- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
การจำกัดเสรีภาพในการพูด การคิด การเขียน ในประเทศจีน
หลักกฎหมายเกี่ยวกับ Internet Censorship ในประเทศจีน พ.ต.ท.ดร.ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ
บทคัดย่อ (Abstract)
ประเทศจีนมีความเข้มงวดในการควบคุมการแสดงความคิดเห็นของประชาชนอย่างเข้มข้นที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประเทศจีนอยู่ในลำดับที่ 168 จาก 175 ประเทศ และมีสื่อสารมวลชนถูกฆาตรกรรม 1 ราย และถูกลงโทษจำคุก อันเนื่องมาจากการเสนอความคิดเห็น จำนวน 30 ราย และ นักเขียนออนไลน์ หรือ Netizens ที่ถูกจำคุกรวม 76 ราย นับแต่ปี ค.ศ.1999 เป็นต้นมา ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ควบคุมการแสดงความคิดในทุกรูปแบบทั้งบนสื่อทั่วไป การแจกจ่ายใบปลิว หรือ แบบออนไลน์ ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่การปกครองของ Xingjiang Uyghur Autonomous Region (XURA) ทางการจีนได้จับกุมคุมขังผู้ที่แสดงความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาลจีนอย่างเข้มข้น เช่น ในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2008 ทางการ XURA ได้จับกุมนาย Miradil Yasin กับนาย Mutellip Teyip ที่แจกใบปลิวในบริเวณมหาวิทยาลัย Xinjiang เพื่อชักชวนให้นักศึกษาร่วมรณรงค์ต่อต้านการขายสูบบุหรี่และสุราในเขตมหาวิทยาลัย แต่เจ้าหน้าที่เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกจับทั้งสองคน เป็นการปลุกเร้าให้นักศึกษาก่อความไม่สงบเรียบร้อยบนถนนหนทาง เป็นต้น
ด้านการเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ รัฐบาลจีนได้ปิดกั้นการเข้าถึงเวปไซต์ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมอย่างเข้มข้น เช่น กรณี ดาไล ลามะ (Dalai Lama) การสลายการชุมนุมที่จัตุรัส เทียนอันเหมิน (Tienanmen Square) หรือ แนวคิดทางศาสนาของลัทธิ ฝ่าหลุนกง (Falun Gong) โดยเฉพาะภายหลังเหตุการณ์การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อปกป้องสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชนของชาวจีน โดยมีนักวิชาการและปัญญาชนเข้าร่วมลงชื่อออนไลน์ในเอกสาร Charter 08 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ในวาระครบ 60 ปีของการปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ( Universal Declaration of Human Rights) และ มีประชาชนกว่า 9,700 คน ร่วมลงชื่อในข้อเรียกร้องดังกล่าว ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2009 รัฐบาลจีน ได้ทำการจับกุมนาย Liu Xiaobo นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังผู้ร่วมลงชื่อในเอกสารดังกล่าว โดยทางการจีนได้ติดตั้งระบบตรวจสอบและดักฟังที่บ้านของนาย Liu Xiaobo ภายหลังถูกจับกุมแล้ว เขาถูกปฏิเสธสิทธิในการมีทนายความ รวมถึงไม่ยินยอมให้ญาติของเขาเยี่ยม โดยควบคุมตัวเขาไว้เกินกว่า 6 เดือน โดยไม่มีการฟ้องร้องคดีเขาแต่ประการใด แต่ได้กักขังตัวเขาไว้ในบ้านโดยมีการติดตั้งระบบเฝ้าดูและดักฟังเขาตลอดเวลา จนกระทั่งวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ.2009 ได้นำตัวนาย Liu Xiaobo ไปฟ้องร้องในข้อหายุยงส่งเสริมให้ประชาชนล้มล้างการปกครองของรัฐบาลจีน (Inciting subversion) โดยการเผยแพร่ข้อความอันเป็นข่าวลือ และ ให้ร้ายรัฐบาลจีน โดยไม่ยินยอมให้มีทนายแก้ต่าง โดยให้เหตุผลว่าทนายความของเขา คือ Mo Shaoping ได้ลงชื่อใน Charter 08 ด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุด ศาลได้ตัดสินให้จำคุกนาย Liu Xiaobo ตามข้อกล่าวหา เป็นเวลา 11 ปี ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.2009 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของประเทศจีน ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ กับสื่อสารมวลชนต่างประเทศ และ องค์กรเอกชน (NGO) ตั้งแต่การประสานงานที่ใกล้ชิด ตักเตือน ไปจนถึงการออกหมายเรียก และ การข่มขู่ หรือ การติดตามรังควานสื่อมวลชนกว่า 100 คนที่ลงชื่อในหนังสือเรียกร้อง Charter 08 ดังกล่าว และสื่อสารมวลชนทั่วไป รวมถึงนักสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะบุคคลที่มีการจัดทำสำเนา Charter 08 เผยแพร่ต่อสาธารณะ จะถูกเฝ้าตรวจและดักฟัง (residential surveillance) ในที่อยู่อาศัยของเขาเองด้วย
รัฐบาลจีน ได้ดำเนินการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารออนไลน์อย่างเป็นระบบตั้งแต่ กำหนดให้มีใบอนุญาตการประกอบกิจการสื่อมวลชนที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน การการกลั่นกรอง (Filtering) และปิดกั้น (Blocking) เวปไซต์ต่าง ๆ ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่กำหนดนโยบาย ในระดับของ Internet Service Provider (ISP) ซึ่งปัจจุบันจีน มีระบบเครือข่ายใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ CSTNet, ChinaNet, CERNet และ CHINAGBN ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการควบคุมระบบการให้บริการทางอินเตอร์เน็ตทั้งระบบ เพื่อควบคุมผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตกว่า 3,000 บริษัท ที่ได้รับสัมปทานจากระบบเครือข่ายดังกล่าวอีกทอดหนึ่งอย่างเบ็ดเสร็จ รัฐบาลจีน ยังได้จัดตั้งสมาคมอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศจีน (The Government-connected Internet Society) เพื่อให้ผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตซึ่งจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลให้ยอมรับเงื่อนไขในการตรวจสอบและปิดกั้นเนื้อหาที่รัฐบาลจีนเห็นว่าไม่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดให้ผู้เขียนหรือสร้างเนื้อหาบนเวปไซต์ มีหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบและละเว้นการเผยแพร่ข้อมูลไม่เหมาะสมด้วย (Self-filtering) รัฐบาล โดย State Council ได้พัฒนาระบบ Golden Shield ในปี ค.ศ. 1993 ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็น Great Firewall of China ในปี ค.ศ.2000 เพื่อปิดกั้นเวปไซต์ พร้อมกับดำเนินคดีอาญาอย่างจริงจัง ให้เพื่อยับยั้งมิให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น (Chilling effect) ดังกล่าว ตัวอย่างเช่น หากมีการเสนอความเห็นที่เกี่ยวกับกรณีการสลายการชุมนุมที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1993 หรือเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ก็จะมีการดำเนินดคีกับที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างจริงจัง
รัฐบาลจีน ยังได้ใช้กฎหมายอาญาโดยผิดวัตถุประสงค์ในการห้ามการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เช่น ข้อหาหมิ่นประมาท (Defamation) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 246 เพื่อลงโทษผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือ การเปิดเผยข้อเท็จจริงที่รัฐบาลจริงไม่พึงประสงค์จะให้มีการเผยแพร่ โดยกล่าวหาว่าการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว เป็นการสร้างความเข้าใจผิด หรือให้ร้ายรัฐบาล เพื่อมีวัตถุประสงค์ล้มล้างรัฐบาล โดยตั้งแต่ปี ค.ศ.2009 เป็นต้นมา โดยในกรณีที่รัฐบาลจีนเห็นว่าการวิพากษ์รัฐบาล หากเห็นว่าการหมิ่นประมาทนั้นจะก่อให้เกิดภยันตรายต่อผลประโยชน์ของรัฐ ก็สามารถดำเนินคดีได้เองโดยไม่ต้องมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249 ได้โดยลำพัง
การปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารโดยรัฐบาลจีน ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ การผูกขาดการให้บริการต่อเชื่อมระบบอินเตอร์เน็ตโดยรัฐบาลเอง และ การใช้ระบบซอฟแวร์เพื่อตรวจสอบและป้องกันการแสดงความคิดเห็นที่ไม่พึงประสงค์ การสร้างความเชื่อ (Propaganda) ที่สนับสนุนนโยบายของรัฐ การจ้างประชาชนเข้าโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นหักล้างกับผู้โจมตีรัฐบาล การปิดเวปไซต์ และ การดำเนินคดีกับผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยหน่วยงาน Office of Information ซึ่งมี Bureau Five และ Bureau Nine ในการสร้างความเชื่อและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ตลอดจนการการใช้ระบบใบอนุญาตควบคุมบริษัทหรือองค์กรต่างประเทศ หากไม่ปฏิบัติตามก็จะไม่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจในประเทศจีนอีก ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลจีน พิจารณาข่าวสารเป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนอินเตอร์เน็ต ก็ควรจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความบันเทิงเท่านั้น ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับการการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือสร้างความไม่สงบแก่สังคมและผลประโยชน์ของรัฐบาลจีน อันรวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย รัฐบาลจึงใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบและปิดกั้นการเผยแพร่ความคิดเห็นใด ๆ ของประชาชน โดยเฉพาะสื่อสารมวลชนของต่างประเทศ แม้กระทั่งภาพยนตร์ และ สื่อมวลชนทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twiiter รวมถึง Search Engine ของเวปไซต์ต่าง ๆ ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศจีน พิจารณาเห็นว่า ความมั่นคงปลอดภัยของสังคมมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด จึงทำให้มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง และ มีการใช้อำนาจทางกฎหมายที่ผิดมาโดยตลอดเช่นกัน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในขณะเดียวกันระบบการตรวจสอบกฎหมายก็มีแนวโน้มลดลงไปหรือไม่มี ขาดความโปร่งใสในกระบวนการดังกล่าว โดยศาลเองก็ไม่ได้มีบทบาทในการตีความกฎหมายและส่งเสริมเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเลย กล่าวโดยรวม รัฐบาลจีน ได้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิด (Freedom of Expression) ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ตั้งแต่การตรวจสอบก่อน (Prior restraints) การขอใบอนุญาต (License) รวมถึงการใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งเรียกว่า เป็นการใช้อำนาจแบบอ่อน (Soft power) โดยรัฐบาลจีนจะใช้มาตรการเฝ้าระวัง (watch dog) เกี่ยวกับการเสนอข่าวสารของนักเขียนและสื่อมวลชน โดยเน้นย้ำหน้าที่ของสื่อมวลชนให้มีความจงรักภักดีต่อรัฐบาลจีนในฐานะที่เป็นนโยบายและมาตรฐานวิชาชีพที่สำคัญสูงสุดยิ่งยวดของสื่อมวลชนเลยทีเดียว ปัจจุบันรัฐบาลจีน ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการควบคุมโดยการเสนอข่าวผ่านระบบออนไลน์ให้รวดเร็วที่สุดเร็วกว่าสื่ออื่น ๆ เพื่อให้ข่าวของรัฐครอบคลุมและกำหนดทิศทางในการเสนอข่าวของสื่ออินเตอร์เน็ตอื่น ๆ การตติดตามรังควานสื่อมวลชน การลบข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง และศาสนา รวมถึงการปิดกั้นเวปไซต์ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดให้ร้านค้าคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ดำเนินการติดตั้งซอฟแวร์หรือโปรแกรมในการตรวจสอบเนื้อหาของเวปไซต์ไว้เป็นการล่วงหน้า (Pre-installed censorship software) ซึ่งรัฐบาลจะควบคุมและตรวจสอบการคอมพิวเตอร์ของปัจเจกชนตลอดเวลา รวมถึงการออกข้อกำหนดที่จะบังคับให้ปัจเจกชนในการแจ้งชื่อที่อยู่ที่แท้จริงในการเสนอข้อความหรือแสดงความคิดเห็นตามเวปไซต์ต่าง ๆ ด้วย อีกทั้ง ยังกำหนดหน้าที่ให้ผู้บริหารเวปไซต์ ทำหน้าที่ในการป้องกันเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นการละเมิดศีลธรรมบนอินเตอร์เน็ต เช่น ภาพโป๊ หรือ เนื้อหาที่มีหยาบโลน เป็นต้น
บทความนี้ ( เป็นบทย่อของเอกสารขนาดความยาว ๕๐ หน้า ) ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ปรากฏในรายละเอียด ดังนี้
1. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ประเทศจีน ได้ให้ความคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนไว้ทั้งตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ.1982 มาตร 35 รับรองเสรีภาพดังกล่าวไว้ว่า ประชาชนแห่งสาธารณะประชาชนจีน มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น เสรีภาพในการตีพิมพ์งานวิชาการ เสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคม เดินขบวน และ การชุมนุม แต่มีกฎหมายลำดับรอง ๆ ลงไป กำหนดแนวทางที่เป็นอุปสรรคในการแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย เช่น Regulations on the Administration of publishing ค.ศ. 2001 มาตรา 5 และ มาตรา 24 ได้กำหนดให้องค์กรของในทุกระดับจะต้องดำเนินมาตรการเพื่อให้หลักประกันการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเป็นจริงในทางปฏิบัติ แต่การแสดงความเห็นที่ชอบด้วยกฎหมาย และ จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตลอดจนจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อประโยชน์ของแผ่นดิน สังคม หรือ ส่วนรวม อีกทั้งยังจะต้องเคารพต่อนโยบายของรัฐ (national affairs) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมด้วย
ในกรณีที่เป็นการเสนอผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ งานวรรณกรรม และ วัฒนธรรม หากชอบด้วยกำหมาย ตามนัยยะที่พรรคคอมมิวนิสต์กำหนดไว้ ย่อมได้รับการปกป้อง และ ไม่อาจจะถูกแทรกแซงได้ ไม่อาจทำให้ล่าช้า หรือ การขัดขวางการเสนอความคิดเห็นดังกล่าว จากหลักกฎหมายดังกล่าว จึงทำให้การแสดงความคิดเห็นใด ๆ ถูกจำกัดไปทั้งหมดจนแทบไม่อาจแสดงความคิดเห็นได้ 2. ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในการใช้เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น เกี่ยวกับสื่อออนไลน์
ประเทศจีน ได้ตรากฎหมาย หรือ People Republic of China - PRC Domestic Laws and Regulations: Prior Restraints จำนวนมาก เช่น การรายการวิทยุ หรือ เสียงที่ถ่ายทอดผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั้น จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เรียกว่า Measures on the Administration of Broadcasting Audio/ Visual Program over the Internet or Other Information Network ปี ค.ศ. 2003 ซึ่งกำหนดให้ผู้ใดก็ตามที่ประสงค์จะถ่ายภาพและเสียงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จะได้รับอนุญาตจากหน่วยงานดังกล่าว State Administration of Radio, Film, and Television หรือ กรณีที่ผู้ที่จะให้บริการ Internet Cafes ปฏิบัติตาม Regulation on the Administration of Internet Access Service Business Establishments [Internet Cafes] ค.ศ.2002 ซึ่งจะต้องตรวจสอบ ลงทะเบียน และ จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มาใช้บริการร้านอินเตอร์เน็ต หรือ เอกสารอื่น ๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมายของลูกค้าซึ่งมาใช้บริการออนไลน์ในสถานบริการของตนเอง โดยจะต้องจัดเก็บข้อมูลทั้งในด้านเนื้อสาระในการสื่อสารและข้อมูลผู้ใช้บริการ เป็นเวลาอย่างน้อย 60 วัน เพื่อให้หน่วยงานด้านวัฒนธรรมและความปลอดภัย (Cultural and Public Security Agency) ตรวจสอบว่ามีการกระทำใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อมูลที่เกี่ยวกับการลงทะเบียน และ ข้อมูลบันทึกต่าง ๆ จะต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลง หรือทำลายระหว่างระยะเวลาดังกล่าว
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะเผยแพร่งานเขียนบนอินเตอร์เน็ต จะต้องปฏิบัติตาม Interim Provisions on the Administration of Internet Publishing ค.ศ.2002 มาตรา 6 ที่กำหนดไว้ในเชิงป้องกันไว้ว่า ผู้ที่จะเผยแพร่งานทางอินเตอร์เน็ต จะต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น ส่วนการเผยแพร่เนื้อใด ๆ บนอินเตอร์เน็ต จะต้องไม่มีเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อเกียรติภูมิและประโยชน์ของรัฐ และห้ามมิให้มีการเผยแพร่ข่าวลือ, กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ และ สร้างความปั่นป่วนต่อเสถียรภาพของสังคม
นอกจากนี้ยังมี Provisions on the Administration of Internet Electronic Bulletin Board Service ค.ศ.2000 มาตรา 5 ผู้ให้บริการข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ( Operators of Internet Information Services) ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับกระดานแสดงความคิดเห็นทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะต้องยื่นขออนุญาตเช่นกัน 3. แนวนโยบายของรัฐเกี่ยวกับการควบคุมการแสดงความคิดเห็นในประเทศจีน
รัฐบาลจีน มีแนวนโยบายที่จะควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลและการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน การเมือง และ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ อย่างเข้มงวด การเผยแพร่ข้อมูลใดจะต้องมีความถูกต้องตามทิศทางทางการเมือง มีความรับผิดชอบต่อสังคม และจะต้องสอดคล้องต่อนโยบาย และกฎระเบียบของพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงกฎหมายของประเทศจีน เป็นสำคัญ โดยมีหลักการ และเครื่องมือในการควบคุม เช่น การเสนอข่าวสารใด ๆ จะต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ จะต้องไม่ปฏิเสธแนวคิดลัทธิ Marxism, Mao Zedong หรือทฤษฎี Deng Xiaoping หรือ การละเมิดข้อกำหนด หลักเกณฑ์ หรือ นโยบาย ของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยมีการนำ การนำกฎหมายพิเศษมาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการแสดงความคิด เช่น กฎหมายว่าด้วย National Security and State Secrets กฎหมายอาญา ว่าด้วยการการเผยแพร่ไขข่าว หรือ การเปิดเผยความลับของรัฐบาลจีน กฎหมายว่าด้วย State Security Law ค.ศ. 1993 ซึ่งมีข้อกำหนดอย่างกว้างขวางและคลุมเครือห้ามมิให้องค์กรหรือปัจเจกชน ก่อให้เกิดภยันตรายต่อความมั่นของประเทศจีน (มาตรา 4)
5. หน่วยงานและมาตรการของประเทศจีนในการตรวจสอบการแสดงความคิดของประชาชน
นอกจาก General Administration of Press and Publication (GAPP) เป็นหน่วยงานพิจารณาให้ใบอนุญาต (License) และ มีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมสื่อสารมวลชนและอุตสาหกรรมการพิมพ์ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ เช่น The Central Propaganda Department (CPD) หรือ หน่วยงานสร้างความเชื่อและความศรัทธาต่อนโยบายของรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ มีหน้าที่ในการควบคุมการปฏิบัติงานของ GAPP ให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าวอย่างใกล้ชิด The State Administration of Industry and Commerce มีหน้าควบคุมและดำเนินคดีกับสิ่งตีพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ถือว่าผิดกฎหมายด้วย The State Council Information Office ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ควบคุมดูแลและการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นบนสื่ออินเตอร์เน็ต และ สื่อทั่วไป ฯลฯ และ ส่วนองค์กรที่สำคัญที่สุด ได้แก่ องค์กรศาลของจีนเอง ที่หน้าที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในแผ่นดินจีน โดยศาลสูงสุดของจีน ก็พิพากษายอมรับว่า การตรวจสอบและปิดกั้น หรือ Censorship ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพื่อป้องกันมิให้ประชาชนชาวจีนในการเข้าถึงแนวคิดทางการเมืองของต่างประเทศ
บทสรุป
สำหรับการปิดกั้นของประเทศจีน ทางการจีนได้ใช้อำนาจอย่างเข้มข้นในการควบคุมการแสดงความคิดเห็นบนอินเตอร์เน็ต โดยดำเนินการหลายแนวทาง ตั้งแต่ การจูงใจเพื่อให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และ เวปไซต์ในประเทศจีน ให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังเนื้อหาในเวปไซต์ตลอดเวลา โดยจะต้องดำเนินการลบเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ในเวปไซต์นั้น นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ดำเนินการสร้างความเชื่อของสาธารณะโดยการจ่ายเงินเพื่อให้สร้างระบบกระดานข่าวหลายหมื่นแห่งเพื่อให้เสนอข่าวสารที่สนับสนุนรัฐบาล ควบคู่ไปกับมาตรการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการที่เข้มข้นในการติดตั้งโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ของเอกชนทุกราย ที่เรียกว่า "Green Dam-Youth Escort'' โดยโปรแกรมดังกล่าว สามารถเฝ้าระวังการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกคนได้ตลอดเวลา แม้จะได้รับการต่อต้านอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่รัฐบาลก็ประกาศใช้มาตรการดังกล่าวอย่างไม่ลังเลเลย อันเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ที่มีการลงชื่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อเรียกร้องเกี่ยวกับประชาธิปไตย หรือ Charter 08 โดยปัญญาชนชาวจีน ที่เรียกร้องให้ยุติการผูกขาดการสืบอำนาจของคอมมิวนิสต์ ผลของการเผยแพร่ดังกล่าว นอกจากการดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่แล้ว ยังทำให้เวปไซต์จำนวนมากที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าว เช่น bulldog.com ถูกปิดตัวลงไปทันที
รัฐบาลจีนได้กำหนดยุทธศาสตร์ ในการปิดกั้นอย่างเข้มข้น เช่น การติดตั้งโปรแกรมการตรวจสอบและปิดกั้นเวปไซต์ในคอมพิวเตอร์ของปัจเจกชนทุกเครื่องที่ผลิตในประเทศจีน การตั้งหน่วยงานเพื่อดำเนินการตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ ยังควบคุมโดยศูนย์จัดการระบบคอมพิวเตอร์ของประเทศจีน ซึ่งมี 3 ศูนย์ใหญ่ด้วยกัน คือ ศูนย์ควบคุมที่ Beijing, Shanghai และ Guangzhou ประเทศจีนจึงสามารถจัดระบบการจราจร และปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยจีนไม่ค่อยจะเข้ามาควบคุมตรวจสอบเวปไซต์ของสำนักงานราชการต่างประเทศที่มาประจำในประเทศจีนมากนัก แต่ในทางตรงกันข้ามจะปิดกั้นอย่างเต็มที่ สำหรับเวปไซต์ข่าวสาร หรือ เอกชนอื่น ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาล ยังใช้วิธีการประสานงานใกล้ชิดทางโทรศัพท์เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานของบริษัทเอกชนที่ให้บริการอินเตอร์เนตนั้น จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยพนักงานของบริษัทเอกชน จะต้องพยายามคาดการณ์เอาเองว่าจะต้องตรวจสอบและปิดกั้นอะไรบ้าง เนื่องจากรัฐจะมีการประเด็นการปิดกั้นและตรวจสอบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกสัปดาห์ สำหรับหน่วยงานตรวจสอบอินเตอร์เน็ต (Internet monitoring and surveillance unit) มีอยู่ทั่วไปทุกเมืองในประเทศจีน
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งองค์กรหน่วยตรวจสอบ เช่น Bureau Five, Bureau Nine เพื่อทำให้การปิดข้อมูลไปเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะองค์กรศาล ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการปกป้องเสรีภาพของประชาชนเลย ศาลไม่ได้วิเคราะห์หรือไม่มีมาตรฐานในการพิจารณาเลยว่าสิ่งใดที่จำเลยได้กระทำไปในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแล้วถือว่าเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติจีนหรือไม่ ไม่มีขอบเขตในการวิเคราะห์ข้อกล่าวหาว่าอะไรคือ เส้นแบ่งระหว่าง เสรีภาพในการแสดงความคิด และ ความมั่นคงของชาติ แต่กฎหมายของจีนรวมถึงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ห้ามการเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ที่มีเนื้อหาซึ่งอาจจะกระทบต่อความมั่นคงหรือจะล้มล้างการปกครองของรัฐบาล หรือ ทำลายความจงรักภักดีและผลประโยชน์ของชาติ หรือ การยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ และกลุ่มชาติพันธุ์ หรือเป็นการพูดให้ร้ายก่อให้เกิดความแตกแยก ภาพโป๊ลามกอนาจาร ความรุนแรง การก่อการร้าย และ ข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งละเมิดต่อสิทธิของบุคคลอื่น แต่กฎเกณฑ์เหล่านั้น ไม่มีคำนิยามเกี่ยวกับแนวคิดหรือตัวอย่างหรือบรรทัดฐานที่แสดงให้เห็นว่าอะไรที่ถือว่าเข้ากฎเกณฑ์ต้องห้ามดังกล่าวเลย กฎหมายของจีนจึงเป็นการบัญญัติที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะกฎหมายที่ควบคุมอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง ประชาชนทั่วไปไม่สามารถทราบได้เลยว่า เนื้อหาใดที่สามารถเผยแพร่ได้ ประชาชนจึงไม่อาจจะทราบได้เลยว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะกลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายไปในที่สุด จึงอาจกล่าวโดยสรุปว่า การรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญเป็นเพียงการรับรองในกระดาษที่ไม่มีการคุ้มครองที่แท้จริงแต่ประการใด
อ่าน ๆ แล้ว ไทยกับจีน ทำไม มันช่างเหมือนกัน โดยเฉพาะองค์กรศาลไทย ที่พิพากษาคดีได้อย่างน่าเกลียดน่ากลัว ไม่สมกับที่รับเงินเดือนจากประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตย ศาลไทยขาดจิตสำนึกแห่งประชาธิปไตย และขาดจิตวิญญาณการรับใช้ประชาชนอย่างมาก น่าจะถึงเวลาปฏิรูปศาลไทยเสียที ....
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 14:07:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3170 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|