*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 
เก็บตก....สำหรับคอการเมือง

วันนี้ เข้าไปอ่าน blog ของ นิติรัฐ มา มีเรื่องน่าสนใจหลายเรื่อง ซึ่งเขาได้แนะนำ blog ของ สรรพเสียงอันแผ่วเบา ซึ่งได้รวบรวมบทความ และความเห็นจาก เวปไซต์ เป็นต้นว่า องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนเอเชี่ยน ประชาไท (ลิงก์ด้านขวามือ) มาไว้ใน blog เห็นว่าน่าสนใจดี สำหรับคอการเมืองครับ เลยหยิบมาฝากกัน

(1) Asian Human Rights Commission (AHRC)

Thailand: Military Coup 2006

(2) ประชาไท

ความดี ...ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังเข้าคลอง

(3) ฟ้าเดียวกัน

เรื่องอดีต ที่จะกลายเป็นอนาคต สำหรับประเทศไทย



ขอให้สนุกสนานกับการอ่านครับ



Create Date : 22 ตุลาคม 2549
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:57:45 น. 4 comments
Counter : 562 Pageviews.

 
ขอบคุณนะครับ


โดย: น้องเบิร์ด (AsWeChange ) วันที่: 23 ตุลาคม 2549 เวลา:0:05:55 น.  

 
ไปเห็นกระทู้นี้ ในห้องไกลบ้านมาครับ เห็นว่าสนใจ เลยเอาโพสต์ในนี้อีกที (เผื่อกระทู้โดนลบ)

//www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H4815556/H4815556.html

ความเห็นเกี่ยวกับนักเรียนไทยในต่างแดน (รวมทั้้งนักเรียนทุนรัฐบาล) ต่อการปฏิวัติในประเทศไทย
ได้อ่านความเห็นที่คิดว่าน่าสนใจมาก อยากจะเอามาคุยกันตรงนี้

(จากกระทู้ของ k. Scarecrow)

=================================

แล้วพวกที่มาเรียนต่างประเทศ ถ้าเป็นนักเรียนทุนเนี่ยนะ ถ้ารักประเทศชาตินะ ผมเห็นว่า สิ่งที่ควรทำคือ

1 สามารถแสดงออกได้ว่า ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ควรทำกันในหมู่คนไทยด้วยกัน

2 พยายามใช้ความรู้ สติปัญญา ที่มี ตอบแทบแผ่นดิน เวลาคนต่างชาติถาม ก็หาคำตอบที่จะเป็นประโยชน์ พยายามทำให้เขาเข้าใจว่า อะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ผสมโรงกับต่างชาติ ทำร้ายแผ่นดิน

นึกง่าย ๆ ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในบ้านตัวเอง พ่อแม่พี่น้องเครือญาติ จะเรื่องใดก็แล้วแต่ อยู่นอกบ้าน จะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไปประจานให้คนข้างบ้าน อย่างนั้นหรือป่าว ...

ผมเห็นมาเยอะแล้ว พวกนักเรียนทุนรัฐบาล ไปเรียนต่างประเทศ รัฐ ยอมให้พาครอบครัวไปด้วย มันไปเรียน มีลูกเกิดในต่างประเทศ มันก็วิ่งเต้นให้ลูกได้สัญชาติ แล้วมันก็หนีทุน

คนพวกนี้ ชั้นเลว แล้วยิ่งมาแสดงใด ๆ ที่เป็นการทำร้ายประเทศ ยิ่งชั่วหนักเข้าไปอีก

สำหรับพวกนักเรียนทุน ตอนนี้รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย งบประมาณปีต่อไป ก็ถูกจัดทำโดยกระบวนการนอกกรอบประชาธิปไตย ตอนเขาส่งเงินมาให้ ประกาศไม่รับเงินเหล่านั้นอีกต่อไป จะช่วยแสดงจุดยืนได้เป็นอย่างมาก

บอกไปเลยว่า เงินเผด็จการ ไม่รับ อันนี้จะยิ่งใหญ่มาก

จากคุณ : ScaRECroW

=================================

จากคุณ : B.F.Pinkerton - [ วันปิยมหาราช 03:02:16 ]


-----------------------------------------------------------


ความคิดเห็นที่ 1

เป็นความเห็นที่น่าสนใจมาก ส่วนตัวผมเอง ก็ได้พยายามจัดการประชุมเสวนากันทั้งในระหว่างนักเรียนไทย และติดต่อประสานงานให้มีการอภิปรายต่าง ๆ โดยนักวิชาการต่างชาติและไทย เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยไม่ได้มองว่าจะทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสียชื่อเสียแต่อย่างไร เพราะผมเชื่อว่าโลกสมัยนี้เป็นโลกแห่งข่าวสารข้อมูล ที่เราไม่สามารถจะปิดบังอะไร ๆ ต่อโลกภายนอกได้อีกต่อไปแล้ว

การเข้าร่วมในการอภิปรายต่าง ๆ เรา ก็พยายามฟังจากหลายมุมมอง ทั้งมุมมองของพันธมิตร มุมมองของนักวิชาการ มุมมองคนฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ถามว่าเป็นการประจานทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือไม่ ? ผมก็ไม่อาจทราบได้ แต่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม ในฐานะนักเรียนชาวไทย ที่ถือเป็นตัวแทนของประเทศ ณ เวทีโลก ที่เราควรจะสื่อสาร ให้ข้อมูล ทำให้ชาวโลกได้มองประเทศไทยในแง่สิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราเป็นแค่ ผู้วิจารณ์(commentator) ไม่ใช่ ผู้เล่น ( players) ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียง หรือ ชื่อเสีย ได้จากการกระทำของพวกเขาอย่างแท้จริง

การตอบแทนคุณแผ่นดิน (repay motherland) นั้นเป็นเรื่องอัตตวิสัย ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคน การตอบแทนคุณแผ่นดินตามนิยามของบุคคลบางท่าน แท้จริงแล้ว อาจจะเป็นการทำร้ายแผ่นดิน ทำลายระบอบสถาบัน อย่างโหดเหี้ยมที่สุด ก็เป็นได้

จากคุณ : B.F.Pinkerton - [ วันปิยมหาราช 03:04:17 ]






ความคิดเห็นที่ 2

#1, the most important thing for Thailand right now is the "righteous attitude" of people. And what you are doing is absolutely positive. Thailand has too many cynics who are only good at using abusive logic and patrioticism to "win" and it is the crucial thing we show the flaws in their abusive arguments, in order to put together the right attitude of people, to reduce the propagandistic hatred and discriminations.

These cynics go on accusing all kinds of people of being unpatriotic on nonsensical issues such as you have to leave your normal life, go back to your own country to "help" the country. Or recently requesting ridiculous act to the scholar students to "prove" the loyalty to the country. It just shows how ignorant he is when it comes to understanding the phrase "loving the country".

By discussing in the public webboard where many Thais have access, it helps building the right attitude among people. It always starts from people with the right minds, to make up the right country.

I couldnt care less what foreigners think, I do care what Thais think and how we think.

จากคุณ : V - [ วันปิยมหาราช 03:54:08 A:70.58.182.158 X: TicketID:128000 ]






ความคิดเห็นที่ 3

I couldnt care less what foreigners think, I do care what Thais think and how we think.

---------------------
I love this quote :)

จากคุณ : shory - [ วันปิยมหาราช 04:04:41 ]






ความคิดเห็นที่ 4

ผมไม่สนใจเรื่องรักษาหน้ารักษาตาประเทศแบบผิวๆ

ผมวิจารณ์อย่างที่ผมคิด

ไอ้เรื่องบอกว่ามันเป็นรัฐประหารอมยิ้ม
คนไทยเฮฮา อันนี้คงไม่ เพราะมันยังวัดผลไม่ได้
ผมพูดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ขออภัย กระดากปาก

(แต่จากนโยบายอนุรักษ์นิยม - (อ้าง)เศรษฐกิจพอเพียง
ที่ออกมาหลายๆเรื่อง ก็ทำให้คนที่นิยมการรัฐประหารใน
ระยะแรกเริ่ม "ไม่สนุก" กันบ้างแล้ว)

แต่ก็พยายามลดดีกรีที่ฝรั่งเขาคิดไปถึง "ไหนต่อไหน" ลงไปบ้าง

เพราะมันไม่มีหลักฐาน และยังไงผมก็ยังเป็นคนไทย

จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ วันปิยมหาราช 04:24:11 ]






ความคิดเห็นที่ 5

ก็แค่คนชิงอำนาจกัน อ่ะเนอะ

จากคุณ : DoE - [ วันปิยมหาราช 04:30:02 A:172.159.216.188 X: TicketID:130277 ]






ความคิดเห็นที่ 6

ตอนเขาส่งเงินมาให้ ประกาศไม่รับเงินเหล่านั้นอีกต่อไป จะช่วยแสดงจุดยืนได้เป็นอย่างมาก

จากคุณ : ScaRECroW
==

เอ่อ นี่มันเงินของใครเหรอ ของประชาชนที่เสียภาษีทั่วประเทศหรือของรัฐบาลที่ได้มาด้วยกระบอกปืนและรถถัง

จะบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์ไปสั่งให้นักเรียนทุนทำอย่างที่คุณกล่าวมาเพราะหนึ่ง มันไม่ใช่เงินคุณ และสองเหตุผลของคุณมันผิด ความหมายของคำว่า"รักชาติ" ของคุณมันผิด

แต่เดี๋ยวคงมีคนเข้ามาช่วยตอกย้ำความเชื่อและความหมายของคำว่า "รักชาติ" ของคุณเองแหละ เพราะผลประโยชน์ของกลุ่มขุนนางต้องมีคนรักษา แค่เอาประชาชนมาบังหน้าแค่นั้นเอง และที่หลายๆคนยอมรับการยึดอำนาจโดยปืนและรถถังเป็น tradition ของประเทศไทย เป็น democracy แบบไทยๆ ก็เพราะแค่ถูกฝังหัวมาอย่างนี้ ถ้าไม่ขวนขวายตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้ มันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งต้องการ ก็ทำรัฐประหารกันต่อไปเรื่อยๆ

น่าแปลกนะที่กลุ่มที่ทำรัฐประหารใช้เหตุผลว่ารัฐบาลคอรัปชั่นมายึดอำนาจ ทั้งๆที่คนกลุมนี้เป็นกลุ่มคนที่กินประเทศมากที่สุด แค่ไม่เป็นข่าวแค่นั้นเอง

จากคุณ : สวัสดี - [ วันปิยมหาราช 05:49:50 A:70.21.39.221 X: TicketID:123857 ]






ความคิดเห็นที่ 7

อย่าพยายามหาคำตอบว่า สิ่งไหน "ถูก" หรือ "ผิด" จะดีกว่าครับ

เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำได้ก็คือ ได้แต่เฝ้ามองประเทศของเราต่อไป โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย

ใครจะอาสาสู้กับปืนและรถถัง ยกมือขึ้น!!

จากคุณ : praphrut608 - [ วันปิยมหาราช 07:32:13 ]






ความคิดเห็นที่ 8

ที่มหาวิทยาลัยผม ก็จัดการสัมมนาเรื่องรัฐประหารเหมือนกัน ไม่ทราบว่า การสัมมนา หรือ การถกเถียงนี่ มันจะทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียงหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ข่าวที่ออกมาทุกระยะ ในช่วงการกระทำรัฐประหาร ซึ่งผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ และไม่อาจจะกล่าวความชอบธรรมใด ๆ ได้เลย ข่าวนี้ ก็แพร่หลายในสหรัฐฯ ในช่วงนั้น แล้วประเทศต่าง ๆ ก็รับทราบข่าวสาร และแนวคิด รวมถึงวิถีไทย ของคนส่วนหนึ่งที่ออกไปไชโยโห่ร้อง ด้วยความยินดีที่มีการกระทำรัฐประหาร มันก็ได้เผยแพร่ไปทั่วโลกตั้งแต่เวลานั้น ไม่ต้องรอให้ใครไปประกาศซ้ำหรอก และพวกเขาก็ คิด และจดจำ ประเทศไทย ในแง่นั้นไปนานแล้ว

การแสดงจุดยืนว่า เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำรัฐประหาร เป็นความคิดของปัจเจกบุคคล ที่ในส่วนตัวผมเห็นว่า มันทำให้สังคมหนึ่ง ๆ ที่มีการถกเถียงกันเห็นว่า การกระทำรัฐประหาร ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยอมรับของทุกคนในสังคมไทย ซึ่งผมก็เชื่อว่า คนในสังคมไทย จำนวนไม่น้อย เช่นกัน ไม่เห็นด้วย แต่ไม่กล้าจะพูด หรือ ไม่มีช่องทางจะสื่อออกมาให้เสียงดัง ฟังชัด ความคิดเหล่านี้ หรือที่จะเรียกว่าไม่รักชาติได้ .... ผมไม่เข้าใจเลย

ในส่วนตัวตัว การถกเถียง หรือ การสัมมนา จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่เรียกว่าไม่รักชาติได้ เราคงเคยได้ยินว่า "รักลูก เรายังต้องรักให้ถูกทาง" แล้วการรักประเทศชาติ ที่สำคัญยิ่งใหญ่กว่า เรื่องส่วนตัว (คือ รักลูก) ก็ยิ่งสมควรจะต้องกระทำให้ถูกทางเช่นกัน หากเราส่งเสริมรัฐประหาร เราจะเรียกตัวเองว่า เป็นประเทศประชาธิปไตยได้อย่างไร และจะเรียกตัวเองว่า รักชาติได้กระนั้นหรือ

ประวัติศาสตร์ทั้งของโลก และของไทย ก็แสดงให้เห็นเด่นชัด ในอดีต กฎหมายว่าด้วยสงคราม ก็บอกว่า ทุกประเทศ มีอำนาจประกาศสงครามได้โดยไม่ต้องมีข้อห้าม ข้อจำกัด ใครชนะ ก็เป็นเจ้า ... ฆ่าคนด้วยวิธีการอย่างไรก็ได้ .. ซึ่งปัจจุบัน สังคมโลก ก็เห็นว่า แนวคิดดังกล่าวไม่ถูกต้องแล้ว จึงมีข้อจำกัดมากมายในการกระทำสงครามและการป้องกันตนเองของรัฐ

หากจะเปรียบเทียบกัน ก็คงจะเหมือนกับประเทศของเราที่ถูกประเทศมหาอำนาจบุกรุก และมีอิทธิพลเหนือไทยเราในอดีต เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ต้องต่อสู้ ให้รอดพ้น จากการกดขี่ แล้วเราก็บอกว่า มันไม่ชอบธรรม มันเป็นใคร จะมากดหัวเราได้อย่างไร ประเทศเหล่านั้น บอกว่าเราไม่ ศิวิไลซ์ การมายึด คือ ความปรารถนาดี อยากให้พวกเราศิวิไลซ์ ขึ้น

การยึดอำนาจจากรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ของทหาร หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ไม่แตกต่างกันกับประเทศมหาอำนาจ ที่ยึดประเทศด้อยพัฒนาในอดีต เพราะกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธในมือ มีอำนาจ มีกำลัง เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน ที่มาจากผู้ทรงอำนาจอธิปไตย คือ ประชาชนทุกคน โดยอ้างว่า การปกครองของคนในรัฐบาลประชาธิปไตย มันไม่ดี ไม่ศิวิไลซ์ ไม่ซื่อสัตย์ การยึดอำนาจ จึงเป็นเรื่องที่กระทำโดยปรารถนาดี .... โอ้พระเจ้า

ผมไม่เห็นตรรกะ ที่แตกต่างระหว่าง การที่ประเทศมหาอำนาจยึดประเทศด้อยพัฒนา กับการใช้อำนาจทางทหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลประชาธิปไตยเลย ... แล้วเราจะสนับสนุน กลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ในการกระทำดังกล่าว ได้อย่างไร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในโลกปัจจุบัน ก็ไม่มีใครยอมรับ การกระทำรัฐประหาร

เราว่า ทักษิณฯ ทำตัวอันตราย ตรวจสอบไม่ได้ .... ใช้อำนาจไม่ชอบ มันเป็นเช่นนั้น แต่ถามว่า ตรวจสอบไม่ได้ตลอดไปใช่หรือไม่ ..... และหากจะเปรียบเทียบกับรัฐบาลทหาร (ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากอำนาจไม่ชอบธรรม) มันตรวจสอบได้ง่ายกว่าเช่นนั้นหรือ .... ผมว่า มันจะยิ่งตรวจสอบไม่ได้ หรือ ตรวจสอบได้ยากมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปมากมายนัก โดยเฉพาะ การวิพากษ์วิจารณ์ ก็ลำบาก สิทธิและเสรีภาพของคนก็ถูกจำกัด ไปหลายประการ ขออย่าได้โกหกตัวเองเลยว่า ไม่กลัวเลย ที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร ...

ด้วยเหตุนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วย จึงเป็นการกระทำที่กล้าหาญ และเป็นการรักชาติในทางที่ถูกต้อง หากจะบอกว่า ได้เงินประเทศไทยมา แล้วต้องป้องกันรัฐบาล จากการมองไม่ดีของต่างชาติ แม้เป็นการรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจอย่างไม่ชอบธรรม ผมไม่เห็นตรรกะ ที่เชื่อมโยงกันได้ และที่สำคัญ รัฐประหาร ก็ไม่มีจุดยืนในพื้นที่ของประชาธิปไตย ไม่อาจอธิบายว่ามันดีอย่างไรได้เลย

สุดท้าย สิ่งที่รัฐบาลทหาร กำลังกระทำอยู่ในตอนนี้ ผมว่าไม่เห็นแตกต่างกันกับสิ่งที่รัฐบาลก่อนได้ริเริ่มไว้เลย แค่ปรับเปลี่ยนชื่อ ให้แตกต่าง การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เช่นรถไฟฟ้า ฯลฯ (ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี และไม่ใช่ไม่จำเป็น) ก็ยังคงดำเนินต่อไป ..... ......

ปล. ผมขอประกาศว่า ในฐานะนักเรียนทุนรัฐบาล ผมจะรับเงินรัฐบาลต่อไป และตอบแทนแผ่นดิน โดยการรักแผ่นดินให้ถูกทาง (ในความคิดของผม) ครับ รับรองว่า ผมรักแผ่นดิน ไม่น้อยกว่า k. Scarecrow แน่ ๆ ครับ
แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 49 08:35:03

จากคุณ : POL_US - [ วันปิยมหาราช 08:25:18 ]







ความคิดเห็นที่ 9

กลับไปร้องแรกแหกกระเฌอ ทำอะไรไม่เข้าตากรรมการใต้กฏอัยการศึก

เด๋วโดนขังลืม คุณจะเอาเหรอ

ดิฉันว่าคนที่มีสติปัญญา เขาก็ทำได้ดีที่สุดอย่างที่คนมีสติปัญญาพึงทำ

อย่างน้อย เขาก็ไม่ทำตัวเป็นแบบลิงสามตัว กับเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง

อย่างนั้นสิ น่าเกลียด

จากคุณ : PatPDX - [ วันปิยมหาราช 08:29:27 ]




โดย: POL_US IP: 130.126.87.86 วันที่: 23 ตุลาคม 2549 เวลา:8:40:30 น.  

 
เริ่มต้นประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทย หรืออภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย

13 พฤศจิกายน 2549 16:44 น.
ธงชัย วินิจจะกูล


ข้อโจมตีผู้คัดค้านการรัฐประหารที่แพร่หลายที่สุดคือข้อกล่าวหาว่าคนเหล่านั้น...

ยึดติดกับมาตรฐานฝรั่ง - ไม่เข้าใจสังคมไทย

ยึดประชาธิปไตยแต่รูปแบบ - ไม่เข้าใจสาระที่แท้จริงของประชาธิปไตย

กอดคัมภีร์ - ไม่รู้จักความเป็นจริง

บ้าทฤษฎี - ไม่เข้าใจปฏิบัติ

เถรตรง - แต่ไม่เที่ยงตรง

สรุปได้ว่า ผู้คัดค้านการรัฐประหารไม่เข้าใจประชาธิปไตยตามความเป็นจริงที่เหมาะสมกับประเทศไทย

ผู้เขียนเห็นว่า ข้อโจมตีข้างต้นเป็นแค่โวหารตื้นเขินที่โต้แย้งได้ง่ายๆทุกประเด็น ผู้ที่โจมตีด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าวคงไม่เคยคิดให้ตลอดรอดฝั่งว่า เหตุผลของตนหนักแน่นเพียงใด เพราะหวังผลแค่การโฆษณาชวนเชื่อแค่นั้นน่าเสียใจที่ปัญญาชนชั้นนำบางคนไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้น กลับช่วยกันผลิตซ้ำโวหารโฆษณาชวนเชื่อต่อๆ ไป แทนที่จะถกเถียงกันในสาระสำคัญที่ผู้คัดค้านการรัฐประหารเสนอคำแถลงของธีรยุทธ บุญมี เมื่อ 11 ตุลาคม น่าจะเป็นตัวแทนของความคิดชนิดนี้ได้ดี กล่าวคือ ธีรยุทธ เสนอให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับภูมิปัญญาไทย จึงขออนุโลมเรียกความคิดประชาธิปไตยทำนองนี้ว่า ประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทย

ประชาธิปไตยไทยเป็นแบบไทยมาตลอดไม่เคยคล้ายฝรั่งเลย ในบรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร มีนิธิ เอียวศรีวงศ์ และชาญวิทย์ เกษตรศิริ รวมอยู่ด้วย ผู้สนับสนุนการรัฐประหารอาจเห็นต่างจากทั้งสองท่าน แต่กล้าพูดเชียวหรือว่าตนเข้าใจสังคมไทย รู้จักวัฒนธรรมไทย เข้าใจความเป็นจริงดีกว่าและเที่ยงตรงกว่านิธิและชาญวิทย์ซึ่งเอาแต่กอดตำราฝรั่งไม่เข้าใจสาระที่แท้จริงของประชาธิปไตย ความเห็นต่างกันต่อการรัฐประหารมิได้เป็นเพราะฝ่ายหนึ่งเป็นไทยอีกฝ่ายเป็นฝรั่งเลย แต่อยู่ที่สาระสำคัญของประเด็นต่างๆ

ปัญญาชนหลายคนรวมทั้งธีรยุทธเสนอความคิดมาหลายปีแล้วว่าความรู้ของคนไทยตามฝรั่งมากเกินไป คราวนี้ก็โทษอีกว่าปัญหาของประชาธิปไตยไทยเกิดจากการที่ตามฝรั่งมากไป ผู้เขียนโต้แย้งมาหลายปีแล้วเช่นกันว่าความคิดเหล่านั้นเข้าใจผิดทั้งเพ ความเชื่อว่าเราผิดพลาดเพราะเป็นฝรั่งมากไปนั้น เป็นความเข้าใจที่ฟังดูเข้าท่าเข้าหูคนไทยดี พูดที่ไหนคนไทยก็นิยมเห็นด้วยได้ง่ายๆ แต่ความเชื่อนั้นผิดในข้อเท็จจริง และมักจะเป็นผลของการคิดสรุปเอาง่ายๆจากปรากฏการณ์ผิวเผิน

สังคมวัฒนธรรมไทยผสมปนเปความรู้ค่านิยมฝรั่งมานานแล้วด้วยการเลือกคัดดัดแปลงธาตุใหม่ๆ ตามความต้องการและบนฐานความรู้ของสังคมไทยเอง แล้วพัฒนาสิ่งเหล่านั้นต่อมาตามสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขของสังคมไทยเอง ความรู้และวัฒนธรรมบางอย่างอาจมีเชื้อมูลของไทยน้อยหน่อย เป็นฝรั่งมากหน่อย อีกหลายอย่างมีทั้งฐานและเชื้อมูลเดิมที่แข็งแกร่ง ธาตุฝรั่งเข้ามาก็ถูกกลายพันธุ์แปลงภาษาจนเป็นไทยไปหมดบางแง่ดูเป็นฝรั้งฝรั่งแบบที่ฝรั่งเองก็ไม่เคยเป็น บางแง่เป็นไท้ยไทยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย

สังคมวัฒนธรรมที่ผสมปนเปความรู้ค่านิยมฝรั่งตามแบบไทยๆนี่แหละคือสังคมไทย ภูมิปัญญาและความเป็นไทยไม่ใช่มรดกดั้งเดิมที่แช่แข็ง แต่คือความเป็นจริงตามที่เป็นอยู่ซึ่งต้อนรับดัดแปลงธาตุใหม่ๆให้กลายเป็นแบบไทยๆตลอดเวลาด้วยเช่นกันระบอบการเมืองประชาธิปไตยของไทยตั้งแต่สถาบัน ค่านิยม พฤติกรรม จนถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองล้วนสืบทอดมรดกวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยมาทั้งนั้น แม้จะมีพรรคการเมือง การเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญตามอิทธิพลประชาธิปไตยในโลก สถาบันการเมืองเหล่านี้กลายเป็นแบบไทยๆตั้งแต่เริ่ม แล้วพัฒนาต่อมาตามเงื่อนไขของสังคมไทยอีกเป็นเวลานาน พอๆกับที่เราสามารถกล่าวได้ว่ากองทัพ กระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัย วิชาการ สื่อมวลชนได้รับอิทธิพลฝรั่ง แต่กลายเป็นแบบไทยๆ ตั้งแต่เริ่มแล้วพัฒนามาตามเงื่อนไขของสังคมไทยเองต่อมาอีกนาน

ประชาธิปไตยไทยจึงมีลักษณะเฉพาะตามประวัติศาสตร์ของตน เหมือนทุกสังคมมีลักษณะเฉพาะทั้งนั้น แต่ทุกแห่งมีลักษณะร่วมของสังคมมนุษย์และวิถีประวัติศาสตร์ที่ประสานสอดคล้องกันไปหมดด้วยในเวลาเดียวกันจนไม่มีสังคมใดเลยที่แตกต่างพิลึกพิลั่นจนประสบการณ์ร่วมของมนุษย์ประยุกต์ใช้ไม่ได้ ประชาธิปไตยไทยก็เช่นกัน ประชาธิปไตยไทยไม่เคยเป็นแบบฝรั่งเลย แต่เป็นประชาธิปไตยตามภูมิปัญญาไทยมาแต่ไหนแต่ไร ความดีความชั่วระหกระเหินที่ผ่านมาก็เพราะภูมิปัญญาไทยในระบอบการเมืองของเราเองนี่แหละ แต่ประชาธิปไตยไทยไม่ได้ต่างเสียจนกลายเป็นข้อยกเว้นหรือกลับตาลปัดจากที่อื่นๆการอ้างเอาความต่างเป็นเหตุผลเพื่อทำลายประชาธิปไตย หรืออ้างว่าการรัฐประหารเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆจึงเป็นการเล่นแร่แปรธาตุทางปัญญาที่ดูถูกประชาชนอย่างแรง เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ไร้ความรับผิดชอบ

ข้อเสนอให้ทำประชาธิปไตยเป็นแบบไทยๆ แทนการตามก้นฝรั่ง ดูเผินๆจึงฟังเข้าที แต่ที่จริงเป็นโฆษณาชวนเชื่อให้เข้าใจผิดๆว่าปัญหาอยู่ที่ความเป็นไทยไม่พอ ทั้งๆที่จริงอาจตรงข้าม โฆษณาชวนเชื่อนี้ยังหลีกเลี่ยงการถกเถียงในสาระสำคัญ (เช่น อภิชนคือใคร ควรยอมให้มีอำนาจแค่ไหน ประชาชนไว้ใจไม่ได้ จริงหรือ เป็นเพราะอะไร ควรทำยังไงให้ไว้ใจได้ ฯลฯ) อีกด้วยอย่าลืมว่าการกล่าวหาว่าผู้นิยมประชาธิปไตยไม่ใช่ไทยแท้หรือเป็นไทยไม่พอ เป็นข้อกล่าวหา

อัปลักษณ์ที่ใช้มาหลายครั้งเต็มทีสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็หาว่าผู้ต้องการปาลิเมนต์เป็นพวกต้องการเอาข้าวสาลีมาปลูกแทนข้าวเจ้าสมัยกบฏ ร.ศ.130 ก็ถูกหาว่าเป็นแค่พวกเอาอย่างปฏิวัติจีนการปฏิวัติ 2475 ก็ถูกฝ่ายนิยมระบอบเดิมและนักวิชาการนิยมเจ้าหาว่าเป็นแค่นักเรียนนอกหัวรุนแรงไม่กี่คน

คราว 14 ตุลา ก็ถูกหาว่าคอมมิวนิสต์ยุยงคราวนี้เอาอีกแล้ว - ตามก้นฝรั่ง กอดคัมภีร์ฝรั่งน่าเสียใจว่าคนที่กล่าวหาคราวนี้เคยถูกเข่นฆ่ามาก่อนเพราะถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นไทย แต่กลับมาใช้ข้อกล่าวหาอัปลักษณ์เช่นนี้เสียเอง ไม่ว่าจะเกิดจากความจงใจหรือสัมฤทธิผลทางการเมือง หรือเกิดจากความไม่รู้จักสังคมประวัติศาสตร์ไทยเอง หรือเกิดจากความเผอเรอก็ตาม...โปรดหยุดการกล่าวหาอย่างนี้เสียทีเถิด

ขอร้องครับ จะทะเลาะกันขนาดไหนก็ขอความกรุณาอย่าใช้วิธีการน่ารังเกียจเช่นนี้เลยน่าเสียใจที่นักวิชาการหลายคนเป็นผู้ผลิตวาทกรรมโฆษณาชวนเชื่อนี้เสียเอง หรือถ้านักวิชาการเชื่อตามที่ตนพูดจริงๆก็น่าจะเป็นดรรชนีชี้คุณภาพของวิชาการไทยได้ดีกว่าการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยสำนักใดๆทั้งสิ้น แต่เราจะได้เห็นต่อไปว่า ธีรยุทธยังกล้าพูดความจริงเกี่ยวกับประชาธิปไตยแบบไทยมากกว่าอีกหลายคนประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทย

คุณสมบัติสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยที่ยังฝังรากลึกมาก คือความเชื่อใน "บารมี" ของอภิชน เชื่อว่าผู้มีบารมีย่อมอยู่เหนือคนธรรมดา สมควรมีสิทธิมีอำนาจมากกว่า บารมี คือ อำนาจอันเกิดจากศีลธรรมที่สูงส่งกว่า (ซึ่งอ.ธีรยุทธ อาจลืมไปหรืออาจเป็นฝรั่งมากไปหน่อยจนไม่รู้จักคำนี้ดีพอ จึงต้องใช้ภาษาไทยปนเขมรปนแขกว่า "อำนาจศีลธรรม" แล้วกำกับด้วยภาษาอังกฤษว่า "Moral Authority") บารมีเกิดได้มีได้หลายรูปแบบตามสังคมวัฒนธรรมที่ต่างกันและเปลี่ยนไป เช่น การครอบครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การประพฤติธรรม สมณเพศ ความอยู่เย็นเป็นสุขของลูกน้อง หรือบุคลิกภาพที่ดูซื่อสัตย์ทรงธรรมอภิชนก็เกิดได้มีได้หลายรูปโฉม เช่น กษัตริย์ ขุนนาง นักรบ เศรษฐี ข้าราชการ นักการเมือง ราษฎรอาวุโส หลวงปู่ เกจิอาจารย์ท่านต่างๆ หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย

การเมืองไทยแต่โบราณ ก็คล้ายๆสังคมโบราณที่อื่นๆในโลกกล่าวคือ เป็นเรื่องของอำนาจบารมี เชื่อกันว่าถ้าผู้นำมีบารมีทุกอย่างจะดีเอง ไม่ใช่เรื่องของนโยบาย หรือทิศทางการบริหารประเทศ วัฒนธรรมการเมืองแบบนี้ยังเห็นได้ตลอดเวลาในปัจจุบัน อาทิ เช่น การเน้นที่ศีลธรรม คุณธรรม ความซื่อสัตย์


อันที่จริงประชาธิปไตยในโลกตะวันตกก็มีวิวัฒนาการมานานในครรลองคล้ายๆ กัน กล่าวคือมิได้นับว่าประชาชนทุกคนเท่าเทียมกันแต่อย่างใดจนกระทั่งประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง ประชาธิปไตยโบราณจึงหมายถึงอำนาจของเจ้าทาส และปัญญาชนเมืองเท่านั้น ประชาธิปไตยยุคต้นสมัยใหม่หมายถึงอำนาจของผู้ชายผิวขาวผู้มีทรัพย์และเสียภาษีเท่านั้น ฝรั่งเองก็ใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะยอมรับว่า ประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน


ดังนั้น สังคมไทยจึงเลือกรับดัดแปลงประชาธิปไตยให้เข้ากับวัฒนธรรมอภิชนแบบไทยๆซะ ผลก็คือประชาธิปไตยที่ยังคงความเชื่อในผู้มีบารมี ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ พ่อขุน นายพล อธิการบดี อาจารย์มหาวิทยาลัย นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ และราษฎรอาวุโส ประชาชนเป็นใหญ่ในระบอบนี้แต่มีบางคนใหญ่กว่าประชาชนวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยจึงให้อภิชนเหล่านี้มีอำนาจหรืออิทธิพลเหนือประชาชนธรรมดาในรูปแบบต่างๆ บางทีก็สร้างสมจนกลายเป็นสถาบันถาวรไปเลย

รัฐบาลประชาธิปไตยที่ออกนอกลู่นอกทางวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไทยๆ จึงต้องถูกขจัด และต้องพยายามเอาคุณธรรมแบบไทยๆกลับเข้ามานำประชาธิปไตยอีกครั้งแต่ตลอดระยะประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย ก็มีความคิดเห็นแตกต่างอยู่เสมอว่า ใครคืออภิชนที่ควรมีอำนาจมากกว่ากัน ประชาชนควรได้อำนาจมากขึ้นหรือยัง ประชาชนพร้อมหรือยัง ประชาชนควรมีเสรีภาพหรือยัง มีมากไปไหม คนชนบทยังโง่อยู่จะทำยังไง

ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจนแตกต่างหลากหลายเกินกว่าวัฒนธรรมแบบสังคมหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ จะรับมือไหว คนไทยต่างสถานะต่างชนชั้นต่างอุดมการณ์ความคิด จึงมีความปรารถนาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางต่างกัน นิยามความเป็นประชาชนต่างกัน ไว้ใจประชาชนมากน้อยไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่นกลุ่มเจ้าย่อมต้องการระบอบที่คงสถานะของพวกตนไว้ด้วยการอ้างอิงวัฒนธรรมไทยตามทัศนะของตน เป็นต้น

การรัฐประหาร 19 ก.ย. คือการสืบทอดวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยๆ กระแสครอบงำ แถมคราวนี้ทำกันอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน ธีรยุทธ บุญมี เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดอีกแล้ว กล่าวคือธีรยุทธเรียกร้องว่า การเมืองของนักการเมืองควรถูกถ่วงดุลกำกับด้วยผู้มีอำนาจทางศีลธรรมที่สูงส่งกว่า เป็นพลังคุณธรรมของบ้านเมือง เขาระบุตรงไปตรงมาว่าพลังนี้ได้แก่ สถาบันยุติธรรม ทหาร นักวิชาการ กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ ชนชั้นสูง องคมนตรี เป็นต้น เขาระบุถึงขนาดว่านักวิชาการควรมาจากมหาวิทยาลัยเก่าๆ

ธีรยุทธ เห็นว่านี่คือประชาธิปไตยที่เป็นแก่นสาร ไม่ใช่แค่รูปแบบ ในทางตรงข้ามเขาเห็นว่าการเน้นสิทธิของปัจเจกบุคคลผ่านการเลือกตั้งเป็นที่มาของประชาธิปไตยที่ล้มเหลวเพราะปัจเจกชนถูกทุนครอบงำง่าย ไว้ใจไม่ได้ มีแต่อภิชนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รู้เท่าทันทุนและไม่ถูกครอบงำ จึงต้องสร้างสถาบันของผู้มีศีลธรรมมากำกับ

อาจกล่าวได้ว่า พวกแรกควรถูกลดทอนสิทธิอำนาจ หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่าก็คือ พวกหลังควรมีอภิสิทธิและอำนาจเหนือคนอื่นเพราะมีคุณธรรมสูงกว่า ธีรยุทธยังผลิตซ้ำความเข้าใจง่ายๆ ที่ผิดว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรก ดังนั้นผู้มีอำนาจทางศีลธรรมที่กำกับการเมืองจึงควรปลอดการเมือง ควรยุ่งแต่เรื่องจริยธรรมเท่านั้น

ประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทยของธีรยุทธ จึงหมายถึง ระบอบการเมืองที่ประชาชนผู้อ่อนศีลธรรม สมควรถูกกำกับด้วยผู้มีบารมีสูงกว่า เป็นประชาธิปไตยแบบมีอภิชนอยู่เหนือประชาชนทั่วไป ความชอบธรรมของพวกเขาคือ มีศีลธรรมคุณธรรมสูงกว่าประชาชนธรรมดา ตรงตามวัฒนธรรมทางการเมืองตามทัศนะของชนชั้นนำไทยเป๊ะ แต่คราวนี้เสนอกันออกมาตรงๆ โจ่งแจ้งกันไปเลยนี่คือประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ใช่แค่เปลือก คือประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับความเป็นจริงของไทย ไม่ยึดติดคัมภีร์ หรือว่านี่คืออภิชนาธิปไตยขนานแท้ ตอกย้ำความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบโบราณซึ่งเชิดชูอภิชนและให้อำนาจแก่อภิชน เป็นประชาธิปไตยเป็นแค่เปลือกแค่รูปแบบแค่นั้นเองแต่อภิชนาธิปไตยแบบวัฒนธรรมไทยตามข้อเสนอของธีรยุทธไม่ใช่แบบเดิม ๆ สมัยสฤษดิ์อีกต่อไป

ประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทยของธีรยุทธคือ การทำให้ความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบหลัง 14 ตุลา กลายเป็นสถาบันทางการเมืองอย่างเป็นทางการเปิดเผยกันไปเลย กล่าวคือ เป็นระบบการเมือง 2 ชั้น ชั้นล่างได้แก่นักการเมือง ประชาชนปกติธรรมดา ซึ่งก็ควรเลือกตั้งกันต่อไป ซื้อขายเสียงและทะเลาะกันต่อไปตามปรกติ

ส่วนชั้นบนได้แก่ผู้มีบารมีทั้งหลาย ที่คอยกำกับชั้นล่างให้อยู่ในร่องรอย ต้องขอขอบคุณธีรยุทธที่ช่วยทำให้ภาวะอย่างนี้โจ่งแจ้งเห็นกันชัด ๆ แทนที่จะมัวแอบอ้างลอยตัวทำเป็นคนดีมีคุณธรรมแบบเงียบ ๆ อย่าง 30 กว่าปีที่ผ่านมา ธีรยุทธยังกล้าหาญขอขยายแวดวงของชั้นบนออกไป กล่าวคืออภิสิทธิชนไม่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มผู้ดีมีสกุลและองคมนตรี แต่จะมีจำนวนมากขึ้นและเห็นกันชัด ๆ อาทิ เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย (เก่าๆ ) ผู้อาวุโสที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ และคนในสถาบันตุลาการ

หากทำตามข้อเสนอของธีรยุทธ อภิชนาธิปไตยคงจะเปิดเผยตรงไปตรงมาว่าใครบ้างอยู่เหนือหัวประชาชน สถาบันของสังคมทั้งทหาร ตุลาการ ข้าราชการ มหาวิทยาลัยก็ควรจะประกาศให้ชัดไปเลยว่าตนไม่อยู่ใต้อำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะตนสังกัดชนชั้นบนเหล่านั้น ทำเช่นนี้ประชาชนจะได้ตรวจสอบตรงไปตรงมาเช่นกัน

หากจะยกระดับข้อเสนอของธีรยุทธให้ดียิ่งขึ้น (ขอย้ำเสียก่อนว่านี่มิใช่การประชดประชันเลยสักนิด) ควรบัญญัติให้เป็นกฎหมายหรือลงไปรัฐธรรมนูญเลยว่า พลเมืองไทยมีสิทธิไม่เท่ากันต่างกันตามระดับของการรับรู้ข่าวสารและระดับศีลธรรม ควรระบุให้ชัดเจนว่าอภิชนมีสิทธิและอำนาจมากกว่าอย่างไร จะให้อำนาจคนกรุงผู้มีการศึกษาเหนือคนชนบทและคนจนในกรุงไหม ควรระบุลงไปเลยดีไหมว่าองคมนตรีและราษฎรอาวุโสทั้งหลายเป็นสภาอัครมหาคุณธรรมเหนือการเมือง เหนือสถาบันทางการเมืองทั้งหลาย

ควรระบุด้วยว่า ภูมิปัญญาและศีลธรรมวัดกันตรงไหน ควรมีการประกวดระหว่างอภิชนชั้นบนว่า ใครมีศีลธรรมมากกว่ากัน เพื่อให้สังคมมีโอกาสรับรู้และร่วมตัดสินใจว่า ความมีศีลธรรมวัดกันตรงไหนดีกว่ากัน

เพราะสังคมไทยปัจจุบันมีความสับสนมากในเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่การนับถือเงินและหลงใหลวัตถุเป็นพระเจ้าเท่านั้น แต่แม้กระทั่งนักประชาธิปไตยยังยอมรับผู้มีส่วนในการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม และพฤษภา 35 ว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม นักวิชาการผู้ทรงภูมิปัญญาพากันเข้านอบน้อมผู้มีมลทินท่วมตัวในฐานะผู้มีบารมีมีคุณธรรม

ถ้าต้องการคุณธรรมนำประชาธิปไตย ก็ควรอธิบายให้ได้ว่า อะไรคือความมีคุณธรรมที่ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอก ไม่ใช่มือถือสากปากถือศีล และไม่ใช่สอง-สาม-สี่มาตรฐานตามใจชนชั้นกฎุมพีเมือง ถ้าอภิชนทั้งหลายตกลงกันได้ว่าจะตัดสินความมีศีลธรรมกันตรงไหน การตรวจสอบก็ง่ายขึ้น จะได้ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนทำตัวเป็นอีแอบในระบบการเมืองอีกต่อไป

ทั้งหมดไม่ใช่การประชดประชันแต่อย่างใด แต่เป็นข้อเสนอต่อยอดของธีรยุทธเพื่อให้อภิชนาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทยมีความโปร่งใสตรงไปตรงมาที่สุด เพื่อให้ประชาชนเห็นชัด ๆ แล้วตัดสินว่าต้องการแบบนี้หรือไม่ เอาไหม ถ้าประชาชนต้องการอภิชนาธิปไตยที่มีประชาธิปไตยเป็นเปลือก พอใจประชาธิปไตย 2 ชั้นที่มีอภิชนอยู่ชั้นบนก็ควรจะเอาตามประชาชนต้องการ

วาทกรรมที่เป็นเครื่องมือของอภิชนาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทยที่ผ่านมาสร้างพื้นที่ให้แก่อภิชนและผู้มีบารมีทั้งหลายด้วยวาทกรรมการเมือง 3 ประการ

หนึ่ง ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง

สอง การเมืองไร้คุณธรรม

โดยมีวาทกรรมทรงพลังที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด ได้ผลที่สุดที่เชื่อมโยงสองข้อแรกเข้าด้วยกันคือ วาทกรรมว่าด้วยนักการเมืองคอร์รัปชั่น

คำกล่าวที่ว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ย่อมถูกต้องเสมอไม่มีทางปฏิเสธได้เลย ในระบบประชาธิปไตยที่เชื่อมั่นในประชาชน คำกล่าวนี้มีผลเชิงสร้างสรรค์ คือ เป็นการสร้างความชอบธรรมที่ประชาสังคมและประชาชนจะต้องรวมตัวกัน สร้างอำนาจของตนเองจนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมประชาธิปไตยที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกตั้ง

แต่คำกล่าวนี้มิใช่เพื่อปฎิเสธการเลือกตั้ง การเลือกตั้งยังคงเป็นความชอบธรรมสูงสุดในการตัดสินอำนาจทางการเมือง ทว่าในประชาธิปไตยไทยที่ผ่านมาวาทกรรมดังกล่าวถูกใช้ใน 2 ทาง กล่าวคือในขณะที่บางคนใช้อย่างถูกต้องเพื่อสนับสนุนการสร้างอำนาจประชาชน แต่หลายคนใช้เพื่อปฏิเสธการเลือกตั้ง ปฏิเสธความชอบธรรมของเสียงของประชาชนที่ถูกหาว่าโง่ ขาดข้อมูลข่าวสาร หรือถูกครอบงำโดยอำนาจเงิน เป็นการใช้คำกล่าวนี้ในทางทำลาย

และเมื่อบวกกับวาทกรรมประเภทที่สองและสามดังจะกล่าวต่อไป วาทกรรมประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้งจึงกลายเป็นการเปิดประตูแก่อภิชนในที่สุด

วาทกรรมที่ว่าการเมืองของนักการเมืองสกปรกไร้คุณธรรม เป็นทัศนะของอนุรักษ์นิยมไทยมาตลอดที่พยายามปฏิเสธว่านักการเมืองเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มีการปะทะต่อสู้ต่อรองผลประโยชน์และแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติในสังคมที่แตกต่างหลากหลายเกินกว่าจะอาศัยเพียงบารมีของอภิชนมาแก้ปัญหา พวกอนุรักษ์นิยมยังเห็นการเมืองเป็นเรื่องของผู้ปกครองผู้ทรงธรรมที่จะบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขแก่ราษฎร

คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า การเมืองต้องมีคุณธรรมหรือจริยธรรมทางโลกย์กำกับอยู่ แต่การเมืองเรื่องของคุณธรรมเป็นอุดมคติของอภิชนเพื่อเน้นย้ำทุนทางวัฒนธรรมที่ตนสะสมและอ้างอิงอยู่เสมอ ทว่าคุณธรรมหรือบารมี ที่วาทกรรมนี้อ้างอิงกลับอยู่ในกรอบความคิดของกฎุมพีเมืองและอภิชนเท่านั้น

ดังนั้นวาทกรรมหลักที่ใช้ปฏิเสธอำนาจประชาชนและเสริมอำนาจอภิชน จึงได้แก่วาทกรรมนักการเมืองคอร์รัปชัน เราปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า คอร์รัปชันระบาดทั่วไปในวงการเมือง และประชาชนต้องการขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน

แต่วาทกรรมนี้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมากลายเป็นหัวหอกแก่ประชาธิปไตยของอภิชน ด้วยการทำให้วาทกรรมนี้กลายเป็นอาวุธทางการเมืองโดยไม่ต้องพิสูจน์ว่านักการเมืองทุจริตแหง ๆ ทุจริตรุนแรงเสียด้วย และการเลือกตั้งเต็มไปด้วยการซื้อเสียง เสียงของประชาชนจึงเชื่อถือไม่ได้

นักการเมืองกลายเป็นบุคคลน่ารังเกียจจนผู้คนสงสัยว่า จะมีประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งไปทำไมกัน วาทกรรมนักการเมืองคอร์รัปชัน แทบจะกลายเป็นภารกิจด้านเดียวของสื่อมวลชน เพราะช่วยให้ขยายได้ มีเกียรติภูมิ และทำให้ตนเองพลอยมีคุณธรรมสูงส่งไปด้วย

วาทกรรมทั้งสามช่วยกันสร้างความเกลียดชังนักการเมืองจนมีแต่ความระแวงไม่ไว้ใจ ซึ่งยังผลขับไสให้อภิชนสูงเด่นขึ้น โดยเฉพาะอภิชนชั้นบนเหนือปริมณฑลทางการเมือง

ยิ่งมีระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง กลายเป็นว่าสถานะของอภิชนในระบบการเมืองกลับยิ่งเด่นเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ความมีบารมีของอภิชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นองคมนตรี จนกระทั่งราษฎรอาวุโส และนักวิชาการบางคนกลับสูงเด่นยิ่งขึ้น พันธมิตรระหว่างภาคประชาชนกับอภิชนจึงก่อตัวขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อจำกัดทำลายความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง

ฤาจะเป็นอภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย

ผู้สนับสนุนรัฐประหารมักหาว่าผู้คัดค้านไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นจริงของสังคมไทย ความจริงคือผู้กล่าวเช่นนั้นส่วนมากไม่เคยเข้าใจประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยเลย คิดง่าย ๆ เข้าใจหยาบ ๆ แค่ว่าประชาธิปไตยคือการต่อต้านอำนาจฉ้อฉล ความเข้าใจนี้ไม่ผิดแต่ไม่พอและฉาบฉวย มีสักกี่คนที่พยายามเข้าใจวิวัฒนาการความสัมพันธ์ทางอำนาจของกลุ่มพลังทางสังคมตลอดร้อยปีที่ผ่านมา

หากคนเหล่านี้คิดและเข้าใจประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทยมากขึ้น คิดให้พ้น Pragmatism มีสติพ้นจากความเกลียดโกรธจนหน้ามืด จะพบว่าการรัฐประหารครั้งนี้อาจไม่ใช่จุดเริ่มของประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม แต่อาจเป็นจุดเริ่มของอภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย

ผู้เขียนเคยอธิบายประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยตามความความคิดของตนเองไว้ในที่อื่น (ดู ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา และ บทบันทึกการสัมมนา "โครงการเปลี่ยนประเทศไทย" ในฟ้าเดียวกัน ฉบับ กรกฎาคม - กันยายน 2549) น่าเสียดายที่คำเตือนของผู้เขียนเมื่อ 14 ตุลา ปีก่อน และข้อเรียกร้องให้ไปให้พ้นอภิชนาธิปไตยแบบแอบแฝงตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาถูกเมินเฉย ซ้ำปัญญาชนนักประชาธิปไตยไทยกลับเป็นผู้สนับสนุนอภิชนาธิปไตยอย่างเอิกเกริกเปิดเผย

แต่ตามเค้าโครงประวัติศาสตร์ดังกล่าว รัฐประหาร 19 กันยา จึงไม่ใช่การถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเริ่มประชาธิปไตยแบบแท้จริง แต่กลับเป็นการถลำลึกยิ่งขึ้นไปในระบอบประชาธิปไตยแบบอภิชนซึ่งเติบโตมาตลอดนับจาก 14 ตุลา 2516 น่าเสียดายที่นักวิชาการจำนวนมากไม่เห็นประวัติศาสตร์ หรือเห็นแค่ฉาบฉวยตื้น ๆ จนทำตัวรับใช้ระบอบอภิชนาธิปไตยกันไปหมดตามเค้าโครงประวัติศาสตร์ดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูงที่อำมาตยาธิปไตยแบบเดิม ๆ จะ

ไม่หวนกลับมา ดังที่ธีรยุทธคาดการณ์ไว้ เพราะประชาธิปไตยแบบอภิชนศักราชนี้ สามารถอยู่ร่วมกับประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนพอสมควร เพราะประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งและเสรีภาพดังกล่าวไม่เป็นภัยต่ออภิชนชั้นบน การต่อต้านทักษิณที่ผ่านมาก็เป็นความร่วมมือกันระหว่างอภิชนทั้งหลายรวมทั้งนักวิชาการ ปัญญาชน และนักประชาธิปไตยขององค์กรเอกชน

รัฐประหารคราวนี้และระบอบประชาธิปไตยหลังจากนี้จึงอาจไม่ใช่การถอยหลัง แต่เป็นการเดินหน้าสู่อภิชนาธิปไตยที่โจ่งแจ้งล่อนจ้อนอย่างที่คนรุ่นปัจจุบันไม่เคยมีประสบการณ์ มาก่อน อภิชนทั้งหลายเดินแถวอย่างออกหน้าออกตาเปิดเผย รวมทั้งอภิชนหน้าใหม่เช่นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลายที่ออกมาทำตัวเป็นผู้มีคุณธรรมความดีและเป็นหัวหอกให้แก่อุดมการณ์หลักของเหล่าอภิชนเสียยิ่งกว่าอภิชนทำเองเสียอีกแบไพ่ในมือแทบจะหมดหน้าตักแล้ว นึกไม่ออกว่าจะเหลืออะไรในมือให้เล่นกันอีกในอนาคต

ภาวะเช่นนี้คือจุดเริ่มของประชาธิปไตยแท้จริง (ตามวัฒนธรรมไทยในทัศนะของอภิชน)หรือเป็นจุดเริ่มของอภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย ?

//www.bangkokbiznews.com/level3/news_120847.jsp


โดย: POL_US IP: 130.126.87.97 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:53:01 น.  

 
น้ำลดตอผุดครับ .... ทหาร ดีจริง ๆ ครับท่าน

ก๊วนการเมืองจี้ สตง.สอบงบลับ คมช.1.5 พันล้าน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2549 12:18 น.
//www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000155094


ก๊วนการเมืองยื่น สตง.จี้สอบงบลับ คมช. อ้างรู้ข่าวเบิกเงินกว่า 1,500 ล้านบาทตบโบนัสทหารร่วมยึดอำนาจ ย้ำชุมนุมทุกวันเสาร์ให้คืนอำนาจประชาชน

วันนี้ (19 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายสุดชาย บุญไชย ตัวแทนกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โดยมีตัวแทนจากเจ้าหน้าที่ สตง.เป็นคนรับเรื่องแทนเพราะคุณหญิงจารุวรรณติดประชุม

นายสุดชาย กล่าวว่า การเดินทางมายื่นหนังสือครั้งนี้เพื่อขอให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบเส้นทางการใช้เงินงบประมาณส่วนกลาง และงบลับ หลังมีกระแสข่าวมีการเบิกจ่ายงบประมาณวงเงิน 500 ล้านบาท เพื่อนำมาแจกเป็นโบนัสให้กับทหารที่เข้าร่วมการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีการเบิกงบลับอีกกว่า 1,000 ล้านบาท หลังการยึดอำนาจเสร็จสิ้นแล้ว

นายสุดชาย กล่าวว่า กลุ่มคนวันเสาร์ยังเรียกร้องให้สื่อมวลชนร่วมกันเป็นไม้ตีสุนัข โดยช่วยกันส่งข้อมูลการใช้งบลับ ของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และกรณีการตรวจสอบนายกรัฐมนตรีและภริยาที่เข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ รวมถึงเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบอื่นๆ โดยกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการยังยืนยันที่จะรวมตัวกันชุมนุมที่ท้องสนามหลวงทุกวันเสาร์ เพื่อเรียกร้อง คมช. คืนอำนาจให้แก่ประชาชนอีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากการมายื่นหนังสือครั้งนี้ของกลุ่มคนวันเสาร์ทำให้มีตำรวจสันติบาลจำนวนหนึ่งมาคอยดูแลความปลอดภัยที่ สตง.อีกด้วย

ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คนกลุ่มนี้ได้ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและภริยา โดยอ้างว่าร่ำรวยผิดปกติผิดวิสัยข้าราชการโดยมีทรัพย์สินรวมกันกว่า 90 ล้านบาท


โดย: POL_US IP: 74.136.206.163 วันที่: 19 ธันวาคม 2549 เวลา:13:53:25 น.  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.