสามารถตีความกฎหมายได้ เเต่ตุลาการต้องไม่บัญญัติกฎหมายขึ้นเสียเอง
มาตรา 190 วรรคสอง บัญญัติว่า หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนเเปลงอาณาเขตไทย... หมายความว่า หนังสือสัญญานั้นต้องมี บท ซึ่งเเสดงว่าต้องมีข้อความหรือเนื้อหาอันเป็นการ เปลี่ยนเเปลง คือทำให้ดินเเดนหรืออาณาเขตไทยเพิ่มมากขึ้นหรือลดลง เเละการเปลี่ยนเเปลงนั้นต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจริง มิใช่ อาจมีบท อย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน การเพิ่มคำว่า อาจ เข้าไปโดยพลการ เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญกำลังเข้าไปก้าวก่ายงานของฝ่ายนิติบัญญัติเเล้ว
2) การก้าวล่วงการทำงานของฝ่ายบริหาร
ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีอยู่หลายตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เเสดงบทบาทเกินขอบเขตขององค์กรตุลาการอย่างที่ควรจะเป็น เช่น กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ผู้ทำหนังสือสัญญาจะต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ ก่อนที่จะดำเนินการทำหนังสือสัญญาดังกล่าว... ...การดำเนินการเเละพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ เเละ ...ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน เเละอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศต่อไปภายหน้าได้ และ ...พึงเล็งเห็นได้ว่า หากลงนามคำเเถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการเเตกเเยกกันทางด้านความคิดของคนในสังคมทั้ง 2 ประเทศ
อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติเเก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศกัมพูชา ที่น่าฉงนก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญกำลังคิดเเทน คนกัมพูชา ว่า การลงนามจะก่อให้เกิดความเเตกเเยก ยิ่งกว่านั้น หากคิดกลับกัน การไม่ทำเเถลงการณ์ร่วม เเล้วยอมให้กับพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยพ่วงเเผนที่ฉบับเเรกที่เสนอในที่ประชุม ณ ประเทศนิวซีเเลนด์ ปีที่เเล้ว ก็จะที่กินพื้นที่ฝั่งไทยเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะไม่เป็นการสร้างความเเตกเเยกหรือ
จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น ดูประหนึ่งว่า ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารเสียเองในเรื่องเกี่ยวกับกิจการด้านการต่างประเทศ Foreign Affairs หรือการดำเนินวิเทโศบาย ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงการต่างประเทศอยู่เเล้ว หากเกิดปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐบาลย่อมอาศัยช่องทางทางการทูต (Diplomatic Channels) เป็นวิถีทางในการเเก้ไขปัญหาความขัดเเย้งระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีความถนัดเเละประสบการณ์มากกว่าศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ คำกล่าวข้างต้นของศาลรัฐธรรมนูญจึงมีลักษณะของ การตำหนิหรืออบรม การทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงศาลพยายามเเก้ไข ข้อพิพาททางการเมือง (Political dispute) มากกว่าที่จะใช้ความพยายามที่จะวินิจฉัยปัญหา ข้อพิพาททางกฎหมาย (Legal dispute) ดังจะเห็นได้จาก ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลามากไปกับการกล่าวถึงข้อวิตกห่วงใยถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ มากกว่าที่จะใช้เวลาในการอธิบายหลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำสนธิสัญญา (Conclusion of Treaty) หรือการขอความเห็นชอบจากสภา (Parliamentary Approval) หรือวิเคราะห์ ตีความถ้อยคำต่างๆ ที่เป็นศัพท์เฉพาะทางกฎหมาย เช่น คำว่า เปลี่ยนเเปลง อาณาเขตไทย ความมั่นคงทางสังคม ฯลฯ ว่ามีความหมายเเคบกว้างเพียงใด
3.ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเรื่องการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร
ข้อความตอนหนึ่งของคำวินิจฉัยกล่าวว่า เเต่หากเเปลความเช่นนั้น ก็จะไม่เกิดผลตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ที่มุ่งจะตรวจสอบควบคุมการทำหนังสือสัญญาก่อนที่ฝ่ายบริหารจะไปลงนาม... ศาลรัฐธรรมนูญกำลังสับสนระหว่าง การควบคุมตรวจสอบ (Monitoring) หรือ การถ่วงดุล (Check and balance) เเต่การเปิดโอกาสให้ฝ่ายนิติบัญญัติให้ความเห็นชอบกับสนธิสัญญาบางประเภทนั้น นักกฎหมายระหว่างประเทศเรียกว่า การมีส่วนร่วมของฝ่ายนิติบัญญัติ (Parliamentary Participation) ในกระบวนการทำสนธิสัญญา เช่น ในหนังสือชื่อว่า Parliamentary Participation in the Making and Operation of Treaties บรรณาธิการคือ Stefan Riesenfeld ตีพิมพ์ ค.ศ.1994
ความคลาดเคลื่อนสับสนนี้เกิดขึ้นเพราะเนื้อหาของมาตรา 190 เอง ที่ผู้ร่างต้องการความคุมการทำหนังสือสัญญาของฝ่ายบริหารจนมากเกินควร เสียจนไปกระทบหลักใหญ่ที่รับรองว่าการทำหนังสือสัญญาเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร (มาตรา 190 อยู่ในหมวดของคณะรัฐมนตรี มิใช่รัฐสภา)
กล่าวโดยสรุปเเล้ว มาตรา 190 มิใช่เป็นเรื่องการควบคุมตรวจสอบหรือการถ่วงดุล แต่เป็นเรื่องการเปิดโอกาสให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทำสนธิสัญญา
4.การเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หลังจากที่แสดงเจตนาผูกพันแล้ว
หากรัฐธรรมนูญไทยต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญควบคุมการทำหนังสือสัญญาแล้ว ควรระบุให้ชัดเจนว่า ก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันในทางระหว่างประเทศ (Consent to be bound) ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ก่อน อย่างรัฐธรรมนูญของประเทศโคลอมเบีย ค.ศ.1991 ตามมาตรา 240 ข้อ 10 แต่กรณีนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ลงนามแล้ว จึงมีการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า การลงนามนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็หามีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันไม่ เนื่องจากอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1969 มาตรา 46 บัญญัติห้ามมิให้รัฐอ้างการละเมิดกฎหมายภายใน (ในที่นี้คือรัฐธรรมนูญ) เกี่ยวกับการนำอำนาจทำสนธิสัญญามาเป็นเหตุปฏิเสธพันธกรณีระหว่างประเทศได้ เว้นแต่การละเมิดกฎหมายภายในนั้นจะแจ้งชัด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติการอ้างมาตรา 46 ทำได้ยากมาก เพราะจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำสนธิสัญญามาก
5.ความไม่เเน่ใจของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับขอบเขตของ คำเเถลงการณ์ร่วม
ศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า สำหรับคำเเถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 นั้น เเม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจน ว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนเเปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม เเต่เมื่อพิจารณาจากข้อบททั้งหมดในคำเเถลงการณ์ร่วม...
ประโยคข้างต้นเเสดงให้เห็นว่า เเม้เเต่ศาลรัฐธรรมนูญเองก็ไม่มั่นใจว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนเเปลงอาณาเขตไทยหรือไม่ แต่ประเด็นนี้ผู้เขียนเข้าใจศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เหมือนกับประชาชนคนไทยที่ยังสับสน ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยเสียดินแดนหรืออำนาจอธิปไตยอาณาบริเวณรอบๆ ปราสาท (Perimeter) หรือไม่
เนื่องจากข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไม่เคยถูกทำให้กระจ่างแจ้งหรือเป็นที่ยุติเสียที แผนที่หรือแผนผังที่นำเสนอสู่สาธารณชนนั้นมีมากมาย ต่างฝ่ายต่างเถียงกันถึงความถูกต้อง ประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่าในเมื่อประเด็นเรื่องแผนที่และพื้นที่รอบๆ ประสาทว่าจะรุกล้ำเข้ามาในฝั่งไทยหรือไม่ยังไม่ยุติลงเป็นเด็ดขาด ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ควรวินิจฉัยประเด็นนี้จนกว่าข้อเท็จจริงจะฟังเป็นที่ยุติอย่างชัดเจนก่อน ในคำวินิจฉัยไม่ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ฟังคำชี้แจงจากกรมแผนที่ทหาร หรือเจ้าหน้าที่เทคนิค มีเพียงคำชี้แจงจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอธิบดีกรมสนธิสัญญาเท่านั้น นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 216 วรรคสี่ บัญญัติว่า ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องประกอบด้วยเหตุผลในการวินิจฉัยใน ปัญหาข้อเท็จจริง แต่ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังไม่เป็นที่ยุติลงเด็ดขาด
ดังนั้น จึงเข้าใจได้ว่าทำไมศาลรัฐธรรมนูญจึงตัดสินว่า แถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลง... ในทางปฏิบัติ หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน ศาลหรืออนุญาโตตุลาการได้ไปเยือนพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทด้วยตนเอง หรือไม่ก็อาจแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญไปสำรวจเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัดเสียก่อน ก่อนที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย
6.ความคาดคะเนของศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากความไม่เเน่ใจของศาลรัฐธรรมนูญเเล้ว การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของศาลยังอิงหรือตั้งอยู่บนพื้นฐานของ การคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดขึ้น ดังจะปรากฏให้เห็นหลายตอนในคำวินิจฉัย เช่น ...อาจจะก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศต่อไปภายหน้าได้ พึงเล็งเห็นได้ว่า ก็อาจก่อให้เกิดความเเตกเเยกกัน...
อีกทั้งอาจก่อให้เกิดดวิกฤติเเก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา... การคาดคะเนของศาลรัฐธรรมนูญยังพบเห็นได้อีกครั้ง ตอนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยว่า เเถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนเเปลงอาณาเขตของประเทศ
ที่น่าเเปลกที่สุดก็คือ ความคาดคะเนของศาลรัฐธรรมนูญมีตลอดทั้งในส่วนที่เป็น เหตุผล เเละตอนที่กำลังจะมี คำวินิจฉัย ที่เรียกว่า Dispositif
บทส่งท้าย
เมื่อพิจารณาจาก เหตุผล เเละ คำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เข้าไปก้าวก่ายการทำงานของฝ่ายบริหารเเละฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่ง ก็อาจก่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างองค์กรฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ เเละฝ่ายตุลาการ เสียไป หรือ ก็อาจก่อให้เกิดความไม่น่าถือของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาในอนาคตก็เป็นได้ ความกังวลในเรื่องความลังเลของศาลสะท้อนจากคำกล่าวของท่าน Shigeru Oda อดีตผู้พิพากษาศาลโลก ในความเห็นแย้งในคดีความชอบด้วยกฎหมายของอาวุธนิวเคลียร์ ที่กล่าวว่า การที่ศาลสามารถกล่าวถึงข้อสรุปที่ไม่ชัดเจนแน่นอนนั้น แทบจะไม่เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ศาล (โลก) แต่อย่างใด
รศ. ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Create Date : 24 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 13:25:47 น. |
|
1 comments
|
Counter : 943 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Frank Abanel (Frank Abanel ) วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:18:11 น. |
|
|
|
| |
|
|